ทารกที่ 7
เจ้าหน้าที่ทางการ
ยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด
“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป
“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆ
จูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆ
บนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมาก
ใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิดได้ก็เลยไม่เก็บคำพูดจูเอ๋อมาใส่ใจ ความจริงเมิ่งจื่อเป็นพวกปากตรงกับใจ ในเมื่ออีกฝ่ายถามว่าใครเอาดีกว่ากันนางก็จะตอบ แต่นางไม่เคยลิ้มรสชาติไอ้นั่นของพี่เสิ่น ดังนั้นจึงตอบไม่ได้ สุดท้ายเลยพูดประชดออกไป
ก็สามีนางเอาดีจริงๆ นี่นา! แต่เอาดีแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนาง?
วันเวลาของเมิ่งจื่อก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
หลายวันต่อมา บนเขาไท่โจว ที่กระท่อมน้อยแห่งหนึ่ง นายพรานสิบกว่าคนตกลงกันว่า จะแบ่งออกเป็นกลุ่มละสี่คน กระจายกำลังกันเดินไปคนละทิศ อีกสามวันให้หลังค่อยกลับมาพบกันที่กระท่อมหลังนี้
พอทั้งหมดเริ่มแยกย้าย กลุ่มของเมิ่งไท่อี้ก็ประกอบไปด้วยเหล่าหงเหล่าจาง บวกกับพ่อตาลูกเขยเป็นสี่คนพอดี เบื้องหน้าเป็นเขาสูงป่าทึบ ปีนโขดหินขวากไม้ไปได้ซักระยะ เซียวเฟิงก็บอกพ่อตาว่าตนจะแยกตัวไปอีกทาง เพราะหากเกาะกลุ่มกันไปท่านพ่อกับลุงทั้งสองคงยิงสัตว์ป่าไม่ทันข้า แม้จะเป็นคำพูดยกตนข่มท่านอยู่บ้าง แต่ผู้อาวุโสทั้งสามกับหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า รีบไล่ให้เซียวเฟิงแยกตัวไปไวๆ “…”
ตรงนี้มีใครบ้างไม่เคยล่าสัตว์พร้อมเซียวเฟิง โดยเฉพาะเมิ่งผู้พ่อ ฝีมือธนูของเขาจัดอยู่ในอันดับสุดท้าย หากลูกเขยหนีไปยังพอจะวัดสูงต่ำกับสหายอีกสองคน
“เช่นนี้ก็ดี อีกสองวันเราไปเจอกันที่ยอดเขาตรงนู้น แล้วค่อยลงเขาพร้อมกัน”
เมิ่งไท่อี้ชี้ไปที่ยอดสูงชันที่อยู่ไกลลิบ จากนั้นเซียวเฟิงแยกตัวไปทางตะวันออก ใช้มีดยาวเท่าศอกฟันเถาวัลย์ไม้แหวกทางไปเรื่อย…
***
ผ่านไปหกวันแล้ว สามีและท่านพ่อของเมิ่งจื่อยังไม่กลับมา หากแต่หมู่บ้านเกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะมือปราบทางการปิดเส้นทางเข้าออก มิทราบพวกเขากำลังตรวจหาอะไรกันแน่
นี่มิใช่เพียงหมู่บ้านหลิวชิ่ง พื้นที่ส่านซีสามมณฑลถูกปิด ทหารรักษาการและมือปราบท้องถิ่นตั้งด่านสกัดกันให้วุ่น ชาวบ้านทั่วไปก็ไม่รู้ ว่าไฉนพวกเขาเข้มงวดเช่นนี้
“ท่านแม่ ข้าเป็นห่วงท่านพ่อกับท่านพี่จังเลย”
เมิ่งจื่อกินข้าวไม่ลง เมื่อเช้ามีมือปราบบุกมาค้นหมู่บ้าน เรียกตัวผู้ใหญ่บ้าน ทั้งยังให้ทุกคนไปรวมตัวกันหน้าประตูทางเข้า ตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ บอกว่ากำลังตามจับฆาตกรหลบหนีคดี
แน่นอนว่าลุงผู้ใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หมู่บ้านหลิวชิ่งมีคนแค่พันกว่าเท่านั้น ตรวจสอบดูแล้วไม่มีผู้คนแปลกปลอมมาเพิ่ม แต่กับหายไปถึงสิบกว่าคน
“คนในรายชื่อหายไปไหน?”
“เรียนหวังซุยกวน ทั้งหมดนี้เป็นนายพรานขอรับ ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว”
ตรงหน้าเป็นขุนนางสืบสวนตำแหน่งซุยกวน เขาแซ่หวังทำงานอยู่อำเภอไท่หังมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นจึงรู้จักมักคุ้นกับผู้ใหญ่บ้าน พอได้ฟังดังนั้นจึงสอบถามหาครอบครัวผู้ที่ไม่อยู่ นางเมิ่งซือก็ถูกเรียกให้เดินขึ้นหน้า รับการสอบถามของท่านขุนนาง
“สองคนในรายชื่อเป็นอะไรกับเจ้า?”
“เรียนใต้เท้า สามีขับลูกเขยเราเองเจ้าคะ”
คำถามและคำตอบที่เรียบง่ายผ่านไป หวังซุยกวนไล่นางเมิ่งซือกลับเข้าไปในกลุ่มคน จากนั้นถามครอบครัวอื่นต่อ เมื่อไม่พบความผิดปกติอันใดก็สั่งมือปราบสิบกว่าคนให้เดินทางไปหมู่บ้านข้างๆ จากนั้นกำชับผู้ใหญ่บ้าน หากพบคนแปลกหน้าผ่านมาให้รีบแจ้งทางการทันที
บนเขาไท่โจว นายพรานสิบกว่าคนกำลังฮือฮากับสิ่งของที่เซียวเฟิงได้มา สามวันที่ออกล่าพวกเขาดวงไม่ดีนัก ได้เพียงสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น
“เหล่าเมิ่ง ข้าว่าต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องขึ้นเขาให้เหนื่อยอีกแล้วละ แค่ลูกเขยคนเดียวก็เลี้ยงพวกเจ้าทั้งตระกูลได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
นายพรานสิบกว่าคนหัวเราะลั่น บอกว่าเมิ่งจื่อวาสนาดี แต่งสามีร้ายกาจอย่างเซียวอันได้นับว่าชีวิตสุขสบายแล้ว
เหล่าหงเหล่าจางพลันได้หน้าไปด้วย พวกเขาฮือฮาก่อนรอบหนึ่งตั้งแต่เมื่อวาน เซียวอันที่แยกตัวไปถึงกับยิงหมีและเสือได้ แล่เอาอุ้งตีนและดีหมี แม้แต่หนังก็นำกลับมาด้วย
เพียงแค่หนังเสือกับหนังหมี หากนำไปขายก็ได้สิบกว่าตำลึงแล้ว เซียวเฟิงเห็นลุงทั้งสองไม่ได้ของดีติดมือ ก็แบ่งตีนหมีให้คนละสองข้าง ทั้งยังมอบเขี้ยวเสือให้คนละอัน
นี่เป็นของมีค่า เหล่าหงเหล่าจางปฏิเสธไม่ลง พวกเขายิ้มหน้าบานรับไว้ คิดในใจหากนำไปขายอย่างน้อยๆ ก็ได้ห้าถึงหกตำลึง
แต่ละปีนายพรานหลิวชิ่งล่าเสือและหมีได้รวมกันไม่ถึงห้าตัว เพราะไม่สามารถแบกกลับมาได้ เซียวเฟิงจึงแล่เอามาแค่บางส่วน ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นอาหารสัตว์ป่าต่อไป
ทั้งหมดรวมตัวกันลงเขา ตลอดทางกลับก็สอบถามเซียวเฟิงเรื่องหมีและเสือที่ล่ามาได้
จนกระทั่งเหล่านายพรานเข้าเขตชุมชน!
“หยุดไว้! วางธนูพวกเจ้าลงซะ!”
ตรงหน้าเป็นด่านตรวจการ เจ้าหน้าที่พอเห็นคนสิบกว่าสะพายธนู ต่างก็ชักดาบพากันวิ่งวุ่น สุดท้ายคณะของเซียวเฟิงถูกกักขังอยู่ในวงล้อม รีบทิ้งธนูบนแผ่นหลังด้วยความรวดเร็ว
ตามหลักเมื่อไม่ได้ออกนอกเขต มิจำเป็นต้องพกพาใบผ่านทาง ไท่โจวอยู่ห่างจากไท่หังไม่กี่สิบลี้ ดังนั้นนายพรานทุกคนจึงไม่มีเอกสารระบุตัวตน
หลังการสอบถาม แม้เจ้าหน้าที่จะรู้ว่าพวกเซียวเฟิงเป็นนายพรานจริง แต่พวกเขาพอให้หนังเสือและหมีก็เกิดความโลภ คิดขู่เข็นบังคับเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
การโต้เถียงเกิดขึ้น หัวหน้าสายตรวจบอกว่าหากอยากผ่านไปให้ทิ้งหนังเสือไว้ มิเช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าแสดงหนังสือผ่านทางมา
ตามความเข้าใจ รายงานลับบอกว่าจวนเจ้าเมืองถงหลิงถูกเผา ให้ทุกท้องที่ส่านซีสกัดตรวจค้น โดยเฉพาะหากพบเจอภาพวาดให้ยึดไว้ หรือพบเจอคนที่ระบุตัวตนไม่ได้ก็ให้จับกุม
แต่ถงหลิงอยู่ห่างไปเกือบสามร้อยลี้ หลบหนีให้ตาย ภายในสามวันก็คงไม่มีเวลามากพอมาล่าสัตว์ พวกเขาจึงไม่คิดว่านายพรานเหล่านี้เป็นคนร้ายแต่อย่างใด
เมื่อถูกขู่กรรโชกเช่นนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าเซียวอันคงเสียหนังสัตว์ล้ำค่าแน่ๆ แต่ก็ผิดคาด เมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่า ยกให้พวกท่านก็ได้
หากแต่พอหัวหน้าสายตรวจจะเดินมาหยิบไป ทุกคนกับได้ยินเซียวอันเอ่ยขึ้น เขาบอกว่า “แต่หนังสองผืนนี้เป็นชายาอ๋องเฉิงสั่งมา พวกเรากลับไปพอถูกสอบถามคงต้องกล่าวออกไปตามตรง”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดพอได้ยินว่าเป็นคนของจวนอ๋องเฉิงถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่หัวหน้าสายตรวจเป็นใคร เขาเคยพบเห็นผู้คนแอบอ้างถึงจวนอ๋องไม่น้อย ไหนเลยกลัวการข่มขู่เพียงครั้งเดียว
“เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้ คิดว่ายกจวนอ๋องมาอ้างแล้วข้าจะไม่กล้าเอาไปหรือ”
“อภัยใต้เท้า ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าไม่ยินยอมให้ท่าน”
เซียวเฟิงกล่าวเท่านี้ก็เดินผ่านด่านตรวจไป ไม่หันหลังกลับมามองผืนหนังทั้งสองอีก
คราวนี้หัวหน้าสายตรวจเริ่มหวาดกลัวแล้วจริงๆ!
หากเจ้าหนุ่มนั่นมีท่าทีขัดขืนเขายังพอเชื่อได้ว่าแอบอ้าง แต่นี่กับเดินหนีไปเฉยๆ สถานการณ์เช่นนี้คือการเสี่ยงดวงชัดๆ หากเจ้าหนุ่มนั่นได้รับคำสั่งจากจวนอ๋องมาจริง โทษฐานแย่งชิงข้าวของชายาอ๋อง ต่อให้เขามีสิบศีรษะก็คงไม่พอตัด
“เดี๋ยวก่อน! น้องชายเดี๋ยวก่อน!”
ด้านหลังด่านตรวจ นายพรานหลิวชิ่งสิบกว่าคนถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นหัวหน้าสายตรวจขอโทษขอโพยคืนผืนหนัง บอกว่าเรื่องวันนี้เป็นการเข้าใจผิด หวังว่าจะไม่ติดใจอะไรกัน
แม้แต่พ่อตาเมิ่งก็อึ้งในตัวบุตรเขยเช่นกัน!
เดินต่อไปได้ซักระยะ ทุกคนก็พากันวิ่งมารุมเซียวเฟิงเพื่อซักถาม
“เซียวอัน เจ้าเป็นคนของจวนอ๋องจริงหรือ?”
เหล่าจางเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก เซียวเฟิงเห็นทุกคนสนใจจึงหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เลิกคิ้วบอกว่า “ผู้หลานหลอกพวกมันนะ เห็นหน้าตอนเจ้าคนอวดเบ่งตกใจหรือไม่ หลานคิดว่าคืนนี้มันต้องกลับไปนอนฝันร้ายแน่ๆ”
ได้ยินดังนั้นทุกคนก็เฮลั่น หัวเราะสะใจในความเจ้าเล่ห์ของเขยขวัญตระกูลเมิ่ง ที่สามารถหลอกเจ้าหน้าที่ทางการให้คายของที่ยึดไปออกมาได้
คนทั้งหมดไม่กลับเข้าหมู่บ้านทันที พวกเขาแวะเข้าตัวอำเภอ เซียวเฟิงได้ของดีมากสุดจึงนำหนังเสือกับหมีไปขาย ได้มาสิบเก้าตำลึงเงิน
หนึ่งพันเหวินเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน คราวก่อนเนื้อสิบกว่าชั่งยังขายได้แค่ไม่กี่ร้อยเหวิน เซียวเฟิงพริบตากลายเป็นผู้มีฐานะ เขามอบทั้งหมดให้พ่อตา เหลือติดตัวไว้เล็กน้อย นำไปซื้อสุราหลายไหกลับไปฉลองกับทุกคน
“…”
***
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 1ข้าอยากตายหมูบ้านหลิวชิ่ง ไม่ไกลจากอำเภอไท่หัง แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมือง แต่ความเป็นอยู่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงกันดารมาก แต่ละวันเมิ่งจื่อต้องนำเสื้อผ้าของของตนและของน้องชายไปซัก หอบหิ้วไปที่แม่น้ำไท่ซุย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของนางเองหากแต่ตอนนี้นางไม่มีหน้าโผล่ไปที่นั่นแล้ว…บนเนินเขาลาดชัน เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้หลั่งน้ำตานองหน้า นางอับอายจนไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อไปนี่เป็นเส้นทางหลังบ้านนางเอง สมัยก่อนนางมักจะขึ้นเขาด้วยทางลัดนี้ เสาะหาผักป่ากับน้องชายด้วยความเริงร่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากแต่ตอนนี้กับไม่ใช่ ในใจของนางเจ็บมาก เจ็บจนไม่อยากพบผู้ใดอีก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยากพบ เลยเดินขึ้นเขากลางดึกโดยที่ในมือมีเชือกหนึ่งเส้น คิดว่าตายๆ ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปย้อนเวลากลับไปครึ่งเดือนก่อน ความจริงอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นกำหนดแต่งงานของเมิ่งจื่อ แต่ยังไม่ถึงวันแต่งก็ราวกับสายฟ้าฟาด คู่หมั้นของนางส่งผู้ใหญ่มาถอนหมั้น จนคนทั้งหมู่บ้านซุบซิบนินทากันไปทั่ว ว่านางมีปัญหาอันใดกันแน่ยังคงเป็นบนเนินเขา เมิ่งจื่อเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เป้าหมายของนางอยู่ที่ต้นเฟิงต้นนั้น ต้นที่พี่เสิ่น
ทารกที่ 2ศพลอยน้ำเวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้วเมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออกเจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ!สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่ง หากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดูเมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจร
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา