เหตุการณ์ก่อนหน้า
เหวินซืออี้กราดเกรี้ยวหนัก นางอดทนมานาน ไม่เคยมีปากเสียงอันใดกับคนรัก ก็เพียงแต่อยากทวงถามสิ่งที่นางควรได้รับ ตัวนางต้องทนรับปัญหาสารพัด ตัดขาดญาติพี่น้องเพื่อมาเป็นจ้าวสาวของเซียวหัวเฟิง ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ป้อมสังเกตการณ์ ส่งผลให้เหวินซืออี้กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก
“เฟิงเกอ...ท่านจะไปที่ใด ยามนี้ได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว” นางถามน้ำเสียงสั่นอยู่สักหน่อย ด้วยมันเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และความโมโหตนเองที่ไม่อาจพูดสิ่งใดที่รุนแรงอย่างใจนึกได้ นางเป็นสตรีเช่นนี้ โลกสวยงาม มีแต่สิ่งรื่นเริง คำร้ายๆ ไม่เคยหลุดออกจากปาก
จวบจนได้เห็นเกิงเตียวอิ๋ง ฝ่ายนั้นทำเรื่องบัดซบยิ่งนัก ขี่ม้าตัวโตเข้ามาที่นี่ อาภรณ์ที่นางสวมใส่คือ ชุดหยกที่เรียงเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้อยต่อกันไว้ ซึ่งกล่าวได้ว่า นางเปลือยกายคงไม่ผิด เพราะมองแล้วช่างเป็นคนไร้ยางอายยิ่ง
“เฟิงเกอ... โอ้ ท่านจะรอให้ร่างกายสตรีผู้นี้ สูญสลายและสิ้นใจเสียก่อนหรือ ถึงจะเข้ามาหาข้า”
เสียงดังกล่าวเรียกขึ้นร้อง ท่าทางสตรีผู้นั้นมิต่างจากโสเภณีชี้และชวนให้บุรุษเข้าไปเสพรักนาง ช่างไร้ค่า ทั้งชวนให้น่าเวทนา
เหวินซืออี้เดือดดาล สุดท้ายนางก็หลุดคำต่อว่าออกไป
“มารดาเจ้าเถอะ มะ มาทางไหน ก็รีบกลับไปตายที่เดิม สถานที่นี้ ไม่มีใครต้อนรับเจ้า”
สีหน้าและดวงตาคมๆ ตึงจัด ดรุณีน้อยของเขา เหตุใดถึงได้มีวาจาน่าชิงชังเช่นนี้ คงเพราะบิดามารดาไร้การอบรม และเขายอมแต่งงานกับนาง ก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว แต่นางเริ่มเผยส่วนที่ร้ายกาจออกมา หากเขาไม่ปรามเสียบ้าง สตรีนางนี้คงกำเริบ และสร้างเรื่องๆ ให้เขาปวดหัวเป็นแน่
และสายที่เซียวหัวเฟิงมองเหวินซืออี้คล้ายคมมีดกรีดหัวในดวงน้อยให้แหลกสลาย แล้วเขาก็ทำร้ายนางรุนแรงด้วยคำพูด
“เสี่ยวอี้ องค์หญิงหกคือคนที่เจ้าควรเคารพ เพราะนางได้ช่วยเจ้าไว้หลายครา ยามนี้ ก็เห็นว่านางนั้นได้รับบาดเจ็บหนักจากการปกป้องบ้านเมือง แต่เจ้ากลับใช้วาจาไม่สมควร เช่นนี้ ยังมีคุณธรรมในใจอยู่หรือ”
เหวินซืออี้ไม่อยากเชื่อหูของตน ไฉนบุรุษที่นางยกย่องและเลือกเขาให้เป็นคู่ชีวิต ถึงกล่าวคำร้ายกาจต่อว่านางต่อหน้าผู้คนมากมาย
ผู้เป็นเจ้าสาวกำหมัดแน่น เล็บของนางทิ่มเข้าเนื้อนิ่ม จนเกิดแผลและมีเลือดไหลซึม
“นางแค่อ้างคำพูดเหลวไหล อีกอย่างมีสตรีคนใดขี่ม้าแล้วเปลื้องผ้าให้ผู้อื่นมองอย่างหมิ่นเกียรติ เฟิงเกอยังมีสติปัญญาอยู่หรือไม่ ข้าหวังว่า ท่านคงไม่หน้ามืดตามัว เห็นสตรีไร้ค่าเป็นเทพธิดาหรอกนะ”
