ชายหนุ่มอมยิ้ม เขามองตามสายตาดุจแมวน้อยหิวโซของหลิวจือหลิน นางยังคงลังเลว่าควรลองชิมอาหารจานใดก่อน
ตะเกียบในมือชายหนุ่มถูกหยิบขึ้น ฟ่านเทียนเผยคีบอาหารวางลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบของหลิวจือหลิน "ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ท่านลองชิมว่าชอบหรือไม่"
หลิวจือหลินแหงนมองอีกฝ่าย เขาช่างดูเอาใจใส่สหายที่เพิ่งรู้จักกันอยู่ไม่น้อย หากสตรีนางใดเป็นฮูหยินของเขา คงโชคดีมากทีเดียว หลิวจือหลินละเลียดชิมอย่างเกรงใจ เมื่อหมูชิ้นแรกถูกส่งเข้าปาก ความนุ่มละมุนลิ้นผสานรสเปรี้ยวหวานอันเข้ากันอย่างลงตัว เป็นเหตุให้หลิวจือหลินตื่นตาอย่างยิ่ง
"อื้อฮือ...อร่อยมากเจ้าค่ะ" มือเรียวยกขึ้นชูนิ้วโป้งม่านตาเบิกกว้างชอบใจ
ริมฝีปากได้รูปจุดรอยยิ้มจาง ๆ "หากไม่พอข้าจะสั่งเพิ่มให้"
หลิวจือหลินส่ายศีรษะจนเส้นผมแตกกระเจิง "พอแล้วเจ้าค่ะ มากมายเพียงนี้ ทานเพียงสองคนไม่หมดแน่ สิ้นเปลืองเสียเปล่า"
ฟ่านเทียนเผยคีบอาหารอีกหลายอย่างส่งไปยังถ้วยอาหารของหลิวจือหลิน นางก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด อาหารสูตรโบราณเหล่านี้อร่อยล้ำถูกปากจริง ๆ หลิวจือหลินนอนป่วยอยู่ในจวนโหวตั
รถม้าจวนโหวเคลื่อนตัวออกจากเหลาอาหาร ฟ่านเทียนเผยยืนสงบนิ่งมองจนลับตา จากการสังเกตเจียงซื่อจวินก็มิได้ดูรังเกียจเดียดฉันท์ฮูหยินตนเองเช่นข่าวโคมลอย แต่ทว่าสองสามีภรรยาที่เผชิญหน้ากันเมื่อครู่ เหตุใดจึงทำราวกับเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกฮูหยินเจียงโหวยิ้มเดียวล่มเมือง เป็นที่น่าสนใจของเขาเสียด้วยดูเหมือนฟ่านเทียนเผยพบเรื่องราวน่าสนุกเข้าให้แล้วริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว วันนี้เรื่องที่หมายเจรจายังไม่ลุล่วง นั่นย่อมเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้พบหน้าฮูหยินเจียงโหวอีกครั้ง ร่างสูงหมุนกายกลับเข้าด้านใน มือทั้งสองไพล่หลังพร้อมสีหน้าสบายอารมณ์หลิวจือหลินก้มหน้างุดอยู่ในรถม้า สาวใช้ทั้งสองมิได้อยู่ด้วยเช่นขามา ยามนี้นางกำลังประสบปัญหาขั้นวิกฤติอยู่เพียงลำพังกับมัจจุราชหน้าขรึม ดูเอาเถิดดวงตาของเขาคมเข้มราวมีดดาบ ซ้ำยังจ้องนางเขม็งราวกระหายโลหิตคนไร้มารยาท ปีศาจกลับชาติมาเกิด กะจ้องข้าให้พรุนเลยหรือไงครั้นอยากหายใจหลิวจือหลินยังรู้สึกลำบาก ทว่าสิ่งที่ชวนอึดอัดมากกว่าอื่นใด ไฉนเขาจึงมีใบหน้
"...ท่าน นี่ท่านยังยิ้มหรือเจ้าคะ ไม่ช่วยแล้วยังกล้ายิ้มเยาะผู้อื่นงั้นหรือ คนไร้มโนธรรม" ไม่รู้หลิวจือหลินกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด อาจเพราะเหลืออดกับท่าทีโอหังซ้ำยังเยาะยิ้มของเขาอยู่ตลอดจึงทำให้สติของนางขาดผึงจู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับยิ้มก็หุบฉับ มือแกร่งคว้าหมับไปยังท้ายทอยสตรีฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวนั้น ลมอุ่น ๆ ถูกเป่าออกมาพรูดหนึ่ง หลิวจือหลินตะลึงงันตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าซับสีแดงเรื่อเกือบเท่าหน้าผาก"เป็นเช่นไรหายเจ็บแล้วหรือไม่"นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ ประจวบเหมาะกับล้อเลื่อนนั้นหยุดเคลื่อนที่แล้ว หลิวจือหลินไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก็ชิ่งกลับลงไปเสียก่อน ครั้นได้สติ หลิวจือหลินจึงสลัดศีรษะพัลวัน"...ทำบ้าอะไรของท่าน ท่านโหว คนฉวยโอกาส"เสียงใสตะโกนไล่หลังดังลอดจากด้านใน เจียงซื่อจวินลงมาก่อนแล้วยังไม่ทันสาวเท้าออกไปก็พลอยหน้ากระตุก นางเป็นฮูหยินของเขา แต่กลับกล่าวหาสามีว่าฉวยโอกาส เมื่อครู่เขาแทบมิได้แตะถูกใบหน้านางเลยด้วยซ้ำวันนี้เจียงซื่อจวินได้เปิดหูเปิดตาครั้งแรกช่างสนุกยิ่งนัก แท้จริงฮูหยินของเขาเป็นสตรีเช่นไรกันแน
หลิวจือหลินพยายามดันกายกำยำออกห่างจากตน แต่ดูเหมือนเปรียบดั่งมดตัวจ้อยขย่มต้นไม้ใหญ่ เจียงซื่อจวินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด นางจึงส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาไปหนึ่งครา"ท่านโหว นี่ท่านเป็นคนเช่นไรเจ้าคะ จึงบุกเข้าห้องสตรียามวิกาล"เจียงซื่อจวินงุนงง ตกลงแล้วเขาเป็นฝ่ายผิดที่เข้าห้องภรรยาตนเองงั้นหรือ "พูดอะไรของเจ้า""ก็ดูท่าน...ท่านเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงหนำซ้ำยังจงใจลวนลามข้า"เจียงซื่อจวินขำพรืด เขาเคยเดียดฉันท์เรือนร่างนี้ก็จริง ทว่าเมื่อช่วงกลางวันกลับทำให้ความคิดหนึ่งของเขาผุดขึ้น นั่นคือรังแกอีกฝ่ายให้สาแก่ใจดูสักหน่อย เมื่อก่อนยังร้องหาเพียงอ้อมกอดของเขา ยามนี้เขายินดีประเคนให้นาง นางกลับหลีกหนีและกล่าวหาสามีซึ่งตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณีว่าลวนลามภรรยาตนเองงั้นหรือ"ฮูหยิน เจ้าใช้คำพูดไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ขอข้าดูหน่อยว่าอุบายที่เจ้าว่าคืออะไร"หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อดุจหุ่นขี้ผึ้ง มือหยาบระคายหนึ่งด้านยื้อแย่งกระดาษในมือของนางออกไปหน้าตาเฉย ส่วนอีกฝั่งยังคงรัดเอวคอดไว้แน่น"เอ๊ะ! กำลังทำอะไรน่ะ เอาคืนมานะเจ้าคะ" ร่างระหงกระโดดโหยงในอ้อ
"นี่ท่าน ปล่อยนะ! ข้าเจ็บ" เพราะปลายคางถูกเขาพันธนาการดั่งถูกหนีบด้วยคีมเหล็กร้อนฉ่า ส่งผลให้เสียงที่เปล่งออกมาอู้อี้ไม่เป็นศัพท์"เจ้าอยากพูดอะไร หืม... ถ้าหมายถึงเรื่องนั้นลองกลับไปทบทวนหรือไม่ ว่าใครกันแน่ที่วิ่งโร่ให้พ่อตัวเองขอราชโองการเพื่อแต่งงานกับข้า อย่าให้ข้ารู้ ที่เจ้าต้องการเอ่ยคำนั้นเพียงเพราะบุรุษสกุลฟ่าน" เสียงทุ้มแผ่วโหยทว่าเย็นยะเยือก ลมหายใจอุ่น ๆ เป่าปะทะใบหน้าเปลือกตาบางกะพริบถี่ นางมองเขาด้วยความประหวั่น ท่าทีดุจซาตานสิงร่างคืออะไร ขนอ่อนในกายลุกเกรียวเสียวไปยันไขสันหลังแค่ก! แค่ก!หลิวจือหลินใช้มือตะปบตีแขนกำยำเฉกเช่นอุ้งเท้าน้อย ๆ ของแมวเหมียว นางหวังใช้อุบายเดิม ทว่าเจียงซื่อจวินนั้นรู้ทันประหนึ่งนั่งอยู่กลางใจ ลูกไม้เดิมเมื่อใช้แล้วย่อมไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก มืออีกด้านของเขาจึงรวบแขนเล็กทั้งสองไพล่หลังดั่งนักโทษ ใบหน้าที่ถูกบีบบี้เริ่มเหยเกแทบหลั่งน้ำตาฮื่อ...คนป่าเถื่อน เจ็บจะตายอยู่แล้ว ปล่อยนะเขาพยายามข่มกลั้นไว้แล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย กระนั้นเมื่อเอ่ยถึงฟ่านเทียนเผย อกซ้ายของเขาดันก
หลังจากคืนที่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินมีปากเสียงกัน เขาก็ไม่เคยเฉียดกรายเข้าใกล้เรือนตะวันออกอีกเลย เรือนตะวันตกโหวหนุ่มยิ่งไม่โผล่หน้าไป เจียงซื่อจวินออกไปราชวังก่อนฟ้าสางกลับมาช่วงตะวันลับฟ้า นั่นนับเป็นเรื่องดีสำหรับหลิวจือหลินอย่างยิ่งยวด นางก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาแม้เพียงเสี้ยวยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโห!!เพราะไม่อยากใช้เวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ ในเมื่อมิมีผู้ใดคอยรบกวนจิตใจอีกจึงทำให้หลิวจือหลินสามารถออกแบบอาภรณ์ได้หลากหลายทว่ายังขาดอุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียมอีกมาก เงินในคลังก็หลงเหลือน้อยนิด หากจะหยิบมาใช้สอยคงต้องขายของมีค่าในจวนร่วมด้วย แต่ทุกสิ่งในนี้ล้วนเป็นสมบัติของเจียงซื่อจวิน นางไม่อยากติดค้างสิ่งใดกับเขาจึงไม่คิดทำเช่นนั้นยามเช้ากลับมีเรื่องชวนปวดหัวเพิ่มอีกหนึ่ง กล่องกำมะหยี่สีสวยสดถูกกองอยู่หน้าเรือนตะวันออกจนละลานตา ดั่งทราบว่ายามนี้หลิวจือหลินต้องการสิ่งใดเป็นที่สุด อุปกรณ์ตัดเย็บพร้อมสรรพตั้งเทินเกือบท่วมหลังคาเรือน"นี่คือ...อะไรงั้นหรือ" หลิวจือหลินกะพริบตามองด้วยความฉงน ร่างระหงเดินสำรวจรอบกล
ยามสวี [1] มาเยือน เมฆหนาบดบังดวงจันทราจนมืดมิด บุรุษร่างสูงเยื้องย่างลงจากรถม้าด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ทว่าองครักษ์มือซ้ายกำลังร้อนใจมาพบเขาทั้งที่ยังไม่ถึงหอนอนด้วยซ้ำ"ซือหาน เจ้าร้อนใจเพียงนี้อย่าบอกว่านางกลับมาก่อเรื่องอีกแล้ว"ตลอดหลายวันเขายุ่งกับงานจนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมในจวน และเจียงซื่อจวินมิเคยได้ยินว่าหลิวจือหลินอาละวาดใดอีกเลย เรื่องในคืนนั้น เขาก็ไม่อยากรื้อฟื้นให้ชวนหงุดหงิดอีก หากจับตาดูพฤติกรรมของนางสักระยะ ถ้าหลิวจือหลินมิได้เสแสร้งและสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริง มีหรือสามีเช่นเขาจะยังใจจืดใจดำกับฮูหยินตนได้ลงคอ"ท่านโหว ยามบ่ายมีของส่งมาให้ฮูหยินขอรับ" เฉิงซือหานยื่นบางอย่างไปเบื้องหน้าคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน เขาเอื้อมมือรับ เจียงซื่อจวินคลี่กระดาษแช่มช้า ครั้นโหวหนุ่มเห็นข้อความด้านใน อกซ้ายก็พลันกระเพื่อมไหวด้วยความเดือดดาล"นี่คืออะไร!? ผู้ใดส่งมางั้นหรือ""นี่เป็นจดหมายจากคุณชายฟ่านที่ส่งมาให้ฮูหยินขอรับ ซ้ำยังมีบรรดาแพรพรรณมอบเป็นของกำนัลให้ฮูหยินเต็มไ
"นางเป็นอย่างไรบ้าง"หมอวัยกลางคนจับชีพจรเรียบร้อย เขาค้อมกายเล็กน้อย "ท่านโหว ฮูหยินมีอาการอ่อนเพลีย ดูเหมือนคงโหมงานหนักจนมิได้พักผ่อน พักสักสองสามวัน ทานอาหารให้ตรงเวลาก็คงหายดีขอรับ"เจียงซื่อจวินพยักหน้า จากนั้นหมอจึงเขียนเทียบยาพลางกำชับเรื่องดูแลผู้ป่วยกับสาวใช้ทั้งสอง เจียวเจียวและปี้อี๋ชะเง้อมองนายหญิงด้วยสีหน้าเป็นกังวลระคนห่วงใย ช่วงนี้หลิวจือหลินมักเอ่ยกับพวกนางว่าเบื่ออาหาร หนำซ้ำยังนอนดึกเพราะเอาแต่ง่วนอยู่กับการวาดภาพใช้ความคิด"ข้าให้นางทำงานหนักเพียงนั้นเชียวหรือ ไยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ พวกเจ้าดูแลนางอย่างไร"เจียวเจียวก้มหน้างุดเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ทะ...ท่านโหว ช่วงนี้ฮูหยินบอกว่าไม่ค่อยอยากอาหารเจ้าค่ะ อีกอย่างฮูหยินต้องการหาเงินใช้เอง เลยคิดออกแบบอาภรณ์เพื่อเปิดร้าน ยามค่ำคืนจึงพักผ่อนน้อยไปบ้างเจ้าค่ะ"คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน เขาเหลียวมองเฉิงซือหาน อีกฝ่ายส่งยิ้มแห้งขอดกลับมาให้เขา เจียงซื่อจวินถอนหายใจพลางส่ายหน้าด้วยความระอา"ข้าเห็นนางไม่รับเงินจากข้า คิดว่ามีเงินอยู่แล้วจึงไม่ต้องการ ยามนี้เงินไม่พอใช้หรือ เมื่อก
กล่องกำมะหยี่พร้อมอุปกรณ์ตัดเย็บถูกส่งกลับร้านฟ่านอินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ชายหนุ่มยืนมองพลางเหยียดยิ้มจาง ๆ ร่างสูงเยื้องย่างออกมาบริเวณลานด้านหน้า"ของเหล่านี้ข้ามอบให้ฮูหยินท่านโหวเป็นของกำนัลจากสหาย ไยจึงได้นำกลับมาคืน"ช่ายจินซินยกมือขึ้นประสานเพื่อทักทายอีกฝ่าย ฟ่านเทียนเผยค้อมศีรษะน้อย ๆ เพื่อเป็นมารยาท "คุณชายฟ่าน ท่านโหวแจ้งว่า ท่านมิต้องลำบากส่งของกำนัลใดแก่ฮูหยินอีก หากฮูหยินต้องการ ท่านโหวจะซื้อให้ด้วยตนเอง""อ่า...เช่นนี้เองหรือ ข้าก็หลงคิดไปว่าฮูหยินไม่ต้องการเสียอีก ที่แท้เป็นท่านโหวส่งกลับมาหรอกหรือ""ขออภัย ที่จวนโหวต้องเสียมารยาทต่อน้ำใจของคุณชาย ทว่าของเหล่านี้มิอาจรับไว้ได้จริง ๆ ขอรับ"ฟ่านเทียนเผยพยักหน้า ไหน้ำส้มเจียงโหวแรงใช้ได้"ข้าเข้าใจ"แม้ฟ่านเทียนเผยคาดการณ์ไว้แล้วต้องเป็นเช่นนี้ไม่คิดมาก่อนว่าเจียงซื่อจวินจะเป็นฝ่ายส่งกลับมาคืนเสียเอง ฟ่านเทียนเผยขบคิดพลางส่ายศีรษะฮูหยินของเขานิสัยร่าเริง ยิ้มเดียวล่มเมืองเพียงนั้นไม่น่าแปลกที่เจียงซื่อจวินจะหึงหวงจนออกนอ
"โอ๊ย! ท่านโหว เป็นไบโพล่ารึ!" หลิวจือหลินหน้างอ เมื่ออีกฝ่ายโยนนางลงเตียงนอนหนานุ่มโดยไร้เหตุผลเจียงซื่อจวินมิได้ปล่อยนางเป็นอิสระนานนัก เขารวบจับแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะพลางกดกายระหงแนบลู่ลงบนที่นอน หลิวจือหลินตื่นตระหนก ม่านตาขยายกว้างเมื่อถูกบุรุษกายกำยำคร่อมอยู่บนเรือนร่างของตนรวดเร็วดุจสายอสนี"ทะ...ทำอะไรของท่าน ปล่อยข้านะ"ต่อให้นางดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ แรงของเขาเฉกเช่นม้าศึกคึกคะนอง"หลิวจือหลิน เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงสนิทสนมกับชายอื่น""ห๊ะ!..."นี่เขากำลังหึงหวงข้าหรือ"เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อยู่ด้วยจะทำอันใดตามใจตนเองก็ได้ อย่าลืมสถานะของเจ้าว่าคือใคร หากจำไม่ได้ข้าจะช่วยทบทวนความจำให้ดีหรือไม่ หืม..."ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงหมายรังแกสตรีเบื้องล่าง จู่ ๆ หลิวจือหลินก็ร้องไห้โฮไม่มีปี่มีขลุ่ย"ฮึก ฮื่อ...คนบ้า ปล่อยข้านะ ข้าเจ็บ" แขนเล็กขยับไปมาเพื่อให้เขาผ่อนแรงลง หลิวจือหลินรู้สึกว่าข้อมือของตนใกล้หักอยู่รอมร่อ ยามนี้นางทราบถึงจุดอ่อนหนึ่งของเขา เจียงโหวแพ้น้ำตาสตรี นางจะแสร้งงอแงจนกว่าเขาน
การเดินทางกลับเรือนครั้งนี้ก็ยังเหมือนยามปกติ หลิวจือหลินอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ ดูเหมือนฟ่านเทียนเผยกังวลใจมากเกินไปแล้วหลิวจือหลินจึงเร่งชำระร่างกายอันเหนอะหนะเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ตนพบเจอตลอดทั้งวัน ดูเหมือนวันนี้เจียงซื่อจวินก็กลับดึกไม่ต่างกันเดิมทีหลิวจือหลินมักเห็นเขานั่งปั้นหน้าถมึงทึงรออยู่โต๊ะทำงานที่ประจำเพื่อจ้องจับผิดนางร่ำไป เมื่อสาแก่ใจเขาก็สะบัดกายกลับเรือนหลัก โดยไม่คิดเหลือบแลนางอีกเวลาล่วงเลยจนถึงยามฮ่าย [1] หลิวจือหลินจึงได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนย่างกรายใกล้เข้ามาทุกขณะ เจียงโหวมักปรากฏกายอนึ่งผีสางเช่นนี้เสมอ นางเองก็ชินเสียแล้ว"...ท่านโหว ยามวิกาลเช่นนี้ หากท่านจะมาก็ช่วยส่งเสียงหน่อยมิได้หรือเจ้าคะ ทำราวกับผีสางผู้อื่นจะได้ตกใจแตกตื่นกันหมด"หลิวจือหลินเอ่ยทั้งที่ตนยังวุ่นกับงานอันล้นมือโดยไม่ละสายตา จู่ ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ก็เป่าปะทะบริเวณใบหูเสียจนขนลุกเกรียว"วันนี้เจ้าทำอะไรมางั้นหรือ"หลิวจือหลินผงะ "ก็ทำงานอย่างไรเจ้าคะ พูดปกติไม่ได้หรือ เหตุใดต้
"คุณชายฟ่าน""...""คุณชายฟ่านเจ้าคะ""..."เมื่อไร้เสียงตอบรับ มือเรียวจึงโบกสะบัดขึ้นลงผ่านหน้าชายหนุ่มเพื่อเรียกสติ เจียวเจียวและปี้อี๋เบิกตากว้างตื่นตระหนกเมื่อนายหญิงใกล้สิงร่างบุรุษตัวสูงให้แล้วหลิวจือหลินเป็นสตรีที่มีจิตวิญญาณตื่นรู้จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ใจของนางคิดเพียงว่าฟ่านเทียนเผยเป็นสหาย ซ้ำยังเป็นสหายที่ดีอีกด้วย นางจึงมิได้คำนึงถึงเรื่องความเหมาะสมใด"ฮูหยิน...ทำอะไรของท่าน"นัยน์ตาคมลดมองร่างระหงที่ยืนเขย่งปลายเท้าพลางแหงนสบตาเขาปริบ ๆ สีหน้าของชายหนุ่มแดงซ่านราวลูกตำลึงสุก เพราะยามนี้พวกเขาห่างกันเพียงลมหายใจกั้นหลิวจือหลินผละห่าง แขนเรียวเท้าเอวเอียงคอมองตอบ "ท่านได้สติแล้วหรือ ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน เอ...หรือกำลังมองสาวงามกันน้า..."หลิวจือหลินหมุนตัวขวับ เมียงมองไปยังเส้นทางที่ฟ่านเทียนเผยจดจ้องเพื่อเย้าแหย่ กระนั้นกลับพบเพียงความว่างเปล่า มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะเกาแก้มด้วยความงุนงง"อ้าว นี่ท่านมองอะไรกันแน่""ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฮูหยินอย่าได้ใส่ใจเลย""โอเคเจ้
ยามนี้หลิวจือหลินแทบหายจากอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้ง เพราะมีใครบางคนเฝ้าจับตามองนางให้ทานยาและพักผ่อนอยู่ไม่ห่าง งานราษฎร์งานหลวงอันยุ่งเหยิงของเขา เจียงโหวยังสู้อุตส่าห์กระเตงหอบมาทำที่เรือนตะวันออกทั้งหมดด้วยเหตุนี้หม่าลี่เจี่ยทราบเรื่องจึงรู้สึกเคืองขุ่นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำสิ่งใดได้ กระนั้นนางทราบมาว่าหลิวจือหลินได้รับหน้าที่ตัดเย็บฉลองพระองค์ให้ฮองเฮาในวันคล้ายวันประสูติที่จะถึงในอีกไม่ช้า"อีกกี่วันนางจะส่งฉลองพระองค์ไปที่วังหลวง"สาวใช้กระซิบตอบ "อีกสองสัปดาห์เจ้าค่ะ"หม่าลี่เจี่ยขบคิด หากหลิวจือหลินทำทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ นางก็ไม่ต่างจากคนใช้ที่ถูกเจียงโหวเก็บมาเลี้ยง กว่านางจะอ้อนวอนปู่เพื่อเกลี้ยกล่อมเจียงซื่อจวินให้รับตนเป็นอนุได้มิใช่เรื่องง่ายดายคาดไม่ถึงต่อให้เจียงซื่อจวินในเมื่อก่อนไม่ชมชอบฮูหยินตนอย่างไร เขาก็ไม่คิดแตะต้องนางเช่นกัน ความมาดมั่นจะถูกโหวหนุ่มยกยอให้เป็นใหญ่ในภายภาคหน้ากำลังพังครืนไม่เป็นท่าเสียแล้ว..ณ ร้านฟ่านอิน"ฮูหยิน ท่านมาได้เสียที อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างหรือ"
หลิวจือหลินมองตามพลางจิ๊ปาก "เอ๊ะ ท่านโหว ข้าต้องทำงานนะเจ้าคะ ไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระกับท่านได้หรอกนะ เอามาเจ้าค่ะ"หลิวจือหลินเอื้อมมือคว้าพู่กันจากเขา แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงหลบ "ไม่ได้ หากไม่กินยาข้าจะง้างปากเจ้าให้ดู""ข้าไม่กิน เอามานะเจ้าคะ" หลิวจือหลินไม่ยอมฟังเสียงของเขา ร่างระหงลุกพรึบหมายช่วงชิงพู่กันจากชายหนุ่มให้ได้เจียงซื่อจวินหยัดกายกำยำยืนเต็มความสูง แขนยาวชูของในมือขึ้นจนสุด ร่างเล็กกระโดดโหยงราวกับกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าพยายามอย่างไรก็มิสามารถเอื้อมถึง "ท่านโหว รังแกข้าสนุกนักหรือ เอามานะ!"นัยน์ตาคมลดมองสตรีตัวจ้อยที่พยายามยื้อแย่งเอาเป็นเอาตาย "บอกว่ากินยาก่อน""ข้าไม่กิน" หลิวจือหลินยังพยายามควานมือขึ้นสูงต่อไป ในเมื่อนางกระโดดไม่ถึงเช่นนั้นก็ต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายเสียแล้วดูเหมือนเจียงซื่อจวินรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของนางเข้าแล้ว ริมฝีปากได้รูปจุดรอยยิ้มหนึ่งฝั่ง ร่างระหงตั้งท่ากระโดดเกาะเอวเขาดั่งลูกลิง ไม่ทันสมใจหวังกลับถูกแขนแกร่งคว้าเข้าบริเวณเอวคอดประหนึ่งอสรพิษร้าย นางถูกเขาพันธนาการเอาไว้เสียจนไม่อาจขยับไหว"อ๊ะ! ปล่อยน
หลังกลับจากราชวังหลิวจือหลินก็ต้องพักผ่อนราวสองสามวัน เจียงซื่อจวินเป็นฝ่ายจัดการส่งคนไปแจ้งทางร้านฟ่านอินว่านางไม่สบายมิอาจทำงานได้ ฟ่านเทียนเผยทราบข่าวจึงอยากมาเยี่ยมเยียนนาง ทว่ากลับถูกเจียงซื่อจวินดักคอไว้เสียได้ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีร้อนใจแทน [1] ริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่วเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษแผ่นเล็กที่องครักษ์ของอีกฝ่ายยื่นให้ตนเป็นคราที่สอง ดูเอาเถิดเขาเป็นหุ้นส่วนฮูหยินเจียงโหวโดยแท้ กระทั่งอยากเยี่ยมเยียนนางในฐานะสหาย ยังถูกกีดขวางจากสามีของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหน้ำส้มเจียงซื่อจวินใหญ่โตเท่าใดกันหรือนี่"ฮูหยิน ลุกขึ้นมาทำอะไรเจ้าคะ" เจียวเจียวถือถ้วยกระเบื้องเคลือบอันเต็มไปด้วยของเหลวสีขุ่นเข้ามาในห้อง นางเร่งวางลงจากนั้นถลาเข้าดูอาการนายหญิงด้วยสีหน้าร้อนใจหลิวจือหลินนั่งอยู่บริเวณหน้าโต๊ะไม้สัก มือทั้งสองข้างถูกพันด้วยผ้าสีขาวประหนึ่งมัมมี่หมื่นปีกำลังจับพู่กันตวัดซ้ายตวัดขวาลงบนกระดาษ หลิวจือหลินละสายตาจากการกระทำของตน พลางแหงนหน้าขึ้น"เจียวเจียว ข้า
ถานจาวหรงถอยหลังกรูด ม่านตาเบิกกว้างด้วยอาการตื่นตระหนก พลางเหลือบมองสาวใช้ซ้ายขวาซึ่งถูกหินก้อนเล็กจ้อยเล่นงานอย่างน่าอับอายจนร่างกระเด็นไปคนละทิศ"ท่านพี่ซื่อจวิน มะ...มาได้อย่างไรเจ้าคะ""ข้าต้องถามองค์หญิงมากกว่าว่ามาได้อย่างไร องค์หญิงกำลังจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮางั้นหรือ""เอ่อ...เอ่อ..." ถานจาวหรงหลุกหลิก ทว่านางเป็นถึงองค์หญิง จะให้อีกฝ่ายกำเริบกับตนโดยใช่เหตุได้อย่างไร "หึ! ข้าจะไปที่ไหนก็ได้นี่เจ้าคะ ราชวังแห่งนี้คือพื้นที่ของข้า"นัยน์ตาคมหรี่ลง "งั้นหรือ" นัยน์ตาคมกริบลดมองสตรีบนอ้อมแขนของตน ซึ่งยามนี้ตัวแข็งค้างกลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไม้แกะสลักไปแล้ว "องค์หญิงผ่านทางมา หรือจงใจมุ่งหน้ามากันแน่"เจียงซื่อจวินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รวมถึงถ้อยคำทุกประโยคที่หลิวจือหลินเอ่ยออกมาเขาก็จดจำได้ไม่มีลืม"นางเดินไม่ระวังก่อน""นางก็เดินมาตามเส้นทางของนาง องค์หญิงเป็นฝ่ายย่างกรายเข้าใกล้นางมิใช่หรือ"ถานจาวหรงศีรษะชาวาบ "ละ...แล้วอย่างไรเจ้าคะ ก็ข้าจะเดินทางนี้แต่นางดันมาขวางเอง ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุช่วยไม่ได้""อ่า...อุบัติเหตุสิ
หลิวจือหลินออกจากตำหนักส่วนตัวของฮองเฮาแล้ว เพราะนางมัวแต่ครุ่นคิดถึงวาจาที่อีกฝ่ายทิ้งปริศนาเอาไว้ซ้ำไปซ้ำมาจึงไม่ทันระวังตัว"โอ๊ย!"ร่างระหงล้มก้นจ้ำเบ้า ส่วนอีกฝ่ายเซถลาไปเบื้องหลัง ทว่าบรรดานางกำนัลรับคู่กรณีไว้ได้ ส่วนหลิวจือหลินยังร้องโอดโอยอยู่บนพื้นเย็นเยียบ"นี่เจ้า! ไม่มีตาหรือ อยากหัวขาดรึ" เสียงแหลมตวาดแหวหลิวจือหลินหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่บั้นท้ายร้าวระบม เมื่อพบว่าสตรีตรงหน้าเป็นผู้ใดนางจึงค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย "เอ่อ...ขออภัยด้วย ข้ามิทันระวัง"นางกำนัลผู้หนึ่งสาวเท้าออกมา "บังอาจ นี่คือองค์หญิงเจ็ด ไฉนจึงไม่นอบน้อม"หลิวจือหลินเลิกคิ้วฉงน เมื่อครู่นางก็ขอโทษแล้วมิใช่หรือ ซ้ำยังมิได้ทำกิริยาหยาบกระด้างใด "เมื่อครู่ข้าขออภัยองค์หญิงไปแล้ว มีตรงใดที่เรียกว่าไม่นอบน้อมงั้นหรือ"ถานจาวหรงกระฟัดกระเฟียด "เจ้าแสร้งเมินข้าหรือ กำเริบเสียจริง คิดว่าเป็นฮูหยินท่านพี่ซื่อจวินแล้วข้าไม่กล้าลงโทษงั้นรึ สตรีไร้ยางอายเช่นเจ้าข้าอยากจะสั่งสอนให้รู้เข็ดหลาบนัก"ถานจาวหรงผลักหลิวจือหลินล้มลงโดยที่นางไม่ทันระวัง เพ
หลิวจือหลินสะดุ้งเฮือก "...ทำอะไรเจ้าคะ""เจ้ามือเย็นหมดแล้ว ยามปกติข้าเห็นเจ้ามั่นใจฉะฉาน กล่าววาจาประหนึ่งน้ำตก ซ้ำยังโฉ่งฉ่างใช่ย่อย ยามนี้สงบเสงี่ยมเกินไปหน่อยแล้ว มันน่าแปลก" เจียงซื่อจวินเอ่ยทั้งที่เขายังกุมมือของนางอยู่เช่นนั้นหลิวจือหลินค้อนควัก "ก็ข้าตื่นเต้นนี่เจ้าคะ"หลิวจือหลินลอบดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างแนบเนียน หากเขายิ่งทำเช่นนี้ เกรงว่าหัวใจของนางต้องหลุดกระดอนมาดิ้นแด่วบนพื้นให้ต้องอับอายแน่แท้ฮองเฮาเอ่ยขึ้น "เจียงโหวฮูหยิน ข้าชมชอบอาภรณ์ที่เจ้าออกแบบยิ่งนัก อีกไม่นานราชวังจะมีงานเฉลิมฉลองใหญ่ เช่นนั้นข้าอยากให้เจ้าช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้ข้าเสียหน่อยสะดวกหรือไม่"หลิวจือหลินอึกอัก นี่คือสตรีสูงศักดิ์ของใต้หล้าเชียว นางต้องตัดเย็บเสื้อผ้าให้จริงหรือ กดดันเกินไปหน่อยแล้ว "เอ่อ...งานอะไรหรือเพคะ"ไท่จื่ออมยิ้ม โพล่งตอบแทนมารดา "อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นวันคล้ายวันประสูติของเสด็จแม่ เช่นนั้นเจียงโหวฮูหยิน สามารถออกแบบอาภรณ์ที่เหมาะสมและมิมีผู้ใดเหมือนให้แก่เสด็จแม่ได้หรือไม่"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มละไม นางค่อย ๆ ร