Share

บทที่ 6

last update Last Updated: 2024-11-19 20:35:39

แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง

       ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญ ธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนต่างก็โยนถุงผ้าปักลายสลักนามของตนเองให้กับเหล่าแม่ทัพนายกองที่ตนถูกตาต้องใจ ผู้คนบนท้องถนนต่างยิ้มแย้มพูดคุยเกี่ยวกับศึกนี้อย่างคึกคัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง

       เจิ้งกั๋วกง 'จ้าวมู่' แม่ทัพใหญ่สองแผ่นดินแห่งแคว้นต้าเฉิน ผู้นำทัพสยบชาวเซียนเป่ยในคราวนี้ปรายตามองเหล่าผู้คนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มในหน้า กวาดสายตามองเรื่อยไปด้านหลังสบเข้ากับรถม้าหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนตามขบวนทัพอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากใต้หนวดเครารกครึ้มกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง ชักม้าวกกลับไปหารถม้าคันดังกล่าว พอมองลอดผ้าม่านสีขาวบางเบาเห็นฮูหยินของเขาเล่นไล่จับกับบุตรชายตัวอวบอ้วนที่กำลังคลานสำรวจไปทั่วรถม้า ดวงตาคมดุฉายประกายอ่อนโยนมองดูบุตรชายดิ้นรนไม่ยอมให้ใครอุ้มจนพุงกระเพื่อม

       “เด็กดื้อคนนี้อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่” จ้าวมู่หัวเราะชอบอกชอบใจกับความซุกซนของจ้าวลี่หมิง พอเด็กน้อยได้ยินเสียงคุ้นเคยของบิดาก็ส่งเสียงเรียกอ้อแอ้ โบกไม้โบกมือดิ้นรนจะให้บิดาอุ้มให้ได้ จน 'กู้ฟางเหนียง' เกือบรั้งตัวบุตรชายเอาไว้แทบไม่ทัน

       “ซุกซนมาตั้งแต่เช้าเลยเจ้าค่ะท่านพี่ ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนเลย”

       “ถ้าอย่างนั้นน้องหญิงกับลูกกลับไปพักผ่อนรอที่จวนก่อนดีหรือไม่ ถึงอย่างไรพี่ต้องไปรายงานผลการศึกกับทางกองทัพก่อน”

       “ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ สายมากแล้วน้องจะได้กล่อมเสี่ยวชี[1] นอนกลางวัน คงใกล้จะสิ้นฤทธิ์แล้วด้วย” กู้ฟางเหนียงหอมแก้มยุ้ยของบุตรชายคนที่เจ็ดด้วยความเอ็นดู แล้วส่งให้แม่นมรับช่วงต่อ “ท่านพี่จะกลับจวนยามใดเจ้าคะ”

       “ถ้าจัดการงานในกองทัพเรียบร้อยแล้วก็คงกลับเลย น่าจะไม่เกินยามเว่ย[2] น้องหญิงอย่าลืมเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในวังช่วงค่ำด้วยล่ะ”

       “น้องทราบแล้ว ท่านพี่โปรดเดินทางดีๆ” 

       “ไปส่งฮูหยินที่จวนแม่ทัพ” จ้าวมู่หันไปกำชับคนขับรถม้า พยักหน้าเป็นเชิงบอกลาภรรยา แล้วควบม้านำขบวนทัพกลับค่ายหงจวินที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองผิงอาน

       ขบวนรถม้าเคลื่อนสู่จวนแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลักทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ป้ายทองพระราชทานชื่อ ‘จวนแม่ทัพปราบทักษิณ’ ลายพระหัตถ์องอาจเฉียบคมลื่นไหลดุจเมฆเคลื่อนคล้อยของฮ่องเต้พระองค์ก่อนถูกขัดถูจนขึ้นเงาดูโดดเด่นเป็นสง่า ประตูจวนเปิดกว้างต้อนรับการกลับมาของท่านแม่ทัพ บ่าวรับใช้ยืนค้อมกายต้อนรับเป็นแถวยาวโดยมีพ่อบ้านจ้าวเป็นผู้นำขบวน

       กู้ฟางเหนียงก้าวลงจากรถม้าตามการประคองของสาวใช้คนสนิท มองดูบุตรสาวทั้ง 5 คน ได้แก่บุตรคนรอง 'จ้าวลี่จ้ง' บุตรคนที่สาม 'จ้าวลี่เจีย' และแฝดสามในวัยกำลังซุกซนอย่าง 'จ้าวลี่จู' 'จ้าวลี่จิน' และ 'จ้าวลี่หลิน' กำลังยื้อแย่งกันลงมาจากรถม้าแบบไม่มีใครยอมใคร ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก ในบรรดาบุตรสาวทั้ง 6 คนของนางหาคนสงบเสงี่ยมสมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ได้เลยสักคน คนโตที่ไม่ได้เดินทางกลับมาด้วยอย่าง 'จ้าวลี่จิ่น' ก็เอาอย่างบิดาของนาง เข้ารับราชการเป็นแม่ทัพประจำการอยู่ทางเหนือ มีเพียงจ้าวลี่เจียบุตรสาวคนที่สามยังรู้ความอยู่บ้าง พอจะเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลได้

       “ท่านแม่ๆ ท่านย่าอยู่ไหนหรือเจ้าคะ ท่านย่ามารับลี่จูด้วยหรือไม่ ลี่จูคิดถึงท่านย่ายิ่งนัก” จ้าวลี่จูวิ่งมาเกาะแขนกู้ฟางเหนียง ตื่นเต้นดีใจที่อีกหน่อยจะได้เจอท่านย่าหลังจากไม่ได้พบหน้ามานานปี ก่อนจะถูกจ้าวลี่จินเบียดออกไปจากวงโคจรแล้วเป็นฝ่ายเกาะแขนท่านแม่เสียเอง

       “ลี่จินก็คิดถึงท่านย่าเจ้าค่ะ ท่านย่าทำเสี่ยวหลงเปาอร้อย อร่อย รสชาติดียิ่ง ท่านแม่ว่าท่านย่าจะทำเสี่ยวหลงเปาไว้ให้ลี่จินหรือไม่” จ้าวลี่จินผู้ ‘สมบูรณ์พูนสุข’ กว่าใครเพื่อน ดึงรั้งชายแขนเสื้อของกู้ฟางเหนียงไปมาเรียกร้องความสนใจกลับถูกจ้าวลี่หลินผลักกระเด็นออกไปอีกรายเช่นกัน

       “เจ้าน่ะหลีกไปเลย ที่เจ้าว่ามาคือคิดถึงขนมของท่านย่าต่างหาก คนที่คิดถึงท่านย่าที่สุดคือข้าผู้นี้ ท่านแม่เราเข้าไปหาท่านย่าเลยดีหรือไม่” จ้าวลี่หลินออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานจนน่าหมั่นไส้ มีหรือที่สองแฝดจะยอมให้จ้าวลี่หลินได้หน้าแต่เพียงผู้เดียว กลายเป็นเจ้าผลักข้า ข้าผลักเจ้า ไปๆ มาๆ ก็ทะเลาะกันเองซะแล้ว

       “ข้าต่างหากล่ะที่เป็นคนบอกว่าคิดถึงท่านย่าก่อน” จ้าวลี่จูถลึงตาใส่คู่แฝด

       “เป็นข้าที่จำรสมือของท่านย่าได้ ข้าต่างหากล่ะที่คิดถึงท่านย่าที่สุด พวกเจ้าอย่ามาขี้ตู่นะ” จ้าวลี่จินเท้าเอวไม่ยอมเช่นกัน

       “เอาล่ะเด็กๆ ไม่ต้องทะเลาะกันนะ ทุกคนต่างก็คิดถึงท่านย่ากันหมดนั่นแหละ จ้งเอ๋อร์ เจียเอ๋อร์ พาเจ้าสามแฝดนี่ไปคารวะท่านย่าที่เรือนก่อน แม่สั่งงานพ่อบ้านจ้าวเสร็จแล้วจะรีบตามไป”

       “เจ้าค่ะท่านแม่ / เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งและจ้าวลี่เจียรับคำ ต้อนเด็กแฝดทั้งสามคนไปพร้อมกับบรรดาสาวใช้ตามหลังอีกเป็นพรวน

       กู้ฟางเหนียงมองก้อนความวุ่นวายที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สั่งความให้พ่อบ้านจ้าวจัดเก็บข้าวของที่นำกลับมาด้วย เสร็จแล้วจึงอุ้มจ้าวลี่หมิงไปทำความรู้จักกับท่านย่าของเขา

       'เฉาม่าน' หรือฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเข้าตระกูลจ้าวซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพมาทุกรุ่น บรรพบุรุษทุกคนต่างพลีชีพในสนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองจากอริราชศัตรู แต่ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวไปล่วงเกินเทพเจ้าองค์ใดเข้า ไม่เพียงบุรุษทุกคนต้องพลีชีพบนหลังอาชาศึกเท่านั้น ยังให้กำเนิดบุตรชายน้อยลงทุกทีๆ พอมาถึงรุ่นจ้าวมู่ก็มีเพียงจ้าวลี่หมิงเท่านั้นที่เป็นบุตรชาย แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวกลับไม่ได้เร่งรัดให้บุตรชายรับอนุเพิ่ม เพราะการได้จ้าวลี่หมิงมาในวัยไม้ใกล้ฝั่งเช่นนี้ก็ถือเป็นวาสนาของตระกูลจ้าวแล้ว ดีเสียอีกนางจะได้ไม่ต้องทนเห็นบุตรหลานต้องสิ้นชีพบนคมหอกคมดาบอีก แค่นางเสียสามีกับบุตรชายคนรองไปในสนามรบก็เจ็บช้ำมากพอแล้ว นางหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์คนผมขาวเตรียมส่งคนผมดำอีก

       “ไหนเสี่ยวชีของย่าอยู่ไหนเอ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวนั่งเอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงเตา[3] ห้อมล้อมไปด้วยหลานสาวร้องทักจ้าวลี่หมิงทันทีที่เห็นกู้ฟางเหนียงอุ้มเขาเข้าประตูมา ซึ่งจ้าวลี่หมิงก็ไม่ทำให้คนแก่อย่างเฉาม่านผิดหวัง ถึงย่าหลานจะไม่เคยพบหน้ากัน เขาก็ยิ้มแป้นรับเสียงทักทายจนเห็นเหงือกสีแดงระเรื่อมีฟันกระต่ายอยู่สองซี่ด้วยกันครบถ้วน เรียกคะแนนความรักใคร่เอ็นดูจากท่านย่าจนบรรดาพี่สาวทั้งหลายมันเขี้ยวน้องชายตัวอ้วนไปตามๆ กัน

       “เสี่ยวชีขี้โกงอย่ามาแย่งท่านย่าของลี่จูนะ”

       “ใช่ๆ ขนมที่ท่านย่าทำทั้งหมดเป็นของลี่จิน ลี่จินไม่แบ่งให้เสี่ยวชีหรอกนะ ลี่จินแบ่งให้แค่ท่านพ่อกับท่านแม่เท่านั้น”

       “ใครบอกล่ะ ท่านย่าเป็นของลี่หลินต่างหาก ท่านพ่อท่านแม่ก็เป็นของลี่หลิน”

       “ใครบอกว่าท่านย่าเป็นของพวกเจ้ากัน ท่านย่าเป็นของทุกคนต่างหากล่ะเจ้าสามแสบ” จ้าวลี่จ้งดีดหน้าผากน้องสาวที่กำลังยื้อแย่งท่านย่ากันเรียงตัว เขย่าตัวท่านย่าจนหัวสั่นหัวคลอนเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้ธรรมเนียมเอาเสียเลย คงต้องจับไปฝึกหนักที่ค่ายของท่านพ่อสักหน่อยละมั้ง

       “เอาล่ะๆ จ้งเอ๋อร์ก็อย่าเอ็ดน้องเลย น้องๆ ยังเด็กอยู่ ย่ารักพวกเจ้าทุกคนนั่นแหละ” เฉาม่านพยายามห้ามปรามหลานๆ ที่วิ่งไล่กันบนเตียงของนาง กู้ฟางเหนียงเห็นลูกๆ ซุกซนไม่หยุดก็อดเปรยกับแม่สามีไม่ได้

       “เด็กที่ไหนกันเจ้าคะท่านแม่ ปีนี้อายุตั้ง 12 หนาวแล้วยังไม่รู้ความกันเลย ลูกสู้อุตส่าห์หาหมัวมัว[4] มาสอนมารยาทให้พวกนางแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ตำราสอนหญิงหรือก็เรียนไปเสียเปล่า ดีดฉิน เขียนอักษร วาดภาพ หรือเล่นหมากล้อมก็เอาดีไม่ได้สักอย่าง ดีแต่รำกระบี่ตีกระบอง จับนกตกปลาไปวันๆ ตอนนี้ลูกก็จนปัญหากับเด็กพวกนี้แล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้ออกเรือนเหมือนสตรีเรือนอื่นเขาหรือไม่” กู้ฟางเหนียงพร่ำบ่นกับแม่สามีด้วยความอัดอั้นตันใจ เหล่าสตรีที่ยังขายไม่ออกอย่างจ้าวลี่จ้งที่อายุ 18 หนาวกับจ้าวลี่เจียที่ถึงวัยปักปิ่น[5] พยายามทำตัวนิ่งๆ เข้าไว้ เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ ท่านแม่จะได้ไม่พาดพิงถึงพวกนาง แต่ก็ยังไม่แคล้วโดนลากเข้าไปเกี่ยวจนได้

