เฉินซือหยางกลับจากจวนไท่เว่ยก็เรียกที่ปรึกษาส่วนตัวเข้าร่วมประชุมทันที คนทั้งหมดประชุมกันจนดึกดื่นค่อนคืน จัดทำแผนงานจนรัดกุมดีแล้ว รุ่งเช้าเฉินซือหยางจึงนำเข้าที่ประชุมให้เฉินเทียนอี้ทอดพระเนตร
“สำนักป้องกันอัคคีภัยที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะต้องสร้างไว้ใจกลางเมือง โดยเราจะขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางที่ทำการเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย หอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือซึ่งสะดวกต่อการสังเกตทิศทางลม และสัญญาณควัน หากเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์เห็นเพลิงไหม้หรือควันไฟจะรีบตีระฆังแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นทันที ด้านหน้าลูกจะเอาไว้เป็นที่จอดรถม้าสำหรับใช้ขนส่งน้ำ โดยจะต่อตัวรถเป็นถังไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรจุน้ำ เพิ่มจำนวนล้อเพื่อรับน้ำหนักของน้ำและตัวรถเป็นหกล้อ" เฉินซือหยางคลี่แบบแปลนอาคาร และภาพร่างรถขนน้ำประกอบคำอธิบาย
"ลูกกลัวว่าตัวรถจะสูงเกินไปทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงตักน้ำลำบากลูกจึงทำท่อระบายน้ำไว้รอบตัวรถจำนวน 40 ท่อเปิดปิดได้สะดวกยิ่ง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟจะได้รองน้ำใส
บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย
“ท่านพ่อนี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านพี่ถึงถูกปลดจากตำแหน่งเสนาบดีง่ายดายถึงเพียงนี้ สภาขุนนางฝ่ายเราทำอะไรกันอยู่ ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร” หลี่ย่าเสียงซักถามทันทีที่เห็นหลี่เจียงเดินเข้าประตูตำหนักมา “เหนียงเหนียงประทับบนพระที่นั่งก่อนเถิด เรื่องนี้พ่อหารือกับที่ประชุมลับแล้วคงต้องให้อาเจี๋ยลำบากแบกพุ่มหนามไปขอขมาฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท ทางสภาขุนนางก็รับปากว่าจะถวายฎีกาขออภัยโทษให้ ต้องรอดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” “ขอโทษ? เหตุใดท่านพี่ถึงต้องลดเกียรติลงไปขอโทษพวกมัน” หลี่ย่าเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธ “เหนียงเหนียงยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อีกหรือ ข้อหาขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมืองโทษร้ายแรงนัก อาเจี๋ยยังจงใจขัดขวางการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางนับร้อยในท้องพระโรงถึงสองครั้งสองครา ตอนนี้เรื่องที่อาเจี๋ยไม่เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอยู่ในสายตาถูกลือออกไปทั่วแคว้น ชาวบ้านที่โกรธแค้นต่างก็มารุมปาข้าวของใส่ประตูจวนจนแทบพังลงมา ต่อให้มีร้อยปากตอนนี้เราก็แก้ต่างอะไรไม่ขึ้นแล้ว” หลี่เจียงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก พอเข้าฤดูหนาวสุ
วันนี้จวนไท่เว่ยสาดน้ำล้างประตูจวนแต่เช้าตรู่ ก่อนจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัย ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญต่างทยอยมาร่วมดื่มเหล้ามงคลกันอย่างคับคั่ง “ไม่นึกเลยว่าจ้งเอ๋อร์ของเราจะมีวันนี้เช่นกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา ตื้นตันใจเหลือจะกล่าวที่หลานสาวจะมีเหย้ามีเรือน “นั่นสิเจ้าคะ ลูกก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะมีวันได้ออกเรือนเหมือนคนอื่นเขา ยังนึกว่าจะต้องเลี้ยงนางจนแก่เฒ่าเป็นสาวเทื้อคาจวนเสียอีก” กู้ฟางเหนียงที่วันนี้ลงมือเกล้าผมปักปิ่นให้บุตรสาวด้วยตนเองกล่าวด้วยความตื้นตันใจดุจเดียวกัน “ท่านแม่อย่าห่วงไปเลย ความสามารถด้านนี้ของข้าล้วนได้พี่ใหญ่เป็นผู้ชี้แนะ ไม่มีทางเป็นสาวเทื้อคาจวนอย่างที่ท่านแม่ว่าแน่นอน” จ้าวลี่จ้งยิ้มอวด วันนี้หญิงสาวแลดูสง่างามเป็นพิเศษในชุดแต่งงานสีแดงเรียบง่ายคล้ายชุดแต่งงานของบุรุษ ถึงแม้จวนจะออกเรือนแล้วแต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้ามารดาดั่งเด็กน้อยผู้หนึ่งเลยถูกกู้ฟางเหนียงเขกศีรษะเข้าให้
จางเสี่ยวเหล่ยเดินตามหลังเจ้านายทั้งสองมองดูองค์รัชทายาทผู้สูงส่งถึงกับลดตัวลงไปแย่งถังหูลู่ไม้หนึ่งกับเด็กน้อย ทำเอาเขาแทบทนดูไม่ได้ จะหยอกเย้าคุณชายจ้าวก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท เฉินซือหยางไม่สนสายตาที่มองมาของกงกงคนสนิทเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นน้ำตาของจ้าวลี่หมิงหยดแหมะ จมูกเล็กแดงเรื่ออย่างน่าสงสาร เขาก็อดใจอ่อนยวบยาบไม่ได้ “ตอนนี้เราหายแล้ว เพื่อตอบแทนถังหูลู่ของเจ้าเราซื้อน้ำตาลปั้นให้ดีหรือไม่” “หยางหยางพูดจริงหรือ” “จริงสิ” เฉินซือหยางพาเด็กน้อยไปที่ร้านขายน้ำตาลปั้นตามสัญญา จ้าวลี่หมิงมองน้ำตาลปั้นรูปสิงสาราสัตว์ต่างๆ มากมายละลานตาก็ยิ่งถูกอกถูกใจ ดวงตาเป็นประกาย ลืมถังหูลู่ไม้นั้นไปจนหมดสิ้น “ชีชีอยากได้รูปอะไรหรือ” “เอาหยางหยาง” จ้าวลี่หมิงบอกเสียงใส เฉินซือหยางยีหั
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ผสานกับเสียงหัวเราะดังก้องกังวานลอยเข้าหูเฉินซือหยางที่เพิ่งกลับจากประชุมเช้า ณ ตำหนักเฉียนชิง ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเอะอะมะเทิ่งนั่น ภาพปรากฏชัดในครรลองสายตาคือ เหล่าองค์ชายองค์หญิงซึ่งกำลังเล่นสนุกกันในอุทยานหลวง มีองค์ชายรองบุตรของหลี่ลู่เหม่ย องค์ชายสามบุตรของเสียนเฟย องค์หญิงใหญ่บุตรของหลี่ลู่อิง และองค์ชายสี่บุตรของซูเฟยในวัยไล่เลี่ยกับจ้าวลี่หมิง เฉินซือหยางมองคนเหล่านั้นเพียงหางตาในระหว่างเดินผ่านอุทยานหลวงเพื่อกลับตำหนักอี้ชิ่ง จู่ๆ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิงก็เดินนำองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาขวางทางเดินเขา “พี่ชายเพิ่งกลับจากว่าราชการแทนเสด็จพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินจวินเฉิงทักทายด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดจะลดตัวคารวะบุคคลที่เขาเรียกขานว่า 'พี่ชาย' เลยแม้แต่น้อย “ใครคือพี่ชายเจ้า” เฉินซือหยางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ดวงหน้าซึ่งถอดเค้ามาจากหลี่ลู่เหม่ยนั่นดูขัดตาเขาชอบกล
ขณะที่เฉินซือหยางกำลังถกปัญหาเรื่องขาหมูไม่