หญิงสาวสาดคำพูดร้ายๆ อีกชุด นั่นคงเป็นเพราะนางเก็บกดไว้ในใจมาเนิ่นนาน
“องค์หญิงหกแจ้งชัดแล้วว่านางได้รับพิษรุนแรง หากไม่รีบช่วย... อาจถึงขั้นเสียชีวิต” เซียงหัวเฟิงตอบกลับน้ำเสียงเข้ม ติดตำหนิผู้เป็นเจ้าสาว
“เฮอะ เฟิงเกอห่วงนางเยี่ยงนั้นหรือ ท่านห่วงผู้อื่นมากกว่าจิตใจของข้า ทั้งที่วันนี้คือวันเข้าหอของเรา”
กล่าวออกไปเช่นนั้น เหวินซืออี้ก็อยากคว้าคำพูดของตนกลับคืนเหลือเกิน เพราะเมื่อมองใบหน้าชายหนุ่ม ก็พบคำตอบที่กระจ่างใจ
“เสี่ยวอี้ หากไม่ได้สะสางปัญหาตรงหน้า ข้าคงไม่ใช่ลูกชายที่ผดุงความยุติธรรม อีกทั้งข้าคงผิดต่อลูกน้องของตน นอกจากองค์หญิงหก ยังมีดวงวิญญาณอีก 115 ดวงที่ข้าต้องล้างแค้นให้พวกเขา”
เซียวหัวเฟิงกล่าวถึงทหารและสหายของเขาที่พลีชีพปกป้องเชื้อพระวงศ์ จากการบุกของมือสังหารที่กำลังล่าสัตว์อยู่ มันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนงานวิวาห์เหวินซืออี้ราวๆ หนึ่งชั่วยามก่อน
“เฟิงเกอ ทะท่าน กล่าวสิ่งใดออกมา ช่างไร้ความรับผิดชอบ ข้ากับท่านดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน กราบไหว้ฟ้าดิน มีแขกร่วมงานเป็นสักขีพยาน ไฉนยังจะให้เรื่องอื่นขัดขวางความสุขที่ข้ากับท่านรอมานานอีกเล่า”
“โถ เสี่ยวอี้...เจ้าช่างยึดถือแต่ตนเป็นใหญ่ องค์หญิงหกต้องการเพียงแค่ให้ข้าช่วยเหลือให้นางมีชีวิตรอด หลังจากนั้นข้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง และชดใช้ให้เจ้าเอง”
เซียวหัวเฟิง เป็นแม่ทัพและเขามีสกุลเดิมขององค์หญิงหกหนุนหลัง และที่เขายืนยันอยากช่วยเหลือเกิงเตียวอิ๋ง ด้วยรู้ว่าพิษที่ทำร้ายนางในตอนนี้กำลังจะเผาไหม้อวัยวะภายใน และเขาต้องพาอีกฝ่ายไปยังถ้ำหิน อาศัยเตียงหยกแล้วใช้ลมปราณของเขาขับพิษแก่นาง
ฝ่ายเกิงเตียวอิ๋งเป็นสตรีที่เก่งด้านบุ๋น กระนั้นกว่าจะตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกมาและควบม้าจะถึงที่นี่ นางต้องใช้พลังไปหลายส่วน สุดท้ายร่างกายนั้นคล้ายถูกเผาไหม้ จึงสลัดเสื้อผ้าออก ยามนี้มีเพียงชุดหยกด้านในที่แนบเนื้อ ซึ่งไม่อาจปกปิดเรือนร่างนางได้ ส่วนเว้าส่วนโค้งของประจักษ์ต่อสายตาผู้อื่น
อึดใจต่อมา หญิงสาวกระอักเลือดกองโต ภาพของนางในยามนี้ สร้างความตื่นตะลึงและเรียกคะแนนสงสารได้ดี อีกทั้งนางเป็นถึงองค์หญิงนักรบ ผิดกับคุณหนูในห้องหอ อย่างเหวินซืออี้ ให้ดีก็มีแต่ความงาม สตรีเช่นนี้เคยทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินหรือ
“แม่ทัพเซียว... เรื่องอื่นพวกเราจัดการเอง ต่อลมหายใจให้องค์หญิงหกเถิด จากนั้นค่อยไปชำระแค้น งานแต่งก็สำคัญ แต่ชีวิตคนที่ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองย่อมสูงส่งกว่า ”
จากเสียงหนึ่งที่ดังขึ้น ก็เหมือนจะโน้มน้าวให้เซียวหัวเฟิงทำเช่นนั้น ฝ่ายกัวเตียวอิ๋งที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็โงนเงนไปมาเจียนพลัดตกลงมา สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งสร้างความคับแค้นใจต่อผู้เป็นเจ้าสาว
จวบจนแม่ทัพหนุ่มก้าวขาหมายใจเข้าไปช่วยเกิงเตียวอิ๋ง ก็เป็นช่วงเวลาดังกล่าวที่เหวินซืออี้ ล้วงมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อ ใจนางเดือดพล่าน ห้วงเวลาดังกล่าวเจ้าสาวขาดสติไปเสียแล้ว
“เฟิงเกอ หากท่านก้าวออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว... ขะ ข้า เหวินซืออี้ก็จะไปรอเฟิงเกอที่ประตูนรก!”
เมื่อนางตัดสินใจกระทำเช่นนั้น แทนทีจะรั้งเขาได้ กับมีสายตาเย็นชาของผู้เป็นเจ้าบ่าวมองมาที่นาง พร้อมคำพูดที่ทำให้เหวินซืออี้ หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอี้จะไร้เหตุผล ช่างเป็นคนที่ข้าไม่สมควรแต่งงานด้วย และแรกเริ่มก็เป็นเจ้าแอบลักลอบมาถึงเมืองไฉ ปลอมตัวเป็นทหาร เป็นบ่าวรับใช้ จนเกิดเรื่องราวมากมายให้ข้าต้องช่วยเช็ดล้าง มีคดีถึงศาลก็หลายหน ทั้งสั่นคลอนกฎของกองทัพ และหากเราไม่ได้มีช่วงเวลาลึกซึ้งด้วยกัน ข้าคงไม่ตัดสินใจรับผิดชอบสตรีแซ่เหวิน!”
หึๆ ๆ สวรรค์ล้อนางเล่นเป็นแน่ เซียวหัวเฟิงเหตุใดถึงกล่าววาจาร้ายกาจกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อสามปีก่อนที่เขาไปยังเมืองซีหาน ยังเป็นบุรุษที่ติดตามอาจารย์เฉิง คือพี่เก้าที่แสนอบอุ่นใจดี คอยสอนนางหลายสิ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของรักแรกพบ สุดท้ายนางก็ปีนออกจากกำลังคฤหาสน์เหวิน ทั้งที่พี่ชายสุดที่รักเหวินเจิ้งเทาตามตัวกลับหายหน แต่นางใช้อุบายต่างๆ นานาจนรอดพ้นมาได้ แล้วก็ติดตามเซียวหัวเฟิงเดินทางไกลนับพันลี้ ผ่านหลากหลายเรื่องราว จวบจนบ่มเพาะเป็นความรัก มีช่วงเวลาหวานซ่านใจ จนผู้อื่นอิจฉา และเขาได้ออกปากอยากผูกผมครองคู่เหวินซืออี้ “ท่าน เป็นท่านที่เลอะเลือน... สตรีผู้นี้ยึดมั่นในรักเสมอ ข้าเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อมาอยู่กับท่าน” เซียวหัวเฟิง ไม่ใช่ไร้เยื่อใย แต่เขาเริ่มเห็นว่าเหวินซืออี้ คือสตรีที่เอาแต่ใจ และไม่เติบโตกว่าเดิมสักนิด “ข้ายังยืนยันคำเดิม หลังจากช่วยองค์หญิงหก จะกลับมาทำหน้าที่ของตนให้แล้วเสร็จ” “ทำหน้าที่หรอกหรือ โอ้ เฟิงเกอ การเข้าหอและดูแลข้า ท่านถือเป็นหน้าที่ ฮึ หากเป็นเช่นนั้น ไฉนข้ายังจะหน้าด้านเป็นภาระของท่านแม่ทัพด้วยเล่า” นางกล่าวจบ ก็ใช้มีดสั้นจี้ลำคอของตน ฝ่ายบ่าวรับใช้หญิง กับคนงานที่อยู่บริเวณนั้นหมายจะเข
เกิดชาติไหนก็ไม่เป็นเหวินซืออี้ “สาวใช้สองคน และแม่นมของท่าน จำได้หรือไม่ว่าคนพวกนี้หายตัวไปได้อย่างไร นับแต่คุณหนูห้าเดินทางจนมาถึงเมืองไฉ” เหวินซืออี้สับสน นางคิดว่าสาวใช้สองคนที่ติดตามกันมาหนีไปเพราะกลัวความผิดที่พาหญิงสาวออกจากคฤหาสน์สกุลเหวิน ซึ่งพวกนางเรียกได้ว่าเติบโตด้วยกัน ทั้งเหนียวเอ๋อร์ กับหยุนเอ๋อร์ จงรักภักดีต่อสกุลเหวิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยอมเจ็บตัวแทนเหวินซืออี้ตลอด ยามนี้ต้องจากไป เพราะนางเป็นต้นเหตุ โถ...สวรรค์เหตุใดถึงได้ใจร้ายนัก ส่วนแม่บ้านผิง เปรียบได้กับมารดาคนที่สองเหวินซืออี้ ฝ่ายนั้นมาทำงานในช่วงอายุย่างสามสิบปี พอเห็นภาพพวกนางแล้วก็รู้ว่าคงได้รับการทรมานแสนสาหัส ก่อนจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ฝ่ายขันทีผู้เป็นหัวหน้าใหญ่หันไปทางร่างบอบบางซึ่งมีผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ มองเผินๆ เหมือนผู้ชาย หากความจริงเป็นสตรี คนผู้นี้พยักหน้าให้ขันทีเปิดกล่องสำคัญอีกใบ เป็นกล่องใบขนาดย่อมเล็กกว่าเมื่อครู่ เหวินซืออี้ไม่อยากเห็นสิ่งใด ด้วยเกินจะรับเรื่องเลวร้ายได้อีก “คุณหนูห้าเหวิน... อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ท่านเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง เยี่ยง
ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้ มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรงขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง “ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้” “แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ” เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ! “นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่ก
บาปกรรม โอ้ บาปกรรมย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา) หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอพอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิ
สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย เหรินซืออี้อยู่ในห้องพักรับรองกับสวีเกาหาน และเถาวัลย์ดังกล่าวรัดข้อมือทั้งคู่ไว้ เพียงแต่มันคลายตัวมาก ดังนั้น นางกับเขาในยามนี้จึงอยู่ห่างกันพอให้เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ถึงอย่างนั้นสายตาของผู้อื่นยามมองนางไม่ค่อยให้เกียรติ ฝ่ายสวีเกาหานทำแผลเรียบร้อยแล้ว มียาสมุนไพรให้เขาดื่มด้วย ตัวนางในร่างนี้มีความรู้เรื่องการปรุงยา ได้แต่ทำเป็นถอนหายใจแสดงออกว่า คนพวกนี้ช่างอ่อนด้อยเรื่องการรักษา “นักพรตน้อย ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเดือดร้อน คุณชายของข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้า อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยอง อย่าได้ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้เลย” หญิงสาวหรือจะสนใจคำพูดห่าวเจีย อีกฝ่ายก็แค่ขันที แม้ยามนี้เป็นหน่วยแพรม่วง ทว่ายังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นใต้เท้าพันปี (ตำแหน่งสูงสุดของขันที ซึ่งได้รับการโปรดปราณเป็นอย่างสูงในยุคสมัยนั้น อีกทั้งห่าวเจีย มีเชื้อสายของอดีตฮ่องเต้คนเก่า และนั่นทำให้เขาก้าวหน้ามาในอีกสิบปีต่อจากนี้) “พ่อบ้านท่านนี้ ข้าไม่ได้คิดทำสิ่งใดล่วงเกินคุณชายเกาหานแม้แต่น้อย อีกอย่างเรื่องทั้งหมด
กัวซาคะนองรัก จือฮวนเป็นเดือนเป็นแค้นมาก นางคือลูกสาวคนเล็กของสกุลจือ หลังจากบิดาสิ้นใจ อำนาจก็ไม่ได้สั่นคลอนลง ด้วยสกุลจืออยู่คู่กับแคว้นเหลียงมานาน คนเก่าแก่จึงมีไม่น้อย อีกทั้งพี่ชายนางตอนนี้เป็นถึงจือหยวนโหว แล้วใครกันจะกล้าขัดใจ ถึงอย่างนั้นสวีเกาหานก็กล้าทำเป็นไม่เห็นนางอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ยามนี้เขาควรดูแลนาง ด้วยออกมาล่าสัตว์ต่างเมือง เดินทางก็เกือบสามร้อยลี้ นางต้องทรมานนั่งๆ นอนในรถม้าด้วยทางคดเคี้ยว พอมาถึงเขาหวงซาน อีกฝ่ายกับหายตัวไป รู้อีกทีก็ผ่านไปสองวันเต็มๆ กระทั่งห่าวเจียไปช่วยกลับมาที่เรือนรับรอง ซ้ำร้ายยังมีนักพรตท่าทางพิลึกอยู่ไม่ห่างกาย ดวงตาหงส์มองไปยังห่าวเจีย พอเห็นเขาเตรียมขยับปากจะพูด นางจึงชิงถามเสียก่อน “สืบได้ความเช่นไรบ้าง จงเล่ามาให้ละเอียด” “มันเป็นแค่นักพรตน้อย ใช้ชีวิตพเนจร ไม่มีหลักแหล่ง พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง ที่ถูกเถาวัลย์ผสานใจรัดเอาไว้ ก็เพราะเข้าไปขโมยของสำคัญที่สุสานชาวสุยจ้วง ที่ติดอยู่กับชายแดน” “ขโมยสิ่งใด” “เท่าที่ข้าทราบเป็นเกล็ดหิมะพันปี” “มันต้องการนำไปใช้เพื่อการใด” “เท่
ดวงตาที่สาม เมื่อเห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามาหาตนเอง จือฮวนจึงยกมือทั้งสองข้างเพื่อปกป้องใบหน้างดงาม หากไฟดังกล่าวไม่ได้มีความร้อนเพราะถูกทำขึ้น กระนั้นก็สามารถสร้างความแสบร้อนและเผาไหม้ผิวหนังได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่นางสวมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุการณ์ต่อจากนั้นจึงชวนให้ตื่นตระหนก จือฮวนดิ้นปัดไปมา ก่อนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นดิน ภาพของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทว่าการที่กรรมไล่ล่านางอย่างรวดเร็วนั้น เพราะเรื่องนี้มีคนเตรียมการไว้ ยามนั้น เสียงหวีดร้องเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้น คนที่พุ่งเข้าให้ความช่วยเหลือจือฮวนก็คือห่าวเจีย และตามด้วยจือคัง ฝ่ายจือฮวนถูกไฟเผาเสื้อผ้าและหลังมือเป็นบริเวณกว้าง ถึงไฟจะดับลงในเวลารวดเร็ว แต่นางได้แผลหลายแห่ง และนับว่าโชคดีที่ใบหน้าไม่ได้รับอันตราย แต่เส้นผมไหม้ไปไม่น้อย สภาพนางจึงดูแย่ ทั้งมีอาการเสียขวัญ “ห้ามไม่ให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่ นางระบำทั้งหมดจับตัวไปไต่สวน เค้นหาความจริงให้ได้ ว่าใครสั่งให้พวกมันทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้” จือคังออกคำสั่ง เขาสงสารน้องสาวจับใจ นางแสบร้อนที่แผล สะอื้นไห้อย่างหนัก น้องสาวเขาถูกตามใจจนเสียนิสัย
เหล่านางรำราวๆ สามสิบกว่าชีวิตถูกต้อนมายังพื้นที่หลังเรือนรับรอง ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ยามนั้นสตรีที่รำประทีปอยู่ด้านหลังสุด มีทหารหลายคนมองนางด้วยความสนใจ ทั้งเสื้อผ้าที่สวม กิริยาอ่อนช้อย กลิ่นกายนางก็หอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม แน่นอนมันไม่ใช่กลิ่นกายปกติที่สตรีพึงมี หากเป็นนางที่ใช้ความสามารถของตนกลั่นน้ำมันหอมระเหยทั้งจากสมุนไพร และไขมันมนุษย์ “เฮ้ย... น่าเสียดายของสวยของงาม... คำสั่งคือเฉือดพวกนางทั้งหมดเลยหรือ” คำพูดดังกล่าวทำให้นางรำเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังจะสิ้นลง ทว่าคนที่เกิดใหม่ในร่างของท่านอาหญิงที่มีนามว่าจางเหยา อีกทั้งมีดวงตาที่สามมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในภายหน้า มีหรือจะยอมให้ทหารชั่วช้าของจือฮวน ปลิดชีพนางได้ง่ายๆ อย่างเช่นชาติภพก่อน ฝ่ายทหารที่เป็นหัวหน้าหน่วยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “แบ่งเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน พวกหนึ่งจัดการไม่ให้จดจำสภาพเดิมได้ ส่วนคนงามๆ ข้าจะนำไปขายต่อ ได้เงินสักเล็กน้อย นับว่าไม่เสียแรงเปล่า” เมื่อเขาแจ้งความต้องการเช่นนั้น ทหารอีกหลายคนก็เห็นด้วย
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ
ทั้งคู่นอนกอดกันเกือบครึ่งชั่วยาม อยู่อย่างเงียบ ๆ ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขให้ได้มากที่สุด “เอาละ ถึงเวลาที่เจ้าควรต้มน้ำแกงดื่มได้แล้วเสียนเสียน”โต้วเหวยถานบอกจบก็ลุกขึ้น และร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ช่างน่ามอง แผงหน้าอกแน่น บั้นท้ายกลมสวย แม้แผ่นหลังจะมีแผลเป็นหลายแห่ง แต่ยิ่งขับให้โต้วเหวยถานสมกับตำแหน่งเทพสงคราม และในตอนที่เขาก้าวไปหยิบกางเกง ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบๆ หากถ้อยคำที่สื่อสาร ส่งผลให้หัวใจจิ่นเสียนหดเกร็ง ทั้งมือไม้แทบจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจหยิบจับสิ่งใด “จงหาหญ้าขาว และเพิ่มดอกสนเข้าต้มในน้ำแกงด้วย นอกจากจะช่วยขับพิษในร่างกาย สิ่งที่ข้าไม่พึงประสงค์ให้เจ้าต้องลำบากในภายหน้า จะได้ไม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้” “ตะ ต้าเกอหมายถึง”นางถามเสียงสั่นสีหน้าซีดสลด ความน้อยเนื้อต่ำใจผุดท่วมร่างกาย “ข้ากับเจ้า ไม่ควรมีสิ่งใดผูกมัดกันไว้ เสียนเอ๋อร์ สิ่งใดที่ข้าสั่งจงทำตามเสีย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด” ชายหนุ่มว่าจบ เขาหมุนตัวและสืบเท้ากลับไปในทางที่เดินมา การแสดงออกนั้นราวกับว่า โต้วเหวยถานที่นางเคยรู้จักก่
รีบดื่มน้ำแกงเถิด จิ่นเสียนนอนพักจากความอ่อนเพลียหลายชั่วยาม เมื่อสะดุ้งตื่นก็นึกเสียใจ กระนั้นสิ่งที่โต้วเหวยถานทิ้งไว้ให้นางดูต่างหน้า ได้สร้างความหวังมิน้อย มันคือถุงหอมอีกฝ่าย รวมถึงแหวนหยกของบุรุษวงหนึ่ง และป้ายหยกแกะสลักรูปเหยี่ยวพ่นไฟ ทั้งหมดนั้นเมื่อพินิจอย่างละเอียด นางพอจะเข้าใจความหมายเขา และคำพูดของโต้วเหวยถานแม้ยามร่วมรักกัน ซึ่งตระหนักได้ว่า เขาห่วงใยต่อบ้านเมือง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าอาจได้รับอันตราย จงมุ่งหน้าหาที่พัก และเมื่อสถานการณ์สงบ ก็ใช้ของเหล่านี้จำนำกับร้านค้าในเมืองใหญ่ ไม่นานข้าเชื่อว่าจะมีคนตามหาเจ้า แล้วพาไปรอพบข้าในที่ปลอดภัย” จิ่นเสียนอยากบอกเขาเรื่องหน่วยเหยี่ยวไฟ ด้วยมันอาจทำให้โต้วเหวยถานจดจำภูมิหลังของตนได้ แต่ชายหนุ่มกับเอ่ยขัดเสียก่อน “บางที สถานะที่แท้จริงของข้า อาจไม่ใช่สิ่งที่เสียนเสียนต้องการอยู่ใกล้ชิดก็เป็นได้ อย่างไรเสีย หากทุกอย่างคลี่คลาย ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกทางเดินของตนเอง”เขาพูดจบ ก็เอื้อมมือใหญ่มาจับศีรษะนางเอาไว้ ก่อนส่งริมฝีปากบางอันเร่าร้อนบดเบียดกลีบปากงดง
เจ้าเป็นภรรยาของผู้ใดหรือไม่ จิ่นเสียนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใดนางก็ไม่อาจทราบได้ คงเพราะเหนื่อยและมีไข้อ่อนๆ ภาพในฝันคือเรื่องราวก่อนหน้านี้เมื่อเกือบสิบวันก่อน นางถูกแม่เลี้ยงขายเพื่อไปเป็นภรรยาเถ้าแก่ผู้หนึ่ง ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ถูกกลุ่มคนแร่ร่อนเผ่าชยงเหล่าสูจับตัวไปเพื่อเป็นนางบำเรอ ก่อนพบว่า หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเซี่ยหมิง ผู้เป็นว่าที่สามีของตน โอ้ สวรรค์คงเล่นตลกแน่ๆ หญิงสาวคิดเสมอว่า อีกฝ่ายคือจิตกรรูปงาม ที่วาดภาพขายพร้อมบทกวีที่ยกระดับจิตใจผู้อื่น เมื่อเกือบสามเดือนก่อนเขาบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ หากเซี่ยหมิงหลอกลวงนาง และร่วมมือกับพวกที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แล้วทำสิ่งที่นางไม่อาจให้อภัยต่อเขา อย่างไรก็ตามเซี่ยหมิงก็มิอาจปกป้องจิ่นเสียได้ ฝ่ายนางจึงได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบชื่อแซ่ของเขา รู้เพียงว่าเป็นคนจากกองทัพ และคงมีตำแหน่งใหญ่โต เนื่องจากมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ซึ่งนางได้ยินคำว่า หน่วยเหยี่ยวไฟ แต่อนิจจาทั้งหมดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเวลาต่อมา เนื่องจากมีพวกตรงข้ามมีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า ที่น่าหวาดหวั่นคือ
“แน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นทาสต่ำต้อย ร่างกายบอบบางเช่นนี้ ควรเป็นคณิกามากกว่า” เขาว่าเสียงดุเข้ม ในห้วงเวลานั้น ริมฝีปากบางชื้นจัดก็ขบเม้มรุนแรงบริเวณที่นางได้แผลจากจอกสุรา จิ่นเสียนยืนแทบไม่ไหว ร่างกายเจียนทรุดฮวบลงบนพื้น ชายหนุ่มจึงดันร่างบอบบางให้ไปข้างหน้า กระทั่งถึงโต๊ะกลางห้องโถง “หยิบไม้นั่นขึ้นมาแล้วใช้ปากคาบเอาไว้ ส่วนมือเจ้าจงเกาะขอบโต๊ะให้แน่น หากล้มลงพื้นเมื่อใด ศพเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกส่งไปที่ตระกูลจิว และนั่นคืออิสระภาพที่ข้าจะมอบให้นางทาสที่ไม่รู้จักเจียมตน!”ตัวละครหวังจิ่นเสียน จิ่นเสียน (องค์หญิงที่ถูกส่งตัวออกจากวังหลวง)โต้วเหวยถาน แม่ทัพโต้วผู้เผด็จการ และมากด้วยอำนาจโต้วหมิง(เซี่ยหมิง) ลูกชายของอนุอวิ๋น (อวิ๋นซี) เป็นลูกติด ท้องนาง และโต้วเหวยถานรับเป็นบุตรบุญธรรมพระสนมเคอ เคอซิน มารดาจิ่นเสียนฮ่องเต้ ฟ่านอ๋อง /หวังอินฟ่าน (แคว้นต้าเหลียง)มามาโจว โจวเหริน สตรีได้รับคำสั่งดูแลจิ่นเสียน ขันทีฉี ฉีซาน (ขันทีผู้ส่งมองจิ่นเสียนให้โต้วเหวยถาน)จวิ้นซี มารดาเซี่ยหมิงหมี่เจา อนุของโต้วเหวยถานพ่อบ้านจ้าว จ
***** ต่อจากตอนที่แล้ว ด้วยคำพูดนั้น เหวินซืออี้จึงชักชวนพี่ชายออกท่องโลกกว้างด้วยกัน นี่คือโอกาสเดียวที่นางจะได้เปิดหู เปิดตาไปพร้อมเซียวหัวเฟิง ก่อนถูกบิดาส่งตัวเข้าวังหลวง เพื่อเป็นฝึกงานในสำนักหมอหลวง ซึ่งเท่าที่นางสืบรู้ บิดาอยากให้นางเป็นหมอหญิง รับใช้ไทฮองไทเฮา(หลี่อิง) ด้วยสกุลนางแต่เดิม ก็มีสตรีที่เป็นขุนนางหญิงที่สร้างคุณความดีมากมาย แต่สตรีเช่นนางหรือจะอยู่ในรั้วในวังได้ การแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น และยังต้องคอยระวังจะถูกกลั่นแกล้งจากนางกำนัลอีก เรื่องเหล่านั้นช่างน่าเวียนหัว และหลังจากที่เซียวหัวเฟิงแยกตัวไป นางก็พลัดหลงกับพี่ชายอีก ซ้ำร้ายถูกฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตามไล่ล่า คราแรกคิดว่าพวกมันหวังชิงสมุนไพรที่นางพกติดตัวไว้ นั่นคือก็ผงสกัดที่ทำให้สลบ แต่ความจริงในภายหน้ากลับน่าสยองใจมากกว่า พอเหวินซืออี้รู้สึกตัวอีกที กระซวยเม็ดพุทราก็ซัดใส่กลางหลังนาง แรงที่หนักหน่วงนั้น ทำให้นางล่วงลงไปบนพื้น และยามนี้อยู่กลางป่าที่มองไปทางใดก็น่ากลัวไปหมด “ค้นตัวนาง!” เสียงดังกล่าวดังขึ้น และนางถูกลากเข้าไปหลังพุ่มไม้ คนพวกนั้นท่าทางแปลกอยู่สักหน่อยเสียงก็แหลมสู