สายลมหนาวแห่งราตรีพัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามา เล่อจื่อรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วกาย ใบหน้าซีดเผือดของนางอยู่ใกล้ชิดกับฮั่วตู้เพียงลมหายใจกั้น
แม้กระทั่งเสียงหัวใจของนางที่เต้นระรัว เขาก็ยังได้ยิน ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเป็นเพราะความกังวลใจ หรือเพราะถูกลมหนาวพัดผ่าน
ลมหนาวพัดปอยผมที่ร่วงหล่นลงมาปรกใบหน้าของเล่อจื่อจนยุ่งเหยิง ฮั่วตู้โน้มตัวลง เอื้อมมือไปสางปอยผมให้อยู่หลังใบหูของนางอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยว่า
"ในเมื่อองค์ชายสามเชิญเจ้าไป จะไปหรือไม่ไป ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้า"
เล่อจื่อชะงักไปครู่หนึ่ง นี่เขากำลังโยนคำถามกลับมาให้นางอีกแล้วหรือ
ครู่ใหญ่ นางพยักหน้า สบตากับฮั่วตู้ "ฝ่าบาทจะรอหม่อมฉันกลับมาได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉัน...มีเรื่องอยากจะบอกฝ่าบาท
ฮั่วตู้เพียงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำถาม
เมื่อเป็นเช่นนั้น เล่อจื่อก็ถือว่าเขาตอบตกลง นางลุกขึ้นยืน ปิดหน้าต่างเพื่อกันลมหนาว "ลมหนาวเช่นนี้ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ฝ่าบาทควรดูแลพระองค์เองด้วยเพคะ"
หลังจากเล่อจื่อจากไป ห้องหนังสือก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นเพราะหน้าต่างถูกปิด เมื่อไม่มีลมหนาวพัดผ่าน ร่างกายก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น แต่ความอบอุ่นเช่นนี้กลับทำให้ฮั่วตู้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาราวกับทรมานร่างกายตนเอง สัมผัสความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด
ยิ่งเจ็บปวด ความทรงจำก็ยิ่งฝังลึก
เจ็บปวดจนถึงไขกระดูก
เขาเท้าคาง ต้องการจะผลักหน้าต่างให้เปิดออก แต่ผลักไปได้ครึ่งทาง กลับเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจ หันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษสา
'กิ่ง'
ฮั่วตู้จ้องมองตัวอักษรนั้นเนิ่นนาน ความสับสนที่หายไปนานกลับผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง
"ต้นไม้มากมายในโลกนี้ ต้นไม้ใหญ่แข็งแกร่ง ไม้พุ่มบอบบาง แต่เมื่อพายุฝนมาเยือน ล้วนไม่อาจหลีกหนีการทำลายล้าง ทว่า กิ่งไม้ที่หักง่ายที่สุด กลับยังคงดิ้นรนมาได้ไกลถึงเพียงนี้..."
ครู่ใหญ่ เขาก็จับกระดาษขยำเป็นก้อน โยนลงตะกร้าอย่างไม่ใส่ใจ
มีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากจวนอ๋อง รถม้าหยุดลงอย่างช้าๆ หน้าโรงเตี๊ยม
ทันทีที่เล่อจื่อลงจากรถม้า ก็มีคนเดินเข้ามาหา บุรุษผู้นี้ นางรู้จัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ฉินหยู ข้ารับใช้คนสนิทที่ติดตามฮั่วซู่ไปยังแคว้นหลี่ตั้งแต่ยังเด็ก
"องค์หญิง...บ่าวจะพาท่านขึ้นไปข้างบน"
เล่อจื่อพยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย "ฉินหยู เรียกข้าผิดแล้ว"
ฉินหยู อ่อนโยนสะอาดสะอ้าน รูปร่างไม่สูง อายุราวต้นยี่สิบ แต่ดูราวกับเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหก เมื่อได้ฟังคำพูดของเล่อจื่อ จึงรู้ตัวว่าลืมเปลี่ยนคำเรียก รีบกล่าวแก้ตัว
"บ่าวปากพล่อย ขอบพระทัยพระชายาที่เตือนสติ"
นานแล้วที่ฉินหยูไม่ได้มองสีหน้าของนาง แต่เขาก็มองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของนาง ได้แต่ถอนหายใจ องค์หญิงน้อยผู้เฉลียวฉลาด คงไม่มีวันกลับมาแล้ว
คิดดังนั้น ดวงตาของฉินหยูก็แดงก่ำ
ฮั่วซู่รออยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมด้วยความกระวนกระวาย จนกระทั่งเห็นร่างที่คุ้นเคยงดงามปรากฏขึ้น เขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น รีบสาวเท้าเข้าไปหา
"จื่อจื่อ!"
เห็นเล่อจื่อใบหน้าซีดเซียว จึงรีบสั่งฉินหยู
"เติมเตาผิงอีกเตา!"
ภายในห้องพักมีเตาผิงตั้งอยู่สองเตา บนโต๊ะมีธูปจุดอยู่เป็นไม้จันทน์หอมที่เล่อจื่อชอบ
"ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น" เล่อจื่อเผยรอยยิ้ม แววตาอ่อนโยน
"พี่ฮั่วซู่ พวกเราพูดกันเร็วๆ เถอะ อย่าให้ฮั่วตู้สงสัย"
ฮั่วซู่มีสีหน้าเย็นชาลงเล็กน้อย พยักหน้าเห็นด้วย ฉินหยูเดินออกจากห้องพักอย่างรู้หน้าที่ ปิดประตูลง
ภายในห้องเหลือเพียงเขาและนางสองคน มองใบหน้างดงามที่คุ้นเคย ฮั่วซู่มีสีหน้าเจ็บปวด เขาเข้าไปใกล้เล่อจื่อ จับมือนางไว้ เอ่ยถาม
"เจ้าสบายดีหรือไม่"
เล่อจื่อฝืนความรังเกียจในใจ เอ่ยเสียงแผ่ว "หม่อมฉันสบายดีเพคะ"
ได้ยินดังนั้น ฮั่วซู่หัวเราะเสียงดัง เขาดีใจ เพราะ...
"ฮั่วตู้ยังไม่ได้แตะต้องเจ้าใช่หรือไม่"
ใจของเล่อจื่อกระตุกวูบ
นอกจากจวนอ๋องแล้ว ดูเหมือนว่าตำหนักตะวันออกก็มีสายลับของเขาอยู่ด้วย
ไม่ทันได้คิดมาก นางเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความขัดเขิน
"เพคะ..."
ผิวพรรณดุจหิมะค่อยๆ แดงระเรื่อ ฟันขบเม้มริมฝีปากแดงเบาๆ ดูงดงามยั่วยวน เมื่อตกอยู่ในสายตาของฮั่วซู่ ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้น
เขาแปลกใจ มีเสน่ห์เช่นนี้ ฮั่วตู้จะทนได้อย่างไร
"พี่ฮั่วซู่"
สติกลับคืนมา รอยยิ้มบนใบหน้าของฮั่วซู่ค่อยๆ จางหายไป ฮั่วตู้ไม่ได้แตะต้องนาง นั่นหมายความว่า นางยากที่จะเข้าใกล้เขาได้
เช่นนั้น แผนการของเขาจะสำเร็จเมื่อใด
ฮั่วตู้คืออุปสรรคเดียวในเส้นทางสู่ตำแหน่งรัชทายาทของเขา มีเพียงฮั่วตู้ตาย เขาจึงจะขึ้นครองราชย์ได้อย่างชอบธรรม แต่ฮั่วตู้กลับวางตัวราวกับไม่สนใจสิ่งใด ทว่า องครักษ์เงา มือสังหารที่เขาส่งไป แม้กระทั่งหญิงงามต่างแดนที่เสด็จแม่แสร้งส่งไปปรนเปรอ ล้วนหายสาบสูญไร้ร่องรอย แม้แต่ศพก็หาไม่พบ...
แต่เขากลับจับผิดฮั่วตู้ไม่ได้!
"จื่อจื่อ" ฮั่วซู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบผงยาที่ห่อด้วยกระดาษซึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา
"ยานี้ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เจ้าสามารถผสมลงในอาหาร น้ำชา หรือเหล้า หาทางให้ฮั่วตู้กิน เพียงสิบวัน ต่อให้เป็นเซียนต้าหลัวก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาได้!"
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง แต่แววตากลับมืดมนลงอีกครั้ง
"จื่อจื่อ...หากจำเป็น เจ้าต้องอดทนต่อความคับแค้นใจบ้าง ยอมตกเป็นของเขาก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ถือสา..."
อกของฮั่วซู่ยิ่งรู้สึกอึดอัด เขารู้ดีแก่ใจว่าตนเองได้เอ่ยคำโกหกออกไป
เขาแคร์ แคร์จนแทบบ้า! บุรุษใดบ้างจะทนเห็นหญิงที่ตนรักถูกผู้อื่นชิงไปได้!
เห็นความขัดแย้งในใจเขา เล่อจื่อยิ้มบาง รับถุงยาไว้ แต่ดวงตากลับพร่ามัว
"ตกลงเพคะ...หม่อมฉันจะเชื่อฟังพี่ฮั่วซู่"
เกรงว่าฮั่วตู้จะผิดสังเกต ฮั่วซู่จึงไม่รั้งนางไว้ ให้ฉินหยูไปส่งนางลงไปข้างล่าง
"องค์หญิง..."
ทันทีที่เล่อจื่อเหยียบม้าเหยียบ ก็ได้ยินเสียงฉินหยูเรียกนางเบาๆ นางขมวดคิ้วหันกลับไปมอง
ฉินหยูหน้าแดงก่ำ หยิบห่อขนมจากอกเสื้อยัดใส่มือเล่อจื่อ จากนั้นก็วิ่งหนีไปทันที
เล่อจื่อนั่งอยู่ในรถม้า แกะเชือกผูกห่อกระดาษออก ปรากฏว่าเป็นขนมเปี๊ยะดอกเหมยที่คุ้นเคย ตอนที่เขาหยิบออกมาก่อนหน้านี้ นางก็ได้กลิ่นหอมแล้ว
เป็นขนมที่นางชอบที่สุดมาโดยตลอด
จมูกของนางแสบร้อน จ้องมองขนมเปี๊ยะดอกเหมย จนกระทั่งรถม้าหยุดลง
สารถีบอกให้นางลงจากรถด้านนอก
เล่อจื่อมองขนมเปี๊ยะดอกเหมยเป็นครั้งสุดท้าย ทิ้งไว้ในรถม้าโดยไม่นำติดตัวไปด้วย
ฮั่วซู่กลับจวนด้วยความสิ้นหวัง
คำนวณเวลาดูแล้ว เวลานี้ จื่อจื่อคงกำลัง...อย่างที่เขาพูด ร่วมรักกับฮั่วตู้ในห้อง บรรเลงเพลงรักอยู่กระมัง
คิดดังนั้น เขาก็รู้สึกใจลอย เมื่อเข้าไปในห้องนอน ก็สะดุดธรณีประตู เซไปข้างหน้า มีมือบางนุ่มนวลประคองข้อมือเขาไว้
เสียงของเหวินหนัวดังขึ้น "บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท"
แสงเทียนในห้องนอนสลัวราง
เป็นคำสั่งพิเศษของฮั่วซู่
ใบหน้าตรงหน้ามีส่วนคล้ายเล่อจื่ออยู่หกเจ็ดส่วน ในแสงสลัวเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาคิดว่าเป็นนางจริงๆ
ในอดีต เขาเข้าแคว้นหลี่ในฐานะตัวประกัน วางตัวอย่างมีมารยาท ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความอ่อนโยน แม้ในพิธีแต่งงานของเล่อจื่อ ฮ่องเต้หลี่จะพระราชทานสาวงามให้ แต่เขาก็ยังไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้หลี่และฮองเฮาหลี่รักใคร่กลมเกลียว ในวังหลังแคว้นหลี่ไม่มีสนมหรือนางบำเรอ มีเพียงฮองเฮาเท่านั้น
ดังนั้น บุรุษของราชวงศ์ต้าหลี่จึงไม่เหมือนกับราชวงศ์ต้าฉี หลังจากที่ชายหนุ่มแต่งงานแล้ว ก็สามารถมีอนุภรรยาและมีความสัมพันธ์กับสตรีได้...
บุตรที่เกิดก็ถือว่าเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย
สีหน้าไม่มีความสุขของฮั่วซู่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉีโหว นางรู้ดีว่าบุตรชายคิดเช่นไรกับเล่อจื่อ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหาสาวใช้ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันมาให้ เพื่อช่วยให้เขาคลายความหดหู่ใจ
เมื่อคืนนี้ เมื่อได้ลองลิ้มรส ฮั่วซู่ก็รู้ซึ้งถึงรสชาติ มองใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวตรงหน้า เขาก็อดใจไม่ไหว
เขาอุ้มหญิงสาวขึ้น โยนลงบนเตียงอย่างหยาบโลน
เอื้อมมือหยิบผ้าแพรสีขาวนวลที่หัวเตียงซึ่งเตรียมไว้ ปิดตาหญิงสาว ผูกปมไว้ด้านหลังศีรษะ
สิ่งที่ไม่เหมือนเล่อจื่อที่สุดก็คือดวงตา
ดวงตาแบบนั้น มีเล่ห์เหลี่ยม ยากที่จะหาคนที่มีดวงตาแบบเดียวกันได้ในโลก
เมื่อปิดตาลง ใบหน้านี้ก็มีความคล้ายคลึงกับเล่อจื่อแปดเก้าส่วน
ฮั่วซู่ฉีกเสื้อผ้าบางๆ บนร่างหญิงสาวออกอย่างลวกๆ เอื้อมมือจับไหล่บาง ก้มลงปลดปล่อยอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง ม่านเตียงสั่นไหว เสียงครางเบาๆ ของหญิงสาวดังเล็ดลอดออกมา...
"อย่า อย่าส่งเสียง" ฮั่วซู่ยกมือขึ้นปิดปากนาง ปิดกั้นเสียงหอบหายใจจากลำคอ
หากนางส่งเสียง ก็จะยิ่งไม่เหมือนเล่อจื่อ
ในช่วงเวลาที่สับสน ฮั่วซู่พึมพำอย่างแผ่วเบา
"จื่อจื่อ..."
ร่างของหญิงสาวสั่นเทา แต่ฮั่วซู่ไม่ได้สนใจ
เขาไม่รู้จักชื่อของนาง แต่ก็ไม่สำคัญ
เขาตั้งชื่อใหม่ให้กับนางเมื่อคืนนี้แล้ว
ประตูหลังด้านทิศตะวันออกยังคงไร้ผู้เฝ้า เล่อจื่อกลับเข้าจวนอย่างเงียบเชียบนึกถึงเหตุการณ์ในห้องหนังสือ ปฏิกิริยาของฮั่วตู้ และประตูหลังด้านทิศตะวันออกที่ว่างเปล่า เล่อจื่อรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฮั่วตู้จะไม่รู้เรื่องสายลับในจวนอ๋อง...คิดดังนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ไปสารภาพกับเขาก่อน แล้วตอนนี้จะเป็นอย่างไรมุมปากของนางกระตุกเล็กน้อยนางดีใจมากเจ้าเข้าใจถูกแล้วแต่ต่อไป นางควรจะพูดอะไรกับฮั่วตู้ดีเมื่อครู่นางเพิ่งสารภาพรักกับเขาอย่างไม่ ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน เล่อจื่อรู้ดีว่า นางไม่มีไพ่ตายอยู่ในมือมากนัก และฮั่วตู้ก็ไม่ใช่คนใจดี...ก่อนออกไป นางขอให้เขารอนางกลับมา เขาจะ...รอจริงหรือเล่อจื่อรู้สึกใจสั่น หันหลังเดินไปทางห้องอาหารต้องกล้าหาญยามค่ำคืน จวนเงียบสงัดแต่มีทหารยามเฝ้าเวรยามค่ำคืนอยู่ไม่น้อย เดินไปสิบก้าวก็จะเจอคนหนึ่ง ทหารยามเห็นเล่อจื่อก็ไม่แปลกใจ เพียงโค้งคำนับอย่างนอบน้อมในที่สุดนางก็เดินมาถึงห้องอาหาร สาวใช้ที่กำลังเฝ้าห้องอาหารเห็นนาง ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบเข้ามาต้อนรับ"บ่าวถวายบังคมพระชายา ยามค่ำคื
ลมหนาวพัดพากลิ่นหอมของดอกเหมยในป่าเหมยหายไป แต่กลิ่นหอมนี้ก็ไม่อาจกลบกลิ่นเหล้าบ๊วยจากร่างกายของนางได้"เอ่อ..." เล่อจื่อก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ใบหน้ายิ่งแดงก่ำ กระซิบ"เพียงสามถ้วย ไม่ได้ดื่มมากเกินไปเพคะ"มือข้างหนึ่งถูกนางจับไว้ แต่ฮั่วตู้ก็ไม่ได้สะบัดออก เขาเอื้อมมืออีกข้าง วางฝ่ามือลงบนต้นคอของนาง ดึงนางเข้ามาใกล้ความเย็นที่ต้นคอทำให้เล่อจื่อตัวสั่น นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ดวงตาของฮั่วตู้ใกล้แค่เอื้อม นางเห็นความหวาดกลัวของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคมดุจน้ำหมึกของเขาเห็นดังนั้น ฮั่วตู้ก็เผยรอยยิ้ม แต่ในดวงตายังคงไร้อารมณ์ เขามองดวงตาของนาง เอ่ยถาม"ระหว่างองค์ชายสามกับข้า เจ้าเลือกข้า?"เขาถามตรงๆ แต่กลับทำให้เล่อจื่อรู้สึกโล่งใจ นางพยักหน้าหนักแน่น ตอบอย่างมั่นคง"ใช่เพคะ"ฮั่วตู้จ้องมองดวงตาของนางอย่างพิจารณา ราวกับต้องการแยกแยะว่าคำพูดของนางจริงใจเพียงใด ครู่ใหญ่ เขาก็เอามือออก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เย้ยหยัน"ฮั่วซู่สัญญาอะไรกับเจ้า ให้เจ้าทำอะไรเพื่อเขา"เล่อจื่อหยิบถุงยาในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะหิน"เขาให้ตำแหน่งฮองเฮาเป็นรางวัล ให้หม่อมฉันรอโอกาสอยู่ข้างกายฝ่าบาท จนกว่าจ
"ในเมื่อพระชายาจะเก็บศพให้ข้า ข้าก็วางใจได้แล้ว..." ฮั่วตู้พูดเย้าอย่างไม่ใส่ใจ แต่เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าเพราะพิษในร่างกายเล่อจื่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในจวนจะมีห้องปรุงยาที่แปลกตาเช่นนี้นางผลักเขาตามคำบอกจนมาถึงที่นี่ เมื่อได้เห็นการจัดวางภายใน นางถึงกับเบิกตากว้างนี่ต่างจากห้องปรุงยาทั่วไปโดยสิ้นเชิงไม่มีตู้ไม้เก็บสมุนไพรหลากหลายชนิด และไม่มีกลิ่นหอมของยา มีเพียงขวดเครื่องยาเซรามิกหลากสีเรียงรายบนชั้นไม้ ดูแล้วละลานตา"พระชายาลองพินิจดูให้ดี เดี๋ยวจะได้เก็บศพข้าอย่างมืออาชีพ" ฮั่วตู้พูดเย้าด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจากพิษเล่อจื่อส่ายหน้า รีบผลักเขาไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้อง ขณะที่เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ด้านหน้ามีเพียงชามเซรามิกเปล่าตั้งอยู่"ขวดที่ห้า แถวที่สาม หยดสามหยด""ขวดที่เจ็ด แถวที่ห้า หยดสี่หยด""..."เล่อจื่อหยิบขวดยาตามที่เขาบอกอย่างเป็นระเบียบ แล้วค่อยๆ หยดยาลงในชามอย่างระมัดระวัง ทว่าพอใกล้ถึงขั้นตอนสุดท้าย นางกลับเริ่มตื่นตระหนก มือที่ถือขวดยาสั่นจนหยดได้ไม่ตรงเป้า..."อย่าตื่นเต้น" ฮั่วตู้เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง แม้จะหมดเรี่ยวแรง แต่รอยยิ้มบนใ
เล่อจื่อตกใจ "หม่อมฉัน...หม่อมฉันถอดเองก็ได้เพคะ""อย่าคิดมาก ข้าแค่ไม่ชอบติดค้างใคร"เขาไม่ได้ลุกขึ้น แต่ถอดรองเท้าและถุงเท้าของเล่อจื่ออย่างตั้งใจ ยกขาของนางขึ้นวางบนเตียง จากนั้นก็เข็นรถเข็นออกไป"ฝ่าบาท!" เล่อจื่อเรียกเขา"มีอะไร""ตอนนี้หม่อมฉันจริงใจต่อฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ หม่อมฉันก็ถือว่าฝ่าบาทเป็นสหาย" เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง เล่อจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างระมัดระวัง"เหมือนเมื่อคืนนี้ หม่อมฉันลองพิษด้วยตัวเอง ฝ่าบาทอย่าทำแบบนี้อีกได้หรือไม่เพคะ มีวิธีทดสอบพิษตั้งมากมาย..."น้ำเสียงของหญิงสาวน้อยแฝงความน้อยใจ ราวกับตกใจกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ฮั่วตู้ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาก็จะไม่ทำ"นอนลง พักผ่อนเสีย"เห็นเขาไม่ตอบ เล่อจื่อก็ไม่ถามอะไรอีก ถอนหายใจ นอนลง"ห่มผ้าด้วย"เล่อจื่อชะงักไปครู่หนึ่ง คงเป็นเพราะกังวลจนลืมห่มผ้า รีบดึงผ้าห่มมาห่มตัว หลับตาลงฮั่วตู้หยิบยานอนหลับใส่ในเตาเผาเครื่องหอมข้างเตียง จากนั้นก็ออกจากห้องนอน…จวนเสนาบดีประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสัน ดูครึกครื้น สาวใช้ในจวนต่างวุ่นวาย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแจ่มใสบุตรสาวคนเดียวของเสน
น้ำในสระน้ำพุร้อนกระเพื่อมไหว เล่อจื่อเม้มริมฝีปาก เดินไปข้างๆ ฮั่วตู้ เอนหลังพิงผนังหินร้อน เว้นระยะห่างจากฮั่วตู้"ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่เพคะ"ฮั่วตู้ลืมตา ยิ้ม "ต้องขอบคุณพระชายา"เล่อจื่อยิ้มเขิน ไม่รู้จะพูดอะไรมีอาหาร ผลไม้ และขนมมากมายวางอยู่ริมสระ เล่อจื่อ มองฮั่วตู้หยิบถ้วยขึ้นมา ยื่นให้นาง นางจงใจก้มตัวลง ยื่นมือไปรับภายในถ้วยเป็นของเหลวใส ไม่ต่างจากน้ำ แต่กลิ่นฉุนนั้นคุ้นเคยมากเป็นกลิ่นของเย่เซียงเซียงเล่อจื่ออ้าปากเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันเอ่ย ก็ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างช้าๆ"เย่เซียงเซียง หรือที่เรียกว่า มินต์""มินต์" เล่อจื่อพึมพำ "เป็นชื่อที่ดี"พูดพลาง ยกถ้วยขึ้นมาใกล้จมูก แต่กลิ่นฉุนนั้นทำให้นางต้องวางถ้วยลงฮั่วตู้รับถ้วยไป ดื่มหมด จากนั้นก็เย้ยหยัน "อย่าฝืนเลย เจ้ากับข้า ไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน"ได้ยินดังนั้น เล่อจื่อก็ขมวดคิ้วเขาหมายความว่าอย่างไร หรือว่านางทำทั้งหมดนี้ เขากลับพูดเพียงว่า "ไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน"เห็นได้ชัดว่า นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เล่อจื่อคาดหวังไว้นางกัดริมฝีปาก ค่อยๆ เดินไปหาฮั่วตู้ เงยหน้ามองเขาดวงตาของเขายังคงไร้อารมณ์ มีน้ำมินต์ติดอยู่ที่
ในตรอกมืดแคบ มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น"...นายท่าน ไม่มีอะไรผิดปกติ"เป็นเสียงของหลี่เหยา"หลี่เหยา เจ้าจำให้ดี" บุรุษที่แต่งกายเป็นบ่าวหัวเราะเยาะ"ใครคือนายของเจ้า เจ้าควรจงรักภักดีต่อใคร"หลี่เหยากัดริมฝีปาก พยักหน้า เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก ใบหน้าซีดเผือด คิ้วขมวดเข้าหากัน ราวกับกำลังทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดบ่าวหนุ่มถ่มน้ำลาย หยิบขวดกระเบื้องสีฟ้าขาวจากแขนเสื้อ โยนให้นาง"องค์ชายสามไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ หากไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีก ยาแก้พิษเม็ดต่อไปก็จะไม่มี"พูดจบ บ่าวหนุ่มก็ยกเท้าจากไปหลี่เหยาใช้มือที่สั่นเทา ดื่มยาแก้พิษจากขวด ครู่ใหญ่ ใบหน้าซีดเซียวก็กลับมาเป็นปกติในตรอกกลางฤดูหนาว หนาวเหน็บราวกับห้องเก็บน้ำแข็ง หลี่เหยาทรุดตัวลงข้างกำแพง ราวกับไร้เรี่ยวแรง น้ำตาเอ่อคลอ หลับตาลงรสขมรุนแรงในปาก เทียบไม่ได้กับความขมขื่นในใจเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สาวใช้สองคนยืนอยู่ในห้องโถงของจวนอ๋อง ทั้งสองไม่รู้จักกัน จึงไม่มีใครพูดอะไรเล่อจื่อสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ เดินเข้ามาในห้องโถง นั่งลงบนเก้าอี้จิงซินและหลินเยว่รีบโค้งคำนับ กล่าวพร้อมกัน "ถวายบังคมพระชายา""ไม่ต้อง
บางครั้ง ฮั่วตู้ก็รู้สึกแปลกใหม่ของขวัญจากการแต่งงานที่เขาไม่สนใจ ไม่ควรจะเป็นของคนตรงหน้า ตอนนี้นางนั่งอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างสบายใจ...กำลังอ่อยเขา? ถึงแม้จะมีจุดประสงค์ แต่ก็ทุ่มเทและจริงจังนี่คือสิ่งที่ทำให้เล่อจื่อแตกต่าง ฉลาดแต่ไม่โอ้อวด หยิ่งผยองแต่ยอมสู้...ด้วยเหตุนี้ ฮั่วตู้จึงอยากรู้มากขึ้น นางต้องการทำอะไรกันแน่ หรือพูดอีกอย่าง ตอนนี้นางไม่มีอะไรเลย นางจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหนดังนั้น เขาจึงยินดีช่วยนางเล็กน้อย ด้วยความเมตตาเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่สนุกกว่าแกล้งแมวเยอะเลย ไม่ใช่หรือเข็มขัดของฮั่วตู้ผูกปมซับซ้อน เล่อจื่อใช้เวลาสักพักจึงแก้ได้ เพราะความกังวลในใจ จึงไม่ได้สังเกตว่ามีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเข็มขัดหลุด เสื้อคลุมเปิดออก...ในเวลานี้ มือเย็นเฉียบก็วางลงบนมือนาง กดเบาๆเล่อจื่อเงยหน้าขึ้น สบตากับฮั่วตู้ที่กำลังยิ้ม"เจ้าอยากให้ข้าช่วยสายลับของฮั่วซู่?" ฮั่วตู้ใช้นิ้วลูบหลังมือนาง หัวเราะเยาะ"พระชายาคิดว่าข้าโง่หรือ"เล่อจื่อตกใจเล็กน้อย ส่ายหน้า "หลี่เหยานางไม่ใช่...สายลับ"ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกฮั่วตู้ขัดจังหวะ "ภูมิหลังของนางเป็นเรื่องจริง ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางพูด
ภายในตำหนักสมบัติมีกลิ่นไม้จันทน์หอมอบอวล ถึงแม้จะไม่มีเตาผิง แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล่อจื่อเห็นฮั่วตู้ยืนพิงไม้เท้าหยกขาว อยู่หน้าชั้นวางของโบราณ ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่ นางเดินไปข้างๆ เขาอย่างช้าๆ มองตามสายตาของเขา ไปยังชั้นที่ห้าของชั้นวางมีกล่องไม้มะฮอกกานี ภายในมีไข่มุกเรืองแสงสองเม็ดสีหน้าของเล่อจื่อเปลี่ยนไปไข่มุกเรืองแสงเป็นของสะสมที่ฮั่วซู่ชอบมากฮั่วตู้หยิบกล่องไม้มะฮอกกานีลงมา พูดอย่างไม่ใส่ใจ"องค์ชายสามจะแต่งงาน ของขวัญชิ้นนี้ดีหรือไม่"แสงของไข่มุกเรืองแสงนุ่มนวล แต่เมื่อมองดู เล่อจื่อกลับรู้สึกเจ็บตาของดีเช่นนี้ จะให้ฮั่วซู่..."น่าเสียดาย" นางพูดพลางหยิบกล่องไม้ วางกลับที่เดิม"เล่อจื่อ" ฮั่วตู้หัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปจับข้อมือนาง"เจ้าขี้เหนียวเกินไปแล้ว"แต่คนชั่วคนนั้น ไม่คู่ควรจริงๆเล่อจื่อไม่พูดอะไร เดินตามฮั่วตู้ไปเลือกของขวัญต่อ ตำหนักสมบัติมีสมบัติมากมาย เป็นเพื่อนเล่นกันมานานกว่าสิบปี เล่อจื่อรู้ดีว่าฮั่วซู่ชอบและไม่ชอบอะไรดังนั้น นางจึงจงใจเลือกแจกันหยกทองคำที่ฮั่วซู่เกลียดที่สุดหลังจากออกจากตำหนักสมบัติ เล่อจื่อก็เห็นจิงซินและหลินเยว่ถือกล่องอาหาร กล
นางแค่อยากจะแนบชิดเขา ไม่อยากปล่อยมือ...เมื่อร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าสู่ความมืดมิด ร่างกายก็เหมือนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกแช่ในน้ำแข็ง อีกส่วนหนึ่งตกลงไปในกองเพลิง แต่ความคิดของเล่อจื่อกลับแจ่มชัด...ท่ามกลางความร้อนและความหนาว ร่างกายของนางถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย นางแนบชิดอกของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย รวมตัวกันที่หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ค่อยๆ สงบลงคนโง่...แม้จะมีพลังภายในสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ควรใช้อย่างไม่ระมัดระวังเล่อจื่ออยากจะห้ามเขา จึงพยายามจะเอ่ยปาก แต่กลับพบว่า นางส่งเสียงไม่ออก หากนางจำไม่ผิด ไข้ลมพิษร้าย ทำให้เกิดอาการพูดไม่ได้เช่นนั้น นางจะพูดไม่ได้อีกแล้วหรือทันใดนั้น ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ทาบทับลงมา แนบริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับปลอบโยน และลูบไล้ไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางความเจ็บปวดและชาหนึบ นางรู้สึกถึงริมฝีปากของเขาที่กำลังจูบความเจ็บปวดค่อยๆ บรรเทาลง เล่อจื่อรู้สึกเพียงว่า ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าบางๆ ติดผิวหนัง เหนียวเหนอะหนะ นางรู้สึกว่
ภายในห้องเงียบสงัด แม้แต่เสียงน้ำตาที่หยดลงบนหน้าตักก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนเล่อจื่อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วหันไปจุดเทียนสีแดงบนโต๊ะ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ"ฝ่าบาทไม่ควรมา"ฮั่วตู้ไม่พูด สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน แต่มือที่จับไม้เท้าหยกขาวกลับกำแน่น จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอย่างช้าๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกองกระดาษมากมาย..."เสิ่นหวยยังคงต้องใช้แผนการนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทมาก" เล่อจื่อเห็นว่าเขาหยิบแผ่นไหนขึ้นมา จึงอธิบายแผนการของนางเบาๆ"และหากท่านต้องการดึงเสิ่นหวยมาเป็นพวก ต้องเริ่มจากเสิ่นชิงเหยียน ฝ่าบาทสามารถ..."กระดาษทั้งแผ่นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในมือของฮั่วตู้ ร่วงหล่นลงพื้น มองไม่ออกว่าเขียนอะไรไว้ เล่อจื่อเบิกตากว้าง รู้สึกโกรธ คำพูดทั้งหมดที่อยากจะพูดถูกปิดกั้น"เหตุใดจึงไม่บอก" ฮั่วตู้นั่งลง หันหน้าเข้าหานาง ดวงตาคมจ้องมองนาง รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่านางไม่พูด เขาก็เบนสายตาไปที่กระดาษที่เหลืออยู่บนโต๊ะ กวาดตามอง...หืม นี่อะไรกัน จดหมายลาตาย?และเมื่อครู่ น้ำเสียงของ
จิงซินที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจกับโทสะของฮั่วตู้ นางมองแผ่นหลังตรงของคุณหนู นึกถึงความร้อนผิดปกติจากแขนของคุณหนูตอนที่พยุงเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกกังวลใจนางอยากพยุงคุณหนูไปพักผ่อนที่ห้อง แต่ฝ่าบาทยืนขวางทางอยู่ ทั้งสองต่าง ไม่มีใครยอมหลีกทาง...เอาไงดี!นางเหลือบมองอันซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่าบาท พบว่าเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน นางอดตกใจไม่ได้ท่านอันซวน... จิงซินจำได้ว่าช่วงนี้นางยุ่งมาก จึงมักบังเอิญเจอท่านอันบ่อยๆ แม้ท่านอันจะไม่ค่อยพูด แต่ก็ช่วยนางไว้มากมาย นางจึงทำขนมไปขอบคุณเขาเป็นครั้งคราวนางคิดว่า นางกับอันซวนก็นับว่ามีความสัมพันธ์ฉันมิตรใช่หรือไม่?นางจึงลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอันซวนอันซวนเข้าใจความหมายของนางในทันที ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ในใจกลับปั่นป่วนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อนที่นางจะความจำเสื่อมจนถึงตอนนี้ นางลืมทุกอย่าง แม้ในยามยากลำบากที่สุด จิงซินก็ไม่เคยขอร้องใคร...นี่เป็นครั้งแรกอันซวนไม่อาจปฏิเสธที่จะช่วยนางได้เขาก้าวไปข้างหน้า กราบทูลฝ่าบาทผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ "ถอยไป..."
ลมหายใจอุ่นๆ รินรด เล่อจื่อก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน จุมพิตของเขาร่วงลงบนหน้าผากของนาง...แผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นแม้ในห้องจะมีเตาผิง แต่ยามค่ำคืนอากาศก็ยังคงหนาวเย็น ฮั่วตู้โอบกอดเล่อจื่อเบาๆ นอนลงเคียงข้างกัน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายทั้งสอง ผ้าห่มในวัดค่อนข้างหยาบ ไม่นุ่มนวลเหมือนในจวน เล่อจื่อพลิกตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อยผ้าห่มหยาบเสียดสีกับลำคอ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเห็นดังนั้น ฮั่วตู้จึงดึงผ้าห่มออกจากตัวนาง จ้องมองลำคอขาวเนียน เพียงชั่วครู่ ผิวขาวผ่องก็แดงระเรื่อ เขาไม่ลังเลที่จะถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มออก คลุมลำคอที่โผล่พ้นผ้าห่มของนาง ก่อนจะห่มผ้าให้เรียบร้อยเสื้อผ้าของเขาคลุมกายนาง กลิ่นหอมคุ้นเคยอบอวลอยู่ปลายจมูก ทำให้นางรู้สึกเคลิบเคลิ้ม... แต่นางไม่อยากคิดถึงสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นเล่อจื่อหลับตาลงเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางครุ่นคิดถึงเรื่องของเสิ่นชิงเหยียน นางร่ายแผนการทั้งหมดในใจออกมา แล้วเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ"...แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ หากเสิ่นชิงเหยียนเปลี่ยนใจกลางคัน พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ..."
ม่านเตียงทิ้งตัวลง ปิดบังร่างสองร่างที่แนบชิด เล่อจื่อผละออกจากอ้อมกอดของฮั่วตู้ หายใจหอบปร่า ดวงตาเหลือบไปเห็นปลายขาของทั้งสองที่แนบชิดกัน ผ่านเนื้อผ้าบางเบานางสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายเย็นเยียบของเขา ก่อนจะยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเผลอไผล ความอบอุ่นจากจุมพิตยังคงติดตรึงอยู่"ยังคงรำลึกถึงรสจุมพิตอยู่รึ" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเย้าหยอกเล่อจื่อหันไปมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ เขาก็กำลังจ้องมองนางเช่นกัน แถมยังเลียนแบบนาง ยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอีกด้วยช่าง.. เจ้าเล่ห์นัก!"วันนี้ชดใช้หนี้หมดแล้วหรือยังเพคะ" นางเม้มริมฝีปาก แก้มแดงระเรื่อ เอื้อมมือไปคว้าชายแขนเสื้อของเขา ดึงเบาๆ"ฝ่าบาท กลับมาเถิดเพคะ!"ฮั่วตู้จ้องมองนาง ความขัดเขินของนางทำให้เขาพึงพอใจยิ่งนัก รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายเขาจับมือนางไว้ ดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "ไล่ข้าไปรึ"เล่อจื่อวางมือบนอกเขา พยายามผลักออก แต่เมื่อรู้ว่าไร้ผล นางจึงยอมแพ้"หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าไล่ฝ่าบาทเพคะ" นางพูดอย่างงอนๆเขามักจะเอ
เสิ่นชิงเหยียนกลับไร้อารมณ์ นางจัดปกเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย แล้วนั่งลง จากนั้นก็ยิ้มให้เล่อจื่อที่กำลังตกตะลึง"เจ้าเห็นชัดเจนแล้วหรือ นี่คือคนที่เจ้าคอยช่วยเหลือ"เล่อจื่อรู้สึกตัว ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ฮั่ว... ฮั่วซู่ทำหรือ"รอยแดงเข้มเหล่านั้นน่าตกใจ ดูไม่เหมือนถูกตี...แต่ทำไมถึงดูคุ้นๆความทรงจำผุดขึ้นในหัว เล่อจื่อนึกถึงหนังสือที่แม่นมนำมาให้นางดูก่อนวันแต่งงาน... ในนั้นวาดภาพมากมาย ล้วนบิดเบี้ยวและน่าเกลียด ทำให้นางหวาดกลัวในคืนแต่งงานร่องรอยบนร่างกายของผู้หญิงในหนังสือเล่มนั้นคล้ายกับรอยแดงบนตัวของเสิ่นชิงเหยียนมากดังนั้น ไม่ใช่ถูกตี แต่ถูกทารุณตอนร่วมรัก..."ในเมื่อเจ้ากับข้าต่างก็แต่งงานแล้ว ย่อมต้องเข้าใจเรื่องบางเรื่อง" เสิ่นชิงเหยียนแสยะยิ้มอย่างดูถูกตัวเอง จากนั้นก็มองเล่อจื่อ"ข้าตาบอด แต่เจ้า..."ในแววตาของเสิ่นชิงเหยียนเต็มไปด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจความแค้นจากการทำลายล้างแค้วนและการฆ่าล้างตระกูล ในสายตาขององค์หญิงแห่งแคว้นหลี่คนนี้ นางเทียบไม่ได้กับผู้ชายคนหนึ่งหรือแต่...นางม
ฮั่วตู้ยอมรับว่าข้อเสนอของตาแก่หยินนั้นเย้ายวนใจมากจริงๆเล่อจื่อภายใต้แสงแดด อบอุ่นและสดใส เขาตกตะลึงครู่หนึ่ง ถึงกับเริ่มพิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจังแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นคนสองคนที่เอาชีวิตรอดด้วยความเกลียดชัง จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับจินตนาการได้อย่างไรฮั่วตู้หัวเราะ ไม่ตอบคำถามของหยินฉางซั่วความเงียบและสีหน้าของเขาก็เป็นคำตอบสำหรับหยินฉางซั่วแล้วเขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปข้างๆ เล่อจื่อ มองตามสายตาของนางไปยังภาพวาดดอกบัวหิมะในตำราแพทย์ เงาของเขาทาบทับ ดอกบัวหิมะที่สดใสบนหน้ากระดาษพลันมืดมัวลง...สายลมพัดพากลิ่นหอมของดอกมิ้นท์ เล่อจื่อจึงปิดตำราแพทย์ลง ลุกขึ้นยืน มองฮั่วตู้ เพราะคำพูดของลุงหยิน ทำให้นางพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างละเอียดโดยไม่รู้ตัว นางวาดภาพน้องสาวฝาแฝดของเขาในใจเล่อจื่อไม่มีวันลืมรอยเลือดบนร่างของพี่ชาย ทุกครั้งที่นึกถึง นางก็เจ็บปวด... พี่น้องเชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของกันและกันจริงๆ หรือเช่นนั้น สายสัมพันธ์ระหว่างฝาแฝดก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก?"ไปกันเถอะ"
เสียงเล่อจื่อจึงเปิดม่านรถม้า มองออกไปข้างนอกหลังจากออกจากประตูเมือง เสียงข้างนอกก็ค่อยๆ จางหายไป ในเขตชานเมือง มีเพียงเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกลมพัด ภายในรถม้าเงียบสงัด เล่อจื่อละสายตา หันไปมองฮั่วตู้ที่อยู่ข้างๆนางสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขายิ่งเย็นชาลงเรื่อยๆ แม้แต่มือที่นางจับก็เริ่มเย็นขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไร เล่อจื่อก็สัมผัสได้ว่าเขาต่อต้านจุดหมายปลายทางนางวางมืออีกข้างลงบนหลังมือของเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเขามองมา นางก็พูดเบาๆ ว่า"ที่ที่จะไปเอายา... หรือว่าอย่าไปเลยเพคะฝ่าบาท ให้ท่านอันซวนไปกับหม่อมฉันก็พอ"ในที่สุดดวงตาของฮั่วตู้ก็มีรอยยิ้ม เขาถอนหายใจในใจ ถอนหายใจกับความละเอียดอ่อนของนาง และถอนหายใจที่เขาไม่รู้ว่าจะปิดบังตัวเองต่อหน้านางอย่างไร นางถึงได้มองทะลุเขาได้ง่ายดายเช่นนี้เขาลูบหัวของนาง "อย่าคิดมาก"เล่อจื่อจึงหยุดพูด นางก้มหน้าลง ครุ่นคิดต่อไปฮั่วตู้มองรอยคล้ำใต้ตาของนาง จางๆ จางมาก มองไม่เห็นหากไม่สังเกต เขารู้มานานแล้วว่านางเป็นคนคิดมาก ถึงแม้ว่าเขาจะแอบใส่สมุนไพรบำรุงในอาหารของนาง แต่ปมในใจ
แสงแดดส่องกระทบดวงตาของฮั่วตู้ แม้แต่ดวงตาคมดุจเหล็กที่ไร้อารมณ์ก็ดูอบอุ่นเล่อจื่อตกตะลึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขา หรือเพราะความอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา"เช่นนั้นหม่อมฉันจะไป ทานอาหารกับฝ่าบาท ดีหรือไม่เพคะ" เล่อจื่อเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดเล็กน้อยตั้งแต่พี่สาวออกมาจากเซี่ยเฟยไท่ นางก็ใส่ใจพี่สาวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องธุรกิจของร้านค้าและการตามหาพี่สะใภ้กับหยูเอ๋อร์นอกจากมื้อเย็นและเวลานอนแล้ว นางกับฮั่วตู้แทบไม่มีเวลาคุยกัน...ฮั่วตู้ครางรับเบาๆ เห็นด้วยกับข้อเสนอของนางเล่อจื่อเงยหน้าขึ้นมองแสงแดด ไม่ได้เข็นเขาไปที่ห้องอาหาร แต่เรียกหลี่เหยา ให้นางนำอาหารมาที่สวนพลาดแสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาวไม่ได้ระหว่างมื้ออาหาร คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย แค่กินอย่างเงียบๆ หลี่เหยาถือซุปหวานๆ เห็นภาพที่สงบสุขและงดงามนี้จากระยะไกล นางก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ต้องการเข้าไปรบกวนพวกเขาในเวลานี้ หลินเยว่เดินผ่านมาเห็นหลี่เหยา นางก็เดินไปหานาง มองดูภาพตรงกลางสวนด้วยกันใครเห็นภาพเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมอ