ทารกที่ 3
ข้าจะแต่ง
ภายในห้อง การเจรจาของนางเมิ่งซือจบลง เซียวเฟิงที่มึนงงพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่พอคิดว่าต้องรับน้องสาวผู้นั้นเป็นภรรยา เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบเท่าใด ยังไงตัวเองก็ไม่มีที่ไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตก็แล้วกัน
เซียวเฟิงฟังคำถามมากมายจนหัวหมุน ทั้งยังพยายามนึกถึงความทรงจำ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ได้แต่นอนเงยหน้ามองหลังคาไม้ เพราะถูกผู้อาวุโสทั้งสองไล่ให้มานอนในห้องครัว
บ้านของเมิ่งจื่อปลูกเป็นกระท่อมไม้ติดกันสามหลัง ห้องครัวแยกออกมาด้านข้าง ส่วนหลังยังมีเล้าหมูและไก่ เลยไปอีกหน่อยเป็นแปลงผักเล็กๆ ที่นางกับมารดาช่วยกันทำสองคน
กระท่อมตรงกลางเป็นของบิดามารดา ฝั่งขวาเป็นของน้องชาย ฝั่งซ้ายจึงเป็นของนางเอง
เวลาเดินไปเรื่อยๆ เมิ่งจื่อร่าเริงน่ารักกระโดดโลดเต้นไปทั่ว นางราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเพิ่งคิดตาย กับกลายมาเป็นหญิงสาวที่ยิ้มร่า หยอกเย้ากับน้องชายอยู่บนเนินเขาหลังบ้านตนเอง
“เหอ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นนางแพศยาเมิ่ง!”
ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มหญิงสาวสี่คน พวกนางผอมสูงต่างกัน กล่าวถากถางเมิ่งจื่อตั้งแต่นางยังไม่เห็นตัว
เมิ่งจื่อหันขวับ หากแต่พอเห็นผู้มา รอยยิ้มเมื่อครู่ของนางก็หายไปทันที คนซ้ายเป็นซ่งจูเอ๋อ ส่วนที่เหลือเป็นสหายของนางที่ชอบรังแกเมิ่งจื่อประจำ
“จื่ออี พวกเราไปเถอะ” สาวน้อยรีบชวนน้องชายหลบหนีทันที!
“เป็นไร คิดหนีหรือ? เมื่อเช้าข้าเห็นผู้ชายในบ้านเจ้า เพิ่งถอนหมั้นไม่กี่วัน เจ้าก็เปลี่ยนผู้ชายอีกแล้ว สมกับเป็นนางร่านจริงๆ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”
พอซ่งจูเอ๋อหัวเราะ สหายที่เหลือก็เฮลั่น วันนี้พวกนางถูกจูเอ๋อวิ่งไปหาที่บ้านแต่เช้า ทั้งยังเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น ว่าหลังบ้านเมิ่งจื่อมีผู้ชายแปลกหน้าอาบน้ำ เพราะอยู่ค่อนข้างไกลจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ก็ดูออกว่ามิใช่บิดาของนาง
สิบกว่าวาหลังพุ่มไม้ เนื่องจากกลัดกลุ้มเซียวเฟิงจึงออกจากห้องครัวมาเดินเล่น เขากับคิดไม่ถึงว่าจะพบเข้ากับเหตุการณ์นี้
เมิ่งจื่อเองก็คิดไม่ถึง คำว่าร่านรุนแรงมาก แม้นางจะยังเล็กไม่รู้ความ แต่คำด่านี้ก็ถือว่าหนักเกินไป สุดท้ายสาวน้อยโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้โฮวิ่งหนี แม้แต่น้องชายที่อยู่ข้างหลังนางก็ไม่สนใจ
จื่ออีกำหมัดน้อยๆ ของตนแน่น แต่เขาไม่กล้าอาละวาดใส่พวกใจร้ายเหล่านี้ ดังนั้นจึงทำได้แค่หันหลังวิ่งติดตามพี่สาวไป
เงาดำสั่นไหว เซียวเฟิงยืนมองหญิงสาวทั้งสี่หัวเราะคิกคัก นินทาเมิ่งจื่ออีกหลายเรื่อง สนุกสนานอยู่บนเนินเขา สะใจที่ได้กลั่นแกล้งนางแพศยาน้อย!
เมิ่งจื่อหารู้ไม่ เหตุผลที่นางถูกรังเกียจจากหญิงสาวในหมู่บ้าน เพราะตั้งแต่เด็กทุกคนอิจฉานาง บิดามารดานางทะนุถนอมนางยิ่ง ทั้งยังได้ชุดใหม่ใส่ทุกปี
นี่เป็นหมู่บ้านยากจน ปกติลูกสาวไม่เป็นที่ใส่ใจของครอบครัว แต่เมิ่งจื่อกับต่างออกไป มีของดีอะไรบิดามารดาก็หามาให้ กลายเป็นที่อิจฉาของทุกคน
อย่าว่าแต่พอนางเริ่มแตกเนื้อสาว ใบหน้ารูปร่างก็ยิ่งกลายเป็นที่อิจฉา ทั้งๆ ที่เกิดมายากจนเหมือนกันแท้ๆ
เมิ่งจื่อมิได้ถูกมอบหมายให้ทำงานหนักเหมือนคนอื่น ไร่นาก็ไม่มี อย่างมากก็เพียงช่วยบิดาแล่เนื้อสัตว์ป่าที่หามาได้เท่านั้น ไม่ต้องทำไร่ทำสวนมากมายเหมือนหญิงสาวคนอื่นในหมู่บ้าน
แต่แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อก่อนทุกคนยังแค่กลั่นแกล้งเล็กน้อย แต่หลังจากหมั้นกับคุณชายเสิ่น ความอิจฉาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด นั่นคือบัณฑิตนะ! เป็นบัณฑิตชิวไฉอายุน้อย อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่นอน!
บ้านตระกูลเสิ่นอยู่ในตัวอำเภอ ห่างจากหมู่บ้านของเมิ่งจื่อเกือบสามสิบลี้ แต่ระหว่างหมั้นหมาย เขากับแวะเวียนมาหาเมิ่งจื่อแทบทุกวัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้หญิงสาวในหมู่บ้าน อิจฉานางแทบตายแล้ว
ครอบครัวที่ไม่มีบุตรสาว ต่างบอกว่าตระกูลเมิ่งโชคดี แต่ผู้ที่มีบุตรสาวอยู่ในวัยไล่เลี่ย ต่างก็พากันนินทาไปทั่ว สงสัยว่าตระกูลเมิ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ไฉนคว้าจับเอาคุณชายที่มีความรู้ความสามารถมาได้
เพียงแต่เรื่องนี้มีที่มาที่ไป...
สองปีก่อน ขณะเมิ่งไท่อี้ขึ้นเขาล่าสัตว์ เขาบังเอิญพบเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ประจวบกับเจ้าตัวดุร้ายกำลังจู่โจมใส่สองพ่อลูก ด้วยธนูน้ำหนักสามต้าน และความบังเอิญยิ่งนัก นายพรานปลายแถวเช่นเขากับปล่อยลูกเกาทัณฑ์ได้แม่นยำยิ่ง ยิงออกไปดอกเดียวก็ปักเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจ!
นี่เป็นศรช่วยชีวิต หากช้าเพียงเสี้ยวพริบตา คุณชายเสิ่นและบิดาคงสิ้นชีพแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายท่านเสิ่นก็ตามมาขอบคุณถึงที่บ้าน และบังเอิญเห็นเมิ่งจื่อที่จิ้มลิ้มน่ารัก จึงได้เรียบเรียงเคียงถาม สุดท้ายคุยไปคุยมา เสิ่นผู้พ่อก็เรียกพี่เรียกน้องกับเมิ่งไท่อี้ จึงเป็นเหตุให้ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ตระกูลเสิ่นก็ส่งของหมั้นหมาย กำหนดวันแต่งงานให้เมิ่งจื่อทันทีหลังจากเข้าพิธีปักปิ่น
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง
ในมุมมองคนนอก ตระกูลเมิ่งถือว่าอาจเอื้อมขึ้นสูง เมิ่งจื่อราวกับอีกากลายเป็นหงส์ แม้ตระกูลเสิ่นจะมิได้ร่ำรวยนัก แต่ใครๆ ก็มองออกว่าอนาคตเขาต้องไปได้ไกลมาก การแต่งครั้งนี้เสิ่นจงก็ได้ชื่อเสียงเพิ่มขึ้น กลายเป็นคุณชายผู้ยึดถือคุณธรรมน้ำใจ ไม่รังเกียจที่จะรับหญิงชาวบ้านยากจนมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก
ด้วยเหตุนี้ หลังถอนหมั้น ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่า เป็นตัวของฝ่ายหญิงแน่ๆ ที่มีปัญหา แต่มิทราบว่ามีปัญหาอยู่ตรงที่ใด?
ในยุคสมัยที่บุรุษเป็นใหญ่ มีเพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ถอนหมั้นหรือหย่าร้างได้ ความผิดที่ใช้หย่าก็มีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ชาวบ้านหลิวชิ่งจึงพากันเดาไปต่างๆ นาๆ
“ไม่รักนวลสงวนตัว!”
ไม่กี่วันให้หลัง ข่าวลือนี้ก็กระจายไปทั่วหมู่บ้าน!
