เป็นเวลาครึ่งค่อนเดือนที่หลิวจือหลินนั้นใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ นางมิได้สนใจหรือใส่ใจเจ้าของเรือนสักนิด กระทั่งอนุที่โหวหนุ่มตบแต่งเข้ามานางก็ยังไม่เคยเห็นหน้า พวกเขาเป็นเพียงภาพเลือนรางในมโนสำนึกของหลิวจือหลินคนเดิมเท่านั้น ทว่าหลิวจือหลินผู้นี้ก็ไม่อยากเห็นคนทั้งสองเท่าใด และไม่อยากรู้ด้วยว่าพวกเขาหน้าตาแบบไหน
เจียงซื่อจวินไม่คิดโผล่หน้ามาพบนางก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หลิวจือหลินจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่ใช่ฮูหยินตัวจริงของเขา เรือนที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงประหนึ่งราชวังขนาดย่อม แค่เดินไปหอตำราก็กินเวลาเกือบเป็นชั่วยาม [1] หนำซ้ำต่อให้หลิวจือหลินคนเดิมจะน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ทว่านางกลับมีเรือนร่างงดงามประหนึ่งโฉมสะคราญ ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น นางเป็นสาวบริสุทธิ์ที่แต่งงานมานานแล้ว พรหมจรรย์ที่หาได้ยากอย่างนี้กลับทำให้หลิวจือหลินจากยุคสองพันดีใจเป็นล้นพ้น
ถึงแม้นางคบหากับแฟนหนุ่มมาหลายปีทว่าหลิวจือหลินในโลกอีกด้านก็ไม่เคยเกินเลยกับเขาสักครั้ง อาจมีจับมือ จุมพิต หรือกอดเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน นี่คงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายคิดนอกใจหลิวจือหลินไปหาหญิงอื่นที่สามารถมอบความสุขก่อนแต่งให้เขาได้กระมัง ดูไปแล้ว เจียงโหวก็คงนึกแบบเดียวกันกับแฟนของหลิวจือหลินในโลกอีกด้าน จึงรับอนุเข้ามาเพื่อระบายกำหนัดเพียงเพราะไม่อยากต้องกายสตรีร้ายกาจเช่นนาง
ส่วนอนุหม่าที่สาวใช้คนสนิทเคยกล่าวถึง นางคงเกรงกลัวว่าหลิวจือหลินจะควบคุมสติไม่อยู่ อาจวิ่งรี่เข้าถลกหนังศีรษะนาง เลยมิกล้าปรากฏกายให้หลิวจือหลินได้เห็น
ดูเหมือนเรื่องเพลิงไหม้ที่ใครก็กล่าวหาว่าเป็นฝีมือฮูหยินใหญ่เจียงโหว กลับเป็นหนึ่งความทรงจำอันเลือนรางที่หลิวจือหลินมิอาจรู้แจ้ง ตระหนักถึงภาพในโซนสมองบางส่วนแล้วก็น่าขัน ไม่คิดว่าหลิวจือหลินคนเดิมช่างร้ายกาจจนทุกคนขยาดกลัวนางเฉกเช่นหนอนบุ้งตัวหนึ่ง
หลิวจือหลินสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ยามว่างจึงเข้าห้องตำราหาอะไรอ่านไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งนางพบสูตรโอสถที่ช่วยลดเลือนแผลเป็นและริ้วรอย ในเมื่อยุคนี้ไม่มีโลชันหรือเซรั่มบำรุงผิว เช่นนั้นนางก็ต้องเรียนรู้และปรับทุกอย่างให้เข้ากับยุคสมัย
มือเนียนสวยใช้เครื่องบดยาในสมัยโบราณคลึงไปคลึงมาอยู่หลายหน ส่วนสาวใช้ทั้งสองรอเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง หลิวจือหลินหยิบใบสีเขียวของโม่ลี่ฮวา [2] หย่อนลงไปพอประมาณ เจียวเจียวเห็นดังนั้นจึงขันอาสาเพื่อช่วยเหลือ
"บ่าวช่วยนะเจ้าคะ"
หลิวจือหลินส่งยิ้มผ่านผ้าแพรผืนโปร่ง "ขอบใจมาก"
ส่วนปี้อี๋กำลังง่วนอยู่กับการต้มน้ำอุ่น "ฮูหยิน ใช้ได้หรือยังเจ้าคะ"
ปี้อี๋เหลียวมอง ใบหน้าของนางยามนี้เปื้อนเขรอะไปด้วยเขม่าดินดำ หลิวจือหลินเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะร่วน เจียวเจียวเมียงมองสำทับ พลันหลุดขำพรืดเสียงดัง "ฮ่า ฮ่า อาอี๋ เจ้าทำอย่างไรหน้าดำหมดแล้ว"
ปี้อี๋กะพริบตางุนงง "หา..." นางยกมือขึ้นเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตา กระนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งเกิดรอยดำเป็นปื้น
เสียงหัวเราะร่าจากเจียวเจียวยิ่งสะท้อนก้องไปใหญ่ ร่างระหงลุกเดินเข้าใกล้ปี้อี๋ ริมฝีปากสีกุหลาบประดับรอยยิ้ม จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบรรจงเช็ดคราบสกปรกให้อีกฝ่ายอย่างไม่ถือตัว ปี้อี๋ผงะแทบหงายหลัง ส่วนเจียวเจียวก็พลอยอ้าปากค้างตื่นตะลึงไปตามกัน
อยู่ ๆ ฮูหยินที่แสนเกรี้ยวกราดก็เปลี่ยนแปลงไป คาดไม่ถึงนอกจากนิสัยที่พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือแล้ว นางยังไม่ถือตัวกับบ่าวไพร่เฉกเช่นกาลก่อนอีกด้วย
เดิมทีพวกนางมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวสกปรกเหม็นสาบ ทำงานไม่ได้เรื่องได้ราว ถูกหลิวจือหลินทุบตีอยู่เสมอ
"...ฮูหยิน ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวเช็ดเอง" ปี้อี๋เอ่ยตะกุกตะกัก
"อยู่นิ่ง ๆ ข้าเช็ดให้ ดูสิเลอะเทอะหมดแล้ว"
มือเรียวยังบรรจงเช็ดต่อไปจนใบหน้าของปี้อี๋สะอาดเอี่ยม เฉิงซือหานที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดหลายวันยิ่งเห็นก็ยิ่งประหลาดใจ ฮูหยินคนเดิมหายไปไหน เหตุใดครึ่งเดือนนี้หลิวจือหลินจึงได้ดูสงบเสงี่ยมใจเย็น จากไม่เคยเข้าหอตำราก็เข้าไปหลายชั่วยาม เดิมเป็นคนนั่งผัดหน้าขาวไปวัน ๆ จ้องจะเข้าไปเหยียบเรือนหลักเพื่อพบหน้าเจียงซื่อจวิน ก็แปรผันเป็นแม่บ้านแม่เรือนหางานทำไปเรื่อย ซ้ำยังไม่เคยเอ่ยถึงนายของตนแม้เพียงครึ่งคำ
.
.
"ท่านโหว" เฉิงซือหานประสานฝ่ามือค้อมกายเล็กน้อย
"ว่าอย่างไร นางมิได้ก่อเรื่องใดอีกกระมัง" เจียงซื่อจวินไม่ได้ละสายตาจากม้วนไม้ไผ่ในมือ
เฉิงซือหานเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนขนาบข้าง ช่ายจินซินงุนงงต่อท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย จึงเอ่ยสำทับเดี๋ยวนั้น "เป็นอันใดของเจ้า อ้ำอึ้งอยู่ได้"
"คือ...ช่วงนี้ฮูหยินไม่ได้ก่อเรื่องใดเลยขอรับ นอกจากเข้าหอตำรา และทำยาสมานแผล อีกทั้งยังไม่เคยอาละวาดสักครั้ง"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างนึกฉงน คนเช่นนางน่ะหรือสนใจอ่านตำรา ซ้ำยังทำยาสมานแผลเอง ของแบบนั้นกระทั่งเฉียดเข้าใกล้นางก็ยังไม่ทำ
เจียงซื่อจวินช้อนสายตาขึ้นแช่มช้า "หมายความว่าอย่างไร"
"คิดว่าตอนเกิดเพลิงไหม้ฮูหยินอาจสมองกระทบกระเทือน ทำให้ยามนี้เปลี่ยนไปดุจคนละคน"
เจียงซื่อจวินแทบไม่อยากเชื่อ ทว่าตลอดหลายวัน เฉิงซือหานไม่เคยรายงานว่าอีกฝ่ายก่อปัญหาเลย ซ้ำนางยังมิปริปากถึงตนอีกด้วย ครั้นจะกล่าวถามเขาก็รู้สึกเก้อกระดากไม่น้อย
โหวหนุ่มกระแอมหนึ่งครั้ง "เรื่องอื่นเล่า"
เฉิงซือหานครุ่นคิด "อ้อ..."
ริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว ทว่าเมื่อได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายกล่าว ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันหม่นทะมึนลงเดี๋ยวนั้น
"ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลิวมาเยี่ยมฮูหยิน แต่ทว่าท่านโหวไม่อยู่ก็เลยไม่ได้เข้ามาพบขอรับ" เฉิงซือหานตอบฉะฉาน กระนั้นกลับทำให้เจียงซื่อจวินรู้สึกหงุดหงิดชอบกล
^หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
^โม่ลี่ฮวา หมายถึง ดอกมะลิใบมะลิลา ลดรอยแผลเป็นได้ การนำเอาใบจากต้นมะลิ สัก 2-3 ใบ ล้างให้สะอาด นำมาตำหรือบดพอละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง ทำเป็นประจำทุกวัน เพียง 2-3 สัปดาห์ข้อมูลจาก : www.springnews.co.th
"เรื่องอื่นเล่า หมดเพียงเท่านี้รึ"เฉิงซือหานเริ่มสับสน อย่างอื่นล้วนไม่มีแล้ว หากเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของหญิงสาวเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์หนุ่มจึงเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งแกะสลักเพื่อขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายเขม้นสายตาดั่งต้องการบอกว่า เรื่องท่านโหวเล่า มีหรือไม่เฉิงซือหานจึงเข้าใจในบัดดล เพราะเขาเป็นคนตรง ๆ ได้เห็นมาอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้น "หากเป็นเรื่องที่ฮูหยินมักเที่ยวมาอาละวาดหน้าเรือนของท่านเช่นเมื่อก่อน ยามนี้ไม่มีแล้วขอรับ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงท่านโหวเลยด้วยซ้ำ"จู่ ๆ ช่ายจินซินก็รู้สึกว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ เขากระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหายเพื่อให้รู้สึกตัว"เอ่อ เอ่อ มีเอ่ยถึงตอนที่บอกว่าไม่อยากทราบเรื่องท่านโหวแล้วขอรับ" เฉิงซือหานเหงื่อซึมแผ่นหลังช่ายจินซินได้ฟังแทบอยากกัดลิ้นตนเพื่อลงไปนอนแดดิ้นเสีย ดูเหมือนเฉิงซือหานยังซื่อบื้อไม่แปรเปลี่ยน เขานั้นอยู่กับเจียงซื่อจวินตลอด ทราบดีว่าจิตใจอีกฝ่ายยามนี้กระวนกระวายเพียงใด เพราะเจียงซื่อจวินทำตัวราวกับว่า ไม่ใกล้สูญเสียก็ไม
ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป""แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด""ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"ปัง!องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีห
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่งเจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีกเจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขันปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ""แต่…""ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควันบุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่
ถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บวันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทนใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็นเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสั
"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว" องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง [1] ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคยเพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็น
หลิวจือหลินพิเคราะห์หน้าตาที่มีผ้าแพรปกปิดพลางตบข้างบั้นท้ายตนเปาะหนึ่งเจียวเจียวยกมือทาบอก "…ฮูหยิน ทำเช่นนี้ไม่งามนะเจ้าคะ"หลิวจือหลินเหลียวหน้ามองสาวใช้ พลางหัวเราะขบขัน เปลือกตาบางขยิบหนึ่งฝั่งหยอกล้อ จากนั้นเท้าเรียวเดินบ้างกระโดดบ้างดั่งกระต่ายเริงร่า หลิวจือหลินฮัมเพลงเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจสาวใช้ตนอีกเจียวเจียวแทบเกิดลมจับ เพราะเจียวเจียวมักเคร่งครัดเรื่องความเป็นกุลสตรีเช่นนี้เสมอ ส่วนปี้อี๋ยิ้มขบขันปี้อี๋ "เอาน่าอาเจียว ฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ""แต่…""ไม่ต้องแต่แล้ว เห็นหรือไม่ฮูหยินจะถึงรถม้าแล้ว เจ้าอยากหลังลายรึ"เจียวเจียวพยักหน้าหงึกหงัก พวกนางเร่งถลันกายตามนายหญิงไปทันควันบุรุษร่างสูงผินหน้ามองเรือนตะวันออกด้วยความใคร่รู้ ดูนางไม่แยแสเขาจริงดังว่า คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน แม้นางอยู่ห่างจากเขาจนเห็นไม่ชัด แต่เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหญิงสาวที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหางตาของหลิวจือหลินพลันเหลือบเห็นรถม้าอีกคันจอดไว้ไกลลิบ คงมิใช่ทางฝั่งเรือนหลักกระมัง ช่
ยามฮ่าย [1] ในคืนเดียวกัน ร่างดำทะมึนขององครักษ์มือซ้ายกระโจนลงจากหลังคาท่ามกลางความอนธการ เขาค้อมศีรษะพลางเอ่ยรายงานนายของตนซึ่งยังง่วนกับกองรายงานม้วนไม้ไผ่แทบไม่ว่างเว้น"ท่านโหว วันพรุ่งฮูหยินบอกว่าจะออกไปข้างนอกขอรับ"สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานหาได้สลักสำคัญใด ตั้งแต่เกิดเรื่อง หลิวจือหลินก็ไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย "นางอยากไปก็ไป""แต่...เดิมทีก่อนฮูหยินจะไปที่ใดมักมาแจ้งท่านโหวก่อนเสมอ ครั้งนี้ฮูหยินเอ่ยว่า..." เฉิงซือหานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางทีเขาอาจคิดผิดที่มารายงานเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้"หืม..." มือหยาบระคายวางพู่กันหางจิ้งจอกลง เขาทำงานจนลืมดูว่ายามนี้ดึกมากแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน "เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นประเภทเรรวนไปตั้งแต่เมื่อใด""ขออภัยท่านโหว คือ...ฮูหยินกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านก็ย่อมได้ เพราะท่านโหวคงลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ อีกอย่างฮูหยินเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่ามีท่านอยู่"ปัง!องครักษ์ซ้ายขวาพร้อมใจสะดุ้งโหยง ช่ายจินซินยกมือกุมขมับ บางทีห
"เรื่องอื่นเล่า หมดเพียงเท่านี้รึ"เฉิงซือหานเริ่มสับสน อย่างอื่นล้วนไม่มีแล้ว หากเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของหญิงสาวเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์หนุ่มจึงเหลียวมองหน้าสหายที่ยืนสงบนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งแกะสลักเพื่อขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายเขม้นสายตาดั่งต้องการบอกว่า เรื่องท่านโหวเล่า มีหรือไม่เฉิงซือหานจึงเข้าใจในบัดดล เพราะเขาเป็นคนตรง ๆ ได้เห็นมาอย่างไรก็กล่าวเช่นนั้น "หากเป็นเรื่องที่ฮูหยินมักเที่ยวมาอาละวาดหน้าเรือนของท่านเช่นเมื่อก่อน ยามนี้ไม่มีแล้วขอรับ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงท่านโหวเลยด้วยซ้ำ"จู่ ๆ ช่ายจินซินก็รู้สึกว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ เขากระทุ้งข้อศอกไปยังหน้าท้องหนั่นแน่นของสหายเพื่อให้รู้สึกตัว"เอ่อ เอ่อ มีเอ่ยถึงตอนที่บอกว่าไม่อยากทราบเรื่องท่านโหวแล้วขอรับ" เฉิงซือหานเหงื่อซึมแผ่นหลังช่ายจินซินได้ฟังแทบอยากกัดลิ้นตนเพื่อลงไปนอนแดดิ้นเสีย ดูเหมือนเฉิงซือหานยังซื่อบื้อไม่แปรเปลี่ยน เขานั้นอยู่กับเจียงซื่อจวินตลอด ทราบดีว่าจิตใจอีกฝ่ายยามนี้กระวนกระวายเพียงใด เพราะเจียงซื่อจวินทำตัวราวกับว่า ไม่ใกล้สูญเสียก็ไม
เป็นเวลาครึ่งค่อนเดือนที่หลิวจือหลินนั้นใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ นางมิได้สนใจหรือใส่ใจเจ้าของเรือนสักนิด กระทั่งอนุที่โหวหนุ่มตบแต่งเข้ามานางก็ยังไม่เคยเห็นหน้า พวกเขาเป็นเพียงภาพเลือนรางในมโนสำนึกของหลิวจือหลินคนเดิมเท่านั้น ทว่าหลิวจือหลินผู้นี้ก็ไม่อยากเห็นคนทั้งสองเท่าใด และไม่อยากรู้ด้วยว่าพวกเขาหน้าตาแบบไหนเจียงซื่อจวินไม่คิดโผล่หน้ามาพบนางก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หลิวจือหลินจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่ใช่ฮูหยินตัวจริงของเขา เรือนที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงประหนึ่งราชวังขนาดย่อม แค่เดินไปหอตำราก็กินเวลาเกือบเป็นชั่วยาม [1] หนำซ้ำต่อให้หลิวจือหลินคนเดิมจะน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ทว่านางกลับมีเรือนร่างงดงามประหนึ่งโฉมสะคราญ ที่น่าตื่นตะลึงไปกว่านั้น นางเป็นสาวบริสุทธิ์ที่แต่งงานมานานแล้ว พรหมจรรย์ที่หาได้ยากอย่างนี้กลับทำให้หลิวจือหลินจากยุคสองพันดีใจเป็นล้นพ้นถึงแม้นางคบหากับแฟนหนุ่มมาหลายปีทว่าหลิวจือหลินในโลกอีกด้านก็ไม่เคยเกินเลยกับเขาสักครั้ง อาจมีจับมือ จุมพิต หรือกอดเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน นี่คงเป็นเหตุให้อีกฝ่ายคิดนอกใจหลิวจือหลินไปหาหญิงอื่นที่สามารถมอบความสุขก่อนแต่งให้เขาได
"ท่านโหว ยามนี้ฮูหยินได้สติแล้วขอรับ"มือที่จับพู่กันยังคงตวัดเขียนด้วยความใจเย็น เสียงทุ้มตอบกลับแบบขอไปที "อืม รู้แล้ว" องครักษ์ทั้งสองต่างเหลือบมองกันหลุกหลิก พวกเขาทราบดีว่านายของตนนั้นแสนชิงชังฮูหยินใหญ่เพียงใด เพราะนางชมชอบเจียงโหวหรือเจียงซื่อจวินจนหน้ามืดตามัว ยามที่ทั้งสองยังไม่ออกเรือนหลิวจือหลินก็ตามราวีโหวหนุ่มไม่ลดละ กระทั่งหลิวจือหลินไม่อาจทนมองท่าทีกระด้างกระเดื่องจากบุรุษที่ตนชมชอบได้ นางจึงตัดสินใจร้องขอบิดาซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงซ่างซูเสิ่ง [1] ทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อมอบสมรสพระราชทานให้แก่หลิวจือหลินและเจียงซื่อจวินอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้า [2] บิดาที่เลี้ยงดูบุตรสาวดุจไข่ในหินเช่นใต้เท้าหลิวเฝ้าตามใจนางไปเสียทุกอย่าง ส่งผลให้หลิวจือหลินเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีร้ายกาจซ้ำยังนิสัยเสีย หากเป็นสิ่งที่นางต้องการแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็อย่ามาขวาง หลิวจือหลินคิดเพียงว่าแต่งแล้วอยู่กินกันไปอีกฝ่ายก็ต้องหลงรักตนเข้าสักวัน ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังคิดผิดมหันต์ นับวันโหวหนุ่มก็ยิ่งรังเกียจชิงชังนาง กระทั่งย่างกรายเข้าไปเหยียบเรือนฝั่งตะวันออกสักครั้งก็ไม่เคยเพราะหลิวตงมีผลงานมากมายเป็น
ถนนทอดยาวในเมืองหลวงตอนนี้ล้วนประดับไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งบริเวณ แสงสะท้อนจากเสาไฟสองข้างทางบ่งบอกว่าราตรีกาลมาเยือนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมเครื่องแต่งกายล้ำสมัย กำลังก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา มีเพียงลาดไหล่แคบที่กระเพื่อมไหวสั่นระริก ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะสวยเปื้อนเขรอะคราบน้ำตาจนดูไม่จืด ขาเรียวเยื้องย่างไร้เรี่ยวแรงท่ามกลางความหนาวเหน็บวันนี้คือเทศกาลแห่งความรัก มองไปทางไหนก็พบแต่คนเคียงคู่ นี่ควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตของเธอไม่ใช่เหรอ ในขณะที่เธอตั้งใจเลือกของขวัญชิ้นพิเศษเพื่อมอบแด่ชายอันเป็นที่รัก เหตุใดจึงต้องเผชิญกับภาพบาดตาบาดใจแทนใบหน้าแย้มยิ้มของเพื่อนสาวและชายซึ่งเธอรักสุดหัวใจ โผกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย มันกำลังปรากฏฉายชัดดั่งภาพสามมิติวนซ้ำไปมา ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดคล้ายถูกปลายมีดอันแหลมคมเสียบลึกตรงอกซ้าย เธอไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาโดยตลอด เหตุใดจึงกล้าแทงเธอจากข้างหลังอย่างเลือดเย็นเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...หญิงสาวง้างมือขึ้น จากนั้นปากล่องของขวัญทิ้งอย่างไม่ไยดี ร่างระหงยอบกายลงพลางกอดเข่าซบหน้าสะอื้นไห้ เธอไม่กลัวความหนาวเย็นเลยสั