เพื่อนและแฟนที่รักจงใจปั่นหัวดั่งเธอโง่งม ท่ามกลางไฟสลัวกลับมีมือคู่หนึ่งยื่นบางอย่างมาให้ พร้อมแสงสุดท้ายในโลกใบเดิม ทว่าเธอกลับได้เกิดใหม่ในร่างสตรีตัวร้าย ซ้ำยังถูกตราหน้าว่าอัปลักษณ์ทั้งกายและใจ
View Moreหลิวจือหลินสะดุ้งเฮือก "...ทำอะไรเจ้าคะ""เจ้ามือเย็นหมดแล้ว ยามปกติข้าเห็นเจ้ามั่นใจฉะฉาน กล่าววาจาประหนึ่งน้ำตก ซ้ำยังโฉ่งฉ่างใช่ย่อย ยามนี้สงบเสงี่ยมเกินไปหน่อยแล้ว มันน่าแปลก" เจียงซื่อจวินเอ่ยทั้งที่เขายังกุมมือของนางอยู่เช่นนั้นหลิวจือหลินค้อนควัก "ก็ข้าตื่นเต้นนี่เจ้าคะ"หลิวจือหลินลอบดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างแนบเนียน หากเขายิ่งทำเช่นนี้ เกรงว่าหัวใจของนางต้องหลุดกระดอนมาดิ้นแด่วบนพื้นให้ต้องอับอายแน่แท้ฮองเฮาเอ่ยขึ้น "เจียงโหวฮูหยิน ข้าชมชอบอาภรณ์ที่เจ้าออกแบบยิ่งนัก อีกไม่นานราชวังจะมีงานเฉลิมฉลองใหญ่ เช่นนั้นข้าอยากให้เจ้าช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้ข้าเสียหน่อยสะดวกหรือไม่"หลิวจือหลินอึกอัก นี่คือสตรีสูงศักดิ์ของใต้หล้าเชียว นางต้องตัดเย็บเสื้อผ้าให้จริงหรือ กดดันเกินไปหน่อยแล้ว "เอ่อ...งานอะไรหรือเพคะ"ไท่จื่ออมยิ้ม โพล่งตอบแทนมารดา "อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นวันคล้ายวันประสูติของเสด็จแม่ เช่นนั้นเจียงโหวฮูหยิน สามารถออกแบบอาภรณ์ที่เหมาะสมและมิมีผู้ใดเหมือนให้แก่เสด็จแม่ได้หรือไม่"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มละไม นางค่อย ๆ ร
หลายวันมาแล้วที่หลิวจือหลินโหมงานอย่างหนัก ฟ่านเทียนเผยจึงเสาะหาช่างตัดเย็บฝีมือดีมาเป็นลูกมือให้แก่นาง กระนั้นหลิวจือหลินก็ต้องคอยควบคุมและช่วยเหลือเพื่อแนะนำการทำงานอย่างใกล้ชิด อาภรณ์สตรีถูกตัดเย็บและออกแบบได้อย่างล้ำสมัย ยิ่งพิศมองก็ยิ่งงดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้น รายการสั่งซื้อจึงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายฟ่านเทียนเผยนับว่าเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยทั้งหน้าตาและทรัพย์สิน ยามนี้การร่วมเป็นหุ้นส่วนกับหลิวจือหลินส่งผลให้สมบัติและชื่อเสียงที่มีก็ยิ่งขจรขจายไปไกลกระทั่งเป็นที่สนใจของต่างแคว้น คาดไม่ถึงว่ายามนี้หลิวจือหลินเปรียบดั่งขุมทรัพย์ที่ช่วยหารายได้เข้าคลังสมบัติของเขาได้อย่างน่าตื่นตะลึง"อาเผย วันก่อนข้าได้รับของฝากจากรัชทายาท นี่เป็นฝีมือการออกแบบของฮูหยินเจียงโหวจริงหรือ" สตรีวัยกลางคนคลี่ยิ้มงดงามส่งให้หลานชายอันเป็นที่รักแท้จริงน้อยคนนักจะล่วงรู้ว่าฟ่านเทียนเผยนั้นคือญาติแท้ ๆ ของซินหยางหรือซินกุ้ยเฟย กระนั้นใช่ว่าเจียงซื่อจวินจะไม่ทราบ เรื่องทุกอย่างในรั้ววังเจียงโหวผู้นี้ล่วงรู้ทุกสิ่ง นอกจากฟ่านเทียนเผยจะเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยเขายังมีสถานะอื่นท
หลิวจือหลินเฉไฉหน้าไปทางอื่น นางได้ยินเสียงแค่นยิ้มดังแผ่วจากลำคอของเขา จู่ ๆ นิ้วหยาบกร้านก็ช้อนปลายคางโค้งมนขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเอนองศาไปตามมือหนาที่คล้ายจะบังคับตนอยู่หน่อย ๆ เจียงซื่อจวินโน้มลงเนิบช้า ลมหายใจอุ่นปนกลิ่นประจำกายของชายหนุ่มตีปนกับบรรดาโอสถอันคละคลุ้งพานให้ใจเต้นโครมคราม"หลิวจือหลิน เจ้าคิดว่าทำตัวดีแล้วจริงหรือ เมื่อกลางวันเจ้าเกือบทำให้ข้ากลายเป็นคนเสียสติ รอยยิ้มอันจริงใจของเจ้า กล้าดีอย่างไรจึงมอบมันให้ชายอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า"น้ำเสียงของเขาสั่นพร่าปนคาดโทษหนักหน่วง เป็นเหตุให้ขนอ่อนบนกายพร้อมใจลุกเกรียว ร่างระหงผงะแตกตื่น นางกำลังถูกเขาไล่ต้อนเสียจนเหงื่อเย็นโชกชุ่มไปทั่วแผ่นหลังเขาหมายความว่าอย่างไร คำพูดและความรู้สึกนั่น!?ความคิดในศีรษะตบตีจ้าละหวั่น เขากำลังหึงหวงนางงั้นหรือ เกรงว่านางอาจกำลังคิดเข้าข้างตัวเองเสียมากกว่า หากเขาทราบความในใจที่ตระหนักเมื่อครู่ คงได้อับอายจนต้องมุดดินหนีกระมังหลิวจือหลินไม่อยากเอาใจไปผูกติดกับคนชั่วช้านั้นอีกแล้ว นางปรารถนาออกห่างจากเขา นางกลัวว่านอกจากใบหน้าแล้ว
ความอลหม่านของงานจัดแสดงอาภรณ์สิ้นสุดลงแล้ว โชคดียิ่งที่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายเพิ่มเติม ดูเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่เพียงอุบัติเหตุ แต่เป็นความจงใจของใครบางคนเสียมากกว่า ยามนี้มีเพียงเจียงโหวที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะเขาเอาตนเองเป็นโล่กำบังให้หลิวจือหลินแม้องครักษ์ทั้งสองสามารถจับกุมมือดีไว้ได้ ทว่าต่อให้สอบสวนและคาดคั้นอย่างหนัก สตรีนางนั้นก็ไม่อาจตอบคำถามพวกเขาได้ เพราะเป็นเพียงการว่าจ้างมาอีกทอดหนึ่ง ผู้ว่าจ้างปกปิดใบหน้าซ้ำยังมีร่างกายกำยำน่าหวาดเกรง นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านตาดำ ๆ ตัดสินใจรับงานและก่อเหตุก็เพื่อต้องการเงินไปเลี้ยงดูลูกน้อยที่อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ มาช้านาน อีกอย่างเขาบอกเพียงว่าเป็นชาธรรมดา เป้าหมายหลักก็เพียงอยากทำให้เจียงโหวฮูหยินอับอายต่อหน้าธารกำนัล คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่นางสาดใส่หลิวจือหลิน จะไม่ใช่เพียงน้ำชาตามที่ตนเข้าใจแม้เจียงซื่อจวินรู้สึกเห็นใจหญิงหม้ายลูกติดเพียงใด คนเราเมื่อทำความผิดก็ต้องว่าไปตามผิด เขาจึงส่งนางไปยังศาลหลวงเพื่อให้ตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปหลิวจือหลินนั่งมองบาดแผลซึ่งปรากฏอยู่บนแขนแกร่งตาละห้อย นางบรรจงทำคว
การจัดแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่หลิวจือหลินคิดมากนัก ร่างระหงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบด้วยรอยยิ้ม"ฮูหยิน ท่านเหนื่อยหรือไม่" ฟ่านเทียนเผยยิ้มตอบหลิวจือหลินส่ายหน้า "ไม่เลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าสนุกมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าเฝ้าฝันอยากทำมาโดยตลอด""ท่านช่างฉลาดล้ำ ซ้ำยังมุ่งมั่นยิ่ง"ริมฝีปากสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้าง พวกเขาพูดคุยกันอย่างถูกคอ พลางมองบรรดาสาวงามที่หลิวจือหลินแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เมื่อผู้คนได้เห็นสตรีซึ่งแต่งกายหลากหลายรูปแบบมากสีสันบนลานแสดงก็ต่างฮือฮายกใหญ่ แม้รูปร่างที่แตกต่างทว่ายังสามารถดึงความโดดเด่นจากอาภรณ์บนเรือนกายออกมาได้อย่างน่าตื่นตะลึงหลิวจือหลินยกฝ่ามือขึ้นพร้อมใบหน้าซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้ม ฟ่านเทียนเผยงุนงงทว่าก็ยังยินดีทำตาม "อะไรหรือ"มือเรียวตบแปะบางเบาไปยังฝ่ามือกว้าง "กิ๊ฟมีไฟว์ [1] เจ้าค่ะ"ฟ่านเทียนเผยตัวแข็งทื่อเฉกเช่นดินปั้นไม้แกะสลัก ความรู้สึกที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสเมื่อครู่คือสิ่งใดกัน ใบหูของชายหนุ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเดี๋ยวนั้น "นะ...นั่นหมาย
นับจากวันนั้นหลิวจือหลินและฟ่านเทียนเผยก็พบปะกันมากขึ้น เพราะทั้งสองต้องร่วมวางแผนทำการค้าอย่างจริงจัง กระทั่งถึงวันที่ต้องนำอาภรณ์ทั้งหมดซึ่งตัดเย็บเรียบร้อยมาจัดแสดงหน้าเหลาอาหารดูเหมือนชะตาการค้าช่างเข้าข้างยิ่งนัก เพราะคุณชายฟ่านล้วนเป็นที่รู้จักของสตรีแทบทุกชนชั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่หลิวจือหลินจะสามารถกอบโกยผลประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มที่ คุณชายฟ่านช่างเนื้อหอมใช่เล่นแม้แต่บรรดาองค์หญิงและบุตรีขุนนางใหญ่โตยังสนใจเข้าร่วมงานจัดแสดงอย่างกระตือรือร้น ไท่จื่อทราบข่าวการเปิดตัวอาภรณ์สตรีแนวใหม่จึงบังเกิดความสนใจขึ้นเช่นกัน เขาอยากชื่นชมฝีมือของฮูหยินเจียงโหวเสียหน่อยนับตั้งแต่ได้พบหน้ากับหลิวจือหลินหนนั้น ไท่จื่อก็ใคร่อยากทำความรู้จักนางมากขึ้นอีก อันเป็นเหตุให้แขกเหรื่อในวันนี้มากด้วยบรรดากิตติมศักดิ์จนล้นหลาม แม้จะดูแน่นขนัดกันไปหมด กระนั้นหลิวจือหลินก็ยังจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน หาได้กระทบต่อการเข้าชมของทุกฝ่ายแต่อย่างใด"ทุกคนเรียบร้อยแล้วหรือไม่" หลิวจือหลินง่วนอยู่กับการจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้บรรดาสาวงามที่ฟ่านเทียนเผยเฟ้นหามาให้ กระนั้นนางไม่
"ฮูหยิน แล้วไอแฟชั่นโชว์ของท่านนี่ต้องทำอย่างไรหรือ"ร่างระหงยอบกายลงนั่งตามเดิมด้วยท่าทีกระตือรือร้น "ท่านไปหาสาวงามมาสักสิบคน จากนั้นข้าจะนำอาภรณ์ที่ตัดเย็บสวมลงบนกายพวกนาง ลานแสดงของท่านหากจัดในเหลาอาหารอาจดูแออัดไป เช่นนั้นก็จัดมันข้างหน้าเลยดีหรือไม่"ฟ่านเทียนเผยเลิกคิ้ว "อ่า...ข้าเข้าใจแล้ว คล้าย ๆ แสดงการร่ายรำงั้นหรือ"หลิวจือหลินตริตรอง "อืม...ก็คงนับว่าคล้าย ๆ กระมังเจ้าคะ เพียงแต่งานนี้จะเป็นการแสดงความโดดเด่น และความสวยงามของอาภรณ์เท่านั้น เพื่อเรียกบรรดาแขกเหรื่อ และสร้างจุดขายให้ผลิตภัณฑ์ของเราเจ้าค่ะ"ฟ่านเทียนเผยพยักหน้าเข้าใจ ส่วนเจียงซื่อจวินมองนางแทบไม่ละสายตาท่าทีเริงร่าเช่นนี้ยามอยู่กับเขานางไม่เห็นจะเคยทำ ดูเหมือนสบายใจเสียจริงยามได้พูดคุยหยอกล้อกับบุรุษอื่น จู่ ๆ เจียงซื่อจวินก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาตงิดใจ เขาจึงยกชาขึ้นจิบเพื่อสงบอารมณ์"ฮูหยินของท่านโหวช่างฉลาดล้ำจริงแท้"เจียงซื่อจวินตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายกล่าวว่านางคือของเขา ส่วนหลิวจือหลืนมิได้คิดอะไรก็เอาแต่ปั้นยิ้มจนเขาอยากยกมือป้องปากนั้นไว้เสีย
รถม้าจากจวนโหวเคลื่อนมาจอดที่เบื้องหน้าร้านฟ่านอิน บุรุษร่างสูงยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เขาตั้งตารอการมาเยือนของฮูหยินเจียงโหวโดยตลอด ริมฝีปากได้รูปยกโค้งพึงใจเมื่อเห็นร่างระหงย่างกรายลงจากบันไดแคบหลิวจือหลินยอบกายพร้อมรอยยิ้ม "คุณชายฟ่าน""ฮูหยิน ท่านไม่ต้องมากพิธี" มือหยาบระคายเอื้อมไปเบื้องหน้าหมายประคองให้นางยืดกายตามสบาย ทว่ากลับมีเสียงทุ้มกระแอมเบาดังมาจากด้านในประหนึ่งตาเห็นคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน ฟ่านเทียนเผยสลับสายตามองหลิวจือหลินกับรถม้าที่นางใช้เป็นพาหนะเดินทางหลิวจือหลินคลี่ยิ้มแห้งขอด จากนั้นบุรุษร่างสูงจึงสาวเท้าตามลงมา เมื่อพบว่าเป็นผู้ใดฟ่านเทียนเผยก็พลันแค่นยิ้มในลำคอ มิน่าเล่าเขาถึงเห็นองครักษ์เจียงซื่อจวินขนาบข้างซ้ายขวาเจียงซื่อจวินเยื้องย่างมายืนเคียงกายหลิวจือหลิน จากนั้นยกแขนโอบกอดไหล่บอบบาง หลิวจือหลินสะดุ้งโหยง กล่าวกระซิบลอดไรฟัน "ท่านโหว ทำอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ อายผู้อื่น"ฟ่านเทียนเผยมองแขนที่กระชับไหล่เล็กเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ สลับกับสีหน้าต่อต้านน้อย ๆ ของสตรีข้างกายอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็เข้าใจในบั
"เจ้า! กำลังยั่วโมโหข้าหรือ""เปล่านะ ท่านโหว ออกไปห่าง ๆ ข้าหายใจไม่ออก" หลิวจือหลินพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งโน้มใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปลายจมูกของเขาแทบสัมผัสถูกหน้าอยู่รอมร่อ กลิ่นเครื่องหอมประจำกายชายหนุ่มตีแสกเข้าหน้าเสียจนหลิวจือหลินรู้สึกประดักประเดิด"วันพรุ่งข้าจะไปกับเจ้า"หลิวจือหลินหันหน้าขวับ ปรางแก้มพลันเฉียดปลายจมูกของบุรุษตรงหน้า ไม่รู้เพราะจมูกเขามันโด่งเกินไปหรือตั้งใจกันแน่ ทั้งสองเบิกตากว้างตะลึงงัน เจียงซื่อจวินได้สติจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ"...นี่ท่านฉวยโอกาสรึ"เจียงซื่อจวินกระแอมเล็กน้อย "เจ้าหันมาเอง ยังกล่าวโทษข้า""ห้ะ!" หลิวจือหลินยกมือลูบแก้มของตนที่ยังหลงเหลือสัมผัสจากชายหนุ่ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีแดงเรื่อ ริมฝีปากบางเฉียบขยับเอ่ยกระท่อนกระแท่น "…พรุ่งนี้ท่านโหวไม่มีงานหรือไร""ไม่มี" เจียงซื่อจวินไม่ฟังเสียงทัดทานนั้นอีก ร่างสูงหมุนกายเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนหน้าตาเฉยนัยน์ตากลมโตกลอกมององครักษ์สองนายด้วยความประหวั่น หลิวจือหลินลอบถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนพวกเขายืนหันหลังดั่งหุ่นไม
ถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บวันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทนใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็นเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสั...
Comments