ทารกที่ 6
ต้นหลิว
เซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอัน
นี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมือง
แม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดี
ในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมา
ตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียว
สมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสายตาเขามาหมด แต่กับทนการยั่วยวนของเมิ่งจื่อไม่ไหว ถึงกับคิดหาข้ออ้างมารับอีกฝ่ายเป็นภรรยา
เซียวเฟิงฟั่นเฟือนอยู่ไม่กี่วัน แต่หลังจากจำความได้ ความจริงเขาก็เคยคิดหนี การแต่งงานที่รับปากไว้ตอนไม่มีสติมิใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา แต่พอนึกถึงหญิงสาวที่ถูกเพื่อนบ้านรังแกวันนั้น เขากับตัดใจหนีไปเฉยๆ ไม่ลง
จะอย่างไรนางเป็นคนช่วยเขาไว้ ลูกไม้ที่บิดามารดานางนำมาข่มขู่ มีหรือที่เขาจะดูไม่ออก หากแต่หน้าตาและความโง่งมของนางทำให้เขาหนีไปไม่ได้จริงๆ
สตรีที่งดงามเฉลียวฉลาดนั้นมีน้อย แต่ที่งดงามและใสซื่อโง่เง่าเขาเพิ่งเคยเจอนางคนแรก
ขนาดถูกผู้คนรังแกยังไม่รู้จักตอบโต้ ยิ่งพอได้สืบประวัตินางดูแล้ว ผู้หญิงแบบนางมิทราบมีชีวิตอยู่ดีมาถึงตอนนี้ได้ยังไง
หน้าตาแบบนี้เซียวเฟิงมองออก หากเติมโตเต็มสาว ต้องนำภัยมาสู่ครอบครัวตนเองแน่ๆ นางคงจะถูกผู้มีอำนาจแย่งชิงไปเป็นอนุ เรื่องเช่นนี้เขาเจอมานับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงคิดหาเหตุผลมาครอบครองนาง เพื่อมิให้ตนรู้สึกผิดที่ขยี้บุบผาอ่อนวัย “…”
ประวัติสกุลเมิ่งธรรมดายิ่งนัก พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านสัตย์ซื่อ เรื่องไม่ดีของเมิ่งจื่อเป็นที่นินทาไปทั่ว แต่เขายังมองออกว่านางมิได้เป็นเช่นนั้น
ก่อนออกจากเมืองหลวง เซียวเฟิงก็กำลังกลัดกลุ้มถึงการแต่งงานอยู่พอดี...
ฮ่องเต้พยายามจะจับคู่เขากับจวินจูท่านอ๋องผู้หนึ่ง นางมีศักดิ์เป็นหลานสาวพระองค์ แต่เซียวเฟิงดูจากนิสัยก็รู้ว่าเข้ากันมิได้ เพราะหญิงสาวนางนั้นฉลาดและเจ้าเล่ห์เกินไป
กับเมิ่งจื่อนั้นแตกต่าง นางทั้งสวยและก็โง่ แม้ตอนนี้เพิ่งฉายแววความงาม แต่ด้วยนิสัยสัตย์ซื่อโง่งม เพียงเท่านี้ก็ผ่านมาตรฐานหญิงสาวของเขาแล้ว
***
ตลอดทางกลับ เซียวเฟิงมองบั้นท้ายภรรยาไปก็คิดอ่านวางแผนไป พรุ่งนี้เขาจะใช้ข้ออ้างเข้าป่าล่าสัตว์ซักห้าหกวัน ไปตรวจสอบอะไรบางอย่างที่เมืองถงหลิง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านหลิวชิ่งเกือบสามร้อยลี้
“เอ๊ะ! จะพาข้าไปไหนเจ้าคะ?”
เมิ่งจื่ออุทาน นางถูกเซียวเฟิงฉุดดึงแขนซ้ายให้เดินเข้าไปยังชายป่าข้างทาง จึงเอ่ยปากถามเขาด้วยความโง่ มิได้สังเกตเสียงหอบหายใจราวกับวัวของสามีตน
“ท่านพี่จะทำอะไร?”
“เจ้าจับต้นหลิวให้แน่นๆ ก็พอ ให้ข้าเสร็จเรื่องก่อนพวกเราค่อยกลับบ้าน” เมิ่งจื่อถูกจับให้หันหน้าเข้ากับต้นหลิวขนาดเท่าแขน หลิวต้นนี้ยังเล็กแต่ก็สูงมาก นางไม่รู้ความจึงใช้สองมือกำซ้ายขวา จากนั้นหันหน้ากลับไปถามอีกครั้ง ว่าท่านพี่จะทำอะไร?
“ถ่างขาออกอีกสิ ข้าจะถอดกางเกงเจ้า”
ในกระโปรงเนื้อหยาบเมิ่งจื่อ นางยังสวมกางเกงขายาวสีขาวไว้หนึ่งตัว
จนถึงตอนนี้นางก็รู้แล้วว่าสามีจะทำอะไร เมิ่งจื่อเขินอายเอ่ยเบาๆ ว่าไม่ได้นะ ทำตรงนี้ไม่ได้!
เสียงโต้เถียงของนางเบาราวกับยุง นานสองนานในที่สุดเมิ่งจื่อเป็นฝ่ายเขย่งปลายเท้า ส่วนสามีที่ด้านหลังก็ย่อขา เพื่อให้ความสูงตรงจุดสอดประสานตรงกันพอดี
แม้จะจุก แต่เมิ่งจื่อก็กลั้นเอาไว้ ห่างไปไม่ไกลเป็นทางเกวียนกลับเข้าหมู่บ้าน ซึ่งตอนนี้ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
เสียงเสียดสีกระทบกันของเนื้อไม่ดังนัก เพราะไม่ได้ถอดกระโปรงตัวยาว พอสอดใส่ได้เซียวเฟิงก็ปล่อยให้ชายผ้าตกลงมาปิด จึงมิสามารถมองเห็นจุดเชื่อมต่อของทั้งสองคนได้
“พั่บๆ พั่บๆ พั่บๆ”
หากมองจากริมถนน จะเห็นยอดหลิวต้นหนึ่งสั่นไหว ใต้ต้นหลิวเซียวเฟิงกระเด้าเอวเต็มที่ ซอยขึ้นลงเหมือนคนตายอดตายอยาก กระแทกบั้นท้ายภรรยาพร้อมกับเอ่ยเรียกร้องนางว่า
“ให้ข้าเถอะจื่อจื่อ ข้าจะไม่อยู่กับเจ้าอีกหลายวัน”
ท่ายืนแบบนี้มิใช่ครั้งแรกของนางกับสามี เมิ่งจื่อพอรู้เหตุผลก็โอนอ่อนผ่อนตามเต็มที่ ความอับอายก่อนหน้าพลันหายไป ไม่ว่าเขาจะสั่งให้ยกขาซ้ายหรือขาขวา หันหน้าหรือหลัง นางล้วนทำตามอย่างว่าง่าย
ครู่ใหญ่ เมิ่งจื่อเหนื่อยหอบ ช่วงล่างของนางกลายเป็นชาด้าน สุดท้ายร้องขอให้สามีพาไปคลานอยู่พงหญ้าข้างๆ ฝังศีรษะคุดคู้อยู่ในซอกแขน ปล่อยให้เขาย่ำยีตามใจตนเอง
รสชาติราคะยอดเยี่ยมยิ่ง คืนแรกนางยังร่ำร้องว่าเจ็บปวด แต่สองสามวันต่อมาเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม รู้สึกอยากให้สามีสอดไอ้นั่นของเขาไว้ในตัวนางตลอดเวลา “…”
ตะวันคล้อยเย็น เมิ่งจื่อกลับถึงบ้านในสภาพทุลักทุเล นางไม่สบายตัวที่กึ่งกลางหว่างขา พอถึงกระท่อมตนเองก็ร้องขอสามีให้หาบน้ำมาให้ จัดการชำระคราบเหนียวเหนอะหนะที่อยู่ในร่างกายตน
เสียงผ่าฟืนดังมาก เมิ่งจื่อขณะอาบน้ำก็ฟังจังหวะลงขวานต่อเนื่องของสามี ต่อมาได้ยินเขาพูดคุยกับท่านพ่อตรงลานบ้าน บอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะเข้าป่าลึก ห้าถึงหกวันจึงจะกลับมา
เมิ่งไท่อี้มิสงสัยในตัวเขยขวัญ ฝีมือการล่าสัตว์ของเขาถูกพิสูจย์แล้ว
บ่อยครั้งที่เมิ่งผู้พ่อปล่อยชายหนุ่มไว้ในป่าคนเดียว เนื่องจากรู้สึกเสียหน้า เดินไปด้วยกันทีไร เขายิงสัตว์ป่าไม่เคยทันลูกเขย หลังๆ มานี้จึงมักจะขับไล่แยกกันไปคนละทาง
พ่อตาหน้าดุสอบถามว่าเขาจะไปล่าแถบไหน เซียวเฟิงก็ตอบว่า เขาไท่โจว นั่นอยู่ถัดจากเขาไท่หังถึงสามลูก ปกตินายพรานละแวกนี้ไม่นิยมไป
“ท่านพ่อ ข้าคุยกับลุงจางว่าจะไปล่ากันที่นั่น ได้ยินว่ามีหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่อาละวาด เลยคิดไปเสี่ยงโชคกัน อาจจะได้อุ้งตีนกลับมา”
หมีเป็นสัตว์หายาก ทั้งแต่ละส่วนก็ขายได้แพง ในชีวิตเมิ่งผู้พ่อเคยล่าได้แค่สองตัว ดังนั้นจึงขอติดตามไปด้วย บอกว่าไปหลายๆ คนจะได้ช่วยกัน
เซียวเฟิงย่อมไม่ปฏิเสธ จากนั้นชวนพ่อตาไปบ้านลุงจางที่อยู่ข้างๆ วางแผนการออกล่า ทั้งยังดื่มสุราสังสรรค์ เล่าประสบการณ์ล่าหมีของแต่ละคนให้กันและกันฟัง
กลางดึกคืนนั้น เมิ่งจื่อยังคงคลานสี่ขาอยู่บนเตียงนอน นางรับแรงกระแทกสามีจนตัวโยก แต่มิได้ร้องครวญครางเสียงดังเหมือนใหม่ๆ เพียงกัดฟันสะอื้นฮึดฮัด ใช้สองแขนค้ำยันร่างกายตนเองไม่ให้ฟุบลง
รุ่งเช้า ท่านพ่อกับสามีนางจากไปแล้ว เมิ่งจื่อหลังรับประทานอาหารเสร็จก็หอบผ้าไปซัก นางเดินอุ้มถังไม้ไปตามทางน้อยลงแม่น้ำ นั่งลงกับโขดหินก้อนหนึ่ง ใช้ไม้สากทุบตีทำความสะอาดชุดสามี
“ชิ! ก็คิดว่าเป็นใครเสียอีก นางร่านเมิ่งจื่อนี่เอง!”
เสียงด่าทอหยาบคายดังมาแต่ไกล เมิ่งจื่อหันกลับไปก็พบเข้ากับสี่สาว นี่เป็นพวกซ่งจูเอ๋อเอง สาวน้อยสี่นางต่างก็หอบผ้าของตนมาซัก พอพบอริก็เริ่มเปิดฉากรังแกทันที
“ข้าได้ยินว่าเจ้าร้องลั่นทุกคืน เป็นไงบ้าง ของคุณชายเสิ่นหรือสามีเจ้าเอาดีกว่ากัน?”
จูเอ๋อยังไม่ออกเรือน แต่คำถามนี้รุนแรงมาก หากเป็นเมื่อก่อนเมิ่งจื่อคงไม่รู้ว่า “เอาดี” คืออะไร แต่ตอนนี้นางโกรธแทบคลั่ง หากแต่ก็คิดคำโต้ตอบกลับไปมิได้ จึงทำเพียงจิกเล็กเข้าใส่ผ้าในมือจนนิ้วงองุ้ม ไม่นานน้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมา
เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการร่ำไห้แบบไม่มีเสียง นางหันหลังให้พวกของจูเอ๋อ ก้มหน้าก้มตาซักผ้าต่อไป
ข้างๆ เมิ่งจื่อยังคงเป็นเสียงหัวเราะคิกคัก จูเอ๋อบ้านรั้วติดกันก็เอาแต่พูด บอกว่าไม่นานเมิ่งจื่อคงเอวหักแน่ ขนาดห้องข้าอยู่ตั้งไกลยังได้ยินเสียงนางถูกกระแทก!
จูเอ๋อพูดไปก็หัวเราะไป ความจริงนางอิจฉา อิจฉาจะตายอยู่แล้ว!
นับตั้งแต่จูเอ๋อเห็นหน้าพี่เซียวอันชัดเจน นางก็นึกชอบแต่แรก แต่นางแพศยาเมิ่งกับเป็นเจ้าของเขา แล้วจะให้นางยอมรับได้ยังไง!
ของดีๆ อะไรที่นางไม่เคยได้ เมิ่งจื่อล้วนได้ครอบครอง ทุกคนต่างก็มีฐานะเพียงเท่านี้ ไฉนนางไม่มีแบบบุตรสาวตระกูลเมิ่ง ขนาดสามีบิดานางยังหาให้สู้เมิ่งจื่อมิได้เลย
ตอนนี้ซ่งจูเอ๋อหมั้นหมายแล้ว นางปักปิ่นช้ากว่าเมิ่งจื่อหกวัน หลังพิธีตระกลูหลี่ก็มาสู่ขอนางให้กับบุตรชาย กำหนดแต่งงานก็เป็นเดือนสิบสองที่จะถึง
สกุลหลี่เป็นคนในหมู่บ้าน พวกเขามีที่ดินสิบกว่ามู่ แม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็พอมีกิน ดังนั้นนายท่านซ่งจึงเรียกสินสอดเป็นข้าวสารสิบกระสอบ กับหมูหนึ่งตัว
จูเอ๋อคับแค้นใจยิ่ง นางอ้อนวอนบิดาว่าไม่ต้องการแต่งกับคนผู้นี้ เจ้าหลี่ต้าทั้งดำทั้งอ้วน แต่นางก็ถูกบิดาตีถึงสองรอบ ทั้งยังด่านางว่า ดูสารรูปตัวเองบ้าง แบบนี้ยังด่าผู้อื่นได้หรือ
คืนนั้นจูเอ๋อร่ำไห้สุดเสียง เมิ่งจื่อขณะร่วมรักกับเซียวเฟิงยังได้ยิน แต่นางมิสนใจ เพราะกำลังเมามันกับการถูกสามีจับถ่างขาอยู่บนเตียง
ความจริงจูเอ๋อก็มิได้อัปลักษณ์ขนาดนั้น นางก็แค่อวบและเตี้ยนิดหน่อย แม้จะดำแต่ก็ไม่เท่ากับเจ้าหลี่ต้า ใบหน้าก็ไม่ได้มีสิวมากมายเท่าสหายนาง
“…”
***
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 1ข้าอยากตายหมูบ้านหลิวชิ่ง ไม่ไกลจากอำเภอไท่หัง แม้จะอยู่ใกล้ตัวเมือง แต่ความเป็นอยู่ชาวบ้านแถบนี้ยังคงกันดารมาก แต่ละวันเมิ่งจื่อต้องนำเสื้อผ้าของของตนและของน้องชายไปซัก หอบหิ้วไปที่แม่น้ำไท่ซุย ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของนางเองหากแต่ตอนนี้นางไม่มีหน้าโผล่ไปที่นั่นแล้ว…บนเนินเขาลาดชัน เมิ่งจื่อเดินร่ำไห้หลั่งน้ำตานองหน้า นางอับอายจนไม่คิดมีชีวิตอยู่ต่อไปนี่เป็นเส้นทางหลังบ้านนางเอง สมัยก่อนนางมักจะขึ้นเขาด้วยทางลัดนี้ เสาะหาผักป่ากับน้องชายด้วยความเริงร่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากแต่ตอนนี้กับไม่ใช่ ในใจของนางเจ็บมาก เจ็บจนไม่อยากพบผู้ใดอีก แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยากพบ เลยเดินขึ้นเขากลางดึกโดยที่ในมือมีเชือกหนึ่งเส้น คิดว่าตายๆ ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปย้อนเวลากลับไปครึ่งเดือนก่อน ความจริงอีกสามเดือนข้างหน้าจะเป็นกำหนดแต่งงานของเมิ่งจื่อ แต่ยังไม่ถึงวันแต่งก็ราวกับสายฟ้าฟาด คู่หมั้นของนางส่งผู้ใหญ่มาถอนหมั้น จนคนทั้งหมู่บ้านซุบซิบนินทากันไปทั่ว ว่านางมีปัญหาอันใดกันแน่ยังคงเป็นบนเนินเขา เมิ่งจื่อเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เป้าหมายของนางอยู่ที่ต้นเฟิงต้นนั้น ต้นที่พี่เสิ่น
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา