ขึ้นเตียงกันมาตั้งกี่ครั้ง ขนาดรอยกัดที่ข้าทำไว้ก็ยังมี แต่ท่านกลับไม่ยอมรับข้าและลูก! ฟ้อง! ข้าจะฟ้อง! ต่อให้ต้องขึ้นศาลอับอายไปข้าง! ข้าก็จะฟ้องท่านให้ยอมรับข้ากับลูกให้ได้!
View Moreทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา
ทารกที่ 4เซียวอัน“อะไรนะ! เมื่อกี้ท่านแม่กล่าวว่าอะไร!”เมิ่งจื่อถึงกับสะดุ้ง เพราะท่านแม่บอกว่าจะแต่งเขยเข้าบ้าน แบบนี้นางต้องไม่ถูกสามีรังแกแน่นอน“เด็กโง่ แม่ย่อมคิดอ่านแทนเจ้า”นางเมิ่งซือลูบเส้นผมบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางต่อไปเรื่อยๆ อธิบายข้อดี บอกว่าแต่งแล้วก็ยังได้อยู่ที่บ้าน ทั้งยังไม่ต้องถูกพ่อแม่สามีจิกหัวใช้งาน“จื่อจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ครอบครัวพวกเราตามหลักย่อมไม่มีปัญญาแต่งเขยเข้าบ้าน”เมิ่งจื่อพยักหน้า ชื่อเสียงบุรุษมีค่าแค่ไหน หากไม่อับจนสิ้นหนทาง ผู้ชายดีๆ มีหรือจะลดตัวแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ยอมให้บุตรที่เกิดมาใช้แซ่ภรรยา“จื่อจื่อ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เจ้าช่วยไว้ดูดีหรือไม่?” เมิ่งจื่อฟุบอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางผงกศีรษะอย่างโง่งม ตอบไปตามจริงว่า หล่อมากท่านแม่ “…”ในความคิดของเมิ่งจื่อ เขาหล่อกว่าพี่เสิ่นมาก นางเป็นคนปากกับใจตรงกัน พอท่านแม่ถามนางก็ตอบ ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรนางเมิ่งซือคิดว่าหว่านล้อมบุตรสาวได้แล้ว จึงใช้ยาแรงในคำถามสุดท้ายทันที“จื่อจื่อ แม่จะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้ายินดีหรือไม่?”สาวน้อยกำลังมึนงงกับคำถามก่อนหน้า พอได้ยินพลันสั่นสะท้าน จากนั้นทิ้งตัวลง
ทารกที่ 3ข้าจะแต่งภายในห้อง การเจรจาของนางเมิ่งซือจบลง เซียวเฟิงที่มึนงงพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่พอคิดว่าต้องรับน้องสาวผู้นั้นเป็นภรรยา เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบเท่าใด ยังไงตัวเองก็ไม่มีที่ไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตก็แล้วกันเซียวเฟิงฟังคำถามมากมายจนหัวหมุน ทั้งยังพยายามนึกถึงความทรงจำ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ได้แต่นอนเงยหน้ามองหลังคาไม้ เพราะถูกผู้อาวุโสทั้งสองไล่ให้มานอนในห้องครัวบ้านของเมิ่งจื่อปลูกเป็นกระท่อมไม้ติดกันสามหลัง ห้องครัวแยกออกมาด้านข้าง ส่วนหลังยังมีเล้าหมูและไก่ เลยไปอีกหน่อยเป็นแปลงผักเล็กๆ ที่นางกับมารดาช่วยกันทำสองคนกระท่อมตรงกลางเป็นของบิดามารดา ฝั่งขวาเป็นของน้องชาย ฝั่งซ้ายจึงเป็นของนางเองเวลาเดินไปเรื่อยๆ เมิ่งจื่อร่าเริงน่ารักกระโดดโลดเต้นไปทั่ว นางราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเพิ่งคิดตาย กับกลายมาเป็นหญิงสาวที่ยิ้มร่า หยอกเย้ากับน้องชายอยู่บนเนินเขาหลังบ้านตนเอง“เหอ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นนางแพศยาเมิ่ง!”ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มหญิงสาวสี่คน พวกนางผอมสูงต่างกัน กล่าวถากถางเมิ่งจื่อตั้งแต่นางยังไม่เห็นตัวเมิ่งจื่อหันขวับ หากแต่พอเห็นผู้มา รอยยิ้
ทารกที่ 2ศพลอยน้ำเวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้วเมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออกเจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ!สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่ง หากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดูเมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจร
ทารกที่ 1ข้าอยากตายหมูบ้านหลิวชิ่ง ไม่ไกลจากอำเภอไท่หัง แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมือง แต่ความเป็นอยู่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงกันดารมาก แต่ละวันเมิ่งจื่อต้องนำเสื้อผ้าของของตนและของน้องชายไปซัก หอบหิ้วไปที่แม่น้ำไท่ซุย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของนางเองหากแต่ตอนนี้นางไม่มีหน้าโผล่ไปที่นั่นแล้ว…บนเนินเขาลาดชัน เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้หลั่งน้ำตานองหน้า นางอับอายจนไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อไปนี่เป็นเส้นทางหลังบ้านนางเอง สมัยก่อนนางมักจะขึ้นเขาด้วยทางลัดนี้ เสาะหาผักป่ากับน้องชายด้วยความเริงร่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากแต่ตอนนี้กับไม่ใช่ ในใจของนางเจ็บมาก เจ็บจนไม่อยากพบผู้ใดอีก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยากพบ เลยเดินขึ้นเขากลางดึกโดยที่ในมือมีเชือกหนึ่งเส้น คิดว่าตายๆ ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปย้อนเวลากลับไปครึ่งเดือนก่อน ความจริงอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นกำหนดแต่งงานของเมิ่งจื่อ แต่ยังไม่ถึงวันแต่งก็ราวกับสายฟ้าฟาด คู่หมั้นของนางส่งผู้ใหญ่มาถอนหมั้น จนคนทั้งหมู่บ้านซุบซิบนินทากันไปทั่ว ว่านางมีปัญหาอันใดกันแน่ยังคงเป็นบนเนินเขา เมิ่งจื่อเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เป้าหมายของนางอยู่ที่ต้นเฟิงต้นนั้น ต้นที่พี่เสิ่น
ทารกที่ 1ข้าอยากตายหมูบ้านหลิวชิ่ง ไม่ไกลจากอำเภอไท่หัง แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมือง แต่ความเป็นอยู่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงกันดารมาก แต่ละวันเมิ่งจื่อต้องนำเสื้อผ้าของของตนและของน้องชายไปซัก หอบหิ้วไปที่แม่น้ำไท่ซุย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของนางเองหากแต่ตอนนี้นางไม่มีหน้าโผล่ไปที่นั่นแล้ว…บนเนินเขาลาดชัน เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้หลั่งน้ำตานองหน้า นางอับอายจนไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อไปนี่เป็นเส้นทางหลังบ้านนางเอง สมัยก่อนนางมักจะขึ้นเขาด้วยทางลัดนี้ เสาะหาผักป่ากับน้องชายด้วยความเริงร่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากแต่ตอนนี้กับไม่ใช่ ในใจของนางเจ็บมาก เจ็บจนไม่อยากพบผู้ใดอีก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยากพบ เลยเดินขึ้นเขากลางดึกโดยที่ในมือมีเชือกหนึ่งเส้น คิดว่าตายๆ ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปย้อนเวลากลับไปครึ่งเดือนก่อน ความจริงอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นกำหนดแต่งงานของเมิ่งจื่อ แต่ยังไม่ถึงวันแต่งก็ราวกับสายฟ้าฟาด คู่หมั้นของนางส่งผู้ใหญ่มาถอนหมั้น จนคนทั้งหมู่บ้านซุบซิบนินทากันไปทั่ว ว่านางมีปัญหาอันใดกันแน่ยังคงเป็นบนเนินเขา เมิ่งจื่อเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เป้าหมายของนางอยู่ที่ต้นเฟิงต้นนั้น ต้นที่พี่เสิ่น...
Comments