ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง
เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที
“องค์รัชทายาท”
“เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง
“เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ”
“เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบอยู่แล้ว เราเลยอาสาพาหวังกงกงมาด้วยเสียเลย”
หวังกงกงก้าวออกมาค้อมกายคารวะ จ้าวมู่คารวะตอบด้วยสีหน้าฉงน
“ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรจะแจ้งกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จะเรียกว่ามีเรื่องแจ้งกับท่านก็ไม่เชิง เรียกว่ามีเรื่องกับบุตรชายของท่านจะเหมาะกว่า... หวังกงกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้
“พ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงคลี่ราชโองการออกประกาศเสียงดังให้ผู้คนที่มามุ่งดูได้ยินกันถ้วนทั่ว
“จ้าวลี่หมิงรับราชโองการ”
ตระกูลจ้าวตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า กู้ฟางเหนียงสั่งให้บ่าวรับใช้ไปอุ้มคุณชายน้อยมาอย่างรวดเร็ว จ้าวลี่หมิงที่เพิ่งนอนกลางวันได้ไม่นาน พอถูกแม่นมปลุกก็ร้องไห้งอแง น้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะ ใบหน้าอ้วนกลมยับยู่ไม่พอใจเมื่อถูกรบกวนการนอน
เห็นจ้าวลี่หมิงสะอึกสะอื้นไม่หยุด หัวใจของเฉินซือหยางก็เกิดอาการคันยุบยิบราวกับมีแมวน้อยข่วนเกา อยากจะเข้าไปปลอบเด็กน้อยแทนกู้ฟางเหนียงก็ได้แต่ข่มใจไว้
จ้าวลี่หมิงโยเยอยู่ชั่วครู่ พอถูกหลายคนปลอบโยนจึงหยุดร้องไห้ ดวงหน้าน่ารักน่าเอ็นดูยังคงแดงก่ำเปื้อนหยาดน้ำตามองดูแล้วหัวใจแทบละลายเพราะความน่ารักน่าใคร่ของเด็กน้อย
“จ้าวลี่หมิงรับราชโองการ”
“แอ๊ะ” จ้าวลี่หมิงได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองร้องอ้อแอ้ตอบ กู้ฟางเหนียงจับจ้าวลี่หมิงนั่งคุกเข่ารับราชโองการ
“ลี่หมิงตระกูลจ้าวเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ความสามารถ รูปโฉมงดงามน่าใคร่ ชาติกำเนิดสูงส่งเหมาะแก่การดำรงตำแหน่งชายาองค์รัชทายาท เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ปวงประชา จึงพระราชทานสมรสให้แก่โอรสของเราเฉินซือหยางกับจ้าวลี่หมิง ประกาศต่อฟ้าดินให้รับรู้ ขอให้ทั้งสองครองคู่กันยาวนาน ร่วมกันสืบทอดแผ่นดินต้าเฉินของเราให้รุ่งเรืองสืบไป จบราชโองการ”
เกิดความเงียบอันยาวนานขึ้นหลังจากหวังกงกงประกาศราชโองการจบ กู้ฟางเหนียงบีบข้อมือจ้าวมู่แน่นจนขึ้นข้อขาว ราชโองการที่ประกาศออกมาเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจผู้เป็นมารดาอย่างนาง อนาคตของบุตรชายจะต้องผูกติดกับองค์รัชทายาท หากรุ่งโรจน์ก็จะรุ่งโรจน์ไปด้วยกัน แต่ถ้าหากว่าไม่เล่า...
กู้ฟางเหนียงเนื้อตัวสั่นสะท้าน นึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ วังหลวงที่กลืนคนไม่คายกระดูกแห่งนั้น บุตรชายของนางจะไปอยู่ได้อย่างไร
“ท่านพี่”
จ้าวมู่ตบหลังมือปลอบคู่ชีวิตเบาๆ ก้าวออกไปรับราชโองการแทนบุตรชายด้วยหัวใจหนักอึ้ง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อยังมีของหมั้นหมายมามอบให้เจิ้งกั๋วกงด้วย เชิญเจิ้งกั๋วกงตรวจดู” เฉินซือหยางรับม้วนผ้ามาจากหวังกงกงส่งต่อให้จ้าวมู่ พอคลี่ออกดูม้วนผ้าก็ทิ้งตัวยาวเหยียด รายการของหมั้นหมายมีตั้งแต่ไข่มุกราตรีหลายร้อยหีบ ผ้าแพรไหมเนื้อดีหลายพันพับ เครื่องประดับหยก กวานหยก ทองคำ เครื่องเงินล้วนมีครบ สายคาดเอว รองเท้าหนังกวาง เสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินหายาก ผ้าห่มลายนกยวนยางคู่ ผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน โต๊ะ ตู้ ตั่งเตียงที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีชาบรรณาการ สุราบ่มร้อยปี กระดานหมากล้อมที่ทำมาจากหยกเหอเถียนน้ำงาม เงินตำลึง ตั๋วเงิน ที่ดิน ไร่นา ของเล่นแปลกตา ของสะสมหายากอย่างภาพวาด อักษรภาพของยอดกวี หรือคัมภีร์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อน สุ่มหยิบชิ้นไหนก็ล้วนแล้วแต่มีค่าควรเมือง
หีบหลายร้อยพันหีบถูกยกเข้าจวนไท่เว่ยหีบแล้วหีบเล่า แทบจะตั้งท้องพระคลังหลวงที่จวนไท่เว่ยได้อีกแห่ง ทำเอาชาวบ้านที่มามุ่งดูล้วนได้เปิดหูเปิดตากับความหรูหราร่ำรวยของชนชั้นสูง
“เชิญองค์รัชทายาทเข้าไปเสวยสุธารสชาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่กวาดตามองรายการของหมั้นหมายอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเชื้อเชิญเฉินซือหยางเข้าไปพูดคุยกันด้านใน เฉินซือหยางพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจยิ่ง
“ต้องขอรบกวนแล้ว ชีชีเราไปเล่นด้วยกันเถอะ” เฉินซือหยางยอบกายพูดคุยกับเด็กน้อย จ้าวลี่หมิงจำเสียงของอีกฝ่ายได้เลยเดินเตาะแตะเข้าไปหาเฉินซือหยาง สร้างความตกตะลึงให้กับคนตระกูลจ้าวทั้งตระกูล เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวลี่หมิงเริ่มหัดเดิน แต่ทำไมถึงเดินไปหาคนอื่นด้วยเล่า
จ้าวมู่หน้าดำเป็นก้นหม้อ ตอนแรกหนักใจเรื่องสมรสพระราชทานของบุตรชาย ตอนนี้ต้องมาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความอิจฉาริษยาเฉินซือหยาง ทำไมคนที่บุตรชายเดินไปหาคนแรกไม่เป็นเขา ทำไมต้องเป็นเจ้าเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ด้วย! นี่สินะที่เขาบอกว่า บุตรพอแต่งออกไปก็เหมือนน้ำถูกสาดทิ้ง เห็นคนอื่นดีกว่าบิดา!!
จ้าวลี่หมิงไม่รู้ตัวว่าได้ทำร้ายจิตใจของผู้เป็นบิดาอย่างแสนสาหัส โผเข้าสู่อ้อมแขนของเฉินซือหยาง เด็กน้อยจับใบหน้าอวบยุ้ยเหมือนตัวเองด้วยความอยากรู้อยากเห็น บีบไปบีบมาจนองค์รัชทายาทหน้าตาบู้บี้
หวังกงกงถึงกับเหงื่อตกแทนเด็กน้อย แต่เฉินซือหยางซึ่งปกติเป็นคนหยิ่งทะนงและถือตนยิ่งนักกลับหัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น ทำเอาหวังกงกงที่เห็นเฉินซือหยางมาตั้งแต่เด็กอดแปลกใจไม่ได้ คงจะจริงอย่างที่จางกงกงบอกว่าองค์รัชทายาททรงโปรดปรานจ้าวลี่หมิงด้วยใจจริง
“ชีชีคิดถึงข้าหรือไม่”
“แอ๊” จ้าวลี่หมิงตบหน้าเฉินซือหยางแปะๆ ริมฝีปากเล็กดูดแก้มเฉินซือหยางด้วยความหิวจนน้ำลายยืด ทำเอาผู้คนในบริเวณนั้นตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน ถึงกับกล้ากระตุกหนวดมังกรเล่น ความกล้าหาญของคุณชายจ้าวช่างน่านับถือโดยแท้
เฉินซือหยางหัวเราะเบาๆ ด้วยความจั๊กจี้ อุ้มเด็กน้อยเดินเข้าจวนไท่เว่ยราวกับเป็นตำหนักของตนเอง “ห้องของชีชีอยู่ไหนหรือ” เขาหยุดถามคนตระกูลจ้าว ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องของจ้าวลี่หมิงตามการนำทางของกู้ฟางเหนียง
เรือนหลังน้อยท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวันพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แสงทองมลังเมลืองจากดอกไม้สาดประกายไปทั่ว ทำให้เรือนช่านไฉ่แลดูสว่างสดใสสมชื่อ เฉินซือหยางยืนชมผีเสื้อเชยบุปผาร่วมกับจ้าวลี่หมิงชั่วครู่ค่อยย่างกรายเข้าไปในเรือนหลังเล็ก ตรงเข้าไปในห้องนอนของเด็กน้อยโดยไม่รอให้ใครอนุญาต
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะดูแลชีชีเอง”
กู้ฟางเหนียงและจ้าวมู่มองหน้ากันไปมา ดูจากท่าทางขององค์รัชทายาทตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หากปล่อยให้บุตรชายอยู่ด้วยคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง
“พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ”
ทั้งคู่ถอยห่างจากห้องตามพระประสงค์ แต่ก็ยังไม่วายเกาะขอบหน้าต่างแอบมองบุตรชายด้วยความห่วงใย
เฉินซือหยางไม่สนใจพ่อแม่ของเด็กน้อย เขาวางจ้าวลี่หมิงลงบนเตียงอุ่นอย่างเบามือ แต่เด็กน้อยกลับไม่ยอมนั่งดีๆ ลุกขึ้นเกาะคอยื่นหน้ามาจะงับใบหูเขาให้ได้ เฉินซือหยางเลยฟัดแก้มป่องเป็นการเอาคืน จนจ้าวลี่หมิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสนุกสนาน
“นี่แน่ะๆ หิวมาจากไหนหึเรา”
“แอ๊ะ แอ๊” จ้าวลี่หมิงขยุ้มผมนิ่ม ดึงทึ้งไปมาจนองค์รัชทายาทน้อยผู้เคร่งขรึมหมดสภาพ จำต้องยกมือยอมแพ้เด็กน้อยแต่โดยดี
“โอ๊ยๆ ยอมแล้วๆ ปล่อยผมเราก่อนได้หรือไม่ ข้าเอาของกินมาให้เจ้าด้วยนะ นี่ไง” เฉินซือหยางล้วงขนมในแขนเสื้อออกมาล่อ เด็กน้อยจึงยอมปล่อยผมของเขาแต่โดยดี ขนมนี้เขาให้แม่ครัวในห้องเครื่องนำนมวัวกวนผสมกับแป้งข้าวโพดและน้ำผึ้ง แล้วนำมาปั้นเป็นรูปกระต่ายชิ้นเล็กๆ พอดีคำ ซึ่งกระต่ายขาวกลิ่นหอมละมุนนี่เองที่ดึงดูดให้จ้าวลี่หมิงเกาะติดเขามาตั้งแต่ต้น
“มา ข้าป้อนเจ้า อ้า... อ้ำ” เฉินซือหยางส่งกระต่ายน้อยตัวนุ่มเข้าปากจ้าวลี่หมิง เด็กน้อยเคี้ยวกระต่ายรสนมอย่างไร้ความปรานี ท่าทางเอร็ดอร่อยยิ่ง ไม่นานก็เกาะแขนร้องขอขนมจากเฉินซือหยางอีกชิ้น เฉินซือหยางเองก็ไม่อิดออดป้อนเด็กน้อยแต่โดยดี
“อร่อยหรือไม่”
“\(@^0^@)/”
จ้าวลี่หมิงเคี้ยวตุ่ยๆ ไม่ตอบคำ เฉินซือหยางเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กน้อยจะส่งเสียงตอบเขา เด็กชายหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเศษขนมเลอะตรงมุมปากของเด็กน้อยอย่างเอาอกเอาใจ ทั้งยังรินน้ำอุ่นบนโต๊ะไม้ข้างเตียงไว้รอท่าเผื่อจ้าวลี่หมิงสำลัก ท่าทางปรนนิบัติคนเช่นนี้ชำนิชำนาญยิ่งเหมือนเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือครั้งแรกที่เขาปรนนิบัติเอาใจผู้อื่นนอกเหนือจากเสด็จพ่อ
เฉินซือหยางรอจนเด็กน้อยกินอิ่ม ค่อยเช็ดหน้าเช็ดมือให้ พอจ้าวลี่หมิงตาปรือทำท่าจะหลับ เด็กชายจึงจัดการห่มผ้าให้จ้าวลี่หมิง มือป้อมตบก้นนิ่มเบาๆ ฮัมเพลงกล่อมเด็กน้อย กล่อมไปกล่อมมากลายเป็นว่าตัวเองเผลอหลับตามไปด้วยอีกคน เพราะต้องจัดการสะสางราชกิจแทนเสด็จพ่อที่ยังไม่ได้สติอยู่หลายวัน ตกกลางคืนยังต้องคอยปรนนิบัติข้างแท่นบรรทมด้วยความห่วงใยจนไม่มีเวลาพักผ่อนดีๆ สักวัน ทำให้เหนื่อยล้าสะสมทั้งกายทั้งใจ เฉินซือหยางจึงหลับไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นการหลับสนิทโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใดอย่างแท้จริง
ภาพที่ปรากฏในครรลองสายตาตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเอาจ้าวมู่และกู้ฟางเหนียงได้แต่มองหน้ากันไปมา สุดท้ายทั้งคู่จึงปล่อยให้เด็กน้อยนอนกลางวันด้วยกัน เรียกเพียงหวังกงกงและแม่นมมากำชับให้ดูแลเด็กทั้งสองคนให้ดีค่อยเดินจากมา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  
หลี่เหยียนเจี๋ยเองก็กำลังหัวเสียพอกัน หลังออกจากที่ประชุมเช้าก็ตรงดิ่งขอเข้าเฝ้าหลี่ไทเฮาทันที “เหนียงเหนียง” “ท่านพี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” “เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเองก็ทรงเข้าร่วมประชุมเช้าเหมือนกัน” “หืมมม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” “คนที่เราวางไว้ในตำหนักอี้ชิ่งคงต้องกำจัดทิ้งแล้ว หากไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมาถึงเราเช่นนี้ แสดงว่าคนพวกนั้นอาจถูกเปิดโปงแล้ว จะเก็บเอาไว้ไม่ได้” “จัดการตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็หาทางสอดเท้าเข้าไปบริหารราชกิจบ้านเมืองได้อยู่ดี ราชสำนักประดุจดั่งบ่อโคลนคอยดูดกลืนผู้คน ผู้ใดโถมตัวลงไปก็มีแต่จะแปดเปื้อนไปทั้งตัวก็เท่านั้น ดีเสียอีกเราจะได้หาทางกำจัดพวกมันได้ง่ายหน่อย ท่านพี่หาทางขัดแข้งขัดขามันเข้าเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการบำรุงร่างกายของเหม่ยเอ
เฉินซือหยางกลับจากจวนไท่เว่ยก็เรียกที่ปรึกษาส่วนตัวเข้าร่วมประชุมทันที คนทั้งหมดประชุมกันจนดึกดื่นค่อนคืน จัดทำแผนงานจนรัดกุมดีแล้ว รุ่งเช้าเฉินซือหยางจึงนำเข้าที่ประชุมให้เฉินเทียนอี้ทอดพระเนตร “สำนักป้องกันอัคคีภัยที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะต้องสร้างไว้ใจกลางเมือง โดยเราจะขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางที่ทำการเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย หอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือซึ่งสะดวกต่อการสังเกตทิศทางลม และสัญญาณควัน หากเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์เห็นเพลิงไหม้หรือควันไฟจะรีบตีระฆังแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นทันที ด้านหน้าลูกจะเอาไว้เป็นที่จอดรถม้าสำหรับใช้ขนส่งน้ำ โดยจะต่อตัวรถเป็นถังไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรจุน้ำ เพิ่มจำนวนล้อเพื่อรับน้ำหนักของน้ำและตัวรถเป็นหกล้อ" เฉินซือหยางคลี่แบบแปลนอาคาร และภาพร่างรถขนน้ำประกอบคำอธิบาย "ลูกกลัวว่าตัวรถจะสูงเกินไปทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงตักน้ำลำบากลูกจึงทำท่อระบายน้ำไว้รอบตัวรถจำนวน 40 ท่อเปิดปิดได้สะดวกยิ่ง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟจะได้รองน้ำใส
บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย
“ท่านพ่อนี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านพี่ถึงถูกปลดจากตำแหน่งเสนาบดีง่ายดายถึงเพียงนี้ สภาขุนนางฝ่ายเราทำอะไรกันอยู่ ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร” หลี่ย่าเสียงซักถามทันทีที่เห็นหลี่เจียงเดินเข้าประตูตำหนักมา “เหนียงเหนียงประทับบนพระที่นั่งก่อนเถิด เรื่องนี้พ่อหารือกับที่ประชุมลับแล้วคงต้องให้อาเจี๋ยลำบากแบกพุ่มหนามไปขอขมาฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท ทางสภาขุนนางก็รับปากว่าจะถวายฎีกาขออภัยโทษให้ ต้องรอดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” “ขอโทษ? เหตุใดท่านพี่ถึงต้องลดเกียรติลงไปขอโทษพวกมัน” หลี่ย่าเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธ “เหนียงเหนียงยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อีกหรือ ข้อหาขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมืองโทษร้ายแรงนัก อาเจี๋ยยังจงใจขัดขวางการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางนับร้อยในท้องพระโรงถึงสองครั้งสองครา ตอนนี้เรื่องที่อาเจี๋ยไม่เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอยู่ในสายตาถูกลือออกไปทั่วแคว้น ชาวบ้านที่โกรธแค้นต่างก็มารุมปาข้าวของใส่ประตูจวนจนแทบพังลงมา ต่อให้มีร้อยปากตอนนี้เราก็แก้ต่างอะไรไม่ขึ้นแล้ว” หลี่เจียงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก พอเข้าฤดูหนาวสุ
ทางด้านตำหนักปีกข้าง หลังจากเฉินซือหยางเล่นพลิกผ้าห่มกับจ้าวลี่หมิงจนเหนื่อยอ่อน ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กนอนหลับสักงีบ เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วกลัวว่าจ้าวลี่หมิงจะพลาดอาหารมื้อเย็นจึงปลุกเด็กน้อยของเขามาอาบน้ำชำระกาย “ชีชี เย็นมากแล้ว ตื่นเถอะคนดี” “อื้อออ ได้เวลามื้อค่ำแล้วหรือ” จ้าวลี่หมิงงึมงำถาม ปิดปากหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน พลิกตัวไปอีกทางแล้วเอาหน้าซุกผ้าห่ม ตั้งใจว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อย “เด็กขี้เกียจ ลุกขึ้นมาอาบน้ำได้แล้ว” เฉินซือหยางกระซิบชิดใบหูนิ่ม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดริมหูจนจ้าวลี่หมิงขนลุกซู่ไปหมด แล้วแบบนี้เขาจะหลับลงได้อย่างไร “ขี้เกียจอ่ะ หยางหยางอาบให้หน่อยสิ” จ้าวลี่หมิงอ้อนตาปิด แขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งหลวมๆ ร่างกายเหลวกองอยู่บนเตียงนุ่มราวกับไร้กระดูก
หลานซือเยว่อุ้มสิงโตตัวน้อยเข้ามาในห้องบรรทม ใช้ผ้าที่อบจนอุ่นบรรจงเช็ดขนให้เจ้าตัวน้อยอย่างใส่ใจ สวีเฟยหลงถูกภรรยาปรนนิบัติรู้สึกอุ่นสบายไปทั้งตัว นอนหมอบอยู่บนตัก อ้าปากหาวหวอด ซุกไซ้ศีรษะกับต้นขานุ่มหาที่นอน ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาของหลานซือเยว่ “จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ ระวังจะอดกินเนื้อในมื้อค่ำนะเจ้าตัวเล็ก” หลานซือเยว่แกล้งเขี่ยใบหูนิ่มของลูกสิงโตทองเล่น เห็นใบหูเล็กๆ นั่นกระดุกกระดิกหลบหลีกนิ้วมือเรียวไปมา ไหนจะเสียงครางประท้วงคล้ายถูกก่อกวนอย่างหนัก ทำเอาหลานซือเยว่หัวเราะคิกคักชอบใจ “อืมมม เรียกแต่เจ้าตัวเล็กๆ ลืมไปว่าเจ้ายังไม่มีชื่อนี่น่า ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม เอาชื่ออะไรดีนะ” หลานซือเยว่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เก็บมันมาเลี้ยงยังไม่เคยตั้งชื่อให้มันเลย ดวงหน้าหวานซึ้งฉายแววครุ่นคิด ละมือจากใบหูนิ่มไม่ก่อกวนเจ้าสิงโตตัวน้อยอีก สวีเฟยหลงผงกศีรษะมองภรรยาอย่างคาดหวัง ส่งกระแสแห่งรักให้หลินเสวี่ยเฟิ่งไม่ขาดสายด้วยหวังว่าภรรยาจะเรียกชื่อเขาถูก เพราะว่าคะนึงหาเขาอยู่เสมอ ‘อาหลง เสวี่ยเอ๋อร์เรียกข้าว่า อาหลงสิ’ เฉินเทียนอี้ออกมาจ
ตำหนักข้างฝั่งตะวันออกของตำหนักเยว่ชุนตกอยู่ในวสันตฤดูอันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ช่างแตกต่างกับตำหนักหลักที่ตอนนี้ร้อนระอุราวตกอยู่ในวันที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน เฉินเทียนอี้ปรายตามองภรรยาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสิงโตตัวน้อยมาตลอดทาง ถ้ามันเป็นลูกสิงโตจริงๆ มีหรือที่เขาจะถือสา แต่สิงโตตัวนี้จ้องแต่จะคอยออดอ้อนภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และยังกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ภรรยามันเสียทุกทาง แถมไม่ยอมห่างจากหลานซือเยว่แม้เพียงเสี้ยววินาที แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากจับเจ้าสิงโตจอมเสแสร้งนี่ย่างกินเสียหลายครั้งได้อย่างไร และตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหรือ ก็นั่งแทะโลมนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกของภรรยาเขาอยู่น่ะสิ! ‘เจ้าอยากโดนโยนออกไปนอกห้องนักใช่ไหม’ สวีเฟยหลงนั่งอยู่บนตักหลินเสวี่ยเฟิ่งกำลังไล้เลียนิ้วมือเรียบเนียนของภรรยาเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหยุดชะ
ขบวนเสด็จออกเดินทางกันมาหกวันหกคืน เดินๆ หยุดๆ กว่าจะถึงตำหนักเยว่ชุนก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่เจ็ด จากปกติหากเดินทางโดยรถม้าจะถึงภายในสองวัน ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันแท้ๆ แต่เพราะบรรดานายท่านทั้งหลายต่างพากันยิงนกตกปลากันไปตลอดทาง ค่ำไหนนอนนั้น แวะมันทุกอำเภอ เส้นทางจากพระราชวังถึงตำหนักเยว่ชุนต้องผ่านทั้งสิ้นห้าอำเภอ สิบสองตำบล ยี่สิบเจ็ดหมู่บ้าน ดีที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่ได้ตามพระทัยว่าที่พระชายาและคุณชายหลินมากจนเกินขอบเขต หากตามใจกันขึ้นมาจริงๆ โดยการแวะมันทุกหมู่บ้านตามคำเสนอแนะของว่าที่พระชายาแล้วละก็ คาดว่าคงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หลังจากต้องนั่งรถม้าวนรอบภูเขาสูงหลายสิบรอบจนเวียนหัวตาลายในที่สุดยอดอาชาทั้งแปดตัวที่ใช้ลากรถม้าก็นำพาบรรดาเจ้านายของมันมาถึงตำหนักเยว่ชุน “ว้าว! สวยสุดๆ ไปเลย” จ้าวลี่หมิงอุทาน ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตำหนักหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงชันเปล่งประกายสีขาวนวลเจิดจรัสท
ม่านหมอกหนาทึบอัดแน่นไปด้วยไอวิเศษยังคงปกคลุมดินแดนเร้นลับในทุกอณูพื้นที่ กดดันให้ผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้หายใจอย่างยากลำบาก เพราะหากสูดรับเอาไอปราณเข้มข้นเหล่านี้มากเกินไปร่างกายอาจระเบิดเอาได้ง่ายๆ เงาร่างในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองมหานทีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชืด สวีหนิงหลงพยายามกำหนดลมหายใจไม่ให้ตนเองสูดรับไอวิเศษเข้าไปมากเกินไป หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากเทียนตี้ให้ออกมาตามหาร่องรอยของสวีเฟยหลง เขาก็นำกำลังพลตรงดิ่งมายังดินแดนเร้นลับโดยไม่รอช้า หลังจากค้นหากันอยู่นาน พวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางดินแดนเร้นลับ นั่นก็คือ ทะเลมหาธาตุแห่งจินหลิงในหุบเขาเร้นเมฆา ริ้วคลื่นในมหานทีเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้กระนั้น หรือมีบางอย่างทำให้พวกมันหวาดกลัวจนต้องหลบลี้จากที่แห่งนี้กันแน่
จ้าวลี่หมิงมองสิงโตทองตัวน้อยตาละห้อย อิจฉาหลินเสวี่ยเฟิ่งขั้นสุดจนลำไส้เขียว อยากเป็นเจ้าของสิงโตทองตัวนี้แทบขาดใจ นี่มันสิงโตทองเชียวนะ สิงโตทอง! สิงโตขาวว่าหาได้ยากแล้วยังสามารถพบเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งคราว แต่สิงโตทองตัวนี้คงหายากระดับตำนาน ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีตัวที่สองโผล่มาให้เห็นอีกหรือไม่ จ้าวลี่หมิงเช็ดไม้เช็ดมือที่มีเหงื่อผุดซึมกับชายผ้าด้วยความตื่นเต้น แอบเอื้อมอุ้งมือมารมาลูบหัวสิงโตตัวน้อยที่นั่งยืดอกเชิดหน้าราวกับพญาราชสีห์บนฝ่ามือของหลินเสวี่ยเฟิ่ง แต่กลับถูกเฉินเทียนอี้หิ้วแผงคอเจ้าตัวเล็กตัดหน้าไปเสียก่อน เฉินเทียนอี้พิจารณาลูกสิงโตตรงหน้าอย่างละเอียด ยามนัยน์ตาคมเข้มสบเข้ากับดวงตาสีนิลคมวาวแฝงแววท้าทายอย่างเปิดเผยนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้ฉุนกึก สวีเฟยหลงส่งรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้เหนือกว่าให้เฉินเทียนอี้ ชายหนุ่มแสร้งเลียอุ้งเท้าน้อยๆ ของตัวเองอย่างสบายอกส
ขบวนเสด็จเดินทางมาถึงศาลาสิบลี้ ในบรรดาขุนนางจากสามฝ่ายหกกรมมีทั้งเสนาบดี รองเสนาบดีจากทุกฝ่าย หานจางหมิ่นเองก็มาร่วมส่งเสด็จด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้อื่นมองข้ามไปล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ รวมถึงผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านภายในรถม้าพระที่นั่งผู้นั้นตลอดทางเขาคอยสังเกตบุคคลปริศนาตลอดเวลาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นชัดว่าตอนที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามากล่าวลาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับหานจางหมิ่น ผู้ใดกันที่มีความสำคัญต่อเฉินเทียนอี้ถึงเพียงนี้ ขนาดให้เท้าลงมาสัมผัสพื้นดินยังไม่ยินยอม หานจางหมิ่นได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ รอจนพิธีส่งเสด็จเป็นที่เรียบร้อยค่อยสั่งความคนสนิทข้างกายเสียงขรึม “ไปสืบความเป็นมาของผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมาให้ละเอียด” &nbs
จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห
แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม