"...ท่าน นี่ท่านยังยิ้มหรือเจ้าคะ ไม่ช่วยแล้วยังกล้ายิ้มเยาะผู้อื่นงั้นหรือ คนไร้มโนธรรม" ไม่รู้หลิวจือหลินกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด อาจเพราะเหลืออดกับท่าทีโอหังซ้ำยังเยาะยิ้มของเขาอยู่ตลอดจึงทำให้สติของนางขาดผึง
จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับยิ้มก็หุบฉับ มือแกร่งคว้าหมับไปยังท้ายทอยสตรีฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวนั้น ลมอุ่น ๆ ถูกเป่าออกมาพรูดหนึ่ง หลิวจือหลินตะลึงงันตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ กระทั่งใบหน้าซับสีแดงเรื่อเกือบเท่าหน้าผาก
"เป็นเช่นไรหายเจ็บแล้วหรือไม่"
นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ ประจวบเหมาะกับล้อเลื่อนนั้นหยุดเคลื่อนที่แล้ว หลิวจือหลินไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก็ชิ่งกลับลงไปเสียก่อน ครั้นได้สติ หลิวจือหลินจึงสลัดศีรษะพัลวัน
"...ทำบ้าอะไรของท่าน ท่านโหว คนฉวยโอกาส"
เสียงใสตะโกนไล่หลังดังลอดจากด้านใน เจียงซื่อจวินลงมาก่อนแล้วยังไม่ทันสาวเท้าออกไปก็พลอยหน้ากระตุก นางเป็นฮูหยินของเขา แต่กลับกล่าวหาสามีว่าฉวยโอกาส เมื่อครู่เขาแทบมิได้แตะถูกใบหน้านางเลยด้วยซ้ำ
วันนี้เจียงซื่อจวินได้เปิดหูเปิดตาครั้งแรกช่างสนุกยิ่งนัก แท้จริงฮูหยินของเขาเป็นสตรีเช่นไรกันแน
หลิวจือหลินพยายามดันกายกำยำออกห่างจากตน แต่ดูเหมือนเปรียบดั่งมดตัวจ้อยขย่มต้นไม้ใหญ่ เจียงซื่อจวินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด นางจึงส่งค้อนวงใหญ่ให้เขาไปหนึ่งครา"ท่านโหว นี่ท่านเป็นคนเช่นไรเจ้าคะ จึงบุกเข้าห้องสตรียามวิกาล"เจียงซื่อจวินงุนงง ตกลงแล้วเขาเป็นฝ่ายผิดที่เข้าห้องภรรยาตนเองงั้นหรือ "พูดอะไรของเจ้า""ก็ดูท่าน...ท่านเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงหนำซ้ำยังจงใจลวนลามข้า"เจียงซื่อจวินขำพรืด เขาเคยเดียดฉันท์เรือนร่างนี้ก็จริง ทว่าเมื่อช่วงกลางวันกลับทำให้ความคิดหนึ่งของเขาผุดขึ้น นั่นคือรังแกอีกฝ่ายให้สาแก่ใจดูสักหน่อย เมื่อก่อนยังร้องหาเพียงอ้อมกอดของเขา ยามนี้เขายินดีประเคนให้นาง นางกลับหลีกหนีและกล่าวหาสามีซึ่งตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณีว่าลวนลามภรรยาตนเองงั้นหรือ"ฮูหยิน เจ้าใช้คำพูดไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ขอข้าดูหน่อยว่าอุบายที่เจ้าว่าคืออะไร"หลิวจือหลินตัวแข็งทื่อดุจหุ่นขี้ผึ้ง มือหยาบระคายหนึ่งด้านยื้อแย่งกระดาษในมือของนางออกไปหน้าตาเฉย ส่วนอีกฝั่งยังคงรัดเอวคอดไว้แน่น"เอ๊ะ! กำลังทำอะไรน่ะ เอาคืนมานะเจ้าคะ" ร่างระหงกระโดดโหยงในอ้อ
"นี่ท่าน ปล่อยนะ! ข้าเจ็บ" เพราะปลายคางถูกเขาพันธนาการดั่งถูกหนีบด้วยคีมเหล็กร้อนฉ่า ส่งผลให้เสียงที่เปล่งออกมาอู้อี้ไม่เป็นศัพท์"เจ้าอยากพูดอะไร หืม... ถ้าหมายถึงเรื่องนั้นลองกลับไปทบทวนหรือไม่ ว่าใครกันแน่ที่วิ่งโร่ให้พ่อตัวเองขอราชโองการเพื่อแต่งงานกับข้า อย่าให้ข้ารู้ ที่เจ้าต้องการเอ่ยคำนั้นเพียงเพราะบุรุษสกุลฟ่าน" เสียงทุ้มแผ่วโหยทว่าเย็นยะเยือก ลมหายใจอุ่น ๆ เป่าปะทะใบหน้าเปลือกตาบางกะพริบถี่ นางมองเขาด้วยความประหวั่น ท่าทีดุจซาตานสิงร่างคืออะไร ขนอ่อนในกายลุกเกรียวเสียวไปยันไขสันหลังแค่ก! แค่ก!หลิวจือหลินใช้มือตะปบตีแขนกำยำเฉกเช่นอุ้งเท้าน้อย ๆ ของแมวเหมียว นางหวังใช้อุบายเดิม ทว่าเจียงซื่อจวินนั้นรู้ทันประหนึ่งนั่งอยู่กลางใจ ลูกไม้เดิมเมื่อใช้แล้วย่อมไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก มืออีกด้านของเขาจึงรวบแขนเล็กทั้งสองไพล่หลังดั่งนักโทษ ใบหน้าที่ถูกบีบบี้เริ่มเหยเกแทบหลั่งน้ำตาฮื่อ...คนป่าเถื่อน เจ็บจะตายอยู่แล้ว ปล่อยนะเขาพยายามข่มกลั้นไว้แล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย กระนั้นเมื่อเอ่ยถึงฟ่านเทียนเผย อกซ้ายของเขาดันก
หลังจากคืนที่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินมีปากเสียงกัน เขาก็ไม่เคยเฉียดกรายเข้าใกล้เรือนตะวันออกอีกเลย เรือนตะวันตกโหวหนุ่มยิ่งไม่โผล่หน้าไป เจียงซื่อจวินออกไปราชวังก่อนฟ้าสางกลับมาช่วงตะวันลับฟ้า นั่นนับเป็นเรื่องดีสำหรับหลิวจือหลินอย่างยิ่งยวด นางก็ไม่อยากเห็นหน้าเขาแม้เพียงเสี้ยวยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโห!!เพราะไม่อยากใช้เวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ ในเมื่อมิมีผู้ใดคอยรบกวนจิตใจอีกจึงทำให้หลิวจือหลินสามารถออกแบบอาภรณ์ได้หลากหลายทว่ายังขาดอุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียมอีกมาก เงินในคลังก็หลงเหลือน้อยนิด หากจะหยิบมาใช้สอยคงต้องขายของมีค่าในจวนร่วมด้วย แต่ทุกสิ่งในนี้ล้วนเป็นสมบัติของเจียงซื่อจวิน นางไม่อยากติดค้างสิ่งใดกับเขาจึงไม่คิดทำเช่นนั้นยามเช้ากลับมีเรื่องชวนปวดหัวเพิ่มอีกหนึ่ง กล่องกำมะหยี่สีสวยสดถูกกองอยู่หน้าเรือนตะวันออกจนละลานตา ดั่งทราบว่ายามนี้หลิวจือหลินต้องการสิ่งใดเป็นที่สุด อุปกรณ์ตัดเย็บพร้อมสรรพตั้งเทินเกือบท่วมหลังคาเรือน"นี่คือ...อะไรงั้นหรือ" หลิวจือหลินกะพริบตามองด้วยความฉงน ร่างระหงเดินสำรวจรอบกล
ยามสวี [1] มาเยือน เมฆหนาบดบังดวงจันทราจนมืดมิด บุรุษร่างสูงเยื้องย่างลงจากรถม้าด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ทว่าองครักษ์มือซ้ายกำลังร้อนใจมาพบเขาทั้งที่ยังไม่ถึงหอนอนด้วยซ้ำ"ซือหาน เจ้าร้อนใจเพียงนี้อย่าบอกว่านางกลับมาก่อเรื่องอีกแล้ว"ตลอดหลายวันเขายุ่งกับงานจนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมในจวน และเจียงซื่อจวินมิเคยได้ยินว่าหลิวจือหลินอาละวาดใดอีกเลย เรื่องในคืนนั้น เขาก็ไม่อยากรื้อฟื้นให้ชวนหงุดหงิดอีก หากจับตาดูพฤติกรรมของนางสักระยะ ถ้าหลิวจือหลินมิได้เสแสร้งและสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริง มีหรือสามีเช่นเขาจะยังใจจืดใจดำกับฮูหยินตนได้ลงคอ"ท่านโหว ยามบ่ายมีของส่งมาให้ฮูหยินขอรับ" เฉิงซือหานยื่นบางอย่างไปเบื้องหน้าคิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน เขาเอื้อมมือรับ เจียงซื่อจวินคลี่กระดาษแช่มช้า ครั้นโหวหนุ่มเห็นข้อความด้านใน อกซ้ายก็พลันกระเพื่อมไหวด้วยความเดือดดาล"นี่คืออะไร!? ผู้ใดส่งมางั้นหรือ""นี่เป็นจดหมายจากคุณชายฟ่านที่ส่งมาให้ฮูหยินขอรับ ซ้ำยังมีบรรดาแพรพรรณมอบเป็นของกำนัลให้ฮูหยินเต็มไ
"นางเป็นอย่างไรบ้าง"หมอวัยกลางคนจับชีพจรเรียบร้อย เขาค้อมกายเล็กน้อย "ท่านโหว ฮูหยินมีอาการอ่อนเพลีย ดูเหมือนคงโหมงานหนักจนมิได้พักผ่อน พักสักสองสามวัน ทานอาหารให้ตรงเวลาก็คงหายดีขอรับ"เจียงซื่อจวินพยักหน้า จากนั้นหมอจึงเขียนเทียบยาพลางกำชับเรื่องดูแลผู้ป่วยกับสาวใช้ทั้งสอง เจียวเจียวและปี้อี๋ชะเง้อมองนายหญิงด้วยสีหน้าเป็นกังวลระคนห่วงใย ช่วงนี้หลิวจือหลินมักเอ่ยกับพวกนางว่าเบื่ออาหาร หนำซ้ำยังนอนดึกเพราะเอาแต่ง่วนอยู่กับการวาดภาพใช้ความคิด"ข้าให้นางทำงานหนักเพียงนั้นเชียวหรือ ไยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ พวกเจ้าดูแลนางอย่างไร"เจียวเจียวก้มหน้างุดเอ่ยเสียงสั่นเครือ "ทะ...ท่านโหว ช่วงนี้ฮูหยินบอกว่าไม่ค่อยอยากอาหารเจ้าค่ะ อีกอย่างฮูหยินต้องการหาเงินใช้เอง เลยคิดออกแบบอาภรณ์เพื่อเปิดร้าน ยามค่ำคืนจึงพักผ่อนน้อยไปบ้างเจ้าค่ะ"คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน เขาเหลียวมองเฉิงซือหาน อีกฝ่ายส่งยิ้มแห้งขอดกลับมาให้เขา เจียงซื่อจวินถอนหายใจพลางส่ายหน้าด้วยความระอา"ข้าเห็นนางไม่รับเงินจากข้า คิดว่ามีเงินอยู่แล้วจึงไม่ต้องการ ยามนี้เงินไม่พอใช้หรือ เมื่อก
กล่องกำมะหยี่พร้อมอุปกรณ์ตัดเย็บถูกส่งกลับร้านฟ่านอินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ชายหนุ่มยืนมองพลางเหยียดยิ้มจาง ๆ ร่างสูงเยื้องย่างออกมาบริเวณลานด้านหน้า"ของเหล่านี้ข้ามอบให้ฮูหยินท่านโหวเป็นของกำนัลจากสหาย ไยจึงได้นำกลับมาคืน"ช่ายจินซินยกมือขึ้นประสานเพื่อทักทายอีกฝ่าย ฟ่านเทียนเผยค้อมศีรษะน้อย ๆ เพื่อเป็นมารยาท "คุณชายฟ่าน ท่านโหวแจ้งว่า ท่านมิต้องลำบากส่งของกำนัลใดแก่ฮูหยินอีก หากฮูหยินต้องการ ท่านโหวจะซื้อให้ด้วยตนเอง""อ่า...เช่นนี้เองหรือ ข้าก็หลงคิดไปว่าฮูหยินไม่ต้องการเสียอีก ที่แท้เป็นท่านโหวส่งกลับมาหรอกหรือ""ขออภัย ที่จวนโหวต้องเสียมารยาทต่อน้ำใจของคุณชาย ทว่าของเหล่านี้มิอาจรับไว้ได้จริง ๆ ขอรับ"ฟ่านเทียนเผยพยักหน้า ไหน้ำส้มเจียงโหวแรงใช้ได้"ข้าเข้าใจ"แม้ฟ่านเทียนเผยคาดการณ์ไว้แล้วต้องเป็นเช่นนี้ไม่คิดมาก่อนว่าเจียงซื่อจวินจะเป็นฝ่ายส่งกลับมาคืนเสียเอง ฟ่านเทียนเผยขบคิดพลางส่ายศีรษะฮูหยินของเขานิสัยร่าเริง ยิ้มเดียวล่มเมืองเพียงนั้นไม่น่าแปลกที่เจียงซื่อจวินจะหึงหวงจนออกนอ
เวลาล่วงเลยราวพริบตาหนึ่ง ยามนี้หลิวจือหลินรู้สึกว่าตนใกล้เป็นง่อยเข้าทุกขณะแต่ละวันนั่งกินนอนกินไม่เป็นอันทำอะไรแม้เจียงซื่อจวินมิโผล่มาพบนางอีก แต่เขาทราบทุกความเคลื่อนไหวของหลิวจือหลินอยู่ตลอด กระทั่งอาการเจ็บป่วยหายสนิท หลิวจือหลินจึงตัดสินใจไปเยือนเรือนหลักสักครา ดูเหมือนว่าใครบางคนก็ตั้งใจรอนางอยู่เช่นกัน ร่างระหงเยื้องย่างไปตามเส้นทางทอดยาว ขนาบซ้ายขวาภายในจวนโหวล้วนปลูกแต่งไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับงามล้ำหลากชนิด โครงสร้างของเรือนเป็นรูปแบบเรือนสี่ประสาน เรือนหลักตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทว่าเรือนสี่ประสานของจวนโหวกลับใหญ่โตกว่าทั่วไปนัก นอกจากแบ่งแยกยิบย่อยหลายแห่ง ก็ยังสร้างเรือนลานเกือบสิบที่หลิวจือหลินแอบคิดในใจว่าเขาอวดรวยเหลือเกิน ไม่ก็ไว้เก็บบรรดาสตรีเพิ่มอีกแน่นอน อยู่กันไม่กี่คนต้องปลูกเรือนโอ่อ่าเพียงนี้ แค่มุ่งหน้าไปเรือนของเขาก็ช่างปวดขาเสียจริง โชคดีที่กลิ่นหอมจรุงของบุปผาลอยฟุ้งมาตามสายลมช่วยให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้บ้างนับเป็นครั้งแรกที่หลิวจือหลินมาเยือนเรือนหลักอย่างเป็นทางการ ก่อนออกมารู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าใด คร
เจียงซื่อจวินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เขากำลังพิจารณาภาพวาดที่หลิวจือหลินร่างออกมานับสิบด้วยความฉงน เดิมทีหลิวจือหลินมิเคยคิดทำเรื่องพวกนี้ อีกอย่างอาภรณ์ที่นางออกแบบล้วนผิดแผกแปลกตาอย่างน่าฉงนเงาดำสายหนึ่งกระโจนลงจากหลังคา ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำรับเย็นแล้ว เพราะเจียงซื่อจวินเร่งร้อนออกมา เขาจึงไม่ได้อยู่ทานอาหารที่ราชวังเช่นทุกครั้งเฉิงซือหานประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย "ท่านโหว ฮูหยินและอนุหม่ากำลังมาหาขอรับ"เจียงซื่อจวินละสายตาจากภาพในมือ "มาพร้อมกันเลยหรือ"เฉิงซือหานโน้มกระซิบเสียงแผ่ว เจียงซื่อจวินได้ฟังก็แอบตกใจอยู่บ้าง คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่งด้วยความฉงนช่ายจินซินซึ่งอยู่หน้าธรณีประตูวิ่งรี่เข้าด้านใน ครั้นเมื่อเห็นเฉิงซือหานมาถึงก่อนแล้ว เขาจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงหลีกทางให้เจียงซื่อจวินเดินออกไปเท่านั้น"ท่านโหว" หม่าลี่เจี่ยยอบกายลงด้วยท่าทีอ่อนหวานส่วนหลิวจือหลินหาได้นอบน้อมใด นางเพียงยื่นมือไปเบื้องหน้ากระดิกนิ้วยิก ๆ "ท่านโหว ข้ามาทวงของคืน ตอนนี้หายดีแล้วเจ้าค่ะ"เจียงซื่อจวินแค่นยิ้มในลำคอ เขาไม่แยแสหลิว
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน
"นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใด" เสียงทุ้มโพล่งจากทางเบื้องหลังหลิวจือหลินสะดุ้งโหยง หลายวันแล้วที่นางนั่ง ๆ นอน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดนางมักล้มหมอนนอนเสื่ออยู่เรื่อย หายจากอาการโน้นก็มีเรื่องร้ายแทรกซ้อนเข้ามาไม่หยุดหย่อน"ท่านโหว ข้าเพียงหาอะไรทำเล็กน้อยเท่านั้น ช่วงนี้ร้านฟ่านอินก็ไม่ให้ข้าเฉียดเข้าใกล้ เพราะคุณชายฟ่านเกรงว่าข้าจะทำงานหนัก กระทั่งข้าอยู่เรือนท่านก็ยังจะห้ามข้าไม่ให้ทำอะไรอีกคนหรือ"เจียงซื่อจวินถอนหายใจเบา นางเอาแต่กล่าวถึงบุรุษอื่นอีกแล้ว "ข้ามิได้ห้าม เจ้ายังไม่หายดีจะหักโหมได้อย่างไร"หลิวจือหลินคลี่ยิ้มให้เขา "ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่งานพิธีวันนั้น ข้ายังไม่เห็นฮองเฮาสวมฉลองพระองค์กระจะตาเลย ข้าอยากทำคอลเลคชั่นใหม่ไปถวายฮองเฮาเจ้าค่ะ""คอลเลคชั่นใหม่?" เจียงซื่อจวินเลิกคิ้ว ขบคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "ตื่นมากี่คราวาจาก็ยังประหลาด""ท่านโหวพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ท่านต้องลำบากใจ" หลิวจือหลินเว้าวอน เปลือกตาบางกะพริบปริบเจียงซื่อจวินเห็นใบหน้าดั่งแมวน้อยขี้
ภายในคุกใต้ดินอันแสนสกปรกและอับชื้น ท่อนขาสูงยาวเยื้องย่างเนิบนาบ ขนาบข้างซ้ายขวาคือแสงรำไรจากเชิงเทียนที่คอยส่องสว่างเป็นแนวทอดยาว ใบหน้าหล่อเหลายามนี้แข็งกระด้างเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหารชายฉกรรจ์ที่ลักพาตัวโฮ่วถิงในงานพิธีวันนั้นถูกจับได้ทั้งหมด โชคยังดีที่พวกมันมิได้ปู้ยี่ปู้ยำสตรีแต่อย่างใด เพียงอุ้มไปทิ้งในพื้นที่เปลี่ยวร้าง สิ่งที่น่าตระหนกไปกว่านั้น บรรดาชายเหล่านี้หาใช่มืออาชีพอย่างที่คิด กระทั่งเค้นสอบถาม และทรมานเพียงใดก็มิยอมปริปากว่าผู้ใดคือคนบงการเบื้องหลัง ดูเหมือนจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสียด้วย หนำซ้ำยังซื้อตัวพวกเขาได้อย่างเฉียบขาดชายกำยำผู้หนึ่งถูกปลดลงจากขื่อ จากนั้นถูกจับแขนทั้งสองกางออกให้นอนหงายท้อง กระดาษแผ่นแรกวางโป๊ะลงบนใบหน้าคร้ามแดด น้ำสกปรกในถังไม้ถูกเทลงไปแช่มช้าซ่าาาาา...แค่ก แค่ก"จะบอกหรือไม่ ว่าใครส่งพวกเจ้ามา!"มีเพียงเสียงกระอักไอทว่าไร้คำตอบ นักโทษรายอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันหลุกหลิก วิธีที่เขาใช้ทรมานนักโทษดูไม่น่ากลัว แท้จริงแล้วช่างเป็นการสอบปากคำอันแสนทรมานอย่างยิ่งยวด ชายที่นอนอยู่ถูกแผ่นกระดาษป
หลิวจือหลินผละกายออกไปแล้ว ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่นาง แม้นใบหน้านั้นถูกบดบังด้วยผ้าแพรผืนบาง ทว่าเจียงซื่อจวินและฟ่านเทียนเผยกลับจดจำได้ว่าเป็นผู้ใดเฉิงซือหานเดินดุ่ม ๆ เข้ามาพลางกระซิบแผ่วที่ข้างหูผู้เป็นนาย ม่านตาเจียงโหวขยายกว้าง เขาตวัดหางตามองสตรีข้างกายก็เห็นอีกฝ่ายนั่งตัวสั่นหน้าซีดขาวราวกระดาษหลิวจือหลินเริ่มออกลวดลายร่ายรำด้วยท่วงท่างามสง่า การร่ายรำชวนประหลาดตาส่งผลให้ทุกคนดั่งต้องมนตร์สะกด หลิวจือหลินมิได้ร่ายรำตามฉบับสมัยโบราณ นางกำลังผสมผสานการร่ายรำเข้ากับยุคสมัยเดิมของตน ดูเหมือนนางพยายามใช้ข้อเท้าให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันพิษเข้าสู่กระแสโลหิต ร่างระหงยอบกายลงเบื้องล่าง พลางไขว้ขาออกลวดลายอ่อนช้อย ขยับเพียงเรียวนิ้ว กับช่วงแขนให้กลมกลืนกับท่วงทำนองมากที่สุดฮองเฮาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม "ฝ่าบาท ท่าร่ายรำนี่ช่างงดงามประหลาดตายิ่ง ดูเหมือนคงเป็นฝีมือของจือหลินอีกแน่แท้"ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย "งดงามจริง ๆ ข้ายังไม่เคยเห็นท่าร่ายรำเช่นนี้มาก่อนเลย" จากนั้นผินหน้ามองไปยังโต๊ะของเจียงโหว"จวินเอ๋อร์""...""จวินเอ๋อร์"
การถวายฉลองพระองค์แด่ฮองเฮาเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าหลิวจือหลินกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมอีกอย่าง เพราะนางก็เปรียบดั่งสะใภ้ราชวงศ์คนหนึ่ง งานนี้จะขาดฝีมือการจัดแสดงของเจียงโหวฮูหยินได้อย่างไรหญิงสาวนามว่าโฮ่วถิง โฉมสะคราญอันดับต้น ๆ ได้รับเลือกให้สวมอาภรณ์ตัวใหม่ล่าสุดเป็นการตบท้ายการแสดง งานนี้ไม่ง่ายดายแต่ก็ไม่ยากเท่าใด ด้านในพิธียิ่งใหญ่อลังการมากล้นด้วยบรรดาแขกเหรื่อจากราชวงศ์ขุนนาง หลิวจือหลินจึงมิอาจทำพลาดได้เพียงครึ่งก้าว“องค์หญิง หากท่านโหวทราบเข้า จะเป็นเรื่องใหญ่นะเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวกระซิบถานจาวหรงจิ๊ปาก “ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด ผู้ใดจะเค้นเอาความผิดได้งั้นหรือ อีกอย่างด้านหลังลานพิธีก็เป็นป่ารกร้าง ย่อมต้องมีงูเงี้ยวเป็นเรื่องปกติ”“พะ...เพคะ” นางกำนัลตอบกลับเสียงค่อย จากนั้นโบกมือให้ชายฉกรรจ์ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายสีเข้มลอบปล่อยสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่องออกจากกระสอบผ้าสีหม่นหม่าลี่เจี่ยเดินใจลอยพลางขบคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อย กระทั่งวนมายังด้านหลังงานพิธีโดยไม่รู้ตัว นางบังเอิญพบเห็นกลุ่มคนกำลังกระทำบางอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เข้าพอดี จึงตัด
ถึงเวลาต้องถวายฉลองพระองค์แด่ฮองเฮา วันนี้หลิวจือหลินสวมใส่อาภรณ์ที่ตนตัดเย็บเองกับมือ แม้สีสันดูเรียบง่ายสบายตา ทว่ายังสามารถขับเน้นรูปร่างและผิวพรรณให้ดูผุดผาด ร่างระหงย่างกรายขึ้นรถม้าด้วยทีท่าสงบนิ่งประดุจสายน้ำ เจ้าของร่างสูงสาวเท้าตามหลังสตรีร่างบอบบางอยู่ไม่ห่าง ไม่นานล้อไม้ก็เคลื่อนบดไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ราชวังภาพเมื่อครู่ล้วนอยู่ในสายตาของหม่าลี่เจี่ย เดิมนางต้องการเยาะหยันเมื่อหลิวจือหลินมีสีหน้ากระวนกระวายซีดขาวขลาดเกรง ทว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อครู่กลับเป็นใบงดงามเรียบเฉยเฉกเช่นหลิวหลีชั้นยอด จากความกระหยิ่มยิ้มย่องก็พลิกกลับเป็นเคืองขุ่น"ไหนว่านางไม่มีหยกมณีเพลิงแล้ว เหตุใดนางยังเข้าราชวังด้วยสีหน้าใจเย็นเช่นนั้น"สาวใช้ข้างกายก้มหน้างุด "บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ บางทีฮูหยินอาจกำลังหวาดกลัวอยู่ในใจก็ได้นะเจ้าคะ เพราะตั้งแต่วันนั้น บ่าวก็ไม่เห็นฮูหยินนำฉลองพระองค์มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ดูเหมือนอาจใช้หยกปลอมเพื่อตบตาฮองเฮา หากฝ่าบาททรงทราบ บ่าวว่าอย่างไรฮูหยินก็ต้องถูกโทษทัณฑ์อย่างหนักแน่นอน"ได้ยินคำกล่าวของสาวใช้ จากใบหน้ากราดเกรี้ยวก็พลิกผันเป็น
หลิวจือหลินตื่นขึ้นอีกครั้งก็ไม่พบท่านโหวบ้าดีเดือดแล้ว เขามักทำตัวดั่งเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง [1] แบบนี้อยู่เรื่อย รังแกนางจนสาแก่ใจ ยามเช้าก็หนีหน้า ร่างระหงดีดกายลุกพรึบ พลันรู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งตัวเพราะเมื่อคืนได้เกิดสงครามขนาดย่อม อีกคนหลับสบายส่วนนางต้องนอนนิ่งให้เขากอดก่ายอย่างกับตุ๊กตาไร้ชีวิตกว่าจะข่มตาหลับฟ้าก็ใกล้สว่างหลิวจือหลินบิดซ้ายบิดขวา เสียงสวบสาบที่ดังสะท้อนเป็นเหตุให้สาวใช้หน้าห้องทราบว่านายหญิงของตนนั้นตื่นเป็นที่เรียบร้อยปี้อี๋ "ฮูหยิน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ""อืม...ตื่นแล้ว พวกเจ้าเข้ามาสิ"เจียวเจียวถือภาชนะทองแดงรองน้ำสะอาดตามหลังปี้อี๋ส่วนปี้อี๋รุดเข้าช่วยประคองหลิวจือหลินที่ดูเหมือนนางจะโรยแรงอยู่ไม่น้อย"เป็นอะไรเจ้าคะ เมื่อคืนท่านโหวคงไม่ได้...""อะไร พวกเจ้าคิดอะไร เมื่อคืนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น เว้นเพียงเขารังแกข้าจนร้าวระบมไปทั้งตัว"ร่างระหงบิดซ้ายบิดขวาเสียจนกระดูกลั่นกร็อบแกร็บ เจียวเจียวลอบส่งสายตาพล
"โอ๊ย! ท่านโหว เป็นไบโพล่ารึ!" หลิวจือหลินหน้างอ เมื่ออีกฝ่ายโยนนางลงเตียงนอนหนานุ่มโดยไร้เหตุผลเจียงซื่อจวินมิได้ปล่อยนางเป็นอิสระนานนัก เขารวบจับแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะพลางกดกายระหงแนบลู่ลงบนที่นอน หลิวจือหลินตื่นตระหนก ม่านตาขยายกว้างเมื่อถูกบุรุษกายกำยำคร่อมอยู่บนเรือนร่างของตนรวดเร็วดุจสายอสนี"ทะ...ทำอะไรของท่าน ปล่อยข้านะ"ต่อให้นางดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ แรงของเขาเฉกเช่นม้าศึกคึกคะนอง"หลิวจือหลิน เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงสนิทสนมกับชายอื่น""ห๊ะ!..."นี่เขากำลังหึงหวงข้าหรือ"เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อยู่ด้วยจะทำอันใดตามใจตนเองก็ได้ อย่าลืมสถานะของเจ้าว่าคือใคร หากจำไม่ได้ข้าจะช่วยทบทวนความจำให้ดีหรือไม่ หืม..."ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงหมายรังแกสตรีเบื้องล่าง จู่ ๆ หลิวจือหลินก็ร้องไห้โฮไม่มีปี่มีขลุ่ย"ฮึก ฮื่อ...คนบ้า ปล่อยข้านะ ข้าเจ็บ" แขนเล็กขยับไปมาเพื่อให้เขาผ่อนแรงลง หลิวจือหลินรู้สึกว่าข้อมือของตนใกล้หักอยู่รอมร่อ ยามนี้นางทราบถึงจุดอ่อนหนึ่งของเขา เจียงโหวแพ้น้ำตาสตรี นางจะแสร้งงอแงจนกว่าเขาน
การเดินทางกลับเรือนครั้งนี้ก็ยังเหมือนยามปกติ หลิวจือหลินอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ ดูเหมือนฟ่านเทียนเผยกังวลใจมากเกินไปแล้วหลิวจือหลินจึงเร่งชำระร่างกายอันเหนอะหนะเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ตนพบเจอตลอดทั้งวัน ดูเหมือนวันนี้เจียงซื่อจวินก็กลับดึกไม่ต่างกันเดิมทีหลิวจือหลินมักเห็นเขานั่งปั้นหน้าถมึงทึงรออยู่โต๊ะทำงานที่ประจำเพื่อจ้องจับผิดนางร่ำไป เมื่อสาแก่ใจเขาก็สะบัดกายกลับเรือนหลัก โดยไม่คิดเหลือบแลนางอีกเวลาล่วงเลยจนถึงยามฮ่าย [1] หลิวจือหลินจึงได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนย่างกรายใกล้เข้ามาทุกขณะ เจียงโหวมักปรากฏกายอนึ่งผีสางเช่นนี้เสมอ นางเองก็ชินเสียแล้ว"...ท่านโหว ยามวิกาลเช่นนี้ หากท่านจะมาก็ช่วยส่งเสียงหน่อยมิได้หรือเจ้าคะ ทำราวกับผีสางผู้อื่นจะได้ตกใจแตกตื่นกันหมด"หลิวจือหลินเอ่ยทั้งที่ตนยังวุ่นกับงานอันล้นมือโดยไม่ละสายตา จู่ ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ก็เป่าปะทะบริเวณใบหูเสียจนขนลุกเกรียว"วันนี้เจ้าทำอะไรมางั้นหรือ"หลิวจือหลินผงะ "ก็ทำงานอย่างไรเจ้าคะ พูดปกติไม่ได้หรือ เหตุใดต้