จ๊อบออกจากห้องของอ้นไปได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูรัวๆก็ดังขี้นไม่หยุด ด้วยความรำคาญอ้นจึงเปิดออกดูว่าเป็นใคร เพียงแง้มประตูเท่านั้นแหละ เอก็ผลักประตูเข้ามาทันทีและเดินนำหน้าอ้นไปนั่งที่โซฟา อ้นถึงกับยืนงงด้วยพฤติกรรมของเอ
“มานั่งใกล้ๆนี่ มีเรื่องจะคุยด้วย”
อ้นเดินอย่างช้าๆและนั่งลงข้างๆเอที่มีสีหน้าดูเคร่งเครียดพอสมควร ก่อนที่เอจะพูดอะไรออกมาเขาได้กัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ
“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”
“มีอะไร”
“ตอนนี้กูไม่มีพันธะ ไอ้เจนมันไปทำงานที่ภาคใต้แล้ว”
“รู้แล้ว”
“รู้แล้วก็ดีมึงจะได้สบายใจ”
“เจนจะไปไหนอยู่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่”
“เกี่ยวซิ ถ้าไอ้เจนมันยังพัวพันกับกู ถึงกูจะไม่ได้รักมัน แต่มึงก็จะคาใจกูอยู่”
“เราจะคาใจนายทำไม ในเมื่อเราไมได้เป็นอะไรกันนี่”
“มึงก็รู้ดีแกใจ มึงกับกูมีอะไรกันตั้งสองครั้ง ในป่าครั้งหนึ่ง ที่บ้านกูอีกครั้งหนึ่ง”
“จะพูดทำไม เรื่องมันผ่านมาแล้ว”อ้นรู้สึกกระดากใจพอสมควรที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของเอ
“ยังไม่รวมตอนสมัยเรียนอีกสองสามครั้ง”
“พูดเพื่อ”อ้นเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว
“กูจะเตือนความจำมึงไง ว่ากูเป็นคนแรกของมึง และมึงก็เป็นคนแรกของกูเหมือนกัน”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนาน ไม่ใช่เฉพาะเราสองคนหรอก เรื่องแบบนี้เป็นกันทุกคน”
“ก็นั่นแหละ มันเป็นความทรงจำแรกของเราสองคน”
“ความทรงจำที่เลวร้ายมากกว่า นายจำไม่ได้เหรอว่าทำอะไรกับเราไว้”อ้นยังจำได้ไม่ลืม
“แต่มึงก็ตบหน้ากูต่อหน้าเพื่อนมึงที่หน้าบ้านกู ก็ถือว่าวินวินทั้งสองฝ่าย”
“วินวินบ้าซิ นายเจ็บหน้าเดี๋ยวก็หาย หน้านายมันหนา ส่วนเราเจ็บที่ใจกว่าจะหายก็นาน แต่นายยังมาทำให้เราเจ็บกายเจ็บใจซ้ำอีกครั้ง”
“นั่นแสดงว่ามึงก็ชอบกูอีกครั้งใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ใครจะไปชอบนายลง จับเราไปขังไว้ที่ท้ายไร่ข้าวโพด ทรมานเราต่างๆนาๆ”
“กูขอโทษ กูง้อคนไม่เป็น สมองกูมีแค่นั้นคิดได้แค่นี้จริงๆแต่ตอนนี้กูพัฒนาแล้ว มึงเห็นไหมไอ้บอสยังสู้กูไมได้เลย”
“หลงตัวเองอีก”
“ไม่ได้หลงตัวเอง แต่ที่กูทำทั้งหมดก็เพื่อมึงทั้งนั้น เห็นไหมกูอุตส่าห์ทิ้งข้าวโพดทั้งไร่มาหามึง จะหาคนจริงใจแบบนี้ได้จากที่ไหน”
“ทิ้งไร่ข้าวโพดเลยเหรอ ทำอย่างกับนายไม่มีเพื่อนอย่างงั้น ตอนเราหลงป่าเพื่อนนายตั้งหลายคนไม่ช่วยเลยเหรอ”
“เขาก็มีไร่ของเขานี่”
“พอเถอะเอ อย่าโกหก”
“ก็ได้ เรื่องอื่นกูอาจโกหกมึง แต่เรื่องทิ้งไร่ข้าวโพดกับกูรักมึงเป็นเรื่องจริงนะ”
“คนรักกันที่ไหน จะทรมานคนที่รักให้มารักตัวเอง ใครที่ไหนจะบ้ามารักคนที่ทำร้ายตัวเอง”
“ก็มึงไง กูทรมานมึงจนมึงรักกู ถ้าไม่รักมึงจะยอมเป็นของกูตั้งสองครั้งเลยเหรอ”
“เพลี้ยะ”อ้นตบไปที่หน้าของเอ
“มึงตบกูทำไมไอ้อ้น”
“ก็บอกแล้วไงอย่าพูดเรื่องนี้อีก”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ก็มันเรื่องจริงนี่ ในป่ามึงก็ไม่ขัดขืนกูนี่ ถ้าขัดขืนกูก็ทำไมอะไรมึงไม่ได้หรอก”
“เพลี้ยะ”
“มึงตบกูทำไมอีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าพูด ที่เรายอมนอนกับนายเพราะเราหนาวต่างหาก ถ้าไม่หนาวอย่าหวังว่าจะได้เรา”
“หลอกกูนี่หว่า”
“ใช่เราหลอกนาย”
“แต่ครั้งที่สองมึงก็ยอมกูแต่โดยดีนอนนิ่งๆไม่ดิ้นเลย”
“เพลี้ยะ”
“ไอ้อ้นมึงเป็นบ้าอะไรตบกูอีกแล้ว”
“ก็บอกแล้วไงอย่าพูด ครั้งที่สองที่ยอมเราก็เพื่อแลกกับการหนีออกจากบ้านนาย ไม่ใช่เพราะรักหรอก”
“มึงหลอกกูอีกแล้ว”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาตามตอแยเราอีก”
“ถึงรู้ว่ามึงหลอกแต่กูเต็มใจให้มึงหลอก ไม่เป็นไรวันนี้มึงยังไม่รักกู แต่สักวันกูจะทำให้มึงรักกูให้ได้ แต่คราวนี้กูจะไม่ทรมานมึง จะทำดีกับมึงทุกอย่างเลย”
“มันหมดเวลาแล้วไม่ต้องมาทำดีอะไรหรอก”
“กูจะทำดีกับมึงแล้วจะทำไม”
“ทำให้ตายคนไม่รักมันก็ไม่รัก”
“ที่พูดแบบนี้มึงรักไอ้บอสน่ะเหรอ”
“ไม่ได้รักเหมือนกัน”
“แล้วมึงรักใคร”
“เราก็รักตัวเองไง รักคนอื่นมามากแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องรักตัวเองบ้าง”
“ใช่กูก็รักตัวเองมามากแล้ว ต่อไปก็ต้องรักคนอื่นบ้าง”
“ก็ดีแล้วนี่รักคนอื่นบ้าง”
“คนอื่นนั้นก็คือมึงนั่นแหละ”
“เอนายพูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าเราไม่ได้รักนาย”อ้นถอนหายใจแต่ลึกๆเขาก็ยังไม่ลืมรักเก่าแต่ครั้งก่อน
“ที่มึงไม่รักกูเพราะอะไรมึงตอบจากใจจริงได้ไหม”
“ครั้งแรกนายทำเราเจ็บเราก็จำ เราถึงไม่รักนายอีกแล้วไง”
“ครั้งแรกมึงรักกูนี่ ต่อไปมึงก็ต้องรักกูได้อีก หรือว่ากูทำไมไม่เก่งไม่ถึงใจมึง แต่มึงก็ครางดีอยู่นะ”
“เพลี้ยะ”
“ถ้ามึงตบกูอีกครั้งกูจะตบบ้องหูมึง”
“ทะลึ่งกับเราก่อนนี่”
“กูไมได้พูดทะลี่งเรื่องนี้มันสำคัญนะ มันไม่ใช่มีความรักอย่างเดียว มึงบอกกูมาต้องทำอย่างไง”
“เพลี้ยะ”
“กูให้โอกาสมึงครั้งสุดท้ายถ้ามึงตบกูอีก กูจะถีบมึงแล้วนะ”
“ไม่ต้องพูดแล้วเรื่องนี้จบ”
“คงจะติดใจไอ้บอสซิท่า มันแก่กว่ากูนี่ประสบการณ์ มันมามากไง มันเลยเก่งมึงชอบคนอย่างนี้เหรอ”
“เพลี้ยะ”
“ไอ้อ้นจะตบกูอะไรหนักหนากูก็เจ็บเป็นนะ เห็นกูไม่ทำอะไรได้ใจใหญ่ ถ้ามีอีกครั้งมึงเจ็บตัวแน่”
“ที่เราตบนายก็เพื่อให้นายรู้สึกเจ็บ เหมือนอย่างที่เราเจ็บไง นายจะได้จำไว้ทีหลังอย่าไปทำกับใครอย่างนี้อีก และอีกอย่างเราบอกนายว่าอย่าพูดเรื่องที่เรามีอะไรกัน นายก็ยังจะพูดอยู่อีก”
“กูไม่พูดก็ได้ แต่สิ่งที่กูจะพูดจากนี้มันจากใจกูนะ กูขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่กูทำไม่ดีกับมึง ต่อไปนี้กูจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก กูรับรองด้วยความเป็นลูกผู้ชายของกู”
“ไม่ต้องมาสัญญาอะไรกับเรา เพราะเราจะไม่รับ”
“มึงไม่รับแต่กูก็สัญญากับมึงจะรักและดูแลมึงตลอดไป”
“เอ นายนี่เข้าใจอะไรยากจริงๆ”
“กูเข้าใจ แต่กูทำใจไมได้ถ้าไม่มีมึง”
“เราง่วงนอนไม่อยากฟังอะไรที่เลี่ยน”
“ไอ้บอสมันก็เลี่ยนเหมือนกูนั่นแหละ”
“ใช่ เลื่ยนทั้งสองคนนั่นแหละ เราง่วงนอนแล้ว”
“ง่วงมึงก็นอนไปซิ”
“ก็มันห้องเรานี่ นายนั่นแหละออกไปได้แล้ว”
“แค่นี้ก็ไล่ ที่เมื่อก่อนนี่ชวนให้อยู่ห้องไม่กลับก็โทรตาม”
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโทรตามยามให้มาลากตัวนายออกไป”
“ออกไปก็ได้ พรุ่งนี้ไปดอยอินทนนท์ไหม”
“ไม่ไป อยากไปก็ไปคนเดียวซิ ไม่ชอบไป หนาว”
“เดี๋ยวกูกอดมึงก็หายหนาวแล้ว”
“ไม่ต้องพูดมากกลับไปเลย”อ้นดันร่างของเอจนออกพ้นประตู
อ้นเครียดจนหนักศีรษะ ทั้งจ๊อบและเอ ต่างมาสร้างความปั่นป่วนในจิตใจของเขาไม่ใช่น้อย แล้วบรรดาเพื่อนที่มาเป็นกองเชียร์อีก จึงทำให้อ้นคิดอะไรไม่ออกในตอนนี้ เขาจึงทำได้แต่เพียงเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เพื่อที่จะหนีจากสองหนุ่มให้ไกลแสนไกล แต่แล้วเมื่ออ้นเก็บเสื้อผ้าเสร็จ ใจของเขาก็หายวับ เพราะต้องจากสองหนุ่มที่เขายังรักอยู่ แต่ตอนนี้อ้นไม่แน่ใจว่าตัวเองรักใครมากกว่ากัน ยิ่งสองหนุ่มวนเวียนมาหายิ่งทำให้ใจของอ้นหวั่นไหวพอสมควร แต่เขาก็แกล้งไม่แยแส แต่ลึกๆแล้วอ้นต้องการใครสักคนไว้ดูแลอเขาและอยู่เคียงข้าง อ้นนอนคิดเหตุการณ์วันนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็ทนความง่วงนอนไม่ไหวจึงหลับไปในที่สุด
ช่วงเวลาตีสี่กว่าๆอ้นได้ถือกระเป๋าเดินทางลงมาเช็ดเอ้าท์ เพื่อต่อไปที่สนามบินที่เชียงใหม่ อ้นได้ลากกระเป๋าเดินออกจากโรงแรม เพื่อไปขึ้นรถที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ เพื่อพาอ้นไปที่สนามบิน อ้นเดินไปเกือบจะถึงรถของโรงแรม แต่แล้วเขาก็ได้เห็นสองหนุ่มจอดรถขนาบรถทางโรงแรมที่จะพาเขาไปสนามบิน ฝั่งซ้ายเป็นบิ๊กไบค์ของเอที่เขานั่งคร่อมรถพร้อมขับไปทันที และในมือถือหมวกกันน็อดอีกหนึ่งใบ ส่วนฝั่งขวาเป็นจ๊อบที่เปิดประรถเก๋งคันหรูไว้ ส่วนตัวของเขาจับประตูรถยืนรอ
“คุณอ้นครับได้เวลาที่จะไปสนามบินแล้วครับ”หนุ่มหล่อโซเฟอร์ยืนรอหน้ารถพร้อมบริการในทันที
“ไอ้อ้นไปดอยอินทนนท์กับกูไหม”เอถอดหมวกกันน็อตออกตะโกนเรียกอ้น
“อ้นเราไปต่างประเทศกัน ทำงานด้วยเที่ยวด้วยอย่างที่เราเคยทำกันไง”จ๊อบยืนเก็กอยู่ที่ประตูรถอย่างใจระทึก
อ้นมองซ้ายทีมองขวาที และมองตรงกลางอยู่นาน ใจหนึ่งอยากหนีทั้งสองไปให้ไกล แต่อีกใจหนึ่งอยากไปกับใครสักคน เพราะในใจอ้นก็อยากมีใครสักคนที่คอยปกป้องเขา และรักเขาอย่างจริงใจ ถึงแม้ทั้งเอและจ๊อบจะทำผิดพลาดกับเขามาก่อน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งสองก็พยายามพิสูจน์ให้เห็น ถึงแม้อ้นจะไม่รู้ว่าในอนาคตทั้งสองจะทำร้ายเขาอีกไหม แต่ใจของอ้นตอนนี้ก็พร้อมรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ปัญหากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่กลายเป็นอ้นไม่รู้จะเลือกใคร ระหว่างรักแรกที่เริ่มต้นจากรักเขาข้างเดียว กับรักครั้งที่สองต่างมีใจซึ่งกันและกัน
อ้นหลับตาครุ่นคิดถึงความหลังว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุข อ้นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้งถึงเขาจะไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าจะมีความสุขไหม แต่อ้นก็เริ่มแน่ใจตัวเองแล้วว่าต้องเลือกใคร
อ้นหันไปมองทางเอที่ใส่หมวกกันน็อคเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากถอดออกเมื่อครู่เพื่อคุยกับอ้น ในขณะเดียวกันเขาก็ถือหมวกกันน็อตอีกใบเพื่อรอให้อ้นมาสวมใส่
อ้นมองข้ามผ่านตรงกลางไป เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปที่สนามบิน ส่วนโซเฟอร์หนุ่มหล่อที่ไม่รู้เรื่องราวได้แต่ยืนรอ
อ้นหันไปมองทางจ๊อบที่ยืนจับประตูรถ ที่เปิดออกรออ้นเข้าไปนั่งข้างใน อ้นมองแววตาของจ๊อบที่เปล่งประกายอย่างมีความหวัง อ้นยิ้มให้จ๊อบแล้วก้มหน้าลง ซึ่งจ๊อบยิ้มรับด้วยความปลื้มปริ่ม
ในฝั่งของเอเขาได้เห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง เอจึงยอมรับความผิดหวัง อย่างลูกผู้ชายที่แท้จริง เพราะได้สัญญากันไว้ถ้าอ้นเลือกใคร อีกคนต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้อแม้ ในเมื่อเอรู้ตัวว่าแพ้เขาจึงสตาร์ทรถทันที โดยไม่หันมามองหน้าอ้นเป็นครั้งสุดท้ายเลย
เพียงอ้นได้ยินเสียงสตาร์ทรถ อ้นหันหน้าไปทางเอทันที พร้อมกับก้าวเท้าอย่างเร่งรีบไปหาเอ เพราะกลัวเอจะขับรถออกไปก่อนที่เขาจะไปถึง
“เอ เดี๋ยวก่อน”เอได้ยินเสียงของอ้นเขาจึงค่อยๆหันหน้ามามอง
“อ้น”จ๊อบตะโกนเรียกอ้นอีกครั้ง
อ้นหันมามองจ๊อบด้วยสายตาที่บ่งบอกความรู้สึก โดยที่ไม่ต้องพูดคำใดออกมา อ้นเม้มปากพยักหน้าให้จ๊อบสองสามครั้ง หลังจากนั้นอ้นเดินไปหาเอที่หัวใจของเขาเต้นระรัว
เมื่ออ้นเดินไปถึงที่รถบิ๊กไบค์ของเอ แต่อ้นก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆออกมา ส่วนเอยังไม่แน่ใจว่าอ้นมาหาเขาเพราะเหตุใด
“ขอหมวกกันน็อคหน่อย”อ้นยื่นมือออกไป
“เอาไปทำไม”เอถาม
“หมวกกันน็อคเขามีทำอะไรบ้าง”
“ใส่ที่หัว”
“ก็ใส่ให้หน่อยซิ”
“อ้น”เอยิ้มไม่หุบภายใต้หมวกกันน็อค
เอไม่รอช้าสวมหมวกใส่ที่ศีรษะของอ้นทันที และล้อคอย่างรวดเร็ว เพราะเขากลัวอ้นเปลื่ยใจกะทันหัน
“ขึ้นเร็วๆเข้ารถมันแรง”
อ้นขึ้นคร่อมรถและใช้สองมือจับไหล่ของเอไว้ เพราะตอนออกตัวเขากลัวที่จะล่วงหล่นลงพื้นถนน แต่เอยังไม่เร่งเครื่องขับรถออกไป เพราะนั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เอจึงหันหน้ามาหาอ้น
“กอดเอวไว้ซิรถมันแรงเหมือนคนขับ”
อ้นไม่ปฏิเสธที่จะทำตามคำพูดของเอ เขาจึงกอดเอวของเอไว้แน่น เอรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างเหลือล้น ก่อนที่เขาจะเร่งเครื่องรถออกไป เอหันไปมองจ๊อบและก้มหน้าให้ด้วยความจริงใจ ส่วนจ๊อบก็ชูนิ้วโป้งให้เออย่างยอมแพ้
จ๊อบยืนมองรถบี๊กไบค์ที่มีเอกับอ้นนั่งซ้อนท้ายจนหลับตา หลังจากนั้นเขาปิดประตูรถทันทีและเดินอ้อมหน้ารถไปยังฝั่งคนขับและเปิดประตูรถออก จ๊อบได้เข้าไปนั่งในรถแต่เขายังไม่พร้อมทั้งกายและใจที่จะขับรถออกไป เขาจึงก้มหน้ากับพวงมาลัยและหลับตาลง เพื่อทำใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ค่ำคืนบนดอยอินทนนท์อ้นกับเอนั่งคู่กันมองดาวบนท้องฟ้า ท่ามกลางความหนาวเหน็บแต่ทั้งคู่ก็สามารถอยู่กับความเย็นองศาต่ำได้ เอหันมามองอ้นที่กำลังเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้าที่สุกสกาว
“ทำไมมึงเลือกกู”เอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงมาก
“ยังต้องถามอีกเหรอ”อ้นก้มหน้าลงมองไปยังพื้นหญ้า
“ก็นั่นแหละที่ต้องถาม”
“ก็แค่อยากมาเที่ยวดอยอินทนนท์ พอเที่ยวเสร็จก็จบกันแค่นี้”อ้นอมยิ้ม
“แต่กูไม่จบกูจะตามมึงไปทุกที ถ้ามึงหนีกูไปอีก แต่กูก็อยากรู้อยู่ดีทำไมมึงเลือกกู ทั้งๆที่กูก็ทำไม่ดีกับมึงตั้งหลายครั้ง”
“เคยได้ยินไหมรักแรกลืมยาก ถ่านไฟเก่าแค่สะกิดมันก็ติดแล้ว”
“จริงด้วย แต่กับบอสล่ะ มึงอย่าโกรธนะที่กูถามมึง”
“ถ้าเราจะตอบว่ารักล่ะนายจะโกรธไหม”
“โกรธซิ”เอเริ่มเสียงดัง
“ฟังเราก่อนซิ รักของเรากับบอสมันเริ่มจางก่อนที่นายจะพาเรามาขังที่ปลายไร่ข้าวโพด อีก หลังจากนั้นก็ห่างกันเรื่อยมา แต่กับนายมันเริ่มมารักอีกครั้งตอนอยู่ดัวยกันในป่า”อ้นอมยิ้มเพราะเขาก็รู้สึกอายเหมือนกันที่พูดเช่นนั้นออกไป
“นั่นก็แสดงว่าการทรมานของกูได้ผล”
“ไม่ใช่ คนดีๆที่ไหนจะรักการทรมาน”
“อ้าวแล้วมึงรักกูได้ไง”
“ก็นายทนไม้ทนมือดีนี่ ตั้งแต่ในป่าแล้วเราทั้งตบทั้งตีนายก็ไม่ทำอะไรเราเลย ได้แต่ขู่จะทำโน่นทำนี่ เมื่อคืนก็เหมือนกันปล่อยให้เราตบหน้าจนแดงก่ำไปหมดแล้ว นี่ไงรอยซ้ำยังอยู่เลย”อ้นใช้มือลูบรอยซ้ำที่ใบหน้าของเอ
“ถ้ารู้แบบนี้ให้มึงตบตั้งนานแล้ว ไม่ต้องถ่อสังขารมาถึงเชียงใหม่หรอก”
“โง่เองนี่”
“ว่ากูเหรอ เดี๋ยวตบคว่ำเลย”
“กล้าเหรอ”
“ไม่กล้าหรอกไอ้ตบน่ะส่วนอย่างอื่น เอาไว้กลับบ้านค่อยว่ากัน”
“นึกว่าแน่”
“ใครกล้าตบเมียตัวเองได้ลงล่ะ”
“พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยหนอ”
“ก็มึงเป็นเมียกูนี่ ผิดด้วยเหรอที่กูรักเมียของกูมาก”เอทำเสียงสูง
อ้นเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้าต่อ และคิดถึงสองเหตุการณ์ที่เขาอยู่กับจ๊อบและเอ ในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับจ๊อบนั้นสุขกายก็จริง แต่สุขใจมีน้อยแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นที่มีความสุข หลังจากนั้นเขาก็ต้องทำตามคำสั่งจ๊อบทุกอย่าง ทั้งที่บางอย่างเขาก็ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำเพื่อเอาใจจ๊อบ รวมทั้งถูกตามรังควานจากญาติพี่น้องของจ็อบและบี้เลขาตัวแสบ ซึ่งถ้าอ้นกลับไปอีกก็คงวนลูปเดิมๆอีกไม่เปลื่ยน และข้อสำคัญที่สุดอ้นหมดรักจ๊อบมานานแล้ว แต่ที่ยังลังเลเพราะเขายังแยกไม่ออกระหว่างความดีกับความรัก แต่เมื่อมีเอมาเปรียบเทียบอ้นจึงเห็นภาพได้ชัดขึ้น
ส่วนเอนั้นอ้นเหมือนไม่ได้รัก เพราะเอกวนอารมณ์ของอ้นเป็นประจำ แต่อ้นก็มีความสุขถึงเอจะพูดหยาบทำอะไรแผลงๆใส่เขา อ้นเริ่มรู้ตัวว่ารักเอก็ตอนที่เอเข้าไปหาอ้นที่ห้องเมื่อคืน และได้พูดคุยความหลังตอนอยู่ในป่า ซึ่งอ้นซึ้งน้ำใจของเออย่างมากที่เอให้ขี่หลังออกจากป่า เอไม่เคยบ่นและอิดออดแม้แต่น้อย และนี่แหละที่อ้นคิดว่าคนนี่ที่จริงใจและทำทุกอย่างเพื่อเขาได้
“คิดอะไร”
“คิดถึงเอ”อ้นเผลอพูดออกไป
“นั่นแน่”เอเม้มปาก
อ้นเอียงคอซบไหล่ของเอแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข ส่วนเอก็จับมือของอ้นกำไว้อย่างหลวมๆและมองไปบนท้องฟ้า ที่มีดวงดาวระยับระยับนับล้านดวง ทั้งสองต่างเงยหน้ามองบนท้องฟ้าด้วยความสุขสมหวังอย่างเหลือล้น
ช่วงเวลาแห่งความสุขบนดอยอินทนนท์ผ่านเป็นอย่างรวดเร็ว เอได้พาอ้นมาที่บ้านไร่ที่เขาอาศัยอยู่ ในนาทีนี้ที่เขาอยู่กันเพียงสองคนในห้องไม่ใหญ่มาก แต่เต็มไปด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ อ้นนั้นแสนดีใจหาใดเปรียบ การตัดสินใจในครั้งนี้ของอ้นก็เหมือนกับเสี่ยงดวงเหมือนกัน เพราะเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าเอจะดีอย่างปากพูดไว้หรือเปล่า ในห้องนอนวันแรกที่มาอยู่บ้านไร่ของเอ อ้นนอนเล่นโทรศัพท์มือถือคุยกับเพื่อนรักอย่างจีจี้ เมื่อเอเดินออกมาจากห้องน้ำ เขารู้สึกไม่พอใจอ้นเล็กน้อย เพราะไม่ยอมสนใจเขาอย่างที่ควร เอจึงขึ้นไปบนเตียงและนอนข้างๆอ้น มีท่าทีที่กระฟัดกระเฟียด “ผัวนอนอยู่ทั้งคนยังคุยกับคนอื่นอีก” “ไม่ใช่คนอื่นเพื่อนเราเองจีจี้ไง นายจำไม่ได้เหรอ”อ้นเลิกกดส่งไลน์จีจี้ทันที “จำได้ แต่มันใช่เวลาไหมที่จะคุยกัน ตอนนี้เราต้องทำอะไรบางอย่าง” “ทำอะไรล่ะ” “ก็อย่างนี้ไง” เอพลิกร่างตะแครงก้มลงจูบที่ริมฝีปากของอ้น เขาใช้ปลายลิ้นซอนไซร้เข้าไปภายใน ส่วนอ้นก็สมยอมแต่โดยดีโอบกอดผิวเรือนกาย ไร้อาภรณ์ของเออย่างเร่าร้อน เอถอนริมฝีปากออกมาไซร้ซอกคอทุกมุม ตอห
อ้นตื่นนอนมาเขาก็ไม่เห็นเอนอนอยู่บนเตียง เขาจึงเข้าไปอาบน้ำและแต่งตัวลงมาด้านล่าง เพียงแค่ลงมาเขาก็เห็นอาหารวางไว้เต็มโต๊ะ อ้นเดินเข้าไปดูซึ่งเป็นอาหารดีๆทั้งนั้น เขายืนยิ้มในความเอาใจใส่ของเอ “น่ากินทั้งนั้นเลย”อ้นตักข้าวใส่จานและนั่งลง อ้นค่อยๆกินข้าวอย่างช้าๆพร้อมกับคิดถึงเอตอนทำกับข้าว เขาถึงกับหัวเราะเบาๆจากหนุ่มห่ามกลายมาเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน อ้นกินข้าวจนอิ่มถึงสองจานเพราะรสมือของเอนั้นเลิศรสยิ่งนัก เมื่ออ้นกินข้าวอิ่มเขาจึงเดินออกไปนอกบ้าน มองไปรอบๆซึ่งมีแต่ไร้ข้าวโพด เขายังจำวันที่เอลากไปช่วยหักข้าวโพดได้ อ้นถึงกับยิ้มออกมา “ยิ้มอะไรครับ”เพื่อนของเอที่เคยไปช่วยอ้นในป่า เดินเข้ามาใกล้ๆอ้น “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเลยยิ้ม มาหาเอเหรอ สงสัยไปที่ไร่น่ะ” “ใช่ครับมาหาเอ ผมนิกจำผมได้ไหม”นิกยิ้มจนเห็นไรฟัน “ทำไมจะจำไม่ได้คนที่เคยใช้อ้นไว้ไงที่กลางป่า” “ดีจังที่จำผมได้ ผมก็นึกว่าอ้นลืมผมซะแล้ว” “จะลืมผู้มีพระคุณได้ไง”อ้นยิ้มหวานให้นิกเพื่อนของเอ “แล้วมาหาเอมีธุระอะไรหรือเปล่า”
อ้นนั่งๆนอนอยู่บ้านเฉยๆจึงเกิดความเบื่อหน่าย และเป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยงเขาจึงตักข้าวใส่ปิ่นโต พร้อมกับข้าวสามขนมหนึ่ง หลังจากนั้นอ้นจึงเดินออกไปไร่ข้าวโพดเพื่อไปหาเอแฟนหนุ่ม อ้นพอจำทางได้บ้างเมื่อครั้งโดนเอจับมาไว้ที่บ้านปลายไร่ เขาเดินไปเรื่อยๆจนเห็นไร่ข้าวโพด อ้นมองเห็นร่างผู้ชายสองคนอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ท้ายไร่ อ้นจึงเดินต่อไปเพราะเขาจำร่างของเอได้ ยิ่งอ้นเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นเอ แต่ผู้ชายอีกคนอ้นคิดว่าไม่รู้จักแน่ๆ แต่อ้นคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเอ อ้นจึงไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจอะไรไปมากกว่านี้ เขาจึงรีบเดินไปให้ถึงต้นไม้ใหญ่ไวๆ เพราะแดดค่อนข้างร้อนพอสมควร ถึงเขาจะใส่หมวกมาก็ตามที ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนัก เมื่ออ้นเดินไปถึง สิ่งที่เขาเห็น เอกำลังนั่งกินข้าวหัวเราะต่อกระซิบกับชายหนุ่ม ซึ่งเขาไม่ได้สนใจอะไรนึกแค่ว่าเพื่อน “คุยอะไรกันสนุกเชียว”อ้นยืนอยู่ข้างหลังเอ “อ้าวมาได้ไง”เอมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย “ใครเหรอ”ชายหนุ่มเสียงนุ่มนิ่มเอ่ยขึ้น “อ้นเพื่อนกูเอง”เอหันมามองชายหนุ่ม “นี่นินเพื่อนกูสมัยเรียนอนุบาล”เ
เอรีบเข้าไปอุ้มร่างของอ้นทันที ส่วนอ้นยังทุบหน้าอกของเอไม่ยั้ง แต่แบบออมแรงไม่ทุบแรงอย่างครั้งแรก และก็ดิ้นให้น้อยลงนิดหน่อย เออดทนรีบพาอ้นเข้าไปในรถยนต์ของเขา เมื่ออ้นเข้าไปในรถแล้ว เขาก็นั่งนิ่งๆไม่มีท่าทีจะไปไหน พอเอขึ้นรถมาเท่านั้นแหละ อ้นหันหน้าไปทางอื่นแล้วอมยิ้ม แต่อ้นอารมร์ดีได้ไม่นานเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือของเอดังขึ้น เอจึงรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมารับทันที “ว่าไง” “ตามอ้นเจอไหม” “เจอแล้วอยู่บ้านนิก” “เราขอโทษนายด้วยนะที่ทำให้ผิดใจกับอ้น”น้ำเสียงของนินบ่งบอกถึงความผิดหวัง “ไม่เป็นไรแค่นี้นะ” “ฮือ” เอกดวางมือถือแล้วหันมามองหน้าอ้น ที่กำลังบึ้งตึงอีกครั้ง เพราะอ้นคาดเดาได้ว่าเป็นเสียงของนินโทรมา “เป็นอะไรอีกล่ะ” “ไปส่งเราที่ขนส่งด้วยเราจะกลับกรุงเทพ” “กลับไปหาไอ้บอสของมึงเหรอ”เอเริ่มรู้สึกโมโหที่อ้นเอาแต่ใจมากขึ้น “ใช่” “ไอ้อ้น มึงอยากโดนอีกใช่ไหม” “โดนอะไร” “กระท่อมปลายไร่ ไปอยู่ในนั้นอีกครั้งไหม”
วันนี้อ้นแกล้งตื่นสาย เพราะอยากรู้ว่าเอจะอยู่บ้านหรือว่าแอบไปไหนหรือเปล่า เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จจึงลงมาข้างล่าง แล้วสิ่งที่อ้นเห็นนั้นทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก เพราะภาพตรงหน้าเอกำลังนั่งโซฟาคุยกับนิน มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งสอง อ้นถึงกับของขึ้นอารมณ์ฉุนเฉียวมาทันที เขารีบเดินลงบันไดแล้วเดินไปหาเอ “คุยอะไรกัน”อ้นเอ่ยขึ้น “คุยเรื่องสมัยเรียนตอนมัธยม คิดถึงวันนั้นมากเลย เอชอบแกล้งเรานะ ไม่คิดเลยว่าโตมาจะเป็นคนละคน”นินยิ้มให้เอ “ใช่ โตแล้ว มีแฟนแล้วด้วย ยืนอยู่ตรงนี้”อ้นยืนกอดอก “เหรอ แฟนเอใช่ไหม” “เอ่อ ใช่ แฟนเราเอง”เอตอบอย่างหนักแน่น “เอ”นินอ้าปากค้างตาโต เพราะเขาไม่อยากได้ยินคำนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ระแคะระคายมาบ้างนิดหน่อย แต่นินยังไม่เชื่อจนได้ยินจากปากของเอ เขาถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก “ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม”อ้นนั่งลงข้างๆเอพร้อมยิ้มให้นิน “ได้ยินแล้ว แต่เราเป็นเพื่อนเอนี่ จะไปหามาหาสู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” “แปลกซิ ถ้านายเป็นแบบนิก เราไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่นายเหมือนเรา อย่าคิดว่าเราไม่รู้น
อ้นและเอใช้ชีวิตอยู่บ้านไร่มาร่วมเดือน จนพ่อแม่ของเอเกิดความสงสัย เพราะพ่อแม่ของเอแค่นึกว่าอ้นมาเที่ยวหา แต่นี่อยู่ร่วมเดือนยังไม่กลับไป ทั้งสองจึงอยากเห็นหน้าและพูดคุย ด้วย พ่อแม่ของเอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เขาทั้งสองไปอยู่กับพี่สาวคนโตในจังหวัดอื่น และอีกอย่างที่ทั้งสองมาเพราะคิดถึงลูกชายคนเดียวของพวกเขา เมื่ออำพลกับบังอรมาถึงเขาก็เห็นภาพอันบาดตา เป็นภาพที่เขาทั้งสองไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น เพราะเป็นภาพที่เอนอนบนตักของอ้น และที่หนักไปกว่านั่นเขาจับมือของอ้นมาดมและหอมอตลอดเวลา “ไอ้เอมึงทำอะไรของมึง”กำพลเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง “เอ หรือว่าลูกเป็น เอ่อ”บังอรใช้มือทาบอกด้วยความตกใจ เอรีบกระดกตัวลุกขึ้นทันที เขามีสีหน้าที่ไม่สู้ดีทันที ส่วนอ้นยังไม่เท่าไรแค่แปลกใจ ทำไมพ่อแม่ของเอมาไม่บอกล่วงหน้าแค่นั้น “พ่อแม่”เอลุกขึ้นยืนนิ่ง “สวัสดีครับพ่อแม่”อ้นยกมือไหว้ทันที “พวกเอ็งเป็นอะไรกันถึงมานอนหนุนตักหอมไม้หอมมือกัน อย่างกับเป็นคู่รักกันอย่างนั้นแหละ” “คือว่า พ่อกับแม่ คือผม เอ่อ อา อือ อู คือ
พงศกรมองหน้าเอด้วยความไม่พอใจยิ่งนัก เพราะเอดูไม่เรียบร้อยห่ามเถื่อนจนเกินไป เขาชอบผู้ชายที่ดูสุภาพอย่างจ๊อบ “ไอ้อ้น มึงพาแฟนกลับไปด้วยเลย กูไม่อยากเห็นหน้ามัน” “พ่อแฟนอ้นนะ” “กูรู้แล้วว่าแฟนมึงกูก็ไม่ได้ห้ามว่ามึงอย่ามีแฟนนี่ แต่ให้หาที่ดีกว่านี้หน่อยไม่ไม่เหรอ เอาผีบ้าผีบอจากที่ไหนมาเนี่ย” “ผมไม่ใช่ผีบ้าผีบอนะครับ ผมเป็นคนเหมือนพ่อนั่นแหละ วันนี้เดี๋ยวผมจะทำกับข้าว ซักผ้าถูกบ้านให้เอง เอ่อ เดี๋ยวจะไปถางหญ้าหวดทีทำทุกอย่างให้สะอาดเลย พ่อรออยู่นี่แหล่ะ” “อ้นคุยกับพ่อแม่ไปนะ เดี๋ยวเราจะไปทำงานบ้านและนอกบ้าน” เมื่ออ้นพูดเสร็จเขาก็เข้าไปในครัวทำกับข้าว ที่เขาซื้อเตรียมพร้อมไว้ เพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจะต้องชนะใจพ่อตาให้ได้ ส่วนแม่ยายเอ้นคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร “ไอ้อ้น แฟนเองมันเพี้ยนแม่ว่า” “แม่ เอก็แบบนี้แหละ แต่เขาดูแลอ้นดีมากเลย ข้อสำคัญเขามีเวลาอยู่กับอ้นตลอด” “มีเวลาไม่มีประโยชน์ดูมึงดำไปมากเลย ไปอยู่กลางไร่กลางนามาแน่เลย” “ครับพ่อ” “นั่นไง กูเลี้ยงของกูไม
ช่วงหลังเลิกเรียนมักจะมีความวุ่นวาย ของบรรดานักศึกษาชายหญิง ยิ่งสถาบันการศึกษาที่อยู่ติดกันด้วย แต่ยังดีที่สองสถาบันนี้ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เพราะเป็นการแยกระหว่างชายหญิงเลยก็ว่าได้ สถาบันแห่งหนึ่งเป็นวิทยาลัยเทคโนการช่างที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ส่วนอีกแห่งเป็นวิทยาลัยพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ผู้ชายก็มีแต่เป็นส่วนน้อย และเป็นส่วนน้อยที่ไม่มีการทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่นและการจราจรหน้าสถาบันสองแห่งนี้ ก็เริ่มติดขัด เพราะบรรดานักศึกษาเริ่มทยอยกลับบ้าน เฉกเช่นเดียวกับอ้นนักศึกษาพาณิชย์ปี3 ที่ค่อยๆขับมอเตอร์ไซค์ออกจากวิทยาลัยและขับผ่านหน้าวิทยาลัยเทคโนการช่าง ที่มีแต่กลุ่มเด็กช่างจับกลุ่มคุยกัน เสียงดังแข่งกับเสียงรถที่แล่นผ่านอ้นพยายามที่จะไม่มองสองฝากฝั่ง เพราะกลัวเด็กช่างหาว่ามองหน้า เดี๋ยวจะถูกรุมทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบรรดาหนุ่มในอาชีวะรู้ข้อนึ้เป็นอย่างดีทุกคนอ้นได้ขับรถมอเตอร์ไซค์เลยวิทยาลัยเทคโนการช่างมาพอสมควร เขาจึงเริ่มเบาใจแต่แล้วกลับมีสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกตกใจจนได้ เพราะหนุ่มเทคโนวิ่งตัดหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของเขา อ้นเบรครถกะทันหัน จึงทำให้ล้อหลังปัดจนเกือบล้ม แต่ก็ยังด