ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้
มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรง
ขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถ
ทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง
“ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้”
“แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ”
เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ!
“นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่กำแพงเมืองหลวงด้วย!”
เมื่อจือฮวนสนมคนโปรดของเหลียงอ๋องสั่งการจบ ก็เหมือนว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องนองไปด้วยเลือด ฝ่ายขันทีห่าวรับคำสั่งแข็งขัน จากนั้นลูกธนูก็ไม่พลาดเป้าพุ่งเข้าใส่ที่หน้าท้องเหวินซืออี้ ส่วนคนของเซียวหัวเฟิงที่สั่งไว้คุ้มกันที่นี่ ต่างจบชีวิตลงทีละคน โดยไม่อาจช่วยเหลือเจ้าสาวได้
เมื่อธนูปักเข้าร่าง หญิงสาวนั้นสั่นสะท้าน อนิจจานางไม่อาจมีกำลังตีกลองได้อีก นางไม่ได้เจ็บปวดแค่บาดแผล ทว่าลูกธนูอาบยาพิษ หญิงสาวหวีดร้องลั่น ผมบนศีรษะนางค่อยๆ เปลี่ยนสี จากดำขลับกลายเป็นขาวดั่งหิมะ ยามนี้ทั่วร่างเย็นเยียบ ขยับไปทางไหนก็ลำบาก แต่เหวินซืออี้จะอ่อนแออีกไม่ได้ แม้เจ็บเจียนตาย แต่นางอยากใช้ร่างกายและวิญญาณให้เกิดประโยชน์ เหวินซืออี้รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย พาตนเองปีนขึ้นไปบนกำแพงป้อมสังเกตการณ์จนสำเร็จ
ยามนั้นใบหน้า มารดา บิดา และคนที่รักนางฉายขึ้นในห้วงความคิด ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังให้ได้ยิน คือเสียงที่นางคิดถึงเสมอ
“อี้เอ๋อร์... เจ้าเป็นคนหัวอ่อน... จงจำไว้ ความรักคือดาบอาบยาพิษเล่มหนึ่ง หากใช้ไม่เป็น ก็รังแต่จะทำร้ายทั้งเจ้าและคู่ชีวิต”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นของซือฝู... หรืออาจารย์เฉิง”
เขาเป็นคนที่สอนนางหลายสิ่ง คือผู้มากด้วยความรู้ แต่เข้มงวดอย่างน่าเบื่อ ทั้งที่อาจกล่าวได้ว่าเฉิงเซ่าเทียน คือคนที่ทำให้ดรุณีน้อยหัวใจเต้นแรงเมื่อพบหน้า แต่นางเยาว์วัย ทั้งการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ไฉนจะข้ามขั้นไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ จวบจนนางได้พบกับเซียวหัวเฟิงที่เป็นลูกบุญธรรมอีกฝ่าย เขาติดตามเฉิงเซ่าเทียนมาด้วย หัวใจและดวงตาของเหวิน
ซืออี้ผู้โง่เขลาก็ไม่เหลียวแลผู้ใด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นางตัดใจจากเฉิงเซ่าเทียนสำเร็จ!
“ซือฝู ท่านจะสั่งสอนสิ่งใดศิษย์ผู้นี้อีกหรือ”
เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นอบอุ่น และส่งเสริมให้นางมีพลังเสมอ ผิดแต่เหวินซืออี้ไม่ชอบมอง เป็นเพราะลึกๆ นางกลัวตนจะหลงรักอีกฝ่าย
“ชาตินี้ศิษย์ปัญญาทึบ ซือฝูสั่งสอนสิ่งใด ก็ไม่เข้าหัวสักอย่าง สุดท้ายยังทำให้หลายชีวิตต้องจากไปอย่างทรมาน... ซือฝู เหตุใดท่านถึงไม่อบรมศิษย์ให้หนักกว่านี้ ให้ข้าเรียนแค่เขียนอักษร และวาดภาพ เห็นหรือไม่ผลลัพธ์ออกมาเช่นไร สุดท้ายก็ไม่อาจมีไหวพริบมากพอที่จะทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น ทั้งหมดที่ท่านลงแรงไป มิเท่าส่งเสริมให้ข้ามาตายอย่างไร้ค่าหรอกหรือ”
นางตัดพ้อ แต่เขาก็ยังยิ้มกลับมาให้เช่นเดิม
“เดินทางไกลครั้งนี้ ศิษย์กลัวหรือเกิน... ซือฝู อย่าลืมเขียนชื่อสิบสามไว้ที่กับรุ่นพี่ในสำนักศึกษา ยามนี้เหวินซืออี้ขอล่วงหน้าไปก่อน...”
หญิงสาวพร่ำเพ้อได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องหนาวเหน็บทั้งร่าง และไม่ทันทำสิ่งใดต่อ ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งปักที่ลำคอนาง เลือดสดๆ ไหลทะลึก ความเจ็บปวดทวีคูณกว่าเดิม นางหายใจไม่ออก และขยับร่างส่วนบนไม่ได้
“บัดซบ ชีวิตของเหวินซืออี้... ต้องมาสิ้นลงในเวลานี้ ข้าอายุยังน้อย และเด็กในท้องยังต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ”
ร่างเหวินซืออี้โอนเอนไปมา และไร้กำลังทรงตัวได้อีก
ยามนั้นนางมองไปยังศัตรูของตน เป็นศัตรูที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปสร้างความแค้นให้พวกเขาตั้งแต่เมื่อใด
ทั้งพระสนมจือ ขันทีห่าว และอีกหลายชีวิตที่ยืนหัวเราะเมื่อเห็นนางได้รับความทุกข์ทรมาน
เหวินซืออี้พยายามกลั้นน้ำตา และไม่มีวันที่นางจะไม่ร้องไห้ หรือขอชีวิตจากพวกมัน!
“หึ... อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ได้ใช้ชีวิตนี้ เป็นประโยชน์ต่อสกุลเหวินบ้าง ข้อความสุดท้ายนี้ หวังว่าข้าจะรักษาชีวิตคนที่ข้ารักไว้ได้สักคน หากชาติหน้ามีจริง... ข้าไม่ขอเกิดเป็นเหวินซืออี้แต่ขอให้ข้ามากด้วยวาสนา มีปัญหาหลักแหลม มากด้วยไหวพริบ และได้มีทายาทเป็นของตนสักคน”
ชั่วอึดใจ ร่างงดงามในชุดเจ้าสาวก็ล่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง ยามนั้น เลือดไม่ได้ไหลแค่จากศีรษะ หากเบื้องล่าง ก้อนเนื้อเล็กๆ ในท้องก็จบชีวิตไปพร้อมเหวินซืออี้
บาปกรรม โอ้ บาปกรรมย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา) หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอพอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิ
สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย เหรินซืออี้อยู่ในห้องพักรับรองกับสวีเกาหาน และเถาวัลย์ดังกล่าวรัดข้อมือทั้งคู่ไว้ เพียงแต่มันคลายตัวมาก ดังนั้น นางกับเขาในยามนี้จึงอยู่ห่างกันพอให้เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ถึงอย่างนั้นสายตาของผู้อื่นยามมองนางไม่ค่อยให้เกียรติ ฝ่ายสวีเกาหานทำแผลเรียบร้อยแล้ว มียาสมุนไพรให้เขาดื่มด้วย ตัวนางในร่างนี้มีความรู้เรื่องการปรุงยา ได้แต่ทำเป็นถอนหายใจแสดงออกว่า คนพวกนี้ช่างอ่อนด้อยเรื่องการรักษา “นักพรตน้อย ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเดือดร้อน คุณชายของข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้า อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยอง อย่าได้ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้เลย” หญิงสาวหรือจะสนใจคำพูดห่าวเจีย อีกฝ่ายก็แค่ขันที แม้ยามนี้เป็นหน่วยแพรม่วง ทว่ายังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นใต้เท้าพันปี (ตำแหน่งสูงสุดของขันที ซึ่งได้รับการโปรดปราณเป็นอย่างสูงในยุคสมัยนั้น อีกทั้งห่าวเจีย มีเชื้อสายของอดีตฮ่องเต้คนเก่า และนั่นทำให้เขาก้าวหน้ามาในอีกสิบปีต่อจากนี้) “พ่อบ้านท่านนี้ ข้าไม่ได้คิดทำสิ่งใดล่วงเกินคุณชายเกาหานแม้แต่น้อย อีกอย่างเรื่องทั้งหมด
กัวซาคะนองรัก จือฮวนเป็นเดือนเป็นแค้นมาก นางคือลูกสาวคนเล็กของสกุลจือ หลังจากบิดาสิ้นใจ อำนาจก็ไม่ได้สั่นคลอนลง ด้วยสกุลจืออยู่คู่กับแคว้นเหลียงมานาน คนเก่าแก่จึงมีไม่น้อย อีกทั้งพี่ชายนางตอนนี้เป็นถึงจือหยวนโหว แล้วใครกันจะกล้าขัดใจ ถึงอย่างนั้นสวีเกาหานก็กล้าทำเป็นไม่เห็นนางอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ยามนี้เขาควรดูแลนาง ด้วยออกมาล่าสัตว์ต่างเมือง เดินทางก็เกือบสามร้อยลี้ นางต้องทรมานนั่งๆ นอนในรถม้าด้วยทางคดเคี้ยว พอมาถึงเขาหวงซาน อีกฝ่ายกับหายตัวไป รู้อีกทีก็ผ่านไปสองวันเต็มๆ กระทั่งห่าวเจียไปช่วยกลับมาที่เรือนรับรอง ซ้ำร้ายยังมีนักพรตท่าทางพิลึกอยู่ไม่ห่างกาย ดวงตาหงส์มองไปยังห่าวเจีย พอเห็นเขาเตรียมขยับปากจะพูด นางจึงชิงถามเสียก่อน “สืบได้ความเช่นไรบ้าง จงเล่ามาให้ละเอียด” “มันเป็นแค่นักพรตน้อย ใช้ชีวิตพเนจร ไม่มีหลักแหล่ง พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง ที่ถูกเถาวัลย์ผสานใจรัดเอาไว้ ก็เพราะเข้าไปขโมยของสำคัญที่สุสานชาวสุยจ้วง ที่ติดอยู่กับชายแดน” “ขโมยสิ่งใด” “เท่าที่ข้าทราบเป็นเกล็ดหิมะพันปี” “มันต้องการนำไปใช้เพื่อการใด” “เท่
ดวงตาที่สาม เมื่อเห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามาหาตนเอง จือฮวนจึงยกมือทั้งสองข้างเพื่อปกป้องใบหน้างดงาม หากไฟดังกล่าวไม่ได้มีความร้อนเพราะถูกทำขึ้น กระนั้นก็สามารถสร้างความแสบร้อนและเผาไหม้ผิวหนังได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่นางสวมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุการณ์ต่อจากนั้นจึงชวนให้ตื่นตระหนก จือฮวนดิ้นปัดไปมา ก่อนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นดิน ภาพของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทว่าการที่กรรมไล่ล่านางอย่างรวดเร็วนั้น เพราะเรื่องนี้มีคนเตรียมการไว้ ยามนั้น เสียงหวีดร้องเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้น คนที่พุ่งเข้าให้ความช่วยเหลือจือฮวนก็คือห่าวเจีย และตามด้วยจือคัง ฝ่ายจือฮวนถูกไฟเผาเสื้อผ้าและหลังมือเป็นบริเวณกว้าง ถึงไฟจะดับลงในเวลารวดเร็ว แต่นางได้แผลหลายแห่ง และนับว่าโชคดีที่ใบหน้าไม่ได้รับอันตราย แต่เส้นผมไหม้ไปไม่น้อย สภาพนางจึงดูแย่ ทั้งมีอาการเสียขวัญ “ห้ามไม่ให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่ นางระบำทั้งหมดจับตัวไปไต่สวน เค้นหาความจริงให้ได้ ว่าใครสั่งให้พวกมันทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้” จือคังออกคำสั่ง เขาสงสารน้องสาวจับใจ นางแสบร้อนที่แผล สะอื้นไห้อย่างหนัก น้องสาวเขาถูกตามใจจนเสียนิสัย
เหล่านางรำราวๆ สามสิบกว่าชีวิตถูกต้อนมายังพื้นที่หลังเรือนรับรอง ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ยามนั้นสตรีที่รำประทีปอยู่ด้านหลังสุด มีทหารหลายคนมองนางด้วยความสนใจ ทั้งเสื้อผ้าที่สวม กิริยาอ่อนช้อย กลิ่นกายนางก็หอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม แน่นอนมันไม่ใช่กลิ่นกายปกติที่สตรีพึงมี หากเป็นนางที่ใช้ความสามารถของตนกลั่นน้ำมันหอมระเหยทั้งจากสมุนไพร และไขมันมนุษย์ “เฮ้ย... น่าเสียดายของสวยของงาม... คำสั่งคือเฉือดพวกนางทั้งหมดเลยหรือ” คำพูดดังกล่าวทำให้นางรำเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังจะสิ้นลง ทว่าคนที่เกิดใหม่ในร่างของท่านอาหญิงที่มีนามว่าจางเหยา อีกทั้งมีดวงตาที่สามมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในภายหน้า มีหรือจะยอมให้ทหารชั่วช้าของจือฮวน ปลิดชีพนางได้ง่ายๆ อย่างเช่นชาติภพก่อน ฝ่ายทหารที่เป็นหัวหน้าหน่วยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “แบ่งเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน พวกหนึ่งจัดการไม่ให้จดจำสภาพเดิมได้ ส่วนคนงามๆ ข้าจะนำไปขายต่อ ได้เงินสักเล็กน้อย นับว่าไม่เสียแรงเปล่า” เมื่อเขาแจ้งความต้องการเช่นนั้น ทหารอีกหลายคนก็เห็นด้วย
เร้ารักแนบเนื้อ เหวินซืออี้ไม่ใช่คนอ่อนหัดเรื่องอุ่นเตียง แม้อายุเดิมในชาติก่อนยังเยาว์วัย แต่นางรักสนุกอยู่สักหน่อย ชอบเรื่องระหว่างชายหญิงเป็นพิเศษ นางจึงปล่อยใจเตลิดไปกับแม่ทัพเซียว ซึ่งหลังจากตกเป็นของเขา ก็เกิดเรื่องราวมากมายต่อจากนั้น กระทั่งตั้งครรภ์ ทว่านางกลับไม่รู้ตัว จวบจนใกล้วันมงคลจึงตระหนักได้ว่าชีวิตน้อยๆ ใกล้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บอกเซียวหัวเฟิงให้รับรู้ สุดท้ายจึงจากไปพร้อมก้อนเนื้อในครรภ์ โดยผู้เป็นทั้งสามีและบิดา ไม่ทันได้ดูใจนาง ซ้ำร้ายยังหายตัวไปกับอรสพิษอย่างองค์หญิงหก“ซือเหยา เจ้าไม่ใช่แค่งาม หากเป็นสตรีที่ข้าหลงใหล” เสียงทุ้มๆ น่าฟังดังอยู่ข้างหู ซึ่งคนปากหวานย่อมเป็นเช่นสวีเกาหาน อีกทั้งรูปงาม เขางามแล้วยังทำให้นางมีความสุข มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ผิวเขาขาวละเอียดน่าสัมผัส ไรขนตามร่างกายถูกเล็มไว้อย่างงดงาม ยิ่งกว่านั้นคือขนาดแก่นกายเขา มังกรยักษ์คล้ำกว่าผิวกาย หัวบานหยักแดงเข้ม และเห็นเส้นเลือดปูนตลอดลำยาวเมื่อแข็งตัว ซึ่งทำให้หัวใจนางพองโตยามได้สัมผัส และปลุกปล้ำให้มันพ่นลาวาขาวขุ่นออกมา “เมื่อครู่หานอ๋อง ก็ขึ้นสวรรค์แล้ว
สวีเกาหานรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดเหวินซืออี้ จึงกระตุ้นนางทางด้านหน้า นิ้วมือเริ่มบี้ติ่งเนื้อสีชมพูสวย และมันสั่นระริกอย่างร่านสวาท หัวใจของเหวินซืออี้เต้นในจังหวะที่เร่งเร้า และนางได้ยินเสียงหัวใจสวีเกาหานเช่นกัน “แนบเนื้อผสานใจ นี่คือทางเดียวที่จะทำให้เถาวัลย์คลายตัว... ซือเหยา เจ้ายอมให้ข้ามอบความสุขหรือไม่” เขาถามเสียงแหบพร่า ฝ่ายเหวินซืออี้ไม่กล้ามองหน้าคนรูปงาม นางยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากขยับเพียงนิด “ให้ ขะ ข้ากลืนน้ำให้ท่านอ๋องอีกสักรอบสองรอบก็ยังไหว แต่ข้ายังไม่พร้อมให้ท่านพาความใหญ่โตเข้าไปสำรวจด้านใน จนกว่าจะได้สวมชุดเจ้าสาว และเราต้องดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน รวมถึงการผูกผมให้สัญญารักมั่น” นางบอกเขา น้ำเสียงคล้ายเป็นการร้องขอ ทั้งที่ความจริงแล้ว ยังมีบางสิ่งที่เหวินซืออี้ไม่รู้ ร่างกายนี้สวีเกาหาน และคนอีกผู้หนึ่ง ได้ทำการตกลงกันไว้ หากพวกเขาอยู่ลำพังกับนาง การอุ่นเตียงจะทำได้เพียงภายนอก หรืออย่างมากที่สุด หากเหวินซืออี้ยินยอม ก็ให้เข้าด้านหลัง มิใช่กลีบสวาทที่มีเกรสด้านหน้า “เรื่องเหล่านั้น ข้าย่อมทำให้ถูกต้อง ทว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องกลืนสิ่ง
เหวินซืออี้สลัดความคิดต่างๆ ทิ้งไป และผิงจงถามนางด้วยก่อนถูกต้อนขึ้นรถม้า “ตัวเจ้าล่ะ... ช่วยข้าไว้ด้วยการใช้กลิ่นกระตุ้นราคะ ทั้งยังฉีกเสื้อผ้าให้ขาด เพื่อเผยความงามหลอกล่อบุรุษ คิดอยากให้ข้าเป็นพวก หรือจงใจจะล้วงความลับใดกันแน่” “ข้าแค่ไม่อยากตาย หากมีเจี่ยเจียเป็นพวก เราย่อมมีโอกาสรอด” “จือหยวนโหว มีหูตากว้างไกล อีกอย่างเจ้าทำให้คุณหนูสามจือบาดเจ็บ เช่นนี้คิดหรือว่า ยังจะมีลมหายใจสืบต่อไปได้” “หากพวกเขาอยากตัดหัวข้า ป่านนี้ข้าคงสิ้นใจนานแล้ว แต่... เป็นเพราะอยากรู้สถานะที่แท้จริงของข้า จึงปล่อยให้มีชีวิตต่อไป อีกอย่างหนึ่งในนางรำที่เหลือหากคาดการณ์ไม่ผิด ย่อมมีคนของขันทีห่าวปะปนอยู่ ” ผิงจงพยักหน้าน้อยๆ และเอ่ยขึ้น“สิ่งใดที่เจ้าต้องการทำให้สำเร็จ ข้าจะเอาใจช่วย และหวังว่า เมื่อสลัดคนพวกนี้ทิ้งได้ เราจะไม่มีเรื่องติดค้างกัน” เหวินซืออี้ไม่ได้กล่าวคำใดอีก เนื่องจากรถม้าออกเดินทาง โดยจุดหมายคือสถานที่ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นดั่งขุมนรกของสตรีและบุรุษที่มีรูปโฉมงดงามการเดินทางมาที่ซ่องในเขตเขาหวงซาน ใช้เวลาเกือบสองชั่วยาม นางรำต่างอ่อนแรง และก่อนหน้าน
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ
ทั้งคู่นอนกอดกันเกือบครึ่งชั่วยาม อยู่อย่างเงียบ ๆ ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขให้ได้มากที่สุด “เอาละ ถึงเวลาที่เจ้าควรต้มน้ำแกงดื่มได้แล้วเสียนเสียน”โต้วเหวยถานบอกจบก็ลุกขึ้น และร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ช่างน่ามอง แผงหน้าอกแน่น บั้นท้ายกลมสวย แม้แผ่นหลังจะมีแผลเป็นหลายแห่ง แต่ยิ่งขับให้โต้วเหวยถานสมกับตำแหน่งเทพสงคราม และในตอนที่เขาก้าวไปหยิบกางเกง ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบๆ หากถ้อยคำที่สื่อสาร ส่งผลให้หัวใจจิ่นเสียนหดเกร็ง ทั้งมือไม้แทบจะไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจหยิบจับสิ่งใด “จงหาหญ้าขาว และเพิ่มดอกสนเข้าต้มในน้ำแกงด้วย นอกจากจะช่วยขับพิษในร่างกาย สิ่งที่ข้าไม่พึงประสงค์ให้เจ้าต้องลำบากในภายหน้า จะได้ไม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้” “ตะ ต้าเกอหมายถึง”นางถามเสียงสั่นสีหน้าซีดสลด ความน้อยเนื้อต่ำใจผุดท่วมร่างกาย “ข้ากับเจ้า ไม่ควรมีสิ่งใดผูกมัดกันไว้ เสียนเอ๋อร์ สิ่งใดที่ข้าสั่งจงทำตามเสีย หากเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด” ชายหนุ่มว่าจบ เขาหมุนตัวและสืบเท้ากลับไปในทางที่เดินมา การแสดงออกนั้นราวกับว่า โต้วเหวยถานที่นางเคยรู้จักก่
รีบดื่มน้ำแกงเถิด จิ่นเสียนนอนพักจากความอ่อนเพลียหลายชั่วยาม เมื่อสะดุ้งตื่นก็นึกเสียใจ กระนั้นสิ่งที่โต้วเหวยถานทิ้งไว้ให้นางดูต่างหน้า ได้สร้างความหวังมิน้อย มันคือถุงหอมอีกฝ่าย รวมถึงแหวนหยกของบุรุษวงหนึ่ง และป้ายหยกแกะสลักรูปเหยี่ยวพ่นไฟ ทั้งหมดนั้นเมื่อพินิจอย่างละเอียด นางพอจะเข้าใจความหมายเขา และคำพูดของโต้วเหวยถานแม้ยามร่วมรักกัน ซึ่งตระหนักได้ว่า เขาห่วงใยต่อบ้านเมือง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าอาจได้รับอันตราย จงมุ่งหน้าหาที่พัก และเมื่อสถานการณ์สงบ ก็ใช้ของเหล่านี้จำนำกับร้านค้าในเมืองใหญ่ ไม่นานข้าเชื่อว่าจะมีคนตามหาเจ้า แล้วพาไปรอพบข้าในที่ปลอดภัย” จิ่นเสียนอยากบอกเขาเรื่องหน่วยเหยี่ยวไฟ ด้วยมันอาจทำให้โต้วเหวยถานจดจำภูมิหลังของตนได้ แต่ชายหนุ่มกับเอ่ยขัดเสียก่อน “บางที สถานะที่แท้จริงของข้า อาจไม่ใช่สิ่งที่เสียนเสียนต้องการอยู่ใกล้ชิดก็เป็นได้ อย่างไรเสีย หากทุกอย่างคลี่คลาย ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าเลือกทางเดินของตนเอง”เขาพูดจบ ก็เอื้อมมือใหญ่มาจับศีรษะนางเอาไว้ ก่อนส่งริมฝีปากบางอันเร่าร้อนบดเบียดกลีบปากงดง
เจ้าเป็นภรรยาของผู้ใดหรือไม่ จิ่นเสียนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใดนางก็ไม่อาจทราบได้ คงเพราะเหนื่อยและมีไข้อ่อนๆ ภาพในฝันคือเรื่องราวก่อนหน้านี้เมื่อเกือบสิบวันก่อน นางถูกแม่เลี้ยงขายเพื่อไปเป็นภรรยาเถ้าแก่ผู้หนึ่ง ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ ได้ถูกกลุ่มคนแร่ร่อนเผ่าชยงเหล่าสูจับตัวไปเพื่อเป็นนางบำเรอ ก่อนพบว่า หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเซี่ยหมิง ผู้เป็นว่าที่สามีของตน โอ้ สวรรค์คงเล่นตลกแน่ๆ หญิงสาวคิดเสมอว่า อีกฝ่ายคือจิตกรรูปงาม ที่วาดภาพขายพร้อมบทกวีที่ยกระดับจิตใจผู้อื่น เมื่อเกือบสามเดือนก่อนเขาบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ หากเซี่ยหมิงหลอกลวงนาง และร่วมมือกับพวกที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แล้วทำสิ่งที่นางไม่อาจให้อภัยต่อเขา อย่างไรก็ตามเซี่ยหมิงก็มิอาจปกป้องจิ่นเสียได้ ฝ่ายนางจึงได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบชื่อแซ่ของเขา รู้เพียงว่าเป็นคนจากกองทัพ และคงมีตำแหน่งใหญ่โต เนื่องจากมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ซึ่งนางได้ยินคำว่า หน่วยเหยี่ยวไฟ แต่อนิจจาทั้งหมดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเวลาต่อมา เนื่องจากมีพวกตรงข้ามมีกำลังเหนือกว่าหลายเท่า ที่น่าหวาดหวั่นคือ
“แน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นทาสต่ำต้อย ร่างกายบอบบางเช่นนี้ ควรเป็นคณิกามากกว่า” เขาว่าเสียงดุเข้ม ในห้วงเวลานั้น ริมฝีปากบางชื้นจัดก็ขบเม้มรุนแรงบริเวณที่นางได้แผลจากจอกสุรา จิ่นเสียนยืนแทบไม่ไหว ร่างกายเจียนทรุดฮวบลงบนพื้น ชายหนุ่มจึงดันร่างบอบบางให้ไปข้างหน้า กระทั่งถึงโต๊ะกลางห้องโถง “หยิบไม้นั่นขึ้นมาแล้วใช้ปากคาบเอาไว้ ส่วนมือเจ้าจงเกาะขอบโต๊ะให้แน่น หากล้มลงพื้นเมื่อใด ศพเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกส่งไปที่ตระกูลจิว และนั่นคืออิสระภาพที่ข้าจะมอบให้นางทาสที่ไม่รู้จักเจียมตน!”ตัวละครหวังจิ่นเสียน จิ่นเสียน (องค์หญิงที่ถูกส่งตัวออกจากวังหลวง)โต้วเหวยถาน แม่ทัพโต้วผู้เผด็จการ และมากด้วยอำนาจโต้วหมิง(เซี่ยหมิง) ลูกชายของอนุอวิ๋น (อวิ๋นซี) เป็นลูกติด ท้องนาง และโต้วเหวยถานรับเป็นบุตรบุญธรรมพระสนมเคอ เคอซิน มารดาจิ่นเสียนฮ่องเต้ ฟ่านอ๋อง /หวังอินฟ่าน (แคว้นต้าเหลียง)มามาโจว โจวเหริน สตรีได้รับคำสั่งดูแลจิ่นเสียน ขันทีฉี ฉีซาน (ขันทีผู้ส่งมองจิ่นเสียนให้โต้วเหวยถาน)จวิ้นซี มารดาเซี่ยหมิงหมี่เจา อนุของโต้วเหวยถานพ่อบ้านจ้าว จ
***** ต่อจากตอนที่แล้ว ด้วยคำพูดนั้น เหวินซืออี้จึงชักชวนพี่ชายออกท่องโลกกว้างด้วยกัน นี่คือโอกาสเดียวที่นางจะได้เปิดหู เปิดตาไปพร้อมเซียวหัวเฟิง ก่อนถูกบิดาส่งตัวเข้าวังหลวง เพื่อเป็นฝึกงานในสำนักหมอหลวง ซึ่งเท่าที่นางสืบรู้ บิดาอยากให้นางเป็นหมอหญิง รับใช้ไทฮองไทเฮา(หลี่อิง) ด้วยสกุลนางแต่เดิม ก็มีสตรีที่เป็นขุนนางหญิงที่สร้างคุณความดีมากมาย แต่สตรีเช่นนางหรือจะอยู่ในรั้วในวังได้ การแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น และยังต้องคอยระวังจะถูกกลั่นแกล้งจากนางกำนัลอีก เรื่องเหล่านั้นช่างน่าเวียนหัว และหลังจากที่เซียวหัวเฟิงแยกตัวไป นางก็พลัดหลงกับพี่ชายอีก ซ้ำร้ายถูกฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตามไล่ล่า คราแรกคิดว่าพวกมันหวังชิงสมุนไพรที่นางพกติดตัวไว้ นั่นคือก็ผงสกัดที่ทำให้สลบ แต่ความจริงในภายหน้ากลับน่าสยองใจมากกว่า พอเหวินซืออี้รู้สึกตัวอีกที กระซวยเม็ดพุทราก็ซัดใส่กลางหลังนาง แรงที่หนักหน่วงนั้น ทำให้นางล่วงลงไปบนพื้น และยามนี้อยู่กลางป่าที่มองไปทางใดก็น่ากลัวไปหมด “ค้นตัวนาง!” เสียงดังกล่าวดังขึ้น และนางถูกลากเข้าไปหลังพุ่มไม้ คนพวกนั้นท่าทางแปลกอยู่สักหน่อยเสียงก็แหลมสู