ทารกที่ 1
ข้าอยากตาย
หมูบ้านหลิวชิ่ง ไม่ไกลจากอำเภอไท่หัง แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมือง แต่ความเป็นอยู่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงกันดารมาก แต่ละวันเมิ่งจื่อต้องนำเสื้อผ้าของของตนและของน้องชายไปซัก หอบหิ้วไปที่แม่น้ำไท่ซุย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของนางเอง
หากแต่ตอนนี้นางไม่มีหน้าโผล่ไปที่นั่นแล้ว…
บนเนินเขาลาดชัน เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้หลั่งน้ำตานองหน้า นางอับอายจนไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่เป็นเส้นทางหลังบ้านนางเอง สมัยก่อนนางมักจะขึ้นเขาด้วยทางลัดนี้ เสาะหาผักป่ากับน้องชายด้วยความเริงร่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากแต่ตอนนี้กับไม่ใช่ ในใจของนางเจ็บมาก เจ็บจนไม่อยากพบผู้ใดอีก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยากพบ เลยเดินขึ้นเขากลางดึกโดยที่ในมือมีเชือกหนึ่งเส้น คิดว่าตายๆ ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไป
ย้อนเวลากลับไปครึ่งเดือนก่อน ความจริงอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นกำหนดแต่งงานของเมิ่งจื่อ แต่ยังไม่ถึงวันแต่งก็ราวกับสายฟ้าฟาด คู่หมั้นของนางส่งผู้ใหญ่มาถอนหมั้น จนคนทั้งหมู่บ้านซุบซิบนินทากันไปทั่ว ว่านางมีปัญหาอันใดกันแน่
ยังคงเป็นบนเนินเขา เมิ่งจื่อเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เป้าหมายของนางอยู่ที่ต้นเฟิงต้นนั้น ต้นที่พี่เสิ่นจูบนางครั้งแรก และเป็นครั้งเดียวในชีวิตของนาง
เมิ่งจื่อเกิดมาสิบสี่ปีไม่เคยลิ้มรสรัก แต่ปีก่อนจู่ๆ ท่านพ่อพาคนผู้หนึ่งมาที่บ้าน นางมิทราบพวกเขาคุยอันใดกัน แต่รู้ตัวอีกทีตนก็มีคู่หมั้นแล้ว จากนั้นพี่เสิ่นก็วนเวียนมาบ้านนางเรื่อยๆ หยอกเย้าจนนางหน้าแดงเขินอาย เขาเป็นนักศึกษาแก่เรียน นางพบว่าเขาร่ายกลอนมากมายก็นึกชอบ ถึงกับเผลอมอบจูบแรกให้ แล้วไฉนเขาทำกับนางเช่นนี้
ชื่อเสียงอิสตรีสำคัญยิ่ง ทันทีที่ถูกถอนหมั้นคนทั้งหมู่บ้านก็รับรู้ หญิงสาวรุ่นเดียวกับนางก็พากันยิ้มเยาะ ถากถางว่า “คิดกลายเป็นหงส์หรือ ตกลงมาจากฟ้ารู้สึกยังไงบ้าง คิก คิก”
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความเลวร้าย เพราะหลังจากนั้นนางยังถูกเหยียดหยาม โดยถูกเศรษฐีผู้หนึ่งสู่ขอให้ลูกชายปัญญาอ่อน กลายเป็นที่ขบขันของผู้คน!
“ฮือ ฮือ” เสียงร่ำไห้ของเมิ่งจื่อดังขึ้นที่ใต้ต้นเฟิง นางทำกรรมอันใดไว้หนอ ไฉนทุกคนรังแกนางเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนไม่เคยสัมผัสรสรักก็แล้วไป แต่ตอนนี้นางคิดถึงพี่เสิ่นมาก เขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าหากสอบติดจิ่นสือจะพานางไปดูงิ้วที่เมืองหลวง แล้วจะทำให้นางมีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นภรรยาขุนนางที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งของแผ่นดิน
ใช่แล้ว! พี่เสิ่นเป็นบัณฑิตชิวไฉ เขาอายุสิบห้าก็สอบได้ จัดเป็นผู้มีอนาคตไกลคนหนึ่งในอำเภอไท่หัง ขณะเมิ่งจื่อนึกถึงความหลัง นางก็สะอึกสะอื้นมัดเชือกเข้ากับกิ่งต้นเฟิง นำหินมาต่อกันจนสูง คิดปลิดชีพตนเองให้จบๆ ไป
“หวังว่าท่านพ่อท่านแม่จะให้อภัยข้า”
ก่อนรู้จักพี่เสิ่น เมิ่งจื่อใช้ชีวิตเลอะเลือนไปวันๆ นางไม่เคยคิดถึงการแต่งงานซักนิด แม้แต่บุรุษก็ไม่ชายตามอง ทั้งไม่ทราบว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวคืออะไร
จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังมิทราบ...
เพียงแต่เมิ่งจื่อรู้สึกปวดใจ นางผิดหวัง ทั้งยังอับอายมาก เมิ่งจื่ออยู่ในหมู่บ้านไม่มีสหาย ทั้งนางก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมหญิงสาวคนอื่นรังเกียจนางนัก ทั้งๆ ที่นางก็โตมาพร้อมๆ กับทุกคน
***
สูงจากพื้นไปราวหัวเข่า เมิ่งจื่อปลายเท้าสั่นกระตุก นางเตะขาของตนไปทั่ว ดิ้นกระแด่วกระแด่วห้อยอยู่บนกิ่งไม้ เพราะตอนนี้นางได้แขวนคอตายแล้ว!
“อืมมม อืมมม อืมมม” ในเวลาสุดท้าย สองมือนางตะกุยไปที่เส้นเชือก นี่เป็นปฏิกิริยาเอาตัวรอดของร่างกาย แม้นางจะอยากตายแค่ไหนก็ตามที
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น!
“แครก! โอ้ย! ตุบ!”
ท่ามกลางความมืดของป่าเขา แสงจันทร์เพียงน้อยนิดสาดส่องลอดกิ่งไม้ น่าสมเพชเมิ่งจื่อยิ่งนัก นางฆ่าตัวตายไม่สำเร็จซ้ำยังฉี่ราด ถูกเส้นเชือกที่ขาดทำให้ตกกระแทกพื้น สลบเหมือดไปทั้งอย่างนั้นเลย “…”
วันรุ่งขึ้น แสงตะวันแยงตาทำหน้าที่ปลุกเมิ่งจื่อ นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นปัสสาวะเหม็นคลุ้ง นี่เป็นนางเผลอปล่อยออกมาตอนควบคุมตนเองมิได้
“ฮือ! ฮือ! สวรรค์ พวกท่านรังแกข้า พวกท่านรังแกข้า!” เมิ่งจื่อพอรู้สึกตัว นางก็คร่ำครวญอีกครั้ง ถึงขั้นคิดว่าแม้แต่ทวยเทพยังกลั่นแกล้ง หรือยังเห็นหญิงสาวในหมู่บ้านรังแกนางไม่พออีก
พริบตานั้นอารมณ์อยากตายพลันปะทุขึ้น บนเนินสูงเหลียวมองลงมาก็พบกับแม่น้ำ ที่นั่นอยู่ไม่ไกลจากบ้านนางมาก เมิ่งจื่อมั่นใจอย่างยิ่ง หากโดดลงไป นางต้องตายสมใจอย่างแน่นอน
ณ บ้านตระกูลเมิ่ง
ครอบครัวเมิ่งจื่อมีอยู่ด้วยกันเพียงสี่ชีวิต เมิ่งไท่อี้ประกอบอาชีพนายพราน แต่ละวันขึ้นเขาล่าสัตว์ หากเป็นปกติ ยามนี้คงปลุกบุตรีของตนไปซักผ้า บางครั้งก็ให้นางช่วยไปเก็บกับดักเป็นเพื่อนบนเขา
“ท่านพี่ จื่อจื่อยังไม่ตื่นอีกหรือ คงมิใช่นางคิดสั้นผูกคอตายอีกแล้วนะ!”
นางเมิ่งซือผู้เป็นมารดา ถามสามีที่ผ่าฟืนอยู่ตรงลานหน้าบ้าน สายตาก็จ้องมองไปที่ประตูกระท่อมของบุตรสาว เพราะตะวันสายโด่งขนาดนี้ นางยังไม่เปิดประตูออกมา
“จื่ออี เจ้าไปเรียกพี่สาวออกมา”
เมิ่งจื่ออีผู้เป็นน้องชายวางงานในมือลง เดินก้มหน้าก้มตาไปเรียก เขารู้ว่าหลายวันนี้พี่สาวทุกข์ใจมาก ในใจก็นึกสงสาร ไฉนเกิดเรื่องเลวร้ายกับนางแบบนี้
หลายวันก่อนผู้พี่ของเขาถึงขั้นผูกคอตาย!
นับตั้งแต่ถอนหมั้น ความจริงเมิ่งจื่อก็เสียใจอยู่แล้ว แต่นางยังคงเป็นเพียงเด็กสาวแรกแย้ม ไหนเลยรู้จักคำว่าน้ำลายฆ่าคนได้ จนกระทั่งนางนำเสื้อผ้าไปซักที่แม่น้ำตามปกติ หลังจากนั้นนางถึงได้รู้ ว่าคำพูดเสียดแทงสามารถฆ่าคนได้จริงๆ
ตอนแรกเมิ่งจื่อแม้เสียใจ แต่นางยังมิได้ถึงขั้นร่ำไห้ฟูมฟาย หากแต่วันรุ่งขึ้น นางนำผ้าไปซัก หญิงสาวในหมู่บ้านสิบกว่าคนก็อยู่ที่นั่น พวกนางถึงกับรุมถากถางรังแกนางไปทั่ว ซ้ำยังมีพี่สาวผู้หนึ่งกล่าวว่า เห็นนางจูบกับพี่เสิ่นบนเนินเขา แล้วพูดเยาะเย้ยว่า ต้องเป็นเพราะนางเป็นหญิงใจง่ายแน่ๆ คุณชายเสิ่นพอทราบว่านางไม่บริสุทธิ์ถึงได้ถอนหมั้น หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาเล่นนางจนเบื่อแล้ว
นี่เป็นความลับ เป็นความลับของเมิ่งจื่อ!!!
ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าไม่มีผู้คนอยู่แถวนั้นแท้ๆ เมิ่งจื่อจึงเผลอปล่อยตัวมอบจูบแรกให้เขา แต่กับคิดไม่ถึงว่ามีผู้พบเห็น ซ้ำยังนำมาเป็นเรื่องถมถุยใสนาง จากคราแรกเพียงเสียใจเล็กน้อยเท่านั้น พอถูกเปิดโปงความลับ เมิ่งจื่อพลันร้องไห้โฮออกมา
ที่ริมแม่น้ำ หญิงสาวชาวบ้านหัวเราะคิกคัก พวกนางสะใจมาก ปกติเมิ่งจื่อก็เป็นที่ขัดตาอยู่แล้ว ยิ่งช่วงเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นางถึงกับหมั้นหมายคุณชายเสิ่น แต่ละคนก็ยิ่งอิจฉาจนแทบอกแตกตาย!
หมู่บ้านหลิวชิ่งเล็กแค่ไหน ชายหนุ่มรุ่นเล็กมีใครบ้างอ่านออกเขียนได้ ทั้งเขายังสอบชิวไฉได้ตั้งแต่อายุน้อย ดังนั้นจึงเป็นที่หมายปองของเหล่าสาวๆ ในหมู่บ้าน และริษยาเมิ่งจื่อที่วาสนาดี
หลังจากถูกรังแกตอนไปซักผ้าหนึ่งรอบ เมิ่งจื่อยังมีเรื่องให้ทุกข์ใจเพิ่มขึ้น วันต่อมาข่าวของนางก็ดังไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างกล่าวว่านางมิใช่หญิงบริสุทธิ์ เป็นนางแพศยาน้อยที่ใครๆ ก็ขึ้นขี่ได้!
เมิ่งจื่อยังมิถึงวัยปักปิ่นเสียด้วยซ้ำ นางอายุเท่าไรกันเชียว มีหรือจะรับคำกล่าวหาร้ายแรงเช่นนี้ได้ ต่อจากนั้นอีกสามวันก็มีแม่สื่อมาหานางที่บ้าน บอกว่าต้องการสู่ขอไปให้ลูกชายพ่อค้าหมูคนหนึ่ง
วันนั้นบิดานางข่มความโกรธแค้น ไล่แม่สื่อกลับไปอย่างสุภาพ แต่วันรุ่งขึ้นก็มีมาอีก ถึงกับทาบทามนางให้แต่งกับชายแก่กว่าพ่อ ทั้งยังเสนอสินสอดเพียงแค่แป้งสาลีกระสอบเดียว!
แต่ละวันของเมิ่งจื่อผ่านไปด้วยคราบน้ำตา ในที่สุดความอดทนของนางขาดสะบั้น เมื่อเศรษฐีในอำเภอส่งพ่อบ้านมาหาท่านพ่อ บอกว่าต้องการแต่งนางให้บุตรชายของเขา ทั้งๆ ที่ใครๆ ต่างก็ทราบ ว่าเจ้าคนผู้นั้นอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่เพราะปัญญาอ่อนจึงยังไม่แต่งเมีย
ค่ำคืนนั้น เมิ่งจื่อคิดสั้นเป็นครั้งแรก นางผูกคอตนเองกับขื่อกระท่อม เพราะนางทนถูกคนใจร้ายพวกนั้นรังแกไม่ไหวแล้วจริงๆ
ชื่อเสียงของนางป่นปี้ นางมิกล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน ไม่กล้าเผชิญหน้าผู้คน เพราะว่าพวกเขาใจร้ายกับนางเหลือเกิน
เพียงแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น ขื่อกระท่อมของนางกับหักลงมา “…”
นี่คือแม่น้ำไท่ซุย ชาวบ้านหลิวชิ่งกว่าพันชีวิตอาศัยแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะหาบไปใช้สอยหรือซักผ้า ล้วนตักมาจากสายน้ำแห่งนี้เอง
ความกว้างสิบกว่าวา หากข้ามสะพานก็จะไปยังอำเภอภูไถ เมิ่งจื่อกลัวถูกผู้คนพบเห็นจึงเดินเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ หวังจะไปกระโดดฆ่าตัวตายตรงชะง่อนหิน ตรงที่นางเคยมานั่งตกปลากับน้องชายเป็นประจำ
“ฮือ! ฮือ! ข้าไม่ผูกคอตายแล้ว ดูว่าพวกท่านยังจะรังแกข้าได้อีกหรือไม่!” “…”
เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้พึมพำ พวกท่านที่ว่าย่อมหมายถึงเทวดานางฟ้า ในความเข้าใจของสาวน้อย นางคิดว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่เทพเซียนสวรรค์ยังรังแกนาง
น่าเวทนาเมิ่งจื่อยิ่งนัก ในวัยไม่เต็มสิบห้า นางกับหัวใจแตกสลายสิ้นหวัง แม้แต่ตนเองก็ไม่เข้าใจไฉนสิ้นหวังเช่นนี้ เป็นเพราะถูกยกเลิกการหมั้นหมาย หรือถูกข่มเหงเหยียดหยามรังแก
“ฮือ! ฮือ! ฮือ!” !!!
บนชะง่อนหิน เมิ่งจื่อพอมาถึงก็ต้องทรุดตัวลงกอดเข่าร้องไห้โฮ นี่มันสวรรค์กลั่นแกล้งชัดๆ ขนาดเปลี่ยนมาเป็นโดดน้ำ ยังรังแกนางอีกหรือ
ห่างไปราวสิบกว่าวา กลางแม่น้ำตอนบน เมิ่งจื่อแทบไม่อยากจะเชื่อ ตรงนั้นมีศพลอยอยู่ในน้ำ เป็นศพคนไม่ผิดอย่างแน่นอน!
เสียงร้องโหยหวนของเมิ่งจื่อดังลั่น นางไม่อยากตายแล้ว นางไม่อยากตายแล้ว!
เมื่อเห็นศพลอยขึ้นอืด จู่ๆ เมิ่งจื่อที่โง่งม พลันไม่อยากตายแล้วจริงๆ
ตรงหน้าสาวน้อยเป็นศพไร้ญาติ เมิ่งจื่อพอคิดถึงสภาพของตน หากโดดลงไปก็คงเป็นเช่นนี้ อุบาทจนทนดูไม่ได้เลย “…”
***
ทารกที่ 2ศพลอยน้ำเวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้วเมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออกเจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ!สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่ง หากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดูเมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจร
ทารกที่ 3ข้าจะแต่งภายในห้อง การเจรจาของนางเมิ่งซือจบลง เซียวเฟิงที่มึนงงพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่พอคิดว่าต้องรับน้องสาวผู้นั้นเป็นภรรยา เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบเท่าใด ยังไงตัวเองก็ไม่มีที่ไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตก็แล้วกันเซียวเฟิงฟังคำถามมากมายจนหัวหมุน ทั้งยังพยายามนึกถึงความทรงจำ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ได้แต่นอนเงยหน้ามองหลังคาไม้ เพราะถูกผู้อาวุโสทั้งสองไล่ให้มานอนในห้องครัวบ้านของเมิ่งจื่อปลูกเป็นกระท่อมไม้ติดกันสามหลัง ห้องครัวแยกออกมาด้านข้าง ส่วนหลังยังมีเล้าหมูและไก่ เลยไปอีกหน่อยเป็นแปลงผักเล็กๆ ที่นางกับมารดาช่วยกันทำสองคนกระท่อมตรงกลางเป็นของบิดามารดา ฝั่งขวาเป็นของน้องชาย ฝั่งซ้ายจึงเป็นของนางเองเวลาเดินไปเรื่อยๆ เมิ่งจื่อร่าเริงน่ารักกระโดดโลดเต้นไปทั่ว นางราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเพิ่งคิดตาย กับกลายมาเป็นหญิงสาวที่ยิ้มร่า หยอกเย้ากับน้องชายอยู่บนเนินเขาหลังบ้านตนเอง“เหอ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นนางแพศยาเมิ่ง!”ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มหญิงสาวสี่คน พวกนางผอมสูงต่างกัน กล่าวถากถางเมิ่งจื่อตั้งแต่นางยังไม่เห็นตัวเมิ่งจื่อหันขวับ หากแต่พอเห็นผู้มา รอยยิ้
ทารกที่ 4เซียวอัน“อะไรนะ! เมื่อกี้ท่านแม่กล่าวว่าอะไร!”เมิ่งจื่อถึงกับสะดุ้ง เพราะท่านแม่บอกว่าจะแต่งเขยเข้าบ้าน แบบนี้นางต้องไม่ถูกสามีรังแกแน่นอน“เด็กโง่ แม่ย่อมคิดอ่านแทนเจ้า”นางเมิ่งซือลูบเส้นผมบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางต่อไปเรื่อยๆ อธิบายข้อดี บอกว่าแต่งแล้วก็ยังได้อยู่ที่บ้าน ทั้งยังไม่ต้องถูกพ่อแม่สามีจิกหัวใช้งาน“จื่อจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ครอบครัวพวกเราตามหลักย่อมไม่มีปัญญาแต่งเขยเข้าบ้าน”เมิ่งจื่อพยักหน้า ชื่อเสียงบุรุษมีค่าแค่ไหน หากไม่อับจนสิ้นหนทาง ผู้ชายดีๆ มีหรือจะลดตัวแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ยอมให้บุตรที่เกิดมาใช้แซ่ภรรยา“จื่อจื่อ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เจ้าช่วยไว้ดูดีหรือไม่?” เมิ่งจื่อฟุบอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางผงกศีรษะอย่างโง่งม ตอบไปตามจริงว่า หล่อมากท่านแม่ “…”ในความคิดของเมิ่งจื่อ เขาหล่อกว่าพี่เสิ่นมาก นางเป็นคนปากกับใจตรงกัน พอท่านแม่ถามนางก็ตอบ ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรนางเมิ่งซือคิดว่าหว่านล้อมบุตรสาวได้แล้ว จึงใช้ยาแรงในคำถามสุดท้ายทันที“จื่อจื่อ แม่จะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้ายินดีหรือไม่?”สาวน้อยกำลังมึนงงกับคำถามก่อนหน้า พอได้ยินพลันสั่นสะท้าน จากนั้นทิ้งตัวลง
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา