การกลับบ้านของอ้นในครั้งนี้ เขาไมได้ขับรถกลับเพราะยังไม่สามารถทำใจได้ เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาโดนรถชน และมีคนมาขู่อาฆาตเขา อ้นจึงตัดสินใจขึ้นรถประจำทางมา เพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง เมื่อรถประจำทางมาถึงที่ขนส่ง เพียงอ้นลงจากรถแค่นั้นวินมอเตอร์ไซค์ก็เข้ามาหาอ้นทันที
“ไปไหนครับ”
อ้นจึงบอกที่อยู่ที่เขาจะไปและตกลงราคากัน อ้นจึงตัดสินใจไปกับวินมอเตอร์ไซค์หนุ่ม ที่รุ่นเดียวกับเขาแต่พูดจาไพเราะ เขาจึงรู้สึกไว้ใจและคาดว่าน่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อวินเตอร์ไซค์ขับมาถึงกลางทางบ้านของเขา วินมอเตอร์ไซค์ก็เปลื่ยนทิศทางทันที อ้นผิดสังเกตจึงบอกให้วินมอเตอร์ไซค์จอดรถ แต่ไม่เป็นผลเพราะวินมอเตอร์ไซค์ขับเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“จอดรถเดี๋ยวนี้ นายจะพาเราไปที่ไหน”
ไร้เสียงตอบกลับจากวินมอเตอร์ไซค์ อ้นเกิดความกลัวและคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไร เพราะหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นทำให้เขาคิดไปต่างๆนาๆ
“ถ้านายไม่จอดรถเราจะกระโดดลงแล้วนะ”อ้นขู่ไปอย่างงั้นเพราะอย่างไงเขาก็ไม่กล้าที่จะกระโดดลงรถอย่างแน่นอน
อ้นพลันคิดได้เขาจึงหยิบมือถือออกมา พร้อมที่จะโทรขอความช่วยเหลือ วินมอเตอร์ไซค์เห็นจากด้านหลังที่กระจกส่องอยู่ เขาจึงชะลอรถ และปล่อยมือที่จะแย่งโทรศัพท์มือถือจากอ้น แต่อ้นเปลื่ยนมือสลับไปมา จนวินมอเตอร์ไซค์ไม่สามารถที่จะแย่งโทรศัพท์มือถือได้ ทางวินมอเตอร์ไซค์จึงจอดรถกะทันหัน อ้นเห็นโอกาสมาถึงเขาจึงรีบลงจากรถและวิ่งหนึไปทันที แต่ด้วยมีกระเป๋าและมือถือโทรศัพท์ไว้จึงทำให้การวิ่งช้าลง เพียงไม่ถึงนาทีวินมอเตอร์ไซค์ก็ตามทัน และจับคอเสื้อจากด้านหลังดึงอ้นไว้ อ้นพยายามดิ้นหนีแต่ไม่สามารถที่จะหลุดเงื้อมมือของวินมอเตอร์ไซค์ได้
“นายปล่อยนะ ถ้านายอยากได้อะไรเอาไปให้หมดเลย”
“กูไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นกูมาทำตามหน้าที่”
“หน้าที่อะไร”อ้นสงสัย
“ไม่ต้องถาม ตามกูกลับแต่โดยดีถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“ก็ได้”อ้นเดินตามวินมอเตอร์ไซค์ไปอย่างว่าง่าย
เมื่อวินมอเตอร์ไซค์เผลอ อ้นใช้แรงผลักวินมอเตอร์ไซค์จนล้มลง หลังจากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล เพราะวินมอเตอร์ไซค์วิ่งมาดักหน้า พร้อมต่อยหน้าไปหนึ่งทีและต่อยที่ท้องสองครั้ง จนอ้นถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกองกับพื้น วินมอเตอร์ไซค์กำลังจะเตะก้านคออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะทำตามความคิดนั้น ก็เพราะมีรถยนต์คันหนึ่งจอดหลังเขา และมีชายหนุ่มรุ่นเดียวกับวินมอเตอร์ไซค์ลงมาจากรถ พร้อมปืนพกอยู่ในมือของเขา เมื่อวินมอเตอร์ไซค์เห็นเช่นนั้น เขาจึงรีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วขับรถหนีไป
ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นก็เดินไปที่ร่างคนอ้น ที่นอนฟุบกับพื้นแต่ไร้สติไปแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นจึงอุ้มร่างของอ้นเข้าไปในรถ และมาเก็บโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเดินทางใส่ไปในรถ หลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
อ้นสะลึมสะลือลืมตาขึ้น เพราะโดนน้ำสาดที่ใบหน้า จึงทำให้เขาได้สติ แต่ก็ยังรู้สึกตึงๆที่ใบหน้าจากการโดนต่อย และเจ็บท้องน้อย เมื่ออ้นลืมตาเต็มที่เขาถึงกับตกใจ เพราะชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นคือเอคนเคยรักของเขา
“นายจับเรามาทำไม”อ้นพยุงร่างลุกขึ้นอย่างทรมาน
“กูไม่ได้จับมึง กูช่วยมึงต่างหากยังไม่สำนึกอีก”
“เราไม่เชื่อหรอก ก็นายนั่นแหละจ้างวินมอเตอร์ไซค์ให้มาจับเราไว้”
“ถ้ามึงคิดอย่างนั้นก็เรื่องของมึง”
“นั่นไงยอมรับแล้ว นายจะจับเรามาทำไม เรากำลังจะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ของเรา”
“เรื่องของมึง”
“ก็เราจะกลับบ้านนายมาจับเราไว้ทำไม”
“กูไม่ให้กลับมึงต้องอยู่ที่นี่กับกู”
“จะอยู่ได้อย่างไง เราต่างคนต่างมีเจ้าของกันหมดแล้ว”
“มึงเป็นหมาเหรอมีเจ้าของ แต่ก็ไม่ใช่กูไม่มีเจ้าของ”เอหัวเราะ
“นายนั่นแหละหมา”
“เราสองคนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“ก็ใช่ไงเราเหมือนกัน เรามีบอสเป็นแฟน ส่วนนายก็มีเจนเป็นแฟน ที่เจอกันวันนั้นดูเขาหวงนายมากเลยนะ เราไม่อยากมีปัญหากับเจน นายต้องรีบพาเราไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
“กูไม่พามึงไปไหนหรอก กูจะให้มึงอยู่ที่นี่กับกู โอกาสมาถึงแล้วกูไม่ปล่อยมึงไปหรอกไอ้อ้น”
“จะอยู่ได้ไง ถ้าเราหายไปนานๆ เดี๋ยวก็ต้องมีคนออกตามหาเรา นายนั่นแหละจะมีความผิด”
“ใครบอกจะให้มึงอยู่ที่นี่ตลอดไปล่ะ กูจะให้มึงอยู่ที่นี่สิบกว่าวัน หลังจากนั้นกูก็จะปล่อยมึงไป”
“แล้วจะเอาเรามาอยู่ที่นี่ทำไมตั้งสิบวัน นายนี่นับวันยังเสียสติไปแล้ว”
“กูไม่ได้เสียสติ กูจะทรมานมึงจนกว่ามึงจะรักกู”
“โอ๊ย นายมันบ้า นายมาทรมานเราอย่างนี้ เราจะรักนายได้อย่างไง”
“ได้สิ เมื่อก่อนนายยังรักเราเลย ทั้งที่เราไม่ได้ดีกับนาย ครั้งนี้ก็เช่นกันกูจะทรมานมึงอีกครั้ง”
“ไม่มีหรอกใครจะมารักเพราะทรมานกันอย่างนี้ มันต้องดูแลเอาใจใส่ให้ความรัก”
“กูเคยแล้วแต่มึงก็ไม่รักกูกับไปรักไอ้บอสนั่น ดูแล้วไม่เป็นผล กูต้องทรมานมึงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมึงซาดิสต์ชอบความทรมาน”
“ใครบอก นายบ้าไปกันใหญ่แล้วเอ เราขอร้องปล่อยเราไปเถอะ”
“หุบปาก ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว ทำตัวดีๆอย่าพูดมากคิดหนีเด็ดขาด ไม่งั้นกูจะทรมานมึงจนถึงตาย”
“เราไม่หุบ เราจะด่านายให้ได้สติ นายต้องไปหาหมอกินยา สตินายจะได้กลับมา”
“มึงนั้นแหละต้องกินยา”
“เราไม่ได้เป็นอะไรจะกินทำไม นายนั่นแหละน่าจะถึงขั้นโรคจิต”
“ใช่ก็ได้ กูนี่แหละโรคจิต”เอเดินเข้าไปหาอ้น
อ้นเห็นท่าไม่ดีเขาจึงรีบวิ่งหนีไปที่ประตู และกำลังจะเปิดประตูออก แต่เอคว้าร่างไว้ทัน และจับอุ้มโยนลงไปบนที่นอน
“มึงอยู่ในห้องนี้แหละ อย่าไปไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะมาหามึง”
เอเดินไปหยิบข้าวกล่องที่แขวนไว้ที่ลูกบิด แล้วโยนลงกับพื้นข้างเตียงที่อ้นนั่งอยู่
“ถ้าหิวก็กินซะ ส่วนน้ำอยู่ในกระติก หวังว่าคงไม่ลืมตัวนะ เพราะเมื่อก่อนมึงก็เคยกินแบบนี้ ไม่ใช่มีผัวเป็นบอสแล้วกินไม่ได้”
“ก็ได้ อย่าให้เราออกไปได้นะ ถ้าออกไปได้นายเจอดีแน่”
“กูจะให้มึงออกไปได้ ก็ต่อเมื่อมึงรักกูเท่านั้น ถึงแม้สิบวันยังไม่ได้ผล กูก็จะรอให้มึงรักกู ถ้ามึงรักกูแล้ว มึงไม่กล้าที่จะทำร้ายกูหรอก”
“ลองดูกันไหมล่ะ เราไม่มีวันรักนายได้หรอก ถ้านายทรมานเราอย่างนี้ ถ้านายดูแลเราดีๆก็ไม่แน่”
“ฝันไปเถอะไอ้อ้น กูไม่เชื่อมึงหรอก มึงอย่าหลอกกูเลย คืนนี้มึงอยู่ที่นี่ไปคนเดียวก่อนเถอะ พรุ่งนี้กูจะมาหามึงอีก”
“เราจะนอนที่นี้ได้อย่างไรกัน”อ้นมองไปรอบห้องๆ ซึ่งไม่มีอะไรมีแต่ห้องสี่เหลื่ยม และห้องน้ำแค่นั้น”
“ดัดจริตทีเมื่อก่อนนอนได้ มีผัวเป็นบอสทำเป็นลืมกำพืดดั้งเดิม”
“มันจะมากไปแล้วนะ นายมีสิทธิ์อะไรที่มาทำกับเราแบบนี้”
“มีสิ กูจะเป็นว่าที่ผัวคนที่สองของมึง แต่เคยเป็นผัวเก่ามาก่อน”
“เอ นายอย่าแม้แต่จะคิด ถ้านายทำอะไรเราบอสจะเอาเรื่องนายแน่”
“คิดเหรอบอสมึงอยากใช้คนรักร่วมกับคืนอื่น”เอหัวเราะลั่น
“นั่นมันความคิดนาย แต่ความคิดบอสไม่มีวันคิดเช่นนั้นหรอก”อ้นยังมีความเชื่อใจในตัวของจ๊อบอยู่เสมอ ถึงแม้บางครั้งจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่เอบอกก็ตามที
“ลองดูได้เลย คุยกับคนอย่างมึงเสียเวลาจริงๆไอ้อ้น คืนนี้มึงนอนที่นี่คนเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูจะมาหามึง เพื่อที่จะไปทำไร่”
“เอ นายเป็นบ้าไปแล้ว”อ้นหยิบหมอนที่ข้างกายเขาขว้างใส่เอ แต่เอรับไว้ทันและขว้างอย่างแรงกลับไปที่ใบหน้าของอ้น”
“เราเจ็บนะ”อ้นยกมือกุมที่เบ้าตา
“เรื่องของมึงไม่ใช่เรื่องของกู กูไปแล้วนะคืนนี้นอนอยู่นี่คนเดียวเถอะ”
เมื่อเอพูดจบก็เดินออกไปจากห้องในทันที ส่วนอ้นไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีวิต เขาจึงนั่งร้องไห้ ด้วยความเศร้า เสียใจ คิดอะไรไม่ออก กลุ้มใจ อย่างเดียวดายว่างเปล่าจนเขาคิดถึงโหยหาจ๊อบ
ความมืดเริ่มมาเยือนอ้นลุกจากเตียงเพื่อไปเปิดไฟ และเขาเริ่มรู้สึกหิวอ้นจึงก้มหยิบกล่องข้าวมาเปิดออกดู ซึ่งเป็นข้าวผัดหมูไข่ดาว เพียงเปิดออกแค่นั้นอ้นต้องปิดกล่องข้าวทันที เพราะกลิ่นเหม็นบูด เขาจึงวางลงไว้และตักน้ำกระติกมาดื่มจนอิ่ม อ้นกลัวว่าจะหิวไปมากกว่านี้เขาจึงรีบขึ้นไปนอนบนเตียงจะได้หลับ เพราะจะได้คลายความหิวไปได้บ้าง
เอเดินทางกลับมายังบ้านของเขาซึ่งปลูกห่างจากบ้านพ่อแม่ของเขาพอสมควร ส่วนกระท่อมน้อยปลายไร่นั้นไกลจากบ้านเขาไม่มากนัก ที่เขาไม่พักที่เดียวกับอ้น เพราะเขาแค้นเคืองอ้นที่ไม่รับรักเขา จึงอยากที่จะแกล้งสักระยะหลังจากนั้นจะปล่อยอ้นไป เพราะเอนั้นรู้ข่าวจากตั้มและตูนเพื่อนของเขาที่เป็นแฟนซันและซีเพื่อนของอ้น ว่าอ้นจะกลับบ้านเวลาไหนและนั่นเป็นเหตุให้เอได้มาช่วยอ้นได้ทันเวลา แต่เขาก็ยังแปลกใจไม่หายใครที่จ้องทำร้ายอ้น ซึ่งเอเป็นห่วงอ้นมากเขาจึงจะพยายามหาคนร้ายที่อยู่ข้างหลังให้ได้ โดยมีตั้มตูนและซันซีร่วมด้วยช่วยอยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์ที่อ้นได้มาอยู่กับเอทั้งสี่คนก็รู้ ยกเว้นแต่จีจี้ที่ซันและซีไม่ยอมบอก เพราะจีจี้ไม่ค่อยชอบเออย่างมาก เมื่อเอมาถึงบ้านของเขาก็เห็นเจนนั่งรอเขาอยู่ในบ้าน เพราะเจนสามารถเข้านอกออกในบ้านของอ้นได้ตามต้องการ เพราะเอนั้นไม่สามารถที่จะห้ามเจนมาหาเขาได้ เพื่อตัดปัญหาเอจึงให้กุญแจบ้านกับเจนไว้อย่างถาวรเลย “ไปไหนมากลับมาซะมืดค่ำเลย”เจนถามทันทีที่เอเข้ามาภายในบ้าน “ไปทำธุระ”เอนั่งลงบนโซฟาเก่าๆในห้องโถงขนาดเล็ก “ธุระที่ไหน” “กูจะไปไหนมาไหนต้อง
อ้นมาในชุดเตรียมพร้อม กางเกงขายาวเสื้อลายดอกแขนยาวพร้อมหมวก รองบูทส่วนมือก็สวมถึงมือ และอุปกรณ์ใส่ข้าวโพดสะพายด้านหลัง อ้นรู้สึกหนักและเหนื่อยที่เดินมาที่ไร่ แต่เอก็ไม่มีท่าทีสงสารอ้นแม้แต่น้อย “หักข้าวโพดเดี๋ยวนี้จนกว่าจะถึงเที่ยง”เอออกคำสั่งเสียงดัง “ทำไมใจร้ายกับเราอย่างนี้เราไปทำอะไรให้นายเจ็บซ้ำน้ำใจ” “ก็กูรักมึงแต่มึงไม่รักกู เป็นอัลไซเมอร์หรือไง แต่ก็ไม่เป็นไรก็จะย้ำกับมึงทุกๆวัน” “ย้ำไปถึงชาติหน้าเลย เราไม่มีวันรักคนที่ทำร้ายเราหรอก” “ไม่เชื่อคอยดูก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มึงหักข้าวโพดก่อน” เอจำใจทำตามอ้นอย่างเสียมิได้ ถึงแม้อ้นจะไม่ค่อยได้ทำงานหนักมาก่อน แต่เขาก็สามารถที่จะหักข้าวโพดได้ เพราะพื้นเพของอ้นแค่พอมีพอใช้ไม่ได้ถึงกับรวยมาก แต่ถ้าให้อ้นเลือกเขาก็อยากทำงานที่สบายไม่ต้องออกแรงขนาดนี้ “เก็บให้มันเร็วๆหน่อยซิ ทำเป็นมือไม้อ่อนกูไม่ใช้บอสนะ จะมาอ่อยโน้นนี่ทำไม่ไหว ฝันไปเถอะว่ากูจะสงสารมึง ถ้ายังไม่เที่ยงไม่ต้องกินข้าว” “แค่นี้ก็เร็วแล้ว จะเอาเร็วแค่ไหน” “มันต้องทำอย่างนี้”เอทำให้ดูและเขาก็เดินหักข้าวโพดนำหน้าอ้นไป
อ้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ในช่วงเวลานี้เขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า ตัวของเขาจะรอดจากความเลวร้ายนี้ได้อย่างไร มีแต่เพียงวิ่งหนีไปให้ไกล ซึ่งเส้นทางที่อ้นวิ่งเข้าไปนั้นเริ่มลึกเข้าไปในป่าทืบ ถึงกระนั้นอ้นก็ยอมหันหลังไปมอง ถึงแม้คนร้ายที่วิ่งติดตามอ้นจะหยุดอยู่บริเวณรอบนอกของป่าแล้ว เพราะทั้งสามไม่กล้าเข้าไป และมีความคิดที่จะดักรออ้นอยู่ตรงนี้ เนื่องหนึ่งในสามเป็นคนในพื้นที่ เขาจึงรู้ดีว่าป่าแห่งนี้ถ้าไม่ชำนาญพื้นที่ เมื่อเข้าไปแล้วจึงหาทางออกยากมาก ด้วยความเมื่อยล้าอ้นจึงหยุดวิ่งและหันไปมองด้านหลัง ซึ่งอ้นก็ไม่เห็นใครเขาจึงนั่งลงพักเหนื่อย ด้วยความที่ในป่ามีความเงียบเกินเขาจึงเกิดความกลัวขึ้นกะทันหัน ในจิตใจของอ้นเวลานี้หวั่นเกรงกลัวทุกอย่าง เขาพยายามมองไปรอบๆซึ่งมีแต่ป่า และเสียงไหวๆของต้นไม้ที่โอนเอนตามแรงลม พร้อมเสียงสัตว์นานาชนิดที่อ้นได้ฟังถึงกับขนลุก เขาจึงรู้สึกกลัว พออ้นได้มีเวลาพัก เขาจึงเกิดความคิดที่จะไปจากป่าแห่งนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเดินไปทางไหน อ้นจึงได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่ที่เดิม เพื่อรอใครสักคนผ่านเข้ามาทางนี้ แต่ยังไร้วี่แววด้วยแสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงล
ช่วงเวลาไม่นานเอก็เดินออกมาจากในป่าทึบ ที่มือถือกล้วยป่าเดินเข้ามาใกล้ๆอ้นที่นั่งอยู่ในกระท่อมอย่างเหงาๆ และหวาดกลัวสิ่งต่างๆที่เขาคิดว่าอาจจะเข้ามาทำร้าย“กินซะเดี๋ยวจะหิวตายไปซะก่อน”“ขอบใจ”อ้นรีบบิดกล้วยสุกออกมากินอย่างเร่งรีบ“ไม่มีน้ำเหรอ”อ้นถาม“ได้คืบจะเอาศอก แต่ก็มีนะ”“เอ้านี้ กินนิดเดียวพอนะ มืดแล้วไปเอาน้ำลำบาก เอยื่นกระบอกไม่ไผ่ที่มีน้ำเต็มกระบอก“ไปเอากระบอกไม้ไผ่มาจากไหน”อ้นถาม “ก็ในกระท่อมนี่แหละ คนหาของป่าคงลืมไว้” “โชคดีจัง ถ้าไม่มีท่าจะแย่เลย” “ไม่แย่หรอก ถ้าหิวมากน้ำของกูก็มีคืนนี้เดี๋ยวให้กิน”เออมยิ้ม “ไอ้โรคจิตในป่ายังคิดเรื่องอกุศลอีก” “กูพูดเรื่องจริง แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ ทีกินของบอสนี่รับได้” “ความสะอาดต่างกัน” “ปากดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกิน”เอคว้ากระบอกไม่ไผ่จากมือของอ้น แล้วเขาก็ดื่มเองจนครึ่งกระบอก อ้นทำอะไรไม่ได้เขาได้แต่มองเอด้วยความแค้นเคือง เมื่อเอดื่มน้ำเสร็จสิ้นเขาก็ไปนำฟืนเพื่อที่จะมาก่อไฟ และบรรเทาความหนาวกับยุง ไหนจากพวกบรรดาสัตว์ต่างๆกันอีก เอใช้เวลาไม่นานในการรีบก่อไฟจนติด หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นมาที่กระท่อม และนั่งข้างๆอ้น ที่ยังมีสีหน้าที
จ๊อบเริ่มไม่สบายใจเพราะหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่สามารถติดต่ออ้นได้เลย ยิ่งรู้ข่าวว่าอ้นไม่ได้กลับบ้าน เขาพยายามถามบรรดาเพื่อนของอ้น แต่ก็ไม่มีใครรู้แม้แต่สักคน จ๊อบจึบเร่งทำงานอย่างเริ่งรีบ และตัดนัดที่ไม่สำคัญออกไปให้หมด จ็อบนั่งบนเตียงนอนด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหลังจากอาบน้ำเสร็จ และเขาก็นั่งครุ่นคิดถึงอ้นคู่รักของเขา ถึงที่ผ่านมาเขาอาจละเลยอ้นไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาหมดรักอ้นแต่อย่างใด ตอนนี้เขากลับเครียดหนักมาก จนจ๊อบได้ยินเสียงเคาะประตูซึ่งเขาก็แน่ใจว่าเป็นบี้เลขาของเขาหรือเปล่า จ๊อบไปเปิดประตูเพื่อให้บี้เข้ามาภายในห้อง “มีอะไรเหรอ”จ๊อบนั่งลงตามเดิม “พรุ่งนี้บอสจะกลับไทยจริงๆเหรอ”สายตาของบี้ไม่ได้มองหน้าของจ๊อบ แต่มองต่ำลงตรงหว่างขาของจ๊อบที่นั่งไม่ได้ระวัง จนเผยเห็นของสงวนแต่จ๊อบไม่ได้สนใจและสังเกตสายตาของบี้ “ใช่ เป็นห่วงอ้น ติดต่อไมได้เป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ใช่น่าเป็นห่วงมาก บี้ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าอ้นไปอยู่ที่ไหน” “ถามเพื่อนๆแล้วไม่มีใครรู้เลย” “ไม่มีใครรู้หรือไม่มีใครบอก”บี้เดินไปท
ถึงแม้แสงอรุณสาดส่องมาถึงร่างทั้งสอง เอกับอ้นก็ยังไม่รู้สึกตัวที่จะต้องตื่น เอนั้นได้กอดร่างของอ้นไว้แน่ ส่วนอ้นก็นอนตัวขดงอให้เอได้กอด ทั้งสองนั้นหลับสนิทจนไม่รู้เลยว่าเพื่อนชายหนุ่มในหมู่บ้านได้มาถึงที่กระท่อมที่ทั้งสองนอนอยู่ “ไอ้เอ ไอ้เอ ไอ้เอ ตื่นได้แล้ว”เพื่อนร่วมหมู่บ้านปลุกสะกิดที่ร่างของเอและอมยิ้มในท่าที ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็หัวเราะร่วน เมื่อได้รับสัมผัสจากเพื่อนและได้ยินเสียงหัวเราะ เอจึงเริ่มตื่นจากภวังค์ เขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อยและมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เอจึงเห็นชายหนุ่มรุ่นเดียวกับเขายืนหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน “เฮ้ยเพื่อนหรือเมียว่ะกอดซะแน่นเชียว หน้าตาดูน่ารักอีกต่างหาก” “เพื่อนซิวะ”เอคลายกอดจากอ้นทัน “เหรอ”เพื่อนๆของเอหัวเราะกันใหญ่ เอแก้เขินโดยใช้เท้าสะกิดที่ขาของอ้น เพื่อปลุกให้อ้นได้ตื่น เพราะตอนนี้เขารู้สึกอายและเขินเพื่อนในหมู่บ้านอย่างมาก อ้นรู้สึกตัวทันทีเมื่อโดนเท้าของเอสะกิด เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ และยิ่งตื่นตระหนกกันไปกันใหญ่ เมื่อเห็นชายหนุ่มสามสี่คนยืนอยู่ตรงหน้า อ้นพลางคิด
เอพร้อมกับตั้มและตูนเมื่อทำกับข้าวเสร็จ เอให้ตูนและตั้มกินกันสองห้องในครัว ถ้ากินเสร็จก็ให้กลับบ้านไปเลย ที่สำคัญฝากล็อกบ้านไว้ด้วย เพราะเวลานี้ก็ช่วงเย็นแล้ว เอจึงอยากจะอยู่กับอ้นเพียงสองคน เขาจึงนำอาหารไปให้อ้นกินในห้องนอน “กินซะ”เอวางอาหารไว้บนโต๊ะหลังจากที่อุ้มเอมานั่งบนเก้าอี้แล้ว “ทำเองเหรอ ดูหน้าตาแปลกๆ”อ้นมองกระเพาะไก่ไข่ดาวเกรียมๆนิดหน่อย “ทำมาให้กินก็กินซะ กินไม่ได้ก็ต้องกิน” “ยังไม่ได้บอกว่ากินไม่ได้เลย แค่ถามเฉยๆจะพูดดีๆบ้างไม่ได้เหรอ” “คนอย่างมึงพูดดีไม่ได้หรอก ต้องเจอคนแบบกูที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆถึงจะอยู่กันได้” “คิดไปคนเดียว” “มัวแต่พูดกินเข้าไป นี่ก็จะมืดแล้ว คืนนี้เราต้องทำอะไรกันอีกเยอะ” “ทำอะไรก็มีแต่นอน”อ้นมีสีหน้าทีสงสัย “ก็นอนไงนอนแบบเมื่อคืนนี้ แต่คราวนี้มิดชิดหน่อย”เอหัวเราะ “ไม่ตลกด้วยนะ”อ้นตักผัดกระเพาะมาที่จานข้าวและตักใส่ปาก ซึ่งเขาสัมผัสรสได้ว่าอร่อยมาก “อร่อยใช่ไหม” “ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้อร่อยขนาดนี้” “กูทำ
อ้นได้ขึ้นรถมาพร้อมกับเจน ที่หน้าตายังนิ่งและปูดบวม อ้นอยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า เพราะอ้นไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือของเอหรือเปล่า “หนีไอ้เอออกมาจะไปไหนเหรอ”เจนพูดขึ้น “กลับกรุงเทพ” “ไม่ห่วงไอ้เอมันเหรอ”เจนหันมามองอ้น “ทำไมต้องห่วงเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” “แต่มันรักมึงนี่ มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอ” “รู้ แต่เราไม่ได้รัก”กว่าที่อ้นจะพูดคำว่านี้ออกไป เขาสะเทือนใจพอสมควร เพราะในเวลานี้เขาได้กลับมารักเออีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไป เพราะอีกใจหนึ่งเขาก็ยังมีความรู้สึกดีๆกับบอส “แน่ใจ” “แน่ใจซิ ถ้ารักเราจะหนีออกมาทำไม แล้วอีกอย่างเรามีบอสอยู่แล้ว จะไปรักคนอื่นได้อย่างไง” “ก็ดี แล้วมึงจะให้กูไปส่งที่ไหน” “ขนส่งก็ได้” “กูหมายถึงในกรุงเทพ” “นายจะไปส่งเราถึงโน้นเลยเหรอ” “ใช่ ขืนให้มึงไปรถทัวร์ เดี๋ยวไอ้เอตามมึงจนเจออีก” “ได้”อ้นจึงบอกที่