อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี
ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง
“นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว
“เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที
“อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า”
“ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน
“เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้งหยกพกคู่กาย ไม่ใช่ว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงคือพระชายาที่องค์รัชทายาทหมายตาไว้หรอกหรือ”
“ไอ้หยา!! แบบนี้ราชวงศ์ของเราคงสูญสิ้นแล้วแน่ๆ ใครจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากนี้เล่า” ผู้เฒ่าหลู่เริ่มร้อนใจ ฮ่องเต้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้สืบเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียว องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุรุษเช่นนี้ วันหน้าคงสิ้นไร้ทายาท ศึกแย่งชิงบัลลังก์ต้องเกิดขึ้นอีกแน่
“เจ้าจะห่วงเรื่องนี้ไปไย ในวังหลวงมีสาวงามถึงสามพันนาง ยังห่วงว่าผู้อื่นจะไม่มีทายาทอีกหรือ เรื่องที่ข้าอยากรู้คือรูปโฉมของบุตรชายเจิ้งกั๋วกงต่างหากเล่า ได้ยินว่างามยิ่งกว่าพานอัน[2] มันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่” เหล่าจูตบโต๊ะพูดถึงประเด็นสำคัญที่เขาสนใจ ใครจะครองบัลลังก์ไม่เห็นเกี่ยวกับชาวบ้านตาดำๆ หาเช้ากินค่ำเช่นเขา
“เรื่องนี้ข้ารู้ ได้ยินว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงเกิดมาหน้าตาเหมือนมารดายิ่ง เรื่องรูปโฉมรับรองได้เลยว่าเลิศล้ำเหนือผู้ใดในแผ่นดิน” พ่อค้าเซาปิ่งยืดอกการันตีเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำเอาเหล่าจูและเหล่าหลู่รีบยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถาม
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีมูลเหตุ กู้ฟางเหนียงมารดาของเขาคือโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งเมืองผิงอาน แล้วบุตรชายที่นางคลอดออกมาจะด้อยไปกว่านางได้อย่างไร”
“ข้าว่าตรรกะเจ้าเพี้ยนนะ ไม่ใช่ว่าบุตรชายของกู้ฟางเหนียงต้องหน้าตาหล่อเหลาสมชายชาตรีหรอกหรือ บุตรสาวของนางต่างหากถึงจะเรียกว่างดงาม”
“แสดงว่าพวกเจ้ายังไม่เคยเห็นบุตรสาวตระกูลจ้าวน่ะสิ แต่ละคนหน้าตาโขกออกมาจากเจิ้งกั๋วกงทั้งนั้น มีเพียงบุตรชายผู้นี้นี่แหละที่หน้าตาเหมือนมารดา อันว่าบุตรสาวเหมือนพ่อ บุตรชายเหมือนแม่เป็นผู้มีวาสนาสูงส่ง นี่อย่างไรเล่าอายุไม่เท่าไหร่ยังถูกตาต้องใจองค์รัชทายาทได้ อนาคตไม่ใช่ว่าที่ชายาองค์รัชทายาทแล้วจะเป็นกระไรได้”
“งั้นที่เขาลือกันว่าถึงขั้นมอบของแทนใจให้กันแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ” เหล่าจูกระซิบถามเสียงค่อย
“เรื่องจริง"
“ฮา!” ผู้เฒ่าทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน
“จุ๊ๆ วาสนาคนเรานี่นะ ถ้าข้ามีบุตรชายแบบเจิ้งกั๋วกงสักคนได้ก็ดีนะซี้ เผื่อองค์รัชทายาทจะชอบพอบุตรชายของข้าบ้าง” เหล่าหลู่รำพึงรำพัน อิจฉาในโชควาสนาของผู้อื่น
“เหอะ เลิกฝันกลางวันเถอะน่า ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินยังพอมีหวังร่ำรวยขึ้นมาบ้าง นี่เหล่าจู ถ้าเจ้าอยากเห็นรูปโฉมบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงไม่ลองไปเดินขายถังหูลู่แถวถนนตะวันออกดูเล่า” พ่อค้าขายเซาปิ่งกระซิบบอก
“นั่นมันย่านของชนชั้นสูงไม่ใช่หรือ ข้าไปเดินแถวนั้นจะไม่โดนทหารเฝ้าประตูจวนพวกนั้นกวาดออกมาอีกรึ” เหล่าจูก้มมองชุดเก่าโทรมเต็มไปด้วยรอยปะชุนของตนเอง เขาเคยมีประวัติถูกชนชั้นสูงจับโยนออกมาไม่ให้ไปเกะกะหน้าจวน ผู้เฒ่าจูจึงฝังใจไม่ไปเยือนถนนฝั่งตะวันออกของเมืองอีกเลย
“ไปเถอะน่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก ไม่แน่นะเจ้าอาจได้ข่าวดีข่าวเด็ดมาเล่าสู่พวกข้าฟังอีกก็ได้” พ่อค้าขายเซาปิ่งยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย ผู้เฒ่าจูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัวและหัวใจ สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะทุกอย่าง จึงพยักหน้ารับคำพ่อค้าขายเซาปิ่งแล้วตรงดิ่งไปยังถนนตะวันออก
จวนไท่เว่ยตกเป็นที่พูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง วันนี้กำลังเปิดประตูต้อนรับการมาเยือนของรองเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ จินซานกลับเรือนด้วยความหนักอกหนักใจในวันนั้น วันนี้มาเยือนจวนไท่เว่ยอีกครั้งพร้อมแม่สื่อชื่อดังของเมืองหลวง
รถม้าคันใหญ่จอดเทียบหน้าประตูใหญ่จวนไท่เว่ย จินซานในชุดขุนนางขั้นสามเต็มยศประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินลงจากรถม้า
“ทางเดินลำบากหรือไม่เจ้าคะ” กู้ฟางเหนียงนำขบวนสาวใช้คอยต้อนรับขับสู้ ฮูหยินผู้เฒ่าจินได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นก็รู้สึกเกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“ไม่ลำบากๆ เป็นยายแก่อย่างข้าต่างหากที่ทำให้ไท่เว่ยฮูหยินต้องลำบากรอแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าจินตบมือเรียวบางของกู้ฟางเหนียงขณะเข้ามาประคองตนเบาๆ
กู้ฟางเหนียงเห็นแบบนั้นก็ให้ยิ้มแย้มกว้างขึ้น ตอนได้รับเทียบเชิญขอเข้าพบเพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมายจากจินซาน นางยังนึกว่าตนเองฝันไปเสียอีก โชคดีหล่นลงมาจากฟ้าหาบุตรเขยได้โดยไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเช่นนี้กู้ฟางเหนียงจะไม่ยินดีได้อย่างไร ยิ่งได้เห็นรูปร่างหน้าตาอันสุภาพอ่อนโยนราวกับหยกของว่าที่บุตรเขยแล้ว กู้ฟางเหนียงยิ่งคึกคักราวกับฉีดเลือดไก่
“เชิญฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปนั่งดื่มชาพูดคุยกันด้านในเถิดเจ้าค่ะ” กู้ฟางเหนียงเชื้อเชิญ ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนเข้าไปด้านในจวน
เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าจูคนขายถังหูลู่ผู้กะมายลโฉมคนงามโดยเฉพาะ
“ไอ้หยา! มีเรื่องให้เล่าอีกแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจูเลยเตร็ดเตร่ขายถังหูลู่หาคนพูดคุยเรื่องนี้ด้วยตลอดทั้งเช้า
“เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
กู้ฟางเหนียงประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินนั่งลงสนทนากันในห้องโถงหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวและฮูหยินผู้เฒ่าจินอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงพูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก แม่สื่อเองก็ร่วมวงพูดจาสรรเสริญเยินยอกันไปยกหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็แลกเทียบดวงชะตากันอย่างราบรื่นบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบาน
จินซานปลีกตัวออกมาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้เป็นธุระของญาติผู้ใหญ่ ส่วนตนเองก็เดินชมทิวทัศน์บริเวณสวนท้อด้านหลังจวนไปพลางๆ
“ไม่นึกว่าท่านจะเป็นคนมีสัจจะผู้หนึ่ง” จ้าวลี่จ้งเอ่ยทักจินซาน หลังจากเห็นชายหนุ่มนั่งเหม่อในศาลาแปดเหลี่ยมมาสักพักหนึ่งแล้ว
“คุณหนูจ้าว” จินซานคารวะ ไม่แปลกใจที่เห็นหญิงสาวที่นี่ ข่าวเรื่องที่เขาพาแม่สื่อมาสู่ขอคงรู้ถึงหูนางแล้ว
“อย่าพูดจาห่างเหินกันอยู่เลยน่า ถึงอย่างไรก็ใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว เรียกข้าว่าอาจ้งเถอะ” จ้าวลี่จ้งนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายอย่างสง่าผ่าเผย มือหยาบกร้านผิดสตรีรินชาให้บุรุษตรงหน้าด้วยตัวเอง
“อาจ้ง” จินซานเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา "มาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ" ใบหน้างดงามคล้ายอิสตรีมองประเมินจ้าวลี่จ้ง ไม่รู้ว่านางมาพูดคุยกับเขาเพราะต้องการอะไรอีก
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่อยากตกลงกับท่านนิดหน่อย ไหนๆ เราก็ล่มหัวจมท้ายกันแล้ว ท่านเองก็รู้ว่าเราสองคนจะแต่งงานกันด้วยเหตุใด ข้าต้องการให้ที่บ้านเลิกวุ่นวายใจกับเรื่องออกเรือนของข้า ส่วนท่านเพราะอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ ก็ดี หรือเพื่อผลประโยชน์ในวันหน้าก็ช่าง ข้ามีข้อเรียกร้องจากท่านเพียงข้อเดียว ท่านจะให้ข้าได้หรือไม่” จ้าวลี่จ้งไม่มัวอ้อมค้อมเอ่ยจุดประสงค์ออกมาตามตรง นางไม่เชื่อหรอกว่าการพบกันครั้งก่อนเป็นเรื่องบังเอิญ อีกฝ่ายเป็นถึงปั๋งเหยี่ยนไม่ใช่คนโง่งมโดยแท้ เขาอุตส่าห์เข้าหานางอย่างแนบเนียนปานนี้ จะไม่ให้นางผลักเรือตามน้ำได้อย่างไร
“ลองเอ่ยมาก่อนสิ” สายตาลุ่มลึกจ้องมองหญิงสาวด้วยความสนอกสนใจขึ้นกว่าครั้งก่อน จินซานเลิกเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนใสซื่อ ดวงหน้าสวยยิ้มร้าย บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
จ้าวลี่จ้งมุมปากกระตุก นั่นไง! พวกบัณฑิตนอกจากมีความรู้เต็มท้องแล้วยังเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเป็นที่หนึ่งดั่งที่ท่านพ่อว่าจริงๆ ด้วย
“ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่แค่คนเดียว ข้าเองก็หวังว่าท่านจะมีแค่ข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเช่นกัน”
“เหตุใดข้าต้องรับปากเจ้าด้วยล่ะ” จินซานเล่นลิ้น เท้าคางมองใบหน้าอีกฝ่าย หยอกเย้าจ้าวลี่จ้งเล่น
“ที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวท่านเอง ท่านไม่เห็นว่าข้าหวังดีหรอกหรือ” จ้าวลี่จ้งชักกระบี่คมกริบออกมาปักบนโต๊ะหินอ่อนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาจินซานผงะตกใจแทบตกเก้าอี้
“มะ... มีอะไรค่อยๆ คุยกันดีหรือไม่”
“ข้าก็กำลังขอร้องท่านด้วยความสุภาพอยู่นี่อย่างไรเล่า” จ้าวลี่จ้งบอกหน้าตาย ขัดกับท่าทางเท้าเอวเอาเท้าเหยียบเก้าอี้ราวกับนักเลงอันธพาล ไหนจะกระบี่คมกริบที่แกว่งไปแกว่งมาตรงกลางโต๊ะหินอีก แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่านางกำลัง ‘ขอร้อง’ เขาอยู่ ไม่ใช่ ‘ข่มขู่คุกคาม’
“แต่ว่าท่าทางของเจ้ามัน...”
“ท่าทางของข้ามันอย่างไรหรือ หืมมม” จ้าวลี่จ้งยืนค้ำร่างสูงโปร่ง ชะโงกใบหน้าคมเข้มแทบชิดใบหน้าหวานของจินซาน ชายหนุ่มเอนตัวหนีอย่างจนมุม สุดท้ายก็จำต้องยอมรับปากหญิงสาว
“ก็ได้ๆ ข้ายอมทำตามข้อเสนอของเจ้าก็ได้” จินซานยกมือยอมแพ้ ชักจะมองเห็นอนาคตหลังแต่งงานของตนเองรางๆ ที่เขาหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่นะ
จ้าวลี่จ้งมองท่าทางจนใจของจินซานพานยิ้มพึงใจ มือหนาตบหน้างามเบาๆ เชิงหยอกล้อ “เยี่ยม หวังว่าจากนี้ไปเราจะอยู่ร่วมกันด้วยดีนะซานเอ๋อร์”
ซานเอ๋อร์?
"..." จินซานผู้ถูกบังคับให้กลืนยาขม
[1] เซาปิ่ง หรือขนมแป้งทอด เป็นขนมโบราณของคนจีนยัดไส้ด้วยถั่วเหลืองหรือเผือกกดเป็นแผ่นแบนแล้วนำไปทอด
[2] พานอัน (潘安) เป็นนักปราชญ์ที่เกิดในสมัยจิ้นตะวันตก ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน
ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  
หลี่เหยียนเจี๋ยเองก็กำลังหัวเสียพอกัน หลังออกจากที่ประชุมเช้าก็ตรงดิ่งขอเข้าเฝ้าหลี่ไทเฮาทันที “เหนียงเหนียง” “ท่านพี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” “เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเองก็ทรงเข้าร่วมประชุมเช้าเหมือนกัน” “หืมมม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” “คนที่เราวางไว้ในตำหนักอี้ชิ่งคงต้องกำจัดทิ้งแล้ว หากไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมาถึงเราเช่นนี้ แสดงว่าคนพวกนั้นอาจถูกเปิดโปงแล้ว จะเก็บเอาไว้ไม่ได้” “จัดการตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็หาทางสอดเท้าเข้าไปบริหารราชกิจบ้านเมืองได้อยู่ดี ราชสำนักประดุจดั่งบ่อโคลนคอยดูดกลืนผู้คน ผู้ใดโถมตัวลงไปก็มีแต่จะแปดเปื้อนไปทั้งตัวก็เท่านั้น ดีเสียอีกเราจะได้หาทางกำจัดพวกมันได้ง่ายหน่อย ท่านพี่หาทางขัดแข้งขัดขามันเข้าเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการบำรุงร่างกายของเหม่ยเอ
เฉินซือหยางกลับจากจวนไท่เว่ยก็เรียกที่ปรึกษาส่วนตัวเข้าร่วมประชุมทันที คนทั้งหมดประชุมกันจนดึกดื่นค่อนคืน จัดทำแผนงานจนรัดกุมดีแล้ว รุ่งเช้าเฉินซือหยางจึงนำเข้าที่ประชุมให้เฉินเทียนอี้ทอดพระเนตร “สำนักป้องกันอัคคีภัยที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะต้องสร้างไว้ใจกลางเมือง โดยเราจะขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางที่ทำการเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย หอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือซึ่งสะดวกต่อการสังเกตทิศทางลม และสัญญาณควัน หากเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์เห็นเพลิงไหม้หรือควันไฟจะรีบตีระฆังแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นทันที ด้านหน้าลูกจะเอาไว้เป็นที่จอดรถม้าสำหรับใช้ขนส่งน้ำ โดยจะต่อตัวรถเป็นถังไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรจุน้ำ เพิ่มจำนวนล้อเพื่อรับน้ำหนักของน้ำและตัวรถเป็นหกล้อ" เฉินซือหยางคลี่แบบแปลนอาคาร และภาพร่างรถขนน้ำประกอบคำอธิบาย "ลูกกลัวว่าตัวรถจะสูงเกินไปทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงตักน้ำลำบากลูกจึงทำท่อระบายน้ำไว้รอบตัวรถจำนวน 40 ท่อเปิดปิดได้สะดวกยิ่ง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟจะได้รองน้ำใส
บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง
ดินแดนทางเหนือมีหิมะปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี ป้อมปราการสูงตระหง่านท้าลมพายุ ปุยหิมะโปรยปรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมไปทุกอณูพื้นที่ ถึงภูมิอากาศจะเลวร้าย พืชพรรณธัญญาหารยากเพาะปลูก แต่ชาวบ้านก็ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งไม่คิดจะย้ายถิ่นฐาน เพราะชื่อเสียงของกองทัพตระกูลจ้าวเลื่องลือระบือไกลเป็นที่น่าครั่นคร้ามแก่อริราชศัตรู แม้แม่ทัพใหญ่อย่างจ้าวลี่จิ่นบุตรสาวของจ้าวมู่จะไม่อยู่ประจำการที่กองทัพด่านหน้า แต่แคว้นรอบข้างก็ยังไม่กล้ายกทัพเข้ามารุกราน ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขและปลอดภัย แต่แล้วความสงบสุขก็อันตรธานหายไป “ช่วยด้วย... กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หมู่บ้านเป่ยปิงตกอยู่ในฝันร้ายอันน่าหวาดผวา ศพของผู้คนนอนกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนทั้งเด็ก คนแก่ และสตรีที่ไร้เรี่ยวแรงหลบหนี แม้แต่บุรุษร่างสูงใหญ่ก็ยากจะต้านทานเมื่อต้องสู้กับสิ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณปลายนิ้วปลุกจ้าวลี่หมิงให้ตื่นจากนิทรานัยน์ตาสีน้ำตาลซ่อนประกายมรกตคู่งามสะท้อนภาพดวงหน้าคมเข้มเคล้าคลอมือนิ่ม ริมฝีปากหยักจุมพิตนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม “ตื่นแล้วหรือ ข้ากวนเจ้า?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แฝงประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ “ท่านพึ่งรู้ตัวหรือ” จ้าวลี่หมิงหลบสายตา ชักมือหนีคนตัวโตทั้งใบหูแดงระเรื่อแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น หนำซ้ำยังโดนคนหน้าหนาจูบหลังมือนุ่มหนักๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “อย่าซนสิ! ตอนนี้ยามใดแล้ว” “เพิ่งยามเฉิน[1] เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินซือหยางนอนทอดหุ่ยสบายอารมณ์ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเขาหยุดว่าราชการหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาตัวน้อย โยนภาร
ตำหนักบูรพาอบอวลไปด้วยความสุข ถึงแม้องค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของงานจะปลีกตัวออกไปตั้งแต่ต้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายในการประจบประแจงจึงเบนเข็มมายังเฉินเทียนอี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างดาหน้าเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสาย ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิ่งอึดอัดนิดหน่อย “เสี่ยวเทียนข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะ” “ถ้าเจ้าเบื่อเรากลับกันเลยไหม” “อย่าดีกว่า ท่านคอยรับรองแขกแทนหยางเอ๋อร์เถอะ ข้าไปไม่นานหรอก” หลินเสวี่ยเฟิ่งตบหลังมือหนาเบาๆ แล้วปลีกตัวออกมาจากงาน โดยมีหวังกงกงตามรับใช้ใกล้ชิด หลินเสวี่ยเฟิ่งเหม่อมองตำหนักหลักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของบุตรชาย เทียนมงคลสาดแสงสีแดงสลัวราง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบต่างจากงานพิธี ณ ลานหน้าตำหนักโดยสิ้นเชิง หลินเสวี่ยเฟิ่งยิ้มบาง แ
“ดีหรือไม่” เฉินซือหยางกระซิบถามเสียงพร่า ร่างหนาล้มตัวลงนอนทาบทับร่างโปร่งบาง กกกอดจ้าวลี่หมิงไว้ในอ้อมแขน ไม่ยอมถอดถอนตัวตนออกจากโพรงเนื้อนุ่มแม้เพียงชั่วขณะอยากจะซุกซบอยู่ในแอ่งอุ่นนี้ตราบนานเท่านาน “ยอดเยี่ยมที่สุด” จ้าวลี่หมิงถอนหายใจอย่างอิ่มเอม มือเรียวลูบไล้อกแกร่งเล่น ก่อนที่มือซุกซนจะเลื่อนไถลลงต่ำวนเวียนแถวๆ มัดกล้ามเป็นลอนงามเหนือหน้าท้องแกร่ง เล่นเอาไฟสวาทของเฉินซือหยางลุกโหมขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ลำกายแข็งชันเหยียดขยายช่องทางรักจนจ้าวลี่หมิงรู้สึกได้ “อีกครั้งนะ” เฉินซือหยางอ้อนเสียงพร่า มือหนาเริ่มยุ่มย่ามกับผิวเนื้อนวลเนียนชื้นเหงื่อให้สัมผัสลื่นมือ ตุ่มไตสีหวานตัดกับผิวขาวบางกระเพื่อมไหวตามการหายใจของจ้าวลี่หมิงยั่วเย้าให้ลมหายใจของคนร่างสูงหอบหนัก กระหายอยากคนร่างบางจนหน้ามืด “ไม่เอา เหนียว
จ้าวลี่หมิงถูกอุ้มเข้าห้องหอ หลังจากท่านพ่อท่านแม่ของเขาเข้ามาทำพิธีปูเตียงให้เรียบร้อย เขาก็ได้แต่นั่งรออย่างสงบอยู่ภายในห้อง “ข้าจะออกไปต้อนรับแขกสักครู่ หากเจ้าหิวก็ทานก่อนได้เลยไม่ต้องรอข้า” เฉินซือหยางจูบหน้าผากอิ่มเนิ่นนานค่อยผละจากคนร่างเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์ “ดูแลพระชายาให้ดี” “เพคะ” สาวใช้ประจำเรือนช่านไฉ่ทั้งสี่ตามมารับใช้จ้าวลี่หมิงด้วยรับคำโดยพร้อมเพรียง รอจนร่างสูงของเฉินซือหยางเดินจากไป จ้าวลี่หมิงก็โบกมือไล่เหล่าสาวใช้ “พวกเจ้าออกไปเถอะ หากมีอะไรแล้วข้าจะเรียก” “เพคะ” พอได้อยู่คนเดียวภายในห้องจ้าวลี่หมิงก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาพักผ่อนร่างกายให้คลายจากอาการเมื่อยขบ หลังจากยืนเกร็งอยู่เป็นนานในงานพิธี
เฉินซือหยางกอดรัดร่างบางแนบแน่น ฝ่ามือลูบไล้แผ่นหลังเล็ก บรรยากาศอ่อนหวานโอบล้อมคนทั้งคู่คงจะดีถ้าไม่มีกลิ่นดอกเหมยหอมกรุ่นก่อกวนจมูกโด่งคม ไหนจะเนื้อตัวนุ่มนิ่มคอยบดเบียดอยู่ในอ้อมแขนนี้อีกเล่า ยั่วเย้าจนอะไรต่อมิอะไรของเขาผงาดกล้า “บ้าเอ๊ย! อยากเข้าหอชะมัด พวกเราข้ามขั้นตอนเลยดีไหม” ฟองอากาศแห่งความสุขลอยละล่องอยู่รอบกายแตกโพละเพราะคำพูดของชายหนุ่ม “บ้า! มันใช่เวลาไหม” จ้าวลี่หมิงทุบบ่าแกร่ง ดิ้นรนหลีกหนีจากอ้อมแขนของคนไม่รู้กาลเทศะ “อย่าดิ้น อยู่นิ่งๆ ก่อน” เฉินซือหยางสูดลมหายใจระงับอารมณ์เร่าร้อน จ้าวลี่หมิงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหูจนเขารู้สึกวูบไหวไปด้วย คนตัวเล็กเลยหยุดดิ้นนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก รอจนลมหายใจหอบหนักของเฉินซือหยางกลับมาเป็นปกติ ค่อยผลักชายหนุ่มออกเบาๆ