       “จ้งเอ๋อร์กับเจียเอ๋อร์ก็เหมือนกัน เจียเอ๋อร์น่ะลูกไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น แต่จ้งเอ๋อร์น่ะสิเจ้าคะ อายุจะเลยวัยออกเรือนอยู่แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีผู้ใดมาทาบทามสู่ขอเลย”

       “เอาน่า เจ้าอย่าร้อนใจไปนักเลย ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับบุพเพวาสนา หากจ้งเอ๋อร์ถูกใจผู้ใดค่อยว่ากันเถิด เจ้าอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับนางนักเลย”

       “ท่านแม่ละก็ จะไม่ให้ข้ากะเกณฑ์กับนางได้อย่างไร ดูหน้าตาของนางสิเจ้าคะ เหมือนหญิงสาวเสียที่ไหน หากบอกว่าเป็นคุณชายตระกูลจ้าวคงจะเหมาะกว่า หน้าตาหล่อเหลาเกินชายแบบนี้ จะไม่ให้ลูกหนักใจได้อย่างไร เฮ้อ! แล้วท่านแม่ล่ะเจ้าค่ะ มีคนที่หมายตาไว้บ้างหรือไม่” กู้ฟางเหนียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่พอถูกมองว่าเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลาสง่างามก็ยืดอกรับแสนจะภาคภูมิใจ ใบหน้าของนางเหมือนกับท่านพ่อขนาดนี้ จะไม่ถูกชมว่ารูปงามได้อย่างไร

       “งานเลี้ยงฉลองชัยในค่ำคืนนี้ เจ้าก็ลองเรียบๆ เคียงๆ หาให้นางสักคนก็แล้วกัน” เฉาม่านมองท่าทางภูมิอกภูมิใจในรูปโฉมตนเองของหลานสาวคนรองแล้วชักจะปวดเศียรเวียนเกล้าตามลูกสะใภ้ ยังดีที่จ้าวลี่จิ่นผู้มีหน้าตาราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับจ้าวลี่จ้งสามารถล่อลวงบุตรชายของท่านเจ้าเมืองหานตงมาเป็นหลานเขยให้นางได้ ไม่อย่างนั้นนางคงกลุ้มใจยิ่งกว่านี้

       “คงจะต้องเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ” ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความหนักใจได้แต่ฝากความหวังในการหาบุตรเขยไว้กับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้

[1] เสี่ยวชี เสี่ยว แปลว่า เล็ก น้อย ส่วนชี แปลว่า เจ็ด เป็นการเรียก ‘จ้าวลี่หมิง’ บุตรชายคนที่เจ็ดเชิงเอ็นดู

[2] ยามเว่ย คือ เวลา 13.00 – 15.00 น.

[3] เตียงเตา (炕) เป็นเตียงที่ก่อด้วยอิฐด้านล่างมีปล่องเตาจุดให้ความร้อน ด้านบนปูด้วยฟูกหรือเบาะรอง

[4] หมัวมัว คือ คำที่ใช้เรียกแม่นม หญิงรับใช้สูงวัย หรือนางกำนัลที่มีประสบการณ์สูง

[5] วัยปักปิ่น คือ หญิงสาวที่อายุครบ 15 ปี พร้อมที่จะเข้าพิธีปักปิ่นมวยผม เพื่อแสดงว่าได้ก้าวเข้าสู่วัยสาวแล้ว พร้อมออกเรือนหรือแต่งงานแล้ว

Related chapters

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 7

    งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่า

    Last Updated : 2024-11-20
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 8

    “ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่ “ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี” “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก  

    Last Updated : 2024-11-21
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 9

    เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการและพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่ เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใ

    Last Updated : 2024-11-22
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 10

    วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก

    Last Updated : 2024-11-23
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 11

    ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs

    Last Updated : 2024-11-24
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 12

    ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด

    Last Updated : 2024-11-25
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 13

    หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ

    Last Updated : 2024-11-26
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 14

    เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ

    Last Updated : 2024-11-27

Latest chapter

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 57

    นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 56

    “แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 55 สู่ปัจจุบัน

    ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 54

    สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 53

    เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 52

    ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 51

    กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 50

    เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 49 ความหลังของหลานซือเยว่

    16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status