เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล
ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา
เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย
“รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมันเคยก่อ อีกไม่นานข้าจะส่งพวกมันทุกคนลงไปขอขมาเจ้าในปรโลก เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่” ชายหนุ่มถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอบอุ่น แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพวกมันเคยทำอะไรกับเยว่เอ๋อร์ไว้บ้าง กลับรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจพอ มือหนาบีบมือบางของหญิงสาวแน่นขึ้น สายตาเปลี่ยนเป็นอำมหิตเต็มไปด้วยจิตสังหารในชั่วพริบตา
“ไม่สิ! ข้าจะค่อยๆ แล่เนื้อเลาะกระดูกพวกมันทีละชิ้นๆ ให้พวกมันอยู่ไม่สู้ตาย ถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งไปนับพันหมื่นปีให้สาสมกับที่พวกมันเคยทำกับเจ้า แล้วค่อยส่งพวกมันลงนรกไปทีละคนๆ ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แบบนี้สิถึงจะสาสมกับสิ่งที่พวกมันทำ!” เฉินเทียนอี้เคียดแค้นจนดวงตาแดงก่ำ นึกย้อนถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดที่ผ่านมาเนิ่นนาน
20 ปีก่อน
ตั้งแต่จำความได้ใครๆ ก็เรียกเขาว่า ‘องค์ชายเก้า’ ตอนแรกเฉินเทียนอี้คิดว่านั่นคือชื่อของเขา เด็กน้อยไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนเองเป็นใคร แต่เขามีพี่ป้าน้าอาหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกันในเรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายวังหลัง ทุกวันเขาต้องรอทานเศษข้าวเหลือก้นชามจากคนพวกนั้น บางมื้อมีเหลือให้ทานน้อยนิด บางมื้อก็ไม่มีอะไรให้ทาน จนเด็กน้อยต้องหิ้วท้องรออาหารมื้อต่อไป ได้แต่ดื่มน้ำประทังชีวิต นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นเด็กผอมแห้ง สามวันดีสี่วันป่วยไข้ เวลาที่เขาป่วยเด็กน้อยวัยเพียงสามหนาวอย่างเขาทำได้เพียงต้องดูแลตัวเอง จนเขาเกือบสิ้นชีพหลายครา
บางครั้งเด็กน้อยก็มักถามตนเองว่าเกิดมาทำไม ถ้าตายไปทั้งอย่างนี้จะสบายขึ้นบ้างไหมนะ แต่ทุกครั้งที่ความตายย่างกรายเข้ามา เด็กน้อยก็หวาดกลัวจนดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดต่อไป โดยการขุนดินถอนหญ้าข้างเรือนมาทาน โชคดีที่เรือนหลังนั้นปลูกจวี๋ฮวา[2] เอาไว้ทั่วเรือน เด็กน้อยเคยกินดอกไม้ดอกนี้แล้วอาการดีขึ้น เขาจึงมักจะไปเด็ดมากินทุกครั้งเวลาที่เขาป่วยไข้ จึงพอจะเอาชีวิตรอดต่อไปได้
บางคราวเฉินเทียนอี้ก็นึกน้อยใจ เหตุใดคนในเรือนนี้ถึงไม่รักใคร่เมตตาเขา พวกเขาเป็นญาติของเขาไม่ใช่หรือ พอเวลาผ่านไปอีกหลายปีเขาถึงได้รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงนางกำนัลและขันทีประจำตำหนักของเขา นึกแล้วเจ็บแค้นใจยิ่งนัก บ่าวสุนัขเหล่านั้นไม่เพียงไม่ดูแลเขาให้ดี ยังกดขี่ข่มเหงเขาในทุกทาง คนที่ชอบตบตีทำร้ายเขา เฉินเทียนอี้ส่งมันลงนรกด้วยตัวเองในวัยเพียงหกหนาว ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เขายืนมองมันค่อยๆ จมหายไปในสระน้ำท้ายวังด้วยสายตาเย็นชา เผยรอยยิ้มเต็มหน้าด้วยความสาแก่ใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลุดพ้นจากโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการตัวตนของเขาเอาไว้ แสนจะปลอดโปร่งโล่งสบายจนร่างกายเบาหวิว
หลังจากเหตุการณ์นั้น เพราะนางกำนัลของตำหนักเขาตายไปคนหนึ่ง นางกำลังคนใหม่จึงถูกส่งมาแทนคนเก่า ทำให้เขาได้พบกับหลานซือเยว่เป็นครั้งแรก นางเป็นเพียงคนเดียวที่รักใคร่เอ็นดูเขาด้วยใจจริง ปกป้องเขาจากเหล่านางกำนัลและขันทีที่ชอบข่มเหงผู้อื่น ต่อให้นางอดนางก็จะไม่ปล่อยให้เขาหิว นางให้ความอบอุ่นในยามที่เขาหนาวเหน็บ เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตอันมืดมนของเขา นางไม่ได้เห็นเขาเป็นเพียงเจ้านายที่ต้องปฏิบัติต่อกันอย่างมีพิธีรีตอง แต่กลับรักใคร่เอ็นดูเขาเหมือนน้องชายของนางเอง
ทุกวันเขาเห็นนางตื่นเช้าลุกขึ้นมาตักน้ำในบ่อมาต้มให้เขาล้างหน้าล้างตาท่ามกลางหิมะตกหนัก ปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุด ก่อนจะออกไปหาอะไรมาให้เขากิน ทุกครั้งที่นำอาหารกลับมานางมักจะมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ตามตัวเสมอ เขาเองก็เห็นอยู่กับตาแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เพราะเขาไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ หรือไม่เสด็จพ่ออาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีบุตรชายคนนี้อยู่
เฉินเทียนอี้พยายามไม่คิดถึงเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น เด็กชายจมจ่อมอยู่กับโลกใบเล็กที่มีแค่เขากับหลานซือเยว่ ไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอก ยามว่างหลานซือเยว่จะสอนเขาอ่านตำราคัดอักษร สี่ตำราห้าคัมภีร์ล้วนเป็นนางสอนเขาจนหมดสิ้น บางวันอากาศดีๆ นางจะพาเขาไปวาดภาพแต่งกลอนในอุทยานหลวง หรือไม่ก็เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเขา นอกจากนี้นางยังสอนมารยาทในการวางตัวให้สมกับฐานะองค์ชาย ให้เขารู้จักเคารพในตัวเอง ให้เขารับรู้ถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของโอรสแห่งองค์จักรพรรดิ ในสายตาของเขานางเก่งที่สุด แต่เฉินเทียนอี้ไม่เคยรู้เลยว่าทุกครั้งหลังจากที่เขาหลับไป หลานซือเยว่จะแอบจุดตะเกียงนอกห้องบรรทม ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บ แอบศึกษาตำราที่จะสอนองค์ชายน้อยของนางในวันพรุ่ง
อยู่มาวันหนึ่งหลานซือเยว่พาองครักษ์นายหนึ่งมาพบเขา คนผู้นั้นคือ 'เฝิงไห่' เป็นหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ เฝิงไห่เคยถูกนักฆ่าที่ลอบเข้ามาปลงพระชนม์เสด็จพ่อทำร้ายเกือบสิ้นชีพตอนที่อีกฝ่ายไล่ตามจับกุมนักฆ่าคนนั้นนอกเขตพระราชฐาน ชายหนุ่มถูกแทงเข้าที่ท้องจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บังเอิญหลานซือเยว่ไปพบเข้าระหว่างเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดจึงช่วยชีวิตเอาไว้ เฝิงไห่ติดค้างหนี้ชีวิตจึงรับปากจะช่วยสอนวรยุทธ์ให้แก่เขาเป็นการตอบแทนตามคำขอร้องของหลานซือเยว่
ทั้งสามชีวิตฝ่าคลื่นลมมรสุมในวังหลวงมาด้วยกัน กระทั่งเขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยไม่คาดฝัน
เฉินเทียนอี้ทราบในทันทีว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่เหนือใคร เขาเดินไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ถูกชักเชิด ล่อลวง หลอกใช้ สารพัดเล่ห์เหลี่ยมที่ดาหน้าเข้ามา ทำให้เขาแสร้งทำตัวเป็นหมาป่าห่มหนังแกะอยู่นานปี โดยมีหลานซือเยว่คอยระวังหลังให้ นางถูกทำร้าย ถูกกดขี่ข่มเหง กระทั่งถูกพิษแทนเขาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทุกอย่างที่นางทำเพื่อเขา เฉินเทียนอี้เห็นด้วยตารับรู้ด้วยใจ ไม่ว่าในฐานะฮ่องเต้กับข้ารับใช้ พี่สาวกับน้องชาย คนในครอบครัวหรือคนรัก เขาจะผูกมัดนางไว้กับตนเองให้ได้ ความรักของพวกเขาจึงเบ่งบานขึ้นท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดในราชสำนัก
เฉินเทียนอี้จำได้ดีถึงวันแต่งงานของพวกเขา ในคืนที่ดวงจันทร์สุกสกาวไร้เมฆหมอกบดบัง พวกเขาหลวมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกายใจ แต่วันชื่นคืนสุขมักผ่านพ้นไปเร็วเสมอ ข่าวการศึกที่ด่านชายแดนส่งมาเมืองหลวงไม่เว้นแต่ละวัน เฉินเทียนอี้รู้ว่าเส้นสายในราชสำนักที่เขาสั่งสมได้ไม่กี่ปีมานี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้บัลลังก์ของตนเองมั่นคง เขาจำเป็นต้องมีกำลังทหารอยู่ในมือ เพื่อคานอำนาจกับหลี่ไทเฮา ดังนั้นเขาจึงเสนอตัวนำทัพไปปราบปรามเผ่าซยงหนูด้วยตนเอง
เฉินเทียนอี้นำทัพออกศึกโดยมีเฝิงไห่ติดตามอยู่ข้างกาย ปล่อยให้หลานซือเยว่ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยรั้งอยู่ในวังหลัง เขามั่นใจว่าหลานซือเยว่จะสามารถงัดข้อกับหลี่ไทเฮาได้ไม่มีทางปล่อยให้หลี่ไทเฮาดึงขั้วอำนาจของเขาไปได้อย่างแน่นอน แต่ร้อยคิดพันคิดก็ไม่นึกว่าหลานซือเยว่จะตั้งครรภ์บุตรของเขา นางไม่เพียงไม่เอ่ยปากบอก ยังทำตัวเข้มแข็ง มองส่งเขาจากไปด้วยรอยยิ้มอันงดงามตรึงใจเหนือกำแพงเมืองหลวง และเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของนางที่เขาได้เห็นในชีวิตนี้
ขณะที่เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองทัพ ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของเหล่าแม่ทัพนายกอง หาทางดึงคนมาเป็นกำลังเสริมให้กับตัวเอง ทั้งยังต้องคอยต่อสู้กับการลอบสังหารของตระกูลหลี่ กระทั่งเขากำชัยเหนือเผ่าซยงหนู ยกทัพกลับเมืองหลวงด้วยความยินดีปรีดา กลับพบว่าภรรยาของเขานั้นได้จากไปแล้ว เหลือบุตรชายเพียงคนเดียวไว้ให้ดูต่างหน้า
เฉินเทียนอี้เสียใจจนแทบสิ้นสติ คล้ายกับดวงวิญญาณถูกกระชากออกไปจากร่าง ดวงใจถูกทุบทำลายจนแหลกเละ เมื่อรู้ว่าได้สูญเสียนางผู้เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป หลังจากผ่านพ้นความเสียใจมาได้ เขาเร่งสืบหาความจริงอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะจากเขาไปง่ายดายเช่นนี้
พอเขาสืบลึกลงไปถึงได้รู้ว่าระหว่างที่หลานซือเยว่กำลังคลอดบุตร มีคนแอบเล่นเล่ห์กับน้ำแกงบำรุงกำลังของนาง ทำให้หลานซือเยว่ตกเลือดจนเสียชีวิต ตอนเฉินเทียนอี้รู้ความจริงว่าคนที่ลงมือคือนังปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น เขาเกือบจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ตายตกตามนางไป
เฉินเทียนอี้ถึงขั้นยกทัพเข้าวังหลวงกะสังหารคนพวกนั้นให้สิ้นซาก แต่คนชั่วช้าเหล่านั้นกลับเอาบุตรชายเพียงคนเดียวมาขู่บังคับให้เขาวางมือ หลังจากคุมเชิงกันอยู่หลายวัน ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุตรชายออกมาแต่ก็ไม่สำเร็จ เฉินเทียนอี้จึงยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนตัวบุตรชายโดยการแต่งตั้งหลี่ลู่เหลียนขึ้นเป็นฮองเฮา ทั้งยังส่งมอบหลักฐานการลอบสังหารที่เขาสู้อุตส่าห์รวบรวมมาอย่างยากลำบากเพื่อโค่นล้มหลี่ไทเฮาและพรรคพวก ยอมแม้กระทั่งดื่มยาพิษสะบั้นวิญญาณ พิษนี้ออกฤทธิ์กัดกร่อนชีพจร ทุกฤดูใบไม้ร่วงร่างกายจะอ่อนล้าโรยแรง ยามหลับจะเกิดภาพหลอนราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างตกลงไปในนรกโลกันตร์ อายุขัยถูกลดทอนไปสามปีในหนึ่งสารท สิบปีให้หลังเฉินเทียนอี้ก็ไม่อาจก่อคลื่นลมใดๆ ได้อีก เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเขาจะไม่กระทำการใดที่เป็นภัยต่อตระกูลหลี่ ฝ่ายนั้นถึงยอมส่งตัวบุตรชายคืน
เฉินเทียนอี้เก็บความคั่งแค้นเอาไว้ในใจรอวันเอาคืน แล้วหันมาทุ่มเทให้กับเฉินซือหยาง บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา
ครั้งหนึ่งเฉินเทียนอี้เคยฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับภรรยา ได้จับมือคู่นี้เคียงข้างกันบนบัลลังก์ทอง ให้นางได้สวมมงกุฎหงส์สายสะพายเมฆ สูงศักดิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดินนี้ ขณะที่ความฝันใกล้เป็นจริง เขากลับถูกผลักให้ตกลงไปในหุบเหวแห่งความสิ้นหวังนับหมื่นจั้งจนแทบเอาชีวิตไม่รอด นางอันเป็นที่รักได้กลายเป็นดวงจันทร์บนฟากฟ้าไกลที่เขาได้แต่คะนึงหาอยู่ทุกคืนวัน[3]
เฉินเทียนอี้วางแผนโค่นล้มตระกูลหลี่มานานปี เขาแสร้งผลักเรือตามน้ำ ผลักดันคนของหลี่ไทเฮาให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ให้พวกมันได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ใกล้แค่เอื้อมคว้า จากนั้นเขาจะเป็นคนกระชากมันลงมาคลุกในโคลนตม แล้วกระทืบซ้ำเหมือนที่มันเคยทำกับเขา ให้พวกมันได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดสิ้นหวัง ทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น!
[1] หลิ่งเยวีย (领约) เรียกอีกอย่างว่า “เซี่ยงเชวียน” (项圈) เป็นเครื่องประดับของอิสตรีสมัยราชวงศ์ชิง ลักษณะเป็นเครื่องประดับทรงกลมใช้สวมคอ ทำจากโลหะประดับแผ่นทอง ไข่มุกตงจู และอัญมณีล้ำค่าต่างๆ
[2] จวี๋ฮวาหรือเก๊กฮวย เป็นวงศ์เดียวกับเบญจมาศ มีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับลม รักษาอาการปากแห้ง ร้อนใน นัยน์ตาแห้ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิดรวมทั้งสามารถปรับสมดุลและลดความดันโลหิตในร่างกาย
[3] หลานซือเยว่ ซือ มาจากคำว่า 思 แปลว่าคิดถึง คะนึงหา ส่วน เยว่ (月) แปลว่า ดวงจันทร์ แปลโดยรวมว่า คะนึงจันทร์
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้
ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  
หลี่เหยียนเจี๋ยเองก็กำลังหัวเสียพอกัน หลังออกจากที่ประชุมเช้าก็ตรงดิ่งขอเข้าเฝ้าหลี่ไทเฮาทันที “เหนียงเหนียง” “ท่านพี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” “เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเองก็ทรงเข้าร่วมประชุมเช้าเหมือนกัน” “หืมมม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” “คนที่เราวางไว้ในตำหนักอี้ชิ่งคงต้องกำจัดทิ้งแล้ว หากไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมาถึงเราเช่นนี้ แสดงว่าคนพวกนั้นอาจถูกเปิดโปงแล้ว จะเก็บเอาไว้ไม่ได้” “จัดการตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็หาทางสอดเท้าเข้าไปบริหารราชกิจบ้านเมืองได้อยู่ดี ราชสำนักประดุจดั่งบ่อโคลนคอยดูดกลืนผู้คน ผู้ใดโถมตัวลงไปก็มีแต่จะแปดเปื้อนไปทั้งตัวก็เท่านั้น ดีเสียอีกเราจะได้หาทางกำจัดพวกมันได้ง่ายหน่อย ท่านพี่หาทางขัดแข้งขัดขามันเข้าเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการบำรุงร่างกายของเหม่ยเอ
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