'เฉินซือหยาง' ได้รับพระราชทานสมรสกับ 'จ้าวลี่หมิง' แต่เดี๋ยวก่อนนะ เสด็จพ่อท่านเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ นี่มันผู้ชายนะ! ผู้ชาย!!
View Moreแสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม
สายลมยามดึกพัดผ่าน เปลวเทียนในตำหนักหยางซินพลิ้วไหวทำให้ภายในห้องบรรทมสลัวราง มือเรียวบิดผ้าหมาดชื้นเช็ดไปตามโครงหน้าคมเข้มด้วยความห่วงใย ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เช้าบัดนี้กลับมีการขยับไหว แม้เพียงนิดแต่หลานซือเยว่ซึ่งดูแลมาหลายชั่วยามย่อมจับสังเกตได้ เฉินเทียนอี้รู้สึกถึงความเปียกชื้นลืมตาตื่นในที่สุด ดวงตาลอยคว้างไร้จุดหมายเพียงครู่รูม่านตาก็หดแคบภาพดวงหน้างดงามคล้ายภรรยาของหลินเสวี่ยเฟิ่งลอยอยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินเทียนอี้ที่ยังมึนงงอยู่ได้สติกลับมา “เสี่ยวเทียน ท่านฟื้นแล้ว!” หลานซือเยว่เรียกชายหนุ่มอย่างดีใจ รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวเฉินเทียนอี้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะรินน้ำชาอุ่นๆ ให้ชายหนุ่มจิบแก้กระหาย “มา ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เฉินเทียนอี้มองหลานซือเยว่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน สายตาลึกล้ำหนักอึ้งราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนจมหายลงไปในความมืดมิดนั้นหลับลง
จ้าวลี่หมิงถูกอุ้มขึ้นรถม้าในสภาพเหนื่อยล้าอ่อนแรง ใบหน้าปรากฏสีแดงระเรื่อแลดูคลุมเครือยิ่งนัก พอเฉินซือหยางวางร่างเล็กลงบนพรมหนานุ่มเท่านั้น จ้าวลี่หมิงก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปงนอนหันหลังให้คนตัวโตอย่างแง่งอน “เป็นอะไรไปอีกเล่า ยังโกรธข้าเรื่องนั้นอยู่หรือ” เฉินซือหยางสะกิดคนตัวเล็กผ่านผ้าห่มผืนหนา กลัวว่าคนตัวเล็กจะขาดอากาศหายใจจึงดึงผ้าบริเวณดวงหน้างามออก จ้าวลี่หมิงจึ๊ปากถลึงตามองคนก่อกวนด้วยความไม่พอใจจนแก้มพอง “รู้ตัวก็ดี คราวนี้ท่านก็อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย ไม่งั้นข้าจะทุบท่านให้ตายไปเลย” จ้าวลี่หมิงชูกำปั้นข่มขู่ท่าทางเช่นนั้นเหมือนกับแมวน้อยแสนงอนไม่มีผิด “โหดร้าย! ข้าปรนนิบัติพระชายาไม่ดีตรงไหน เหตุใดถึงได้ผลักไสไล่ส่งกัน” เฉินซือหยางบีบน้ำตาจระเข้สองหยด แสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาราวกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกสามีทอดทิ้ง ท่าทางเสแสร้งเยี่ยงอิ
“หยางหยาง” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น ประตูห้องหนังสือเปิดกว้างพร้อมกับร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงกระโดดโลดเต้นเข้ามา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก ดวงตาคู่งามดุจเมล็ดซิ่งเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเฉินซือหยางไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง “อ่ะ! พี่ซาน ท่านก็อยู่ด้วยหรอกหรือ ข้านึกว่าขุนนางทุกคนกลับไปแล้วเสียอีก” “อืม มีเรื่องหารือกับรัชทายาทนิดหน่อยน่ะ” เฉินซือหยางส่งสายตาให้ จินซานรีบซ่อนราชโองการไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วตามพระประสงค์จ้าวลี่หมิงเพิ่งเข้ามาไม่ทันสังเกตเห็นความนัยระหว่างคนทั้งสองเลยไม่ได้เอะใจอะไร “แล้วนี่พวกท่านกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ถ้ายุ่งมากข้าออกไปก่อนดีหรือไม่” “ไม่ต้องหรอก พวกข้าหารือกันเสร็จพอดีใช่หรือไม่ใต้เท้าจิน”&
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักเฟิ่งหลวนระหว่างเมิ่งซิ่วหวง และหลินหลิงปรากฏเป็นเงาร่างวูบไหวสะท้อนบนคลื่นน้ำสีฟ้ากระจ่างใสซึ่งบรรจุอยู่ในกรอบโลหะชั้นดีประดับลูกแก้วหลิวหลีหลากสีแลดูงดงามจับตา ล้วนตกอยู่ภายใต้ดวงตาหงส์คู่งามของหลินช่านเฟิ่ง บทสนทนาของทั้งคู่ยังคงดังกังวานอยู่ภายในห้องอันเงียบสงัด อะไรคือรักพี่ของนางยิ่งกว่าสิ่งใด? อะไรคือเสียสละให้? น่าขัน! หลินช่านเฟิ่งเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน มองเงาสะท้อนของเมิ่งซิ่วหวงผู้เป็นมารดาในกระจกวารีพิสดารด้วยความเดือดดาล ดวงตาหงส์แดงก่ำราวกับหยดเลือด “ข้าทุ่มเทมาทั้งชีวิต ดิ้นรนด้วยเลือดเนื้อและหยาดน้ำตากว่าจะปีนป่ายขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวของข้าเอง แล้วเหตุใดข้าต้องหลีกทางให้มัน” หลินช่านเฟิ่งถามเมิ่งซิ่วหวงผ่านกระจกเงาด
ไกลออกไปนับพันหมื่นลี้ บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันสุขสงบกลับเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อชั่วอึดใจก่อนเหล่าเทพเซียนได้ยินเสียงร้องคำรามน่าเกรงขามของมังกรบรรพกาลต่างพากันหวาดหวั่นขวัญผวาเร่งเขียนฎีกาถวายเทียนตี้[1] ให้ทรงทราบถึงการปรากฏตัวอีกครั้งของอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลง เรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ ย่อมตกเป็นหัวข้อประชุมเร่งด่วน ทั้งองค์ประชุมต่างมีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งกลุ่มขั้วอำนาจเดิมของอดีตองค์ไท่จื่อ ทั้งขั้วอำนาจใหม่ของไท่จื่อสวีหนิงหลง รวมถึงผู้ที่จงรักษาภักดีต่อเทียนตี้ และพวกที่วางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด ต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายถกเถียงกันอยู่เป็นนานว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี “กระหม่อมเห็นควรว่าเราควรส่งทหารสวรรค์สิบหมื่นนายไปจับกุมอดีตองค์ไท่จื่อมาลงทัณฑ์ รับผิดชอบต่อหายนะที่พระองค์ได้ก่อไว้ในกาลก่อน” เห็นชัดว่าผู้ที่กล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นคนของสวีหนิงหลง คนของสวีเฟยหลงหรือจะยอมให้คนเหล่านั้นเพ
“เอ๋อร์... เสวี่ยเอ๋อร์...” ใคร? ผู้ใดกำลังเรียกเขากัน หลานซือเยว่ครุ่นคิด จู่ๆ ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลานซือเยว่ในร่างของหญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามดั่งแสงจันทรานั่งขัดเขินอยู่หน้าคันฉ่องบานใหญ่ ใบหน้าคล้ายกับตนไม่มีผิดเพี้ยนส่งยิ้มเอียงอายให้หญิงสาวอีกคนผู้มีเค้าโครงหน้าเหมือนกันยืนหวีผมสีเงินงดงามให้ทางด้านหลัง “เสวี่ยเอ๋อร์ พอออกเรือนแล้วต้องปรนนิบัติองค์ไท่จื่อให้ดีรู้หรือไม่” “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลานซือเยว่ตอบรับไปตามสัญชาตญาณ “แล้วก็รีบมีหงส์หรือมังกรน้อยตัวอวบอ้วนให้อุ้มแม่เร็วๆ” “ท่านแม่ละก็” หลินเสวี่ยเฟิ่งเมื่อครั้นยังอยู่ในร่
“พูดจาเย็นชาจังเลยน้าาา ไม่น่ารักเลยสักนิด แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ายอมรับปาก ข้าจะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่จงจำไว้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าข้า อย่าได้พูดชื่อมันให้ข้าได้ยินอีกเด็ดขาด ไม่งั้นหากข้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา คนที่จะต้องเสียใจย่อมเป็นเจ้า” สวีเฟยหลงแกล้งจุ๊บริมฝีปากบาง หลานซือเยว่กำมือแน่นข่มกลั้นความคลื่นเหียนที่ได้รับจากชายผู้นี้ ซึ่งสวีเฟยหลงก็เห็นอยู่ตำตา แต่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ 'เกลียดได้เกลียดไป อย่ามาตกหลุมรักเขาก็แล้วกัน' “เอาล่ะไม่แกล้งเจ้าแล้ว สายมากแล้วเจ้าก็กินอะไรหน่อยเถอะ" สวีเฟยหลงหยิบน้ำแกงปลาที่เย็นชืดไปนานออกมาใช้ฝ่ามืออุ่นให้ร้อนค่อยตักป้อนภรรยา "รู้ไหมข้าตั้งใจเคี่ยวตั้งนานเลยนะ น้ำแกงปลาชามนี้มีแต่ของที่มีประโยชน์ต่อเจ้า มา! เจ้าลองชิมดู” สวีเฟยหลงเป่าน้ำแกงให้หายร้อนยื่นช้อนหยกจ่อริมฝีปากบาง
สวีเฟยหลงหลับตาลงอย่างรวดร้าว เสียงอบอุ่นนุ่มนวลของภรรยาในห้วงคำนึงยังคงดังกึกก้อง ‘ท่านวางใจเถอะ ถึงท่านจะไม่เต็มใจแต่งกับข้า แต่ข้าจะเป็นภรรยาที่ดีของท่าน ทำทุกอย่างเพื่อท่าน รักท่านเพียงผู้เดียว’ คำมั่นสัญญาที่บอกว่าจะรักเขาเพียงผู้เดียว เงาร่างที่ยอมรับความตายแทนเขาโดยไม่หวั่นเกรง ‘อาหลง ระวัง!’ เสียงร้องเตือนด้วยความห่วงใย แผ่นหลังแบบบางที่ขวางอยู่เบื้องหน้าเขา ปกป้องเขาอย่างสุดกำลังยังติดตรึงอยู่ในจิตใจไม่ลืมเลือน แม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้ามีแต่ความตายก็ยังบุกหน้าฝ่าฟันร่วมกันกับเขาผู้นั้นอยู่แห่งหนใด ดวงตาคมเข้มดุจรัตติกาลสั่นไหว เงาร่างในห้วงคำนึงค่อยๆ เลือนหายไป เปลี่ยนเป็นหลินเสวี่ยเฟิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ “รักมันมากใช่ไหม คงรักมันมากสินะ” สวีเฟยหลงหัวเร
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ...
Comments