ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน
“ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง”
“เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง
“องค์รัชทายาทเสด็จ”
เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต
วันนี้เฉินซือหยางสวมฉลองพระองค์สีขาวลายมังกรทองประดับหยกพกประจำตำแหน่งเดินเข้ามาในจวนไท่เว่ย โดยมีจางกงกงติดตามข้างกาย ขนของขวัญแสดงความยินดีมาด้วยขบวนใหญ่
“ยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ทรงให้โอกาสกระหม่อมได้ทดแทนคุณแผ่นดิน”
“มีขุนนางมากความสามารถเช่นเจิ้งกั๋วกงล้วนเป็นโชคดีของแผ่นดินต้าเฉินโดยแท้”
หนึ่งขุนนางหนึ่งว่าที่เจ้าแผ่นดินสรรเสริญเยินยอกันพอเป็นพิธี ก่อนที่จ้าวมู่จะเชื้อเชิญให้เฉินซือหยางนั่งตรงตำแหน่งประธาน
“เจิ้งกั๋วกงไปต้อนรับแขกเหรื่อเถิดไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนเรา”
เฉินซือหยางนั่งสังเกตการณ์ในงานสักพักก็เห็นจ้าวลี่จ้งบุตรสาวคนรองของจ้าวมู่เข้ามากระซิบกระซาบกับมารดาด้วยท่าทีร้อนใจ จากนั้นก็เห็นจ้าวมู่หันไปสั่งการคนรับใช้ในจวนด้วยสีหน้าเครียดขึง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่เป็นที่สังเกตของแขกเหรื่อในงาน แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
เฉินซือหยางส่งสายตาให้เว่ยอันไปสืบ เพียงครู่เดียวเว่ยอันก็กลับมารายงาน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“บุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เจิ้งกั๋วกงกำลังส่งคนออกตามหาอย่างลับๆ คาดว่าเป็นฝีมือของชาวเซียนเป่ย”
“สั่งองครักษ์เงาให้ช่วยตามหาอีกแรง”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“พระองค์จะเสด็จไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” จางเสี่ยวเหล่ยซักถามเมื่อเห็นว่าองค์เหนือหัวปลีกตัวออกจากห้องโถงหลัก
เฉินซือหยางโบกมือห้ามไม่ให้จางกงกงตามมา “ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องตามมา”
“แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้กระหม่อมเกรงว่า...”
จางเสี่ยวเหล่ยหุบปากฉับเมื่อเห็นสายตาแฝงแววตักเตือนจากองค์รัชทายาท ไม่กล้าทักท้วงใดๆ อีก ทำเพียงแอบกำชับองครักษ์เงาสองนายให้ดูแลองค์รัชทายาทให้ดี
เฉินซือหยางเหม่อมองสระบัวเบื้องหน้าจับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบาง ไม่มีปลาสักตัวแหวกว่าย พอครุ่นคิดถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเสด็จพ่อก็ให้ปวดศีรษะ ในเมื่อตัวชูโรงหายตัวไปอย่างนี้ แล้วงิ้วเรื่องนี้เขาจะแสดงต่อได้อย่างไรเล่า
เฉินซือหยางถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ร่างเล็กข้ามสะพานไม้ เดินเล่นไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีศาลาหอเก๋งท่ามกลางป่าท้อก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า จึงคิดจะเข้าไปนั่งชมป่าท้อคลายเครียดเสียหน่อย แต่พอก้าวเท้าเข้าไปในศาลาหลังน้อยเพียงก้าวกลับเห็นลูกท้อขาวอวบผลหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากใต้โต๊ะเสียก่อน
“หือ? เด็กน้อยจากที่ใดกัน” เฉินซือหยางชักเท้าหลบลูกท้อขาวอวบลูกนั้น สายตาเคร่งขรึมมองตามร่างกลมป้อมกลิ้งไปกลิ้งมาคล้ายหาที่นอนหลับสบายจนใบหน้าบู้บี้ไปกับพื้นห้อง ริมฝีปากสีแดงระเรื่อดูดนิ้วนอนต่อไปอย่างสบายอุรา จนเฉินซือหยางอดยกยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“นี่ๆ เจ้าหมูน้อย เหตุใดเจ้าถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้เล่า นี่!” องค์รัชทายาทจิ้มแก้มยุ้ยของจ้าวลี่หมิงเล่น ปลุกเด็กน้อยให้ตื่นจากนิทรา แต่เด็กอ้วนทำเพียงพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ แล้วหลับต่อเสียอย่างนั้น
“(~﹃~)~zZ”
“เด็กขี้เซาเอ๊ย” เฉินซือหยางหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว แต่คงจะหนักมือไปหน่อย จ้าวลี่หมิงถึงกับร้องไห้จ้าเลยทีเดียว
“แหง๊ .·´¯'(>▂<)´¯'·. ”
"ಠ╭╮ಠ"
จ้าวลี่หมิงลืมตามองคนใจร้ายที่กำลังก่อกวนเขาอย่างตัดพ้อต่อว่า ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตากลมโตราวกับเมล็ดซิ่ง[1] ฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา
วินาทีที่เฉินซือหยางสบเข้ากับดวงตากลมโตคู่นั้น โลกพลันหยุดหมุน ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน จิตวิญญาณคล้ายถูกดึงดูดเข้าไปในดวงตาสีนิลฉ่ำวาวแฝงประกายสีเขียวมรกตสดใส ข้างในอกร้อนผ่าว จิตใจสั่นไหวหลุดหายไปในห้วงกาลเวลาที่ผันผ่านมาเนิ่นนาน
“เกอเกอ?”
เฉินซือหยางยื่นมือสั่นเทาลูบใบหน้าเล็กๆ ของจ้าวลี่หมิงอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ เด็กชายไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาสบตากับจ้าวลี่หมิงอยู่นั้น หยาดน้ำตาอุ่นร้อนไหลออกมาเป็นสาย หยดลงบนใบหน้าอวบอิ่มของจ้าวลี่หมิงราวกับสายฝน จนเด็กน้อยหยุดร้องไห้ไปด้วยความงุนงง
“แอ๊ะๆ”
มือป้อมตบใบหน้าขาวแปะๆ เฉินซือหยางจึงได้สติกลับมา ยังงุนงงไม่หายว่าเมื่อครู่ตนเองเป็นอะไรไป เขารู้แค่ว่าไม่อยากปล่อยให้เด็กคนนี้คลาดสายตาไปแม้เพียงครู่ คล้ายกับว่าเขายึดติดกับคนผู้นี้เสียแล้ว
เฉินซือหยางรวบตัวเด็กน้อยขึ้นมาอุ้มแนบอก มือเล็กป้อมยังตบแก้มของเขาเล่นไม่หยุดคล้ายชอบใจในความนุ่มนิ่ม แต่เขาหาได้ขุ่นเคืองไม่ รู้สึกพึงพอใจด้วยซ้ำที่ได้รับสัมผัสนุ่มนิ่มหอมกลิ่นแป้งนมจากตัวเด็กน้อย จนเขาอดที่จะดอมดมแก้มยุ้ยเบาๆ ไม่ได้
“นี่! เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ อยากย้ายไปอยู่กับข้าหรือไม่ ตำหนักอี้ชิ่งของข้ากว้างใหญ่มากนะ รับรองว่ามีที่ให้เจ้าคลานเล่นเยอะกว่าจวนไท่เว่ยแน่นอน” เฉินซือหยางชักชวนเด็กน้อยด้วยท่าทีจริงจัง กะว่าพอกลับไปจะให้เสด็จพ่อเอ่ยปากขอคนกับเจิ้งกั๋วกงให้ได้
จ้าวลี่หมิงเอียงคอมองคนที่พูดคุยกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด เด็กน้อยส่งเสียงอ้อแอ้โต้ตอบกลับ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลอดออกมาจากเก๋งหลังน้อย เด็กน้อยทั้งสองคนหยอกล้อกันด้วยความเบิกบาน ผิดกับความร้อนรุ่มใจของกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้
“ถ้าเสี่ยวชีเป็นอะไรไปละก็ แม่จะลงโทษพวกเจ้าให้หนักเลยคอยดู” กู้ฟางเหนียงคาดโทษบุตรสาวเสียงหนัก
เด็กแสบทั้งสามถูกหิ้วมาจากต้นท้อด้านหลังจวนในสภาพดูไม่จืด จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลินผมเผ้ายุ่งเหยิงเต็มไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้า ชุดกระโปรงหรูฉวินเนื้อดียับยุ่ง บางแห่งมีรอยขาดยากปะชุนจำต้องทิ้งอย่างเดียว หลังจากเด็กทั้งสามโดนสอบสวนด้วยลำแข้งของจ้าวลี่จ้ง จึงยอมรับสารภาพว่าทิ้งน้องเอาไว้ในศาลาแปดเหลี่ยมเพียงลำพัง แต่เพราะก่อนหน้านี้มีสาวใช้เข้ามาตามหาจ้าวลี่หมิงแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่พบ ทุกคนถึงได้ร้อนอกร้อนใจกันไปหมด โดยเฉพาะกู้ฟางเหนียงที่เดินเร็วจนแทบเหาะไปยังศาลาหลังน้อยในป่าท้อ จนลืมไปเลยว่าตัวเองสูงวัยแล้ว
“องค์รัชทายาท” กู้ฟางเหนียงรีบร้อนเข้ามาในศาลาแปดเหลี่ยมเห็นองค์รัชทายาทนั่งผ่อนคลายอารมณ์อยู่ด้านในเพียงลำพัง ก็อุทานเสียงเบาด้วยความประหลาดใจ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นก้อนกลมๆ ในอ้อมแขนขององค์รัชทายาทแล้วก็ถึงกับเสียกิริยาลืมตัวโผเข้าหาบุตรชาย จนเฉินซือหยางต้องรีบโยกตัวหลบ
“เสี่ยวชี!”
“เสี่ยวชี?”
“ขอประทานอภัยเพคะ นี่คือ ‘จ้าวลี่หมิง’ บุตรชายของหม่อมฉันเองเพคะ”
“จ้าวลี่หมิง!" เฉินซือหยางตะลึงมองเด็กน้อยในอ้อมแขน เมื่อรู้ว่าเด็กน้อยเป็นใคร เขายิ่งพออกพอใจกับแผนการนี้ของเสด็จพ่อยิ่งนัก
"จ้าวลี่หมิง เสี่ยวชีอย่างนั้นหรือ งั้นข้าเรียกเจ้าว่า ‘ชีชี’ ดีหรือไม่” เฉินซือหยางทวนคำ ยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมาเผชิญหน้า ยิ้มหยอกล้อจ้าวลี่หมิงไม่ยอมปล่อยมือ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนในศาลาแปดเหลี่ยมยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทเป็นพยัคฆ์ร้ายหน้านิ่ง หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม[2] หรอกหรือ แล้วที่แย้มยิ้มจนตายิบหยีเช่นนี้คืออะไร ข่าวลือช่างทำร้ายผู้คนโดยแท้ เห็นๆ อยู่ว่าพระองค์เป็นแค่เด็กร่าเริงผู้หนึ่ง
กู้ฟางเหนียงตกตะลึงอยู่เป็นครู่กับความสนิทสนมของเด็กทั้งสอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการที่ให้องค์รัชทายาทซึ่งเป็นถึงผู้นำแผ่นดินคนต่อไปอุ้มบุตรชายของตนคงไม่ค่อยเหมาะนัก นี่ก็ใกล้จะถึงฤกษ์จัดพิธีจวาโจวของจ้าวลี่หมิงแล้วด้วย หากให้แขกเหรื่อรอนานคงไม่เป็นการดี จึงเอ่ยปากขอคนกับเฉินซือหยาง
“เอ่อ... ใกล้ถึงอาหารมื้อกลางวันแล้ว เชิญองค์รัชทายาทเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่เรือนหลักด้วยกันเถอะเพคะ”
เฉินซือหยางพยักหน้ารับส่งๆ มือเล็กยังไม่ยอมปล่อยจ้าวลี่หมิง กลับอุ้มไว้แนบอก แล้วเดินนำไปก่อนคล้ายไม่เห็นท่าทางยื่นมือมาจะอุ้มเด็กน้อยของกู้ฟางเหนียง
“เชิญจ้าวฮูหยิน”
“ส่งเสี่ยวชีให้หม่อมฉันอุ้มดีหรือไม่เพคะ”
เฉินซือหยางส่งจ้าวลี่หมิงให้อย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก หากจะอุ้มเด็กน้อยเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่จึงตัดใจปล่อยมือจากร่างนุ่มนิ่มของเด็กน้อยแต่โดยดี
หลังจากคนทั้งหมดยกขบวนกลับมายังห้องโถงในเรือนหลัก จ้าวมู่เห็นบุตรชายปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนค่อยถอนหายใจโล่งอก สั่งบ่าวรับใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ ทั้งเป็ดแปดทรัพย์ ปลาเก๋าสามรส ผัดแปดเซียน และที่ขาดไม่ได้คือบะหมี่อายุยืนยาว อาหารมากมายหลายอย่างทยอยยกขึ้นโต๊ะ จ้าวมู่คารวะองค์รัชทายาทพอเป็นพิธี และลุกขึ้นกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
“ขอบคุณพี่น้องในราชสำนักทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับข้าและบุตรชายของข้าในครั้งนี้ จ้าวมู่ขอคารวะทุกท่านหนึ่งจอก ดื่ม!”
“ดื่ม!!”
เหล่าขุนนางดื่มด่ำกับสุราอาหาร และพูดคุยกันเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเองอย่างที่สุด บางคนก็มาคารวะสุราทั้งยกย่องชื่นชมจ้าวลี่หมิงเป็นการใหญ่ ทำเอาคนเป็นพ่ออย่างจ้าวมู่ปลื้มอกปลื้มใจยิ่งนัก
"บุตรชายของท่านท่าทางองอาจห้าวหาญยิ่ง เติบใหญ่ขึ้นมาคงดำเนินตามรอยบิดาได้เป็นแม่ทัพใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน พยัคฆ์ไม่ออกลูกสุนัขโดยแท้” เสนาบดีกรมพิธีการซูเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่เช่นกันยกยอจ้าวลี่หมิงเสียเกินจริง เพราะหน้าตาอวบอ้วนน่ารักนั้นถอดเค้าความงามของกู้ฟางเหนียงมาไม่มีตกหล่น พอเติบโตแล้วคงไม่พ้นเป็นคุณชายหน้าหยกแห่งเมืองผิงอาน แต่ใครเล่าจะไม่ชมชอบคำเยินยอที่ว่าบุตรชายเหมือนตนผู้เป็นบิดา
“มิกล้าๆ บุตรสุนัขของข้าได้รับคำชมจากท่านถือเป็นวาสนายิ่งแล้ว ข้าหวังแค่ว่าอนาคตเขาจะราบรื่น มีวาสนาสูงส่งเช่นเดียวกับเต๋อเฟย” จ้าวมู่ยกยอซูโม่หลันบุตรสาวของเสนาบดีซูกลับ ทำเอาเสนาบดีซูหัวเราะชอบใจ
“มีท่านเป็นแบบอย่างเช่นนี้ เขาจะไม่ได้ดีได้อย่างไร”
ทั้งสองผลัดกันชมเจ้าคำข้าคำ แต่เฉินซือหยางที่นั่งอยู่ด้านข้างจ้าวมู่ไม่ได้สนใจ เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ร่างเล็กของจ้าวลี่หมิง เห็นเด็กน้อยดูดหมี่อายุยืนเส้นยาวเข้าปากจนแก้มป่อง ปากเล็กๆ เคี้ยวหงุบหงับๆ เหมือนกระต่ายตัวน้อย ก็อดยกยิ้มมุมปากกับท่าทางน่าขบขันของเจ้าตัวเล็กไม่ได้
เฉินซือหยางเสวยพระกระยาหารไปด้วย มองท่าทางน่ารักน่าใคร่ของจ้าวลี่หมิงไปด้วย รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ถูกปากเขาเป็นพิเศษ เฉินซือหยางเสวยได้มากขึ้น จางกงกงที่คอยคีบอาหารถวายอยู่ด้านข้างก็รีบจดจำรายการอาหารบนโต๊ะไปด้วย กะว่ากลับวังคราวนี้จะให้ห้องเครื่องทำมาถวายองค์รัชทายาทบ้าง หรือจะหน้าหนาเอ่ยปากขอพ่อครัวจวนไท่เว่ยกลับตำหนักอี้ชิ่งด้วยเลย
หลังทุกคนอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อหลัก ไม่นานอาหารว่างก็ถูกยกขึ้นโต๊ะอีกครั้ง พร้อมๆ กับงิ้วที่ขึ้นแสดงบนเวที เพื่อสร้างความรื่นเริงให้กับแขกเหรื่อในงาน ขณะเดียวกันด้านในห้องโถง เหล่าข้ารับใช้ได้ปูพรมสีแดงผืนใหญ่ และจัดวางข้าวของที่ใช้ในการเสี่ยงทายในพิธีจวาโจวเอาไว้ มีทั้งคัมภีร์ต่างๆ กระดาษ พู่กัน จานฝนหมึก ตราประทับ ลูกคิด สมุดบัญชี ของเล่นอย่างม้าไม้ ตุ๊กตาเสือ และกลองป๋องแป๋ง เครื่องดนตรีก็มีมากมายทั้งฉิน ผีผา และเซียว[3] อาวุธที่ทำขึ้นจากไม้อย่างดาบเล่มใหญ่ กระบี่ หน้าไม้ ธนูก็ล้วนไม่ขาดสิ่งใด นอกจากนี้ยังมีตั๋วแลกเงินปึกใหญ่ เครื่องประดับศีรษะหรือกวานที่ทำมาจากทองคำหรูหรา หยกพกแกะสลักจากหยกเหอเถียนล้ำค่า กระทั่งขนมทานเล่นหลายชนิดล้วนมีครบ ให้จ้าวลี่หมิงได้เลือกตามใจชอบ
เฉินซือหยางมองสิ่งของวางเรียงรายอยู่บนพรมผืนใหญ่แล้วยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ร่างเล็กเดินนำครอบครัวตระกูลจ้าวมาร่วมความครึกครื้นในพิธี ก่อนจะล้วงบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อ
“วันมงคลดีๆ เช่นนี้ เราจะไม่ร่วมวงด้วยได้อย่างไร นี่คือปิ่นที่เสด็จแม่ของเรารักมาก เป็นของดูต่างหน้าที่เก็บเอาไว้นานแล้ว หวังว่าเจิ้งกั๋วกงจะไม่รังเกียจ” เฉินซือหยางคลี่ผ้าแพรเนื้อดีออก เผยให้เห็นปิ่นปักผมรูปพญาหงส์ ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ประดับขนนกกระเต็นสีฟ้าเงางามล้ำค่าหายาก ตัวเรือนฝังเพชรพลอยหลากสีเปล่งประกายเจิดจรัสดุจดวงดารา เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าขุนนางภายในงาน เพราะปิ่นหงส์ชิ้นนี้งดงามสูงค่าไม่ต่างจากมงกุฎหงส์[4] ของหลี่ฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย
“ข่าวลือที่ว่าหลานกุ้ยเฟยเกือบได้ครองตำแหน่งฮองเฮาที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงหรือนี่”
เสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับปิ่นหงส์ที่องค์รัชทายาทนำมาร่วมในพิธีจวาโจวของบุตรชายเจิ้งกั๋วกง และเรื่องที่หลานกุ้ยเฟยเกือบจะได้เป็นฮองเฮาในเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วงาน
[1] เมล็ดอัลมอนด์
[2] หนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม หมายถึง แสร้งยิ้ม
[3] เซียวหรือขลุ่ยเป่า เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ต้งเซียว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า มีขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เดิมเป็นเครื่องดนตรีของชนชาติเชียงที่อยู่ในเขตพื้นที่เสฉวนและกันซู่
[4] มงกุฎหงส์หรือเฟิ่งกวาน (凤冠) เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงฐานันดรศักดิ์แห่งองค์จักรพรรดินีหรือฮองเฮา
ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ
เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้
ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