เรื่องที่เมิ่งจื่อจูบกับเสิ่นจงถูกเปิดโปง ไม่นานแม่สื่อก็เดินเข้าออกประตูบ้านนางวุ่น เพื่อติดต่อให้สาวน้อยแต่งออกให้กับพวกกเฬวรากในหมู่บ้าน...
ค่าตัวของเมิ่งจื่อเหลือเพียงแป้งหนึ่งกระสอบ
บุรุษเกียจคร้านที่หาเมียไม่ได้ต่างก็หมายปองในตัวนาง แม่สื่อก็รับเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหวิน จัดการเป็นธุระติดต่อทาบทามนางจากบิดา เรื่องนี้ก็ทำให้เมิ่งผู้พ่อแทบอกแตกตาย!
***
บนเนินเขา สาวชาวบ้านสี่คนยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ว่าข้างพุ่มไม้มีบุรุษผู้หนึ่งแอบฟังอยู่
“จ๋อม!” เสียงก้อนหินถูกขว้างปาลงน้ำ เมิ่งจื่อนั่ง กอดเข่าอยู่บนชะง่อนหิน นี่เป็นจุดเดียวกับที่นางคิดสั้นคราก่อน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไปแล้ว นางไม่คิดตายอีก เพียงแต่เจ็บปวดใจที่ถูกรังแก
ทั้งๆ ที่มิใช่ความจริง แต่นางกับเถียงไม่ออก เมิ่งจื่อไม่เคยสู่คนมาก่อน พอถูกด่าทอก็ตอบโต้ไม่เป็น แม้แต่คำพูดจะอธิบายยังคิดไม่ทัน
เซียวเฟิงซุ่มฟังคำติฉินนินทาจนพอใจ เขาก็ใช้เวลาครู่ใหญ่เดินกลับบ้านสกุลเมิ่ง เวลานั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับพี่สาวน้องชายกลับเข้าบ้านพอดี หากแต่ทั้งสองฝ่ายราวกับมิได้สนใจกัน ตอนเดินผ่านประตูรั้วบ้าน แม้แต่หน้าเมิ่งจื่อก็ยังมิเงยขึ้นมอง
“เจ้าหนุ่ม ไปช่วยข้าวางกับดักหน่อยสิ”
ตะวันคล้อยบ่าย เมิ่งผู้พ่อเห็นผู้มาใหม่ก็เอ่ยปากใช้งาน เซียวเฟิงก็ถามว่าต้องทำยังไงบ้าง เพราะเขาจำมิได้ว่าตนเคยวางกับดักมาก่อน
เมิ่งไท่อี้เดินเข้าไปตบไหล่บอกว่า “มา มา เดียวข้าสอนเจ้าเอง” จากนั้นชายเคราครึ้มพาชายหนุ่มแปลกหน้าไปหยิบจับเครื่องมือในห้องเก็บของ แล้วเดินออกจากบ้านหัวเราะฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะโกนเป็นภาษาท้องถิ่นว่า บุรุษที่แท้จริงต้องจับหมูป่าได้วันละสิบตัว
ตลอดทางขึ้นเขา เมิ่งผู้พ่อคุยโม้อย่างสนุกสนาน โอ้อวดว่าสมัยหนุ่มๆ เขาจับหมูป่าวันเดียวได้ถึงสิบตัว!
เซียวเฟิงที่โง่งมกับหลงเชื่อ ตอบรับท่านลุงหน้าโหดว่า “สุดยอดไปเลยขอรับ”
“…”
ภายในกระท่อมของเมิ่งจื่อ เพียงเปิดประตูเข้ามาก็จะพบเตียงนอนอยู่ด้านซ้าย โต๊ะตัวน้อยอยู่ด้านขวา ข้าวของนางมีไม่มาก ทั้งห้องหับยังคับแคบ แต่ก็มากพอให้นางใช้ชีวิตอยู่คนเดียว สาวน้อยเช่นนางเองก็ชอบ นับตั้งแต่ท่านพ่อปลูกกระท่อมหลังนี้ให้ นางก็ตกแต่งด้วยของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้ ใช้เศษผ้ามาตัดเย็บผ้าม่าน ย้อมด้วยสีชมพูหวานแหวว
นางเมิ่งซือพบเห็นบุตรสาวกลับเข้าเรือน จึงติดตามเปิดประตูโดยไม่เคาะ ภาพที่เห็นทำให้นางสงสารลูกสาวมาก เมิ่งจื่อสะอื้นกระซิกกระซิกบนเตียง มองแต่ไกลก็รู้แล้วว่านางร้องไห้
“จื่อจื่อ แม่มีบางอย่างต้องพูดกับเจ้า”
เมื่อเข้ามาในห้อง นางเมิ่งซือก็นั่งลงที่ข้างกายบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางอยู่นานสองนาน จนเมิ่งจื่อสงบลงนางค่อยเข้าเรื่อง บอกว่าหาคนที่เหมาะสมแต่งกับนางได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องถูกแม่สื่อนำไปเร่ขายอีก
หัวใจเมิ่งจื่อตกวูบ นางไม่ฟังต่อแม้กระทั่งต้องแต่งกับใคร คิดในใจว่าเรื่องเลวร้ายพวกนี้ต้องจบได้แล้ว นางยอมแต่งก็ได้ ต่อให้แต่งกับหมานางก็ยินยอม!
“แต่ง! แค่แต่งงานก็จบแล้วใช่หรือไม่ ฮือ! ฮือ!”
เมิ่งจื่อฟุบหน้ากับผ่าห่มอีกครั้ง ร้องไห้โฮออกมา
สิบกว่าวันมานี้นางถูกเร่ขายไปทั่ว แม่สื่อนำนางไปเสนอกับคนทั้งอำเภอ รับเงินค่าติดตามถามไถ่ แม้จะปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่อนาคตข้างหน้าผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมาสู่ขอนาง
ชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้ แต่งกับใครก็คงจะเหมือนกัน หญิงชาวบ้านอายุสิบห้าสิบหกก็เป็นมารดาคนแล้ว เมิ่งจื่อไหนเลยไม่แต่งสามีได้
นางเมิ่งซือกล่าวปลอบอีก บอกว่า จำได้หรือไม่ แม่เองก็ได้แต่งกับพ่อเจ้าเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต่อมาก็มีเจ้ากับน้องสองคนออกมา มิใช่รักใคร่กลมเกลียวกันดีหรือ
สมัยก่อนเกิดศึกสงคราม นางเมิ่งซือเป็นลูกอนุของขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง ที่เป่ยจิงทิศเหนือ ท่านพ่อนางพาครอบครัวหลบหนี แต่พอเดินทางมาถึงส่านซีทรัพย์สินก็หมดสิ้น สุดท้ายขายนางให้กับนายพรานผู้หนึ่ง แลกกับข้าวสารเพียงสิบชั่งเท่านั้น
นายพรานผู้นั้นย่อมเป็นพ่อสามีนางเอง เมิ่งไท่อี้ในวัยสิบห้ายินดียิ่ง เขากระโดดโลดเต้นโห่ร้องว่าตนจะมีภรรยาแล้ว ถึงแม้ต้องรออีกหลายปีถึงจะใช้งานได้ก็ตามที
“…”
***
ทารกที่ 4เซียวอัน“อะไรนะ! เมื่อกี้ท่านแม่กล่าวว่าอะไร!”เมิ่งจื่อถึงกับสะดุ้ง เพราะท่านแม่บอกว่าจะแต่งเขยเข้าบ้าน แบบนี้นางต้องไม่ถูกสามีรังแกแน่นอน“เด็กโง่ แม่ย่อมคิดอ่านแทนเจ้า”นางเมิ่งซือลูบเส้นผมบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางต่อไปเรื่อยๆ อธิบายข้อดี บอกว่าแต่งแล้วก็ยังได้อยู่ที่บ้าน ทั้งยังไม่ต้องถูกพ่อแม่สามีจิกหัวใช้งาน“จื่อจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ ครอบครัวพวกเราตามหลักย่อมไม่มีปัญญาแต่งเขยเข้าบ้าน”เมิ่งจื่อพยักหน้า ชื่อเสียงบุรุษมีค่าแค่ไหน หากไม่อับจนสิ้นหนทาง ผู้ชายดีๆ มีหรือจะลดตัวแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ยอมให้บุตรที่เกิดมาใช้แซ่ภรรยา“จื่อจื่อ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เจ้าช่วยไว้ดูดีหรือไม่?” เมิ่งจื่อฟุบอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางผงกศีรษะอย่างโง่งม ตอบไปตามจริงว่า หล่อมากท่านแม่ “…”ในความคิดของเมิ่งจื่อ เขาหล่อกว่าพี่เสิ่นมาก นางเป็นคนปากกับใจตรงกัน พอท่านแม่ถามนางก็ตอบ ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรนางเมิ่งซือคิดว่าหว่านล้อมบุตรสาวได้แล้ว จึงใช้ยาแรงในคำถามสุดท้ายทันที“จื่อจื่อ แม่จะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้ายินดีหรือไม่?”สาวน้อยกำลังมึนงงกับคำถามก่อนหน้า พอได้ยินพลันสั่นสะท้าน จากนั้นทิ้งตัวลง
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 13เฉิงอ๋องหน้าหมู่บ้านหลิวชิ่ง เมิ่งจื่อมองดูเงาหลังสามีไกลลิบตา ครั้งนี้เมิ่งผู้พ่อปล่อยลูกเขยไปตามลำพัง เพราะถึงไปด้วยกันเขาก็ยิงสัตว์ได้ไม่มากเท่าใด “…”ยังคงเป็นริมลำธารแม้เมิ่งจื่อจะท้องแก่ แต่ชีวิตชาวบ้านชนบทก็มีอะไรให้ทำไม่มาก วันนี้นางมิได้หอบผ้ามาซัก หากแต่เพียงมาตกปลาเล่นกับผู้เป็นมารดาห่างไปไม่ไกลมีหญิงสาวสูงต่ำสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นซ่งจูเอ๋อ เพียงแค่เห็นเงาร่างอุ้ยอ้ายของอีกฝ่ายนางก็จิกเล็บ ความจริงตั้งใจจะหอบเสื้อผ้ามาซัก แต่พอพบว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนั้น นางก็เปลี่ยนเส้นทางเดินหนีทันทีนับตั้งแต่แต่งงาน ซ่งจูเอ๋อเติบโตขึ้นมาก นางมิเพียงได้เรียนรู้เรื่องโหดร้ายทางโลก ทั้งยังมีปากเสียงทะเลาะตบตีกับสามีเป็นประจำ อยากเช่นวันนี้ เบ้าตานางฟกช้ำขึ้นสีม่วง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกแม่สามีจิกหัวใช้งานความอับอายของนางหมดไปนานแล้ว แต่มีเพียงผู้เดียวที่จูเอ๋อรู้สึกยอมไม่ได้นั่นคือเมิ่งจื่อเอง!จูเอ๋อไม่เข้าใจไฉนตนเองรู้สึกโกรธแค้น ยิ่งเห็นเมิ่งจื่อมีชีวิตที่ดี นางก็ยิ่งคับแค้นใจ...แต่นางหารู้ตัวไม่ ทุกวันนี้เมิ่งจื่อยังคงเป็นเมิ่งจื่อคนเดิมที่นางชอบกลั่นแกล้ง หากแต่ตัวนางเปลี
ทารกที่ 12ข้าอยู่นี่!ในความชุลมุนวุ่นวาย ชายหญิงหลายสิบบ้างถือไม้กวาดบ้างถือเก้าอี้วิ่งตามเซี่ยหานไป เมิ่งไท่อี้หนวดเคราสั่นระริก เขาแทบไม่เชื่อหูตนเองว่าบุตรเขยสุดประเสริฐจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เลยหยิบขาโต๊ะที่หักออกมาคิดนำไปทุบตีเซียวเฟิงให้ตาย!“ตับๆ ตับๆ ตับๆ” !!!“อ๊า อูววว อูววว” !!!“แรงอีกเจ้าคะพี่เซียว! แรงอีก!”ฟังจากเสียงคราง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนในห้องหับเมามันขนาดไหน นี่ไม่เหมือนที่พูดไว้ตอนแรก คนทั้งหมดนิ่งงันยืนงงอยู่หน้าห้อง ไหนว่าถูกข่มขืนมิใช่หรือ?“บัดซบ! เซียวอัน! เจ้าไสหัวออกมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้!” ถึงผู้อื่นจะแข็งค้าง แต่เมิ่งไท่อี้โมโหจนอกจะแตกตายแล้ว ความจริงเขาคิดอาละวาดพังประตูเข้าไป แต่กับถูกเซี่ยหานและคนอื่นๆ ดึงตัวไว้ บอกว่าเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปตอนนี้ จะให้พี่สาวของเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?นี่มิใช่การข่มขืน! แต่เป็นการเล่นชู้!ขณะเมิ่งผู้พ่อโวยวายอยู่หน้าห้อง คนด้านในก็เหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงกระแทกกันต่อด้วยความสะใจนานสองนาน ผู้คนบางส่วนหลบออกไปลานด้านนอก ตอนนี้เหลือเพียงคนสกุลเซี่ยเท่านั้น เพื่อพูดคุยหารือเรื่องงามหน้า ที่บุตรเขยตระกูลเมิ่งล
ทารกที่ 11เมิ่งจื่อท้องแล้ว!รุ่งเช้า ผู้ใหญ่บ้านเดินทางมาพบสกุลเมิ่งเป็นครอบครัวแรก ในมือท่านผู้เฒ่าถือหนังสือผ่านทางมาด้วยห้าฉบับ นี่เป็นสิ่งของที่แยกออกมาจากในหีบ ที่เมื่อวานเซียวเฟิงแบกใส่บ่ากลับมา“ทางการเข้มงวดมาก ช่วงนี้พวกเจ้าก็พกใบผ่านทางติดตัวตลอด อย่าได้หลงลืมวางทิ้งไว้ที่ใดละ”ผู้ใหญ่บ้านกำชับกับเมิ่งไท่อี้ เพราะเขาเป็นนายพรานต้องออกเดินทางบ่อยครั้งเพราะเป็นเขยแต่งเข้า ขั้นตอนการย้ายสำมะโนครัวจึงเป็นไปด้วยความง่ายดาย เนื่องจากญาติทางฝั่งเจ้าบ่าวถือว่าเสียหน้า ดังนั้นจึงมักไม่ยอมรับ เพียงใช้เงินจำนวนหนึ่งติดสินบนขุนนางตรวจสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงทะเบียนราษฎร์ยืนยันให้ขายขี้หน้าอย่าว่าแต่เซียวอันใช้ศักดิ์ฐานะญาติฝั่งมารดา เมื่อมีนางเมิ่งซือรับรอง ตอนแต่งงานก็มอบของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเข้าสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างราบรื่นหนังสือผ่านทางห้าฉบับนี้ หนึ่งใบเป็นของเซียวอัน เพราะทางอำเภอออกให้ในฐานะบุตรเขยตระกูลเมิ่งแห่งหลิวชิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้หูตาเฉิงอ๋องมีหลายแสนก็ยากจะพบตัวสายลับที่ปะปนเข้ามาเซียวเฟิงจึงทำงานได้อย่างสะดวกสบาย!หลายเดือนต่อมาซ่งจูเอ๋อที่อยู่ข้างบ้า
ทารกที่ 10โรงสุราแม่นางอิ๋งก่อนแต่งกับเซียวเฟิง เมิ่งจื่อเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเล็กน้อย หลังจากมารดาบอกว่า เขาจะเป็นสามีนางในอนาคต เมิ่งจื่อก็ไม่คิดถึงเรื่องพี่เสิ่นอีก เพราะนางยึดถือคำสอนที่ว่า อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามีแต่คำพูดฮูหยินพวกนั้นสะกิดแผลในใจนาง จะให้สามีนางสอบจิ่นสือเป็นขุนนาง แม้แต่นางยังไม่กล้าคิด นี่มันคำดูถูกเหยียดหยามชัดๆ เมิ่งจื่อพบว่าสามีไม่รู้กฎระเบียบก็อับอายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกถากถางซึ่งหน้า จะให้นางไม่เสียใจได้ยังไงแต่ท่านพี่เพียงหวังดีกับนาง!เมื่อเทียบกันแล้ว พี่เสิ่นยามนี้คงเป็นขุนนางในราชสำนัก สมัยก่อนเขาสัญญาอะไรกับนางไว้ตั้งมาก บอกว่าพอเขาเข้าเมืองหลวง นางก็จะเป็นฮูหยินน้อย เขาจะซื้อเครื่องประดับเงินประดับทองให้นาง ทั้งยังจะพานางไปดูงิ้ว หลายปีให้หลังมีตำแหน่งสูงขึ้น เขาบอกว่านางจะได้เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ ถึงตอนนั้นยังสามารถปักปิ่นหงส์ใช่แล้ว กฎข้อบังคับระบุว่า มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์ขั้นสองขึ้นไปเท่านั้น ที่สวมใส่เครื่องประดับรูปหงส์ได้ ในชีวิตเมิ่งจื่อเกิดมาเคยแต่เห็นรูปหงส์ในกระดาษ แม้แต่เครื่องประดับแบบนั้นนางก็ไม่เคยเจอทั่วทั้ง
ทารกที่ 9ปิ่นปักผมกว่าจะถึงอำเภอ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เซียวเฟิงพาเมิ่งจื่อไปที่ว่าการเป็นอันดับแรก ติดต่อขอเข้าพบผู้ช่วยสวี เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเหมือนจะรู้อยู่ก่อน พอบอกว่ามาจากหมู่บ้านหลิวชิ่ง ตรวจสอบเอกสารที่นำมาเล็กน้อย ก็พาคนทั้งหมดเดินอ้อมเข้าตึกหลัง ไปพบผู้ช่วยสวีที่ทำงานอยู่ด้านในระหว่างทางพวกเมิ่งจื่อเดินสวนกับสาวงามกลุ่มหนึ่ง ทุกนางแต่งตัวดูดีมาก ศีรษะมีเครื่องประดับเต็มไปหมด ไม่ว่าจะปิ่นหยกปิ่นเงินปิ่นทอง ล้วนมีทั้งนั้นพวกนางเองก็พบเห็นเมิ่งจื่อ แต่หญิงสาวเหล่านั้นหาได้สังเกตดูนางไม่ เพียงพินิจเซียวเฟิงแวบเดียว จากนั้นชักสายตากลับมาหัวเราะคิก มิทราบซุบซิบนินทาอะไรกันภายในห้องทำงานผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนกล่าวว่าลำบากพวกเจ้าแล้ว ที่อยู่ในกล่องนั่นเป็นใบผ่านทางทั้งหมด พวกเจ้าใช่ยกไปไหวหรือไม่เมิ่งจื่อมองไปที่หีบในหนึ่ง นางลอบปาดเหงื่อ คิดไม่ถึงว่าใบผ่านทางที่ผู้ใหญ่บ้านบอก จะมีมากมายปานนี้“…”ทีแรกนางคิดว่าต้องนำกลับไปเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ใบผ่านทางมากขนาดนี้นางจะเอากลับไปไหวได้ยังไง?“โอ้! ไฉนมีมากมายปานนี้ขอรับ?”เซียวเฟิงแสร้งเป็นตกใจ อุทานถามผู้ช่วยสวี บัณฑิตกลางคนก็เอา
ทารกที่ 8ภาพวาดก่อนเมิ่งจื่อแต่งงานหนึ่งเดือน จู่ๆ ในอำเภอไท่หังมีร้านรับซื้อหนังสัตว์เปิดใหม่ เรื่องแบบนี้ถือว่าปกติมาก เพราะแดนส่านซีอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองทางเหนือและใต้ขนจิ้งจอกขาวมีชื่อหาได้ยากอยู่แดนเหนือ ส่วนขนหมีและเสือส่วนมากอยู่ภาคกลางและใต้ พ่อค้าส่วนใหญ่จึงตั้งร้านรับซื้ออยู่ในแดนส่านซี เพื่อนำไปขายทำกำไลต่อในเมืองหลวงจินหลิงเป็นเมืองหลวงของต้าเว่ย นี่อยู่ห่างส่านซีถึงสามพันลี้ หากเดินทางไปกลับใช้เวลาเกือบสองเดือน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าหนังจึงจัดตั้งหน่วยขนส่ง เพื่อรวมกลุ่มกันเดินทางขนสินค้าอย่างปลอดภัยร้านรับซื้อใหม่ที่เพิ่งเปิด ก็เป็นสมาชิกของสมาคมนี้เองร้านหนังสัตว์จูเก่อหลงจู๊พอจ่ายเงินค่าหนังสองผืนให้เซียวเฟิง เขาก็เดินกลับเข้าหลังร้าน ใช้คนงานให้เปลี่ยนมาเฝ้าร้านแทน ส่วนตัวเองพอถึงที่ลับตา ก็เดินออกทางประตูหลัง ปะปนกับผู้คนในตลาด จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตาม ถึงได้หายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง“ท่านตรวจดู รายชื่อในภาพคุ้นชินหรือไม่?”ห้องใต้ดินของบ้านลึกลับ หลงจู๊ร้านหนังกางภาพวาดผืนใหญ่ลงบนโต๊ะ ภาพใบนี้เป็นเซียวเฟิงซุกซ่อนมากับหนังหมี ชายปริศนาเจ้าของบ้านก็
ทารกที่ 7เจ้าหน้าที่ทางการยังคงอยู่ที่ริมแม่น้ำ เมิ่งจื่อซักผ้าเสร็จแล้ว นางก้มลงหยิบถังไม้หันกลับขึ้นฝั่ง ดวงตาหญิงสาวไม่มีน้ำตาประดับอยู่ซักนิด ราวกับเมื่อครู่นางมิได้ร่ำไห้อันใด“นี่! เป็นไร! แค่นี้ก็ตอบไม่ได้หรือว่าของใครดีกว่ากัน?” จูเอ๋อไม่คิดปล่อยอริไปโดยง่าย นางพอเห็นเมิ่งจื่อจะเดินหนีก็ตะโกนถาม จากนั้นหัวเราะคิกคักกับสหายต่อไป“ดีแล้วจะทำไม? สามีข้าเอาดีแล้วเกี่ยวใดกับพวกเจ้า” ขณะเดินผ่าน เมิ่งจื่อพลันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่เป็นคำพูดหยาบคายของชาวบ้านชนบท หากนางกล่าวแบบนี้ที่เมืองหลวงให้ผู้คนได้ยิน คงถูกเหล่าบัณฑิตประณามด่าท่อ ว่าเป็นหญิงมักมากร่านราคะจริงๆจูเอ๋อถึงกับอึ้ง นางไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับมาแบบนี้ แต่เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่านางจะคิดคำด่าได้ เมิ่งจื่อก็เดินหนีหายไปไกลแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่กำมือจิกเล็บยืนเต้นเร้าๆ ด่าเมิ่งจื่อลับหลังกับเหล่าสหายด้วยคำหยาบต่างๆ นาๆบนทางน้อยกลับบ้าน เมิ่งจื่อไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตอบโต้จูเอ๋อ คิดไม่ถึงว่าพอพูดยั่วโมโหออกไปแบบนั้น นางจะรู้สึกดีและตื่นเต้นมากใช่แล้ว นางไม่เคยทำผิดต่อสามี พอนางคิ
ทารกที่ 6ต้นหลิวเซียวเฟิงรอจนเมิ่งจื่อรับประทานเสร็จ จากนั้นบอกท่านลุงทั้งสองว่าขอตัวกลับก่อน แล้วจับจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก ระหว่างทางก็แวะแผงขายเครื่องประดับ เลือกซื้อปิ่นปักผมราคาถูกให้เมิ่งจื่อสองอันนี่เป็นปิ่นไม้ขัดจนเงาไม่มีราคาค่างวด แต่เซียวเฟิงพบเห็นแล้วก็ชอบ จึงถามหญิงสาวข้างๆว่า งดงามหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองเมิ่งจื่อจึงยิ้มระรื่นก่อนออกจากเมืองแม้จะเพียงแค่อันละสามสิบเหวิน แต่นี่เป็นสิ่งที่สามีซื้อหาให้ ตลอดทางกลับเมิ่งจื่อเลยเบิกบานยิ่ง เดินนำหน้าเขาแกว่งมือแกว่งเท้า บิดเอวอ้อนแอ้นไปมาอย่างอารมณ์ดีในสายตาเซียวเฟิง ปิ่นราคาแสนตำลึงเขาก็เคยเห็นมาแล้ว แต่พอคิดว่า นำมาประดับอยู่บนศีรษะภรรยาตอนนี้ ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด แต่ปิ่นไม้ธรรมดาเรียบง่ายกับดูเหมาะสม ที่จะขับเน้นความบริสุทธิ์ของสาวชาวบ้านออกมาตรงหน้าชายหนุ่มเป็นหญิงบอบบางในชุดผ้าเนื้อหยาบ นางสูงเพียงช่วงไหล่เขาเท่านั้น ก้นน้ำเต้าแบบนี้ ต่อให้มีอายุมากขึ้น เขาก็มองออกว่านางจะไม่สูงขึ้นอีกแม้แต่คืบเดียวสมัยก่อนเซียวเฟิงแฝงตัวอยู่ในวัง ไม่ว่าหญิงสูงศักดิ์งดงามเพียงใด ทุกนางล้วนผ่านสา
ทารกที่ 5ข้าไม่เอาสามีผู้นี้แล้วฟูกที่นอนอ่อนยวบ เปลวเทียนถูกลมหายใจเป่าดับ สายตาเมิ่งจื่อตกอยู่ในความมืด จากนั้นนางรู้สึกว่าผ้าห่มที่ปลายเท้าถูกเลิกขึ้น ตามมาด้วยไอเย็นปะทะเข้ากลางหว่างขา เพราะกระโปรงชุดแต่งงานของนางถูกถอดออกเมิ่งจื่อสะดุ้งเฮือก นางขัดขืนเพราะขาทั้งสองถูกมือเย็นๆ จับแยก สาวน้อยไม่รู้ความจึงถามสามีว่า“ท่านพี่จะทำไรหรือ?”นี่เป็นท่านแม่สอนให้เรียก นางบอกว่าหลังจากนี้ให้เรียกพี่ชายแปลกหน้าว่าท่านพี่แม้นางจะไม่รู้ว่าสามีทำอะไร และไม่มีคำตอบรับกลับมา แต่เมิ่งจื่อยังยอมแยกขาออกให้ เพราะท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้อยู่นิ่งๆ เชื่อฟังสามีวิกาลคล้อยดึก เพื่อนบ้านของเมิ่งจื่อความจริงหลับหมดแล้ว แต่จู่ๆ มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จับใจความได้ว่า “อ่า อ๊า โอ้ย! ไม่เอาแล้วท่านแม่ ข้าไม่เอาสามีคนนี้แล้วเจ้าคะ ไม่เอาแล้วเจ้าคะ ฮือ! ฮือ!”“…”บนเตียงนอนบ่าวสาว เมิ่งจื่อความจริงถูกทาบทับจากข้างหน้า แต่เพราะนางดิ้นรนเอาชีวิตรอด ถีบจนสิ่งที่แทงนางเจ็บปวดหลุดออก พลิกตัวคลานหนีลงเตียงแต่นี่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด เซียวเฟิงเห็นท่าคลานของนางก็คึกยิ่งกว่าเดิม เขาตามไปกระชากบั้นท้ายดีดเด้งในควา