ทารกที่ 2
ศพลอยน้ำ
เวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้ว
เมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออก
เจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ!
สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่ง หากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดู
เมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก
“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้
ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจริงกลิ่นปัสสาวะของนางถูกน้ำชำระล้างไปหมดแล้ว หากแต่ว่านางต้องตกใจจนฉี่ราดอีกครั้ง เมื่อศพที่อยู่ข้างๆ คว้าข้อเท้านางไว้ บีบแน่นไม่ปล่อยจนนางเจ็บปวด เมิ่งจื่อตกใจสุดขีดกระโดดเต้นเร้าๆ ร่ำร้องว่า ข้ากลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว! จากนั้นหลั่งน้ำตานองหน้าร้องไห้โฮออกมา “…”
ห่างไปไม่ไกลเป็นพ่อลูกตระกูลเมิ่ง เมิ่งไท่อี้พบว่าบุตรสาวไม่อยู่ในห้องก็ออกตามหา เขาร้อนใจมากกลัวนางคิดสั้น เลยแยกย้ายกับภรรยา เดินหาตามริมแม่น้ำทั้งตอนบนและล่าง สุดท้ายได้ยินเสียงกรีดร้องของบุตรสาว จึงรีบวิ่งมาอย่างไม่คิดชีวิต กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป
“ฮือ! ฮือ! ฮือ! กลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว!”
ในชีวิตเมิ่งจื่อไม่กลัวอะไรทั้งนั้น งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์มีพิษนางหากลัวไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่อาจรับได้นั่นคือผี เพราะนางกลัวผีที่สุดเลย!
“พี่สาวข้ามาช่วยแล้ว” !!!
จื่ออีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึง หากแต่พอเห็นภาพตรงหน้าถึงกับต้องถอยหลังผงะ พี่สาวของเขาไฉนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เสื้อผ้านางหลุดลุ่ย อิงเถาสีชมพูน้อยๆ กระเด็นกระดอนออกจากเอี๊ยม เพราะนางเต้นโหยงโหยงสะบัดขา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตา
“ไอ้บัดซบ! เจ้ากล้าข่มเหงพี่สาวข้า” !!!
ในวัยสิบสาม จื่ออีไฟโทสะตีขึ้นหน้า เขารีบวิ่งไปนั่งทับอกชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่บนพื้น รัวกำปั้นน้อยๆ ใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี “…”
“ซิก! ซิก!” ในอ้อมกอดมารดา เมิ่งจื่อสะอึกสะอื้น นางยังขวัญเสียไม่หาย เมื่อครู่ตกใจแทบตายแล้ว
บนผืนทรายยามนี้ ประกอบไปด้วยสองเด็กสามผู้ใหญ่ จื่ออีอับอายมิใช่น้อยที่เข้าใจผิด เขาต่อยพี่ชายแปลกหน้าจนฟื้นคืนสติ เมิ่งจื่อเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเขายังไม่ตาย อธิบายครู่ใหญ่กว่าคนทั้งหมดจะเข้าใจกัน
“แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ดูสภาพเจ้าตอนนี้ยังจะพบหน้าผู้ใดได้อีก” เมิ่งไท่อี้โมโหมาก บุตรสาวของเขาราวกับผ่านการขืนใจมาหนึ่งรอบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น้ำหูน้ำตาไหลย้อย เอี๊ยมเล็กๆ ก็เปิดเผยออกจนเห็นปทุมถันน้อยๆ ถึงนางจะบอกว่าเป็นการช่วยคนจมน้ำ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ ยังคงคิดว่าบุตรีกำลังถูกข่มขืน!
“ไปที่อำเภอ! ไปที่ว่าการอำเภอ!”
“ฮือ! ฮือ! ข้าก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด หากท่านพ่อไม่เชื่อข้าจะโดดน้ำตาย!” เมิ่งจื่อเพิ่งจะหายคิดสั้นก็อยากตายอีกครั้ง นางเห็นท่านพ่อมีท่าทีขึงขังจะเอาเรื่องก็ปวดหัวยิ่ง ชายแปลกหน้าก็ไม่มีท่าทีพูดจาเอาตัวรอดแม้แต่น้อย ยังคงนั่งมึนงงโง่ทึ่ม ถามอะไรก็ตอบแต่ว่า ไม่รู้ ไม่รู้
“…”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายใต้การอธิบายจนปากเปียกปากแฉะของเมิ่งจื่อ คนทั้งหมดค่อยเดินกลับบ้าน เซียวเฟิงที่งงงวยก็เดินตามต้อยๆ ตามคำสั่งท่านผู้อาวุโสเบื้องหน้า บอกว่าให้กลับไปคุยกันที่เรือนตนเอง
เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยกระท่อมไม้ปลูกติดกัน ล้อมรอบไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่ เมื่อไปถึงที่หมาย จื่ออีก็เป็นผู้เปิดไม้กั้นออก นำคนทั้งหมดเข้าเรือน
นางเมิ่งซือไล่คนทั้งหมดไปชำระกาย เมิ่งจื่อใช้น้องชายไปหาบน้ำใส่ถังมาให้ ส่วนเมิ่งไท่อี้บอกชายหนุ่มแปลกหน้าให้ตามมา นำไปยังส่วนหลังของเรือน อาบน้ำที่อยู่ในโอ่ง แล้วจัดหาเสื้อผ้าสะอาดให้ เตรียมตัวรับประทานอาหารเช้า
จะอย่างไรครอบครัวเมิ่งสัตย์ซื่อถือมั่น บุตรสาวยืนยันเสียงแข็งว่าเข้าใจผิดก็คือเข้าใจผิด แต่เมิ่งผู้พ่อยังคงมองชายหนุ่มด้วยสายตาอาฆาต คิดคาดคั้นเอาผิดเจ้าบัดซบผู้นี้ให้ได้
เซียวเฟิงยังคงงุนงง ขณะเปลือยอกอาบน้ำก็มองซ้ายมองขวา ข้องใจว่าไฉนตนเองอยู่ที่นี่ แล้วก่อนหน้านี้ตนเป็นไรไป ทำไมรู้สึกเจ็บปวดตามใบหน้า
“…”
รั้วไม้ซ้ายมือกั้นระหว่างบ้านสกุลเมิ่งและหง
ขวามือกั้นซ่งและเมิ่ง ในจังหวะที่เซียวเฟิงอาบน้ำก็ได้ยินเสียงซุบซิบ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงอาบน้ำชำระกายไปเรื่อย จนกระทั่งเมิ่งไท่อี้นำชุดมาให้ เขาก็อาบน้ำเสร็จพอดี
บนโต๊ะกินข้าว สุราถูกยกเป็นจอกที่สาม ทุกครั้งที่เมิ่งผู้พ่อจะออกปากเอาเรื่อง นางเมิ่งซือที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องใช้สายตาจิกกัดไว้ สุดท้ายจนกระทั่งรับประทานเสร็จเมิ่งไท่อี้ก็ยังมิได้พูดซักคำ
เมิ่งจื่อเองก็กินข้าวไม่รู้รส นางเขินอายมาก ปกตินางไม่เคยกินข้าวกับคนแปลกหน้ามาก่อน ทั้งคนตรงหน้ายังสวมใส่เสื้อผ้าบิดานาง นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จะให้นางรับรู้รสชาติอาหารบนโต๊ะได้ยังไง
พออยู่ในรูปลักษณ์ปกติ แม้แต่นางเมิ่งซือที่ลูกสองแล้วยังคิด ชายหนุ่มตรงหน้าต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่ ชาวบ้านทั่วไปไหนเลยมีหน้าตาแบบนี้ ผิวพรรณก็ขาวราวกับสตรี ดังนั้นจึงคิดได้แผนการหนึ่ง ใช้ปลายเท้าสะกิดขาสามีไว้ ห้ามมิให้เขาอาละวาดออกมา
เมิ่งจื่อเองก็เช่นกัน นางอายุเท่าไรกันเชียว นอกจากพี่เสิ่นก็มีเพียงบุรุษในหมู่บ้าน ทุกคนหาได้ดูดีเหมือนเขา ดังนั้นสาวน้อยจึงรู้สึกหวั่นไหว เขินอายทุกครั้งที่มองหน้าอีกฝ่าย มิทราบไฉนรู้สึกเช่นนี้
หลังมื้ออาหาร เมิ่งจื่อและน้องชายถูกไล่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน เซียวเฟิงถูกนางเมิ่งซือรั้งไว้ สอบถามความเป็นมา โดยให้สามีนั่งบูดบึ้งอยู่ข้างๆ ใช้สายตาดุร้ายข่มขวัญให้เขาหวาดกลัว “…”
ในมือเมิ่งผู้แม่มีหยกห้อยเอวหนึ่งชิ้น นี่เป็นสิ่งที่นางค้นมาจากชุดที่ชายหนุ่มถอดออก พร้อมทั้งถามอีกฝ่ายว่าจำของสิ่งนี้ได้หรือไม่ เซียวเฟิงก็ตอบว่าจำไม่ได้ แม้แต่ตนเองเป็นใครมาจากไหน เขาก็จำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
นางเมิ่งซือรู้หนังสืออยู่บ้าง นางบอกว่าหยกชิ้นนี้แกะสลักอักษรเซียวไว้ ทั้งเนื้อผ้าที่เขาสามใส่ตอนตกน้ำก็เป็นแพรพรรณชั้นดี คาดว่าเขาคงมิใช่ชนชั้นขอทาน
สองฝ่ายพูดคุยซักถามกันครู่ใหญ่ สุดท้ายมิได้ความอันใด เซียวเฟิงก็ตอบแบบมึนๆ งงๆ จบต้นชนปลายไม่ถูก ว่าไฉนตัวเองลงไปลอยอยู่ในน้ำ
“สรุปคือ คุณชายจำอะไรมิได้?”
“ใช่แล้วฮูหยิน” เซียวเฟิงตอบ
“แล้วท่านจำได้หรือไม่ว่าล่วงเกินบุตรสาวข้า” !!!
ที่ผ่านมานางเมิ่งซือถามตอบด้วยท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวาน จู่ๆ พลันตบโต๊ะดังปัง! แม้แต่เมิ่งผู้พ่อที่หนวดเคราเฟิ้มยังสะดุ้ง คิดในใจว่า ตนเองอยากอาละวาดแทบตายกับถูกนางห้าม แต่บัดนี้ผู้ห้ามกับโวยวายออกมา
ชายหนุ่มเองก็สะดุ้ง เขาปรับตัวไม่ทัน ทั้งคิดไม่ออกว่าล่วงเกินอันใดแม่นางน้อยนั่น เพราะฟื้นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวเด็กชายเป็นคนแรก ส่วนสาวน้อยนางนั้นร่ำไห้อยู่ข้างๆ มิทราบหลั่งน้ำตาเพราะเหตุใด
“ท่านพี่ ตอนท่านพบพวกเขาทั้งสอง จื่อจื่อของเราอยู่ในสภาพใด?” นางเมิ่งซือมีแผนอยู่ในใจ เมื่อตรวจสอบจนแน่ชัดว่าเจ้าผู้นี้โง่งมจริง ดังนั้นจึงลงมือไล่ต้อนต่อ ดึงสามีเข้ามาเสริม เล่นบทสอบสวนผู้ร้าย คนหนึ่งขาน คนหนึ่งรับ จู่โจมจนเซียวเฟิงงุนงง “…”
เมิ่งผู้พ่อย่อมบรรยายตามจริง ทั้งเซียวเฟิงก็เริ่มจำได้ สาวน้อยนั่นเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แม้กระทั่งทรวงอกเล็กๆ ก็เห็น เขายังแอบดูอยู่สองรอบ ยลความงามแรกแย้มตามประสาผู้ชาย
“เออ หรือว่าจะล่วงเกินนางจริงๆ?”
ถูกซักไซไปมา แม้แต่เซียวเฟิงก็เริ่มสงสัยในตัวเองแล้ว หากแต่นางเมิ่งซือก็จู่โจมเขาเป็นครั้งสุดท้าย ถามว่าระหว่างแต่งงานรับผิดชอบ กับไปที่ว่าการให้นายอำเภอตัดสิน เขาจะเลือกอะไร?
จนถึงตอนนี้ แม้แต่เมิ่งไท่อี้ก็ทราบความคิดภรรยา ชั่วพริบตาเขาเองก็เห็นด้วย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ จื่อจื่อของเขาชื่อเสียงป่นปี้ ย่อมแต่งออกไปกับบุรุษที่ดีไม่ได้อยู่แล้ว
เมิ่งผู้พ่อรับลูกอย่างไว เขาตบโต๊ะทำท่าโมโหโทโส โวยวายว่าไม่ยินยอม ต้องนำตัวเจ้าสารเลวผู้นี้ไปตัดหัวเท่านั้น ตีอกชกศีรษะเป็นตายไม่ยกบุตรสาวให้
เนื่องจากเครารุงรังจึงมีใบหน้าดุร้าย เซียวเฟิงที่โง่งมก็ตกใจมาก อะไรกันถึงขั้นตัดหัวเลยหรือ ในเวลาคับขันเขายังขบคิดไม่ทัน
แต่นี่คือความจริง กฎหมายต้าเว่ยวลี่ระบุไว้ชัดเจน ฆ่าคนชดใช้ชีวิต โทษของการขมขืนสตรีดีงามก็เช่นกัน ย่อมต้องฆ่าให้ตายต่อหน้าธารกำนัล!
***
ตีนเขาหลังบ้าน เมิ่งจื่อมือขวาถือกิ่งไม้กวัดแกว่ง นางรังแกตั๊กแตนผีเสื้อไปเรื่อย กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ลืมความเสียใจหลายวันที่ผ่านมาชั่วคราว
“พี่สาว ท่านมิได้ถูกข่มเหงจริงหรือ?”
“ไม่ฟัง! ไม่ฟัง! ข้าไม่อยากฟังเต่าสวดมนต์!”
เมิ่งจื่อใช้มือปิดหูวิ่งหนี นางรำคาญแล้วนะ! ทั้งๆ ที่อธิบายบอกกล่าวไปตั้งมาก แต่น้องชายตัวดียังนำเรื่องนี้มาหยอกเย้า ซักไซให้นางเขินอาย
“คิก คิก ข้าดูแล้วพี่ชายผู้นี้หล่อกว่าพี่เสิ่นของท่านอีก พี่สาวว่าใช่หรือไม่?” จื่ออีหัวเราะคิกไล่หลัง เขาเพียงแค่อยากเย้าให้พี่สาวลืมคุณชายเสิ่นบัดซบนั่น มิได้คิดจริงจังว่าผู้พี่จะชอบชายแปลกหน้าจริงๆ
แต่จื่ออีคิดผิด!
เมิ่งจื่อแรกเห็นสารรูปจริงเซียวเฟิงก็นึกชอบ เขาเป็นแบบที่นางไม่เคยเจอในหมู่บ้าน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าไฉนชอบเขา
อย่างไรสาวน้อยเพิ่งเขาวัยแรกแย้ม นางไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไรกันแน่ บังเอิญที่เซียวเฟิงหล่อเหลา หากเขามีใบหน้าขี้ริ้วสภาพเหมือนขอทานเฒ่า นางไหนเลยนึกชอบจนใจเต้นตูมตามแบบนี้
“…”
***
ทารกที่ 3ข้าจะแต่งภายในห้อง การเจรจาของนางเมิ่งซือจบลง เซียวเฟิงที่มึนงงพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่พอคิดว่าต้องรับน้องสาวผู้นั้นเป็นภรรยา เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบเท่าใด ยังไงตัวเองก็ไม่มีที่ไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตก็แล้วกันเซียวเฟิงฟังคำถามมากมายจนหัวหมุน ทั้งยังพยายามนึกถึงความทรงจำ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ได้แต่นอนเงยหน้ามองหลังคาไม้ เพราะถูกผู้อาวุโสทั้งสองไล่ให้มานอนในห้องครัวบ้านของเมิ่งจื่อปลูกเป็นกระท่อมไม้ติดกันสามหลัง ห้องครัวแยกออกมาด้านข้าง ส่วนหลังยังมีเล้าหมูและไก่ เลยไปอีกหน่อยเป็นแปลงผักเล็กๆ ที่นางกับมารดาช่วยกันทำสองคนกระท่อมตรงกลางเป็นของบิดามารดา ฝั่งขวาเป็นของน้องชาย ฝั่งซ้ายจึงเป็นของนางเองเวลาเดินไปเรื่อยๆ เมิ่งจื่อร่าเริงน่ารักกระโดดโลดเต้นไปทั่ว นางราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเพิ่งคิดตาย กับกลายมาเป็นหญิงสาวที่ยิ้มร่า หยอกเย้ากับน้องชายอยู่บนเนินเขาหลังบ้านตนเอง“เหอ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นนางแพศยาเมิ่ง!”ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มหญิงสาวสี่คน พวกนางผอมสูงต่างกัน กล่าวถากถางเมิ่งจื่อตั้งแต่นางยังไม่เห็นตัวเมิ่งจื่อหันขวับ หากแต่พอเห็นผู้มา รอยยิ้
ทารกที่ 4เซียวอัน“อะไรนะ! เมื่อกี้ท่านแม่กล่าวว่าอะไร!”เมิ่งจื่อถึงกับสะดุ้ง เพราะท่านแม่บอกว่าจะแต่งเขยเข้าบ้าน แบบนี้นางต้องไม่ถูกสามีรังแกแน่นอน“เด็กโง่ แม่ย่อมคิดอ่านแทนเจ้า”นางเมิ่งซือลูบเส้นผมบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางต่อไปเรื่อยๆ อธิบายข้อดี บอกว่าแต่งแล้วก็ยังได้อยู่ที่บ้าน ทั้งยังไม่ต้องถูกพ่อแม่สามีจิกหัวใช้งาน“จื่อจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ครอบครัวพวกเราตามหลักย่อมไม่มีปัญญาแต่งเขยเข้าบ้าน”เมิ่งจื่อพยักหน้า ชื่อเสียงบุรุษมีค่าแค่ไหน หากไม่อับจนสิ้นหนทาง ผู้ชายดีๆ มีหรือจะลดตัวแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ยอมให้บุตรที่เกิดมาใช้แซ่ภรรยา“จื่อจื่อ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เจ้าช่วยไว้ดูดีหรือไม่?” เมิ่งจื่อฟุบอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางผงกศีรษะอย่างโง่งม ตอบไปตามจริงว่า หล่อมากท่านแม่ “…”ในความคิดของเมิ่งจื่อ เขาหล่อกว่าพี่เสิ่นมาก นางเป็นคนปากกับใจตรงกัน พอท่านแม่ถามนางก็ตอบ ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรนางเมิ่งซือคิดว่าหว่านล้อมบุตรสาวได้แล้ว จึงใช้ยาแรงในคำถามสุดท้ายทันที“จื่อจื่อ แม่จะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้ายินดีหรือไม่?”สาวน้อยกำลังมึนงงกับคำถามก่อนหน้า พอได้ยินพลันสั่นสะท้าน จากนั้นทิ้งตัวลง
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา