แชร์

บทที่ 17

ผู้เขียน: ตงเฟินไป่หลิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-30 20:35:37

อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี

       ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง

       “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว

       “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที

       “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า”

       “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน

       “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้งหยกพกคู่กาย ไม่ใช่ว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงคือพระชายาที่องค์รัชทายาทหมายตาไว้หรอกหรือ”

       “ไอ้หยา!! แบบนี้ราชวงศ์ของเราคงสูญสิ้นแล้วแน่ๆ ใครจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากนี้เล่า” ผู้เฒ่าหลู่เริ่มร้อนใจ ฮ่องเต้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้สืบเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียว องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุรุษเช่นนี้ วันหน้าคงสิ้นไร้ทายาท ศึกแย่งชิงบัลลังก์ต้องเกิดขึ้นอีกแน่

       “เจ้าจะห่วงเรื่องนี้ไปไย ในวังหลวงมีสาวงามถึงสามพันนาง ยังห่วงว่าผู้อื่นจะไม่มีทายาทอีกหรือ เรื่องที่ข้าอยากรู้คือรูปโฉมของบุตรชายเจิ้งกั๋วกงต่างหากเล่า ได้ยินว่างามยิ่งกว่าพานอัน[2] มันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่” เหล่าจูตบโต๊ะพูดถึงประเด็นสำคัญที่เขาสนใจ ใครจะครองบัลลังก์ไม่เห็นเกี่ยวกับชาวบ้านตาดำๆ หาเช้ากินค่ำเช่นเขา

       “เรื่องนี้ข้ารู้ ได้ยินว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงเกิดมาหน้าตาเหมือนมารดายิ่ง เรื่องรูปโฉมรับรองได้เลยว่าเลิศล้ำเหนือผู้ใดในแผ่นดิน” พ่อค้าเซาปิ่งยืดอกการันตีเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำเอาเหล่าจูและเหล่าหลู่รีบยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถาม

       “เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”

       “แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีมูลเหตุ กู้ฟางเหนียงมารดาของเขาคือโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งเมืองผิงอาน แล้วบุตรชายที่นางคลอดออกมาจะด้อยไปกว่านางได้อย่างไร”

       “ข้าว่าตรรกะเจ้าเพี้ยนนะ ไม่ใช่ว่าบุตรชายของกู้ฟางเหนียงต้องหน้าตาหล่อเหลาสมชายชาตรีหรอกหรือ บุตรสาวของนางต่างหากถึงจะเรียกว่างดงาม”

       “แสดงว่าพวกเจ้ายังไม่เคยเห็นบุตรสาวตระกูลจ้าวน่ะสิ แต่ละคนหน้าตาโขกออกมาจากเจิ้งกั๋วกงทั้งนั้น มีเพียงบุตรชายผู้นี้นี่แหละที่หน้าตาเหมือนมารดา อันว่าบุตรสาวเหมือนพ่อ บุตรชายเหมือนแม่เป็นผู้มีวาสนาสูงส่ง นี่อย่างไรเล่าอายุไม่เท่าไหร่ยังถูกตาต้องใจองค์รัชทายาทได้ อนาคตไม่ใช่ว่าที่ชายาองค์รัชทายาทแล้วจะเป็นกระไรได้”

       “งั้นที่เขาลือกันว่าถึงขั้นมอบของแทนใจให้กันแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ” เหล่าจูกระซิบถามเสียงค่อย

       “เรื่องจริง"

       “ฮา!” ผู้เฒ่าทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน

       “จุ๊ๆ วาสนาคนเรานี่นะ ถ้าข้ามีบุตรชายแบบเจิ้งกั๋วกงสักคนได้ก็ดีนะซี้ เผื่อองค์รัชทายาทจะชอบพอบุตรชายของข้าบ้าง” เหล่าหลู่รำพึงรำพัน อิจฉาในโชควาสนาของผู้อื่น

       “เหอะ เลิกฝันกลางวันเถอะน่า ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินยังพอมีหวังร่ำรวยขึ้นมาบ้าง นี่เหล่าจู ถ้าเจ้าอยากเห็นรูปโฉมบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงไม่ลองไปเดินขายถังหูลู่แถวถนนตะวันออกดูเล่า” พ่อค้าขายเซาปิ่งกระซิบบอก

       “นั่นมันย่านของชนชั้นสูงไม่ใช่หรือ ข้าไปเดินแถวนั้นจะไม่โดนทหารเฝ้าประตูจวนพวกนั้นกวาดออกมาอีกรึ” เหล่าจูก้มมองชุดเก่าโทรมเต็มไปด้วยรอยปะชุนของตนเอง เขาเคยมีประวัติถูกชนชั้นสูงจับโยนออกมาไม่ให้ไปเกะกะหน้าจวน ผู้เฒ่าจูจึงฝังใจไม่ไปเยือนถนนฝั่งตะวันออกของเมืองอีกเลย

       “ไปเถอะน่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก ไม่แน่นะเจ้าอาจได้ข่าวดีข่าวเด็ดมาเล่าสู่พวกข้าฟังอีกก็ได้” พ่อค้าขายเซาปิ่งยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย ผู้เฒ่าจูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัวและหัวใจ สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะทุกอย่าง จึงพยักหน้ารับคำพ่อค้าขายเซาปิ่งแล้วตรงดิ่งไปยังถนนตะวันออก

จวนไท่เว่ยตกเป็นที่พูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง วันนี้กำลังเปิดประตูต้อนรับการมาเยือนของรองเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ จินซานกลับเรือนด้วยความหนักอกหนักใจในวันนั้น วันนี้มาเยือนจวนไท่เว่ยอีกครั้งพร้อมแม่สื่อชื่อดังของเมืองหลวง

       รถม้าคันใหญ่จอดเทียบหน้าประตูใหญ่จวนไท่เว่ย จินซานในชุดขุนนางขั้นสามเต็มยศประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินลงจากรถม้า

       “ทางเดินลำบากหรือไม่เจ้าคะ” กู้ฟางเหนียงนำขบวนสาวใช้คอยต้อนรับขับสู้ ฮูหยินผู้เฒ่าจินได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นก็รู้สึกเกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที

       “ไม่ลำบากๆ เป็นยายแก่อย่างข้าต่างหากที่ทำให้ไท่เว่ยฮูหยินต้องลำบากรอแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าจินตบมือเรียวบางของกู้ฟางเหนียงขณะเข้ามาประคองตนเบาๆ

       กู้ฟางเหนียงเห็นแบบนั้นก็ให้ยิ้มแย้มกว้างขึ้น ตอนได้รับเทียบเชิญขอเข้าพบเพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมายจากจินซาน นางยังนึกว่าตนเองฝันไปเสียอีก โชคดีหล่นลงมาจากฟ้าหาบุตรเขยได้โดยไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเช่นนี้กู้ฟางเหนียงจะไม่ยินดีได้อย่างไร ยิ่งได้เห็นรูปร่างหน้าตาอันสุภาพอ่อนโยนราวกับหยกของว่าที่บุตรเขยแล้ว กู้ฟางเหนียงยิ่งคึกคักราวกับฉีดเลือดไก่

       “เชิญฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปนั่งดื่มชาพูดคุยกันด้านในเถิดเจ้าค่ะ” กู้ฟางเหนียงเชื้อเชิญ ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนเข้าไปด้านในจวน

       เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าจูคนขายถังหูลู่ผู้กะมายลโฉมคนงามโดยเฉพาะ

       “ไอ้หยา! มีเรื่องให้เล่าอีกแล้ว”

       ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจูเลยเตร็ดเตร่ขายถังหูลู่หาคนพูดคุยเรื่องนี้ด้วยตลอดทั้งเช้า

       “เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

       กู้ฟางเหนียงประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินนั่งลงสนทนากันในห้องโถงหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวและฮูหยินผู้เฒ่าจินอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงพูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก แม่สื่อเองก็ร่วมวงพูดจาสรรเสริญเยินยอกันไปยกหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็แลกเทียบดวงชะตากันอย่างราบรื่นบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบาน

       จินซานปลีกตัวออกมาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้เป็นธุระของญาติผู้ใหญ่ ส่วนตนเองก็เดินชมทิวทัศน์บริเวณสวนท้อด้านหลังจวนไปพลางๆ

       “ไม่นึกว่าท่านจะเป็นคนมีสัจจะผู้หนึ่ง” จ้าวลี่จ้งเอ่ยทักจินซาน หลังจากเห็นชายหนุ่มนั่งเหม่อในศาลาแปดเหลี่ยมมาสักพักหนึ่งแล้ว

       “คุณหนูจ้าว” จินซานคารวะ ไม่แปลกใจที่เห็นหญิงสาวที่นี่ ข่าวเรื่องที่เขาพาแม่สื่อมาสู่ขอคงรู้ถึงหูนางแล้ว

       “อย่าพูดจาห่างเหินกันอยู่เลยน่า ถึงอย่างไรก็ใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว เรียกข้าว่าอาจ้งเถอะ” จ้าวลี่จ้งนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายอย่างสง่าผ่าเผย มือหยาบกร้านผิดสตรีรินชาให้บุรุษตรงหน้าด้วยตัวเอง

       “อาจ้ง” จินซานเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา "มาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ" ใบหน้างดงามคล้ายอิสตรีมองประเมินจ้าวลี่จ้ง ไม่รู้ว่านางมาพูดคุยกับเขาเพราะต้องการอะไรอีก

       “ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่อยากตกลงกับท่านนิดหน่อย ไหนๆ เราก็ล่มหัวจมท้ายกันแล้ว ท่านเองก็รู้ว่าเราสองคนจะแต่งงานกันด้วยเหตุใด ข้าต้องการให้ที่บ้านเลิกวุ่นวายใจกับเรื่องออกเรือนของข้า ส่วนท่านเพราะอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ ก็ดี หรือเพื่อผลประโยชน์ในวันหน้าก็ช่าง ข้ามีข้อเรียกร้องจากท่านเพียงข้อเดียว ท่านจะให้ข้าได้หรือไม่” จ้าวลี่จ้งไม่มัวอ้อมค้อมเอ่ยจุดประสงค์ออกมาตามตรง นางไม่เชื่อหรอกว่าการพบกันครั้งก่อนเป็นเรื่องบังเอิญ อีกฝ่ายเป็นถึงปั๋งเหยี่ยนไม่ใช่คนโง่งมโดยแท้ เขาอุตส่าห์เข้าหานางอย่างแนบเนียนปานนี้ จะไม่ให้นางผลักเรือตามน้ำได้อย่างไร

       “ลองเอ่ยมาก่อนสิ” สายตาลุ่มลึกจ้องมองหญิงสาวด้วยความสนอกสนใจขึ้นกว่าครั้งก่อน จินซานเลิกเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนใสซื่อ ดวงหน้าสวยยิ้มร้าย บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงไม่อาจดูเบาได้จริงๆ

       จ้าวลี่จ้งมุมปากกระตุก นั่นไง! พวกบัณฑิตนอกจากมีความรู้เต็มท้องแล้วยังเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเป็นที่หนึ่งดั่งที่ท่านพ่อว่าจริงๆ ด้วย

       “ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่แค่คนเดียว ข้าเองก็หวังว่าท่านจะมีแค่ข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเช่นกัน”

       “เหตุใดข้าต้องรับปากเจ้าด้วยล่ะ” จินซานเล่นลิ้น เท้าคางมองใบหน้าอีกฝ่าย หยอกเย้าจ้าวลี่จ้งเล่น

       “ที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวท่านเอง ท่านไม่เห็นว่าข้าหวังดีหรอกหรือ” จ้าวลี่จ้งชักกระบี่คมกริบออกมาปักบนโต๊ะหินอ่อนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาจินซานผงะตกใจแทบตกเก้าอี้

       “มะ... มีอะไรค่อยๆ คุยกันดีหรือไม่”

       “ข้าก็กำลังขอร้องท่านด้วยความสุภาพอยู่นี่อย่างไรเล่า” จ้าวลี่จ้งบอกหน้าตาย ขัดกับท่าทางเท้าเอวเอาเท้าเหยียบเก้าอี้ราวกับนักเลงอันธพาล ไหนจะกระบี่คมกริบที่แกว่งไปแกว่งมาตรงกลางโต๊ะหินอีก แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่านางกำลัง ‘ขอร้อง’ เขาอยู่ ไม่ใช่ ‘ข่มขู่คุกคาม’

       “แต่ว่าท่าทางของเจ้ามัน...”

       “ท่าทางของข้ามันอย่างไรหรือ หืมมม” จ้าวลี่จ้งยืนค้ำร่างสูงโปร่ง ชะโงกใบหน้าคมเข้มแทบชิดใบหน้าหวานของจินซาน ชายหนุ่มเอนตัวหนีอย่างจนมุม สุดท้ายก็จำต้องยอมรับปากหญิงสาว

       “ก็ได้ๆ ข้ายอมทำตามข้อเสนอของเจ้าก็ได้” จินซานยกมือยอมแพ้ ชักจะมองเห็นอนาคตหลังแต่งงานของตนเองรางๆ ที่เขาหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่นะ

       จ้าวลี่จ้งมองท่าทางจนใจของจินซานพานยิ้มพึงใจ มือหนาตบหน้างามเบาๆ เชิงหยอกล้อ “เยี่ยม หวังว่าจากนี้ไปเราจะอยู่ร่วมกันด้วยดีนะซานเอ๋อร์”

       ซานเอ๋อร์?

       "..." จินซานผู้ถูกบังคับให้กลืนยาขม

[1] เซาปิ่ง หรือขนมแป้งทอด เป็นขนมโบราณของคนจีนยัดไส้ด้วยถั่วเหลืองหรือเผือกกดเป็นแผ่นแบนแล้วนำไปทอด

[2] พานอัน (潘安) เป็นนักปราชญ์ที่เกิดในสมัยจิ้นตะวันตก ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 18

    ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 19

    จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-02
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 20

    ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-03
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 21

    อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-04
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 22

    ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-05
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 23

    หลี่เหยียนเจี๋ยเองก็กำลังหัวเสียพอกัน หลังออกจากที่ประชุมเช้าก็ตรงดิ่งขอเข้าเฝ้าหลี่ไทเฮาทันที “เหนียงเหนียง” “ท่านพี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” “เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเองก็ทรงเข้าร่วมประชุมเช้าเหมือนกัน” “หืมมม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” “คนที่เราวางไว้ในตำหนักอี้ชิ่งคงต้องกำจัดทิ้งแล้ว หากไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมาถึงเราเช่นนี้ แสดงว่าคนพวกนั้นอาจถูกเปิดโปงแล้ว จะเก็บเอาไว้ไม่ได้” “จัดการตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็หาทางสอดเท้าเข้าไปบริหารราชกิจบ้านเมืองได้อยู่ดี ราชสำนักประดุจดั่งบ่อโคลนคอยดูดกลืนผู้คน ผู้ใดโถมตัวลงไปก็มีแต่จะแปดเปื้อนไปทั้งตัวก็เท่านั้น ดีเสียอีกเราจะได้หาทางกำจัดพวกมันได้ง่ายหน่อย ท่านพี่หาทางขัดแข้งขัดขามันเข้าเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการบำรุงร่างกายของเหม่ยเอ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-06
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 24

    เฉินซือหยางกลับจากจวนไท่เว่ยก็เรียกที่ปรึกษาส่วนตัวเข้าร่วมประชุมทันที คนทั้งหมดประชุมกันจนดึกดื่นค่อนคืน จัดทำแผนงานจนรัดกุมดีแล้ว รุ่งเช้าเฉินซือหยางจึงนำเข้าที่ประชุมให้เฉินเทียนอี้ทอดพระเนตร “สำนักป้องกันอัคคีภัยที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะต้องสร้างไว้ใจกลางเมือง โดยเราจะขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางที่ทำการเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย หอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือซึ่งสะดวกต่อการสังเกตทิศทางลม และสัญญาณควัน หากเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์เห็นเพลิงไหม้หรือควันไฟจะรีบตีระฆังแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นทันที ด้านหน้าลูกจะเอาไว้เป็นที่จอดรถม้าสำหรับใช้ขนส่งน้ำ โดยจะต่อตัวรถเป็นถังไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรจุน้ำ เพิ่มจำนวนล้อเพื่อรับน้ำหนักของน้ำและตัวรถเป็นหกล้อ" เฉินซือหยางคลี่แบบแปลนอาคาร และภาพร่างรถขนน้ำประกอบคำอธิบาย "ลูกกลัวว่าตัวรถจะสูงเกินไปทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงตักน้ำลำบากลูกจึงทำท่อระบายน้ำไว้รอบตัวรถจำนวน 40 ท่อเปิดปิดได้สะดวกยิ่ง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟจะได้รองน้ำใส

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-07
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 25

    บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-08

บทล่าสุด

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 89

    หลานซือเยว่อุ้มสิงโตตัวน้อยเข้ามาในห้องบรรทม ใช้ผ้าที่อบจนอุ่นบรรจงเช็ดขนให้เจ้าตัวน้อยอย่างใส่ใจ สวีเฟยหลงถูกภรรยาปรนนิบัติรู้สึกอุ่นสบายไปทั้งตัว นอนหมอบอยู่บนตัก อ้าปากหาวหวอด ซุกไซ้ศีรษะกับต้นขานุ่มหาที่นอน ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาของหลานซือเยว่ “จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ ระวังจะอดกินเนื้อในมื้อค่ำนะเจ้าตัวเล็ก” หลานซือเยว่แกล้งเขี่ยใบหูนิ่มของลูกสิงโตทองเล่น เห็นใบหูเล็กๆ นั่นกระดุกกระดิกหลบหลีกนิ้วมือเรียวไปมา ไหนจะเสียงครางประท้วงคล้ายถูกก่อกวนอย่างหนัก ทำเอาหลานซือเยว่หัวเราะคิกคักชอบใจ “อืมมม เรียกแต่เจ้าตัวเล็กๆ ลืมไปว่าเจ้ายังไม่มีชื่อนี่น่า ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม เอาชื่ออะไรดีนะ” หลานซือเยว่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เก็บมันมาเลี้ยงยังไม่เคยตั้งชื่อให้มันเลย ดวงหน้าหวานซึ้งฉายแววครุ่นคิด ละมือจากใบหูนิ่มไม่ก่อกวนเจ้าสิงโตตัวน้อยอีก สวีเฟยหลงผงกศีรษะมองภรรยาอย่างคาดหวัง ส่งกระแสแห่งรักให้หลินเสวี่ยเฟิ่งไม่ขาดสายด้วยหวังว่าภรรยาจะเรียกชื่อเขาถูก เพราะว่าคะนึงหาเขาอยู่เสมอ ‘อาหลง เสวี่ยเอ๋อร์เรียกข้าว่า อาหลงสิ’ เฉินเทียนอี้ออกมาจ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 88

    ตำหนักข้างฝั่งตะวันออกของตำหนักเยว่ชุนตกอยู่ในวสันตฤดูอันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ช่างแตกต่างกับตำหนักหลักที่ตอนนี้ร้อนระอุราวตกอยู่ในวันที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน เฉินเทียนอี้ปรายตามองภรรยาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสิงโตตัวน้อยมาตลอดทาง ถ้ามันเป็นลูกสิงโตจริงๆ มีหรือที่เขาจะถือสา แต่สิงโตตัวนี้จ้องแต่จะคอยออดอ้อนภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และยังกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ภรรยามันเสียทุกทาง แถมไม่ยอมห่างจากหลานซือเยว่แม้เพียงเสี้ยววินาที แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากจับเจ้าสิงโตจอมเสแสร้งนี่ย่างกินเสียหลายครั้งได้อย่างไร และตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหรือ ก็นั่งแทะโลมนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกของภรรยาเขาอยู่น่ะสิ! ‘เจ้าอยากโดนโยนออกไปนอกห้องนักใช่ไหม’ สวีเฟยหลงนั่งอยู่บนตักหลินเสวี่ยเฟิ่งกำลังไล้เลียนิ้วมือเรียบเนียนของภรรยาเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหยุดชะ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 87

    ขบวนเสด็จออกเดินทางกันมาหกวันหกคืน เดินๆ หยุดๆ กว่าจะถึงตำหนักเยว่ชุนก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่เจ็ด จากปกติหากเดินทางโดยรถม้าจะถึงภายในสองวัน ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันแท้ๆ แต่เพราะบรรดานายท่านทั้งหลายต่างพากันยิงนกตกปลากันไปตลอดทาง ค่ำไหนนอนนั้น แวะมันทุกอำเภอ เส้นทางจากพระราชวังถึงตำหนักเยว่ชุนต้องผ่านทั้งสิ้นห้าอำเภอ สิบสองตำบล ยี่สิบเจ็ดหมู่บ้าน ดีที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่ได้ตามพระทัยว่าที่พระชายาและคุณชายหลินมากจนเกินขอบเขต หากตามใจกันขึ้นมาจริงๆ โดยการแวะมันทุกหมู่บ้านตามคำเสนอแนะของว่าที่พระชายาแล้วละก็ คาดว่าคงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หลังจากต้องนั่งรถม้าวนรอบภูเขาสูงหลายสิบรอบจนเวียนหัวตาลายในที่สุดยอดอาชาทั้งแปดตัวที่ใช้ลากรถม้าก็นำพาบรรดาเจ้านายของมันมาถึงตำหนักเยว่ชุน “ว้าว! สวยสุดๆ ไปเลย” จ้าวลี่หมิงอุทาน ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตำหนักหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงชันเปล่งประกายสีขาวนวลเจิดจรัสท

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 86

    ม่านหมอกหนาทึบอัดแน่นไปด้วยไอวิเศษยังคงปกคลุมดินแดนเร้นลับในทุกอณูพื้นที่ กดดันให้ผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้หายใจอย่างยากลำบาก เพราะหากสูดรับเอาไอปราณเข้มข้นเหล่านี้มากเกินไปร่างกายอาจระเบิดเอาได้ง่ายๆ เงาร่างในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองมหานทีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชืด สวีหนิงหลงพยายามกำหนดลมหายใจไม่ให้ตนเองสูดรับไอวิเศษเข้าไปมากเกินไป หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากเทียนตี้ให้ออกมาตามหาร่องรอยของสวีเฟยหลง เขาก็นำกำลังพลตรงดิ่งมายังดินแดนเร้นลับโดยไม่รอช้า หลังจากค้นหากันอยู่นาน พวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางดินแดนเร้นลับ นั่นก็คือ ทะเลมหาธาตุแห่งจินหลิงในหุบเขาเร้นเมฆา ริ้วคลื่นในมหานทีเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้กระนั้น หรือมีบางอย่างทำให้พวกมันหวาดกลัวจนต้องหลบลี้จากที่แห่งนี้กันแน่

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 85

    จ้าวลี่หมิงมองสิงโตทองตัวน้อยตาละห้อย อิจฉาหลินเสวี่ยเฟิ่งขั้นสุดจนลำไส้เขียว อยากเป็นเจ้าของสิงโตทองตัวนี้แทบขาดใจ นี่มันสิงโตทองเชียวนะ สิงโตทอง! สิงโตขาวว่าหาได้ยากแล้วยังสามารถพบเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งคราว แต่สิงโตทองตัวนี้คงหายากระดับตำนาน ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีตัวที่สองโผล่มาให้เห็นอีกหรือไม่ จ้าวลี่หมิงเช็ดไม้เช็ดมือที่มีเหงื่อผุดซึมกับชายผ้าด้วยความตื่นเต้น แอบเอื้อมอุ้งมือมารมาลูบหัวสิงโตตัวน้อยที่นั่งยืดอกเชิดหน้าราวกับพญาราชสีห์บนฝ่ามือของหลินเสวี่ยเฟิ่ง แต่กลับถูกเฉินเทียนอี้หิ้วแผงคอเจ้าตัวเล็กตัดหน้าไปเสียก่อน เฉินเทียนอี้พิจารณาลูกสิงโตตรงหน้าอย่างละเอียด ยามนัยน์ตาคมเข้มสบเข้ากับดวงตาสีนิลคมวาวแฝงแววท้าทายอย่างเปิดเผยนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้ฉุนกึก สวีเฟยหลงส่งรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้เหนือกว่าให้เฉินเทียนอี้ ชายหนุ่มแสร้งเลียอุ้งเท้าน้อยๆ ของตัวเองอย่างสบายอกส

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 84

    ขบวนเสด็จเดินทางมาถึงศาลาสิบลี้ ในบรรดาขุนนางจากสามฝ่ายหกกรมมีทั้งเสนาบดี รองเสนาบดีจากทุกฝ่าย หานจางหมิ่นเองก็มาร่วมส่งเสด็จด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้อื่นมองข้ามไปล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ รวมถึงผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านภายในรถม้าพระที่นั่งผู้นั้นตลอดทางเขาคอยสังเกตบุคคลปริศนาตลอดเวลาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นชัดว่าตอนที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามากล่าวลาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับหานจางหมิ่น ผู้ใดกันที่มีความสำคัญต่อเฉินเทียนอี้ถึงเพียงนี้ ขนาดให้เท้าลงมาสัมผัสพื้นดินยังไม่ยินยอม หานจางหมิ่นได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ รอจนพิธีส่งเสด็จเป็นที่เรียบร้อยค่อยสั่งความคนสนิทข้างกายเสียงขรึม “ไปสืบความเป็นมาของผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมาให้ละเอียด” &nbs

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 83

    จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 82

    แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 81

    สายลมยามดึกพัดผ่าน เปลวเทียนในตำหนักหยางซินพลิ้วไหวทำให้ภายในห้องบรรทมสลัวราง มือเรียวบิดผ้าหมาดชื้นเช็ดไปตามโครงหน้าคมเข้มด้วยความห่วงใย ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เช้าบัดนี้กลับมีการขยับไหว แม้เพียงนิดแต่หลานซือเยว่ซึ่งดูแลมาหลายชั่วยามย่อมจับสังเกตได้ เฉินเทียนอี้รู้สึกถึงความเปียกชื้นลืมตาตื่นในที่สุด ดวงตาลอยคว้างไร้จุดหมายเพียงครู่รูม่านตาก็หดแคบภาพดวงหน้างดงามคล้ายภรรยาของหลินเสวี่ยเฟิ่งลอยอยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินเทียนอี้ที่ยังมึนงงอยู่ได้สติกลับมา “เสี่ยวเทียน ท่านฟื้นแล้ว!” หลานซือเยว่เรียกชายหนุ่มอย่างดีใจ รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวเฉินเทียนอี้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะรินน้ำชาอุ่นๆ ให้ชายหนุ่มจิบแก้กระหาย “มา ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เฉินเทียนอี้มองหลานซือเยว่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน สายตาลึกล้ำหนักอึ้งราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนจมหายลงไปในความมืดมิดนั้นหลับลง

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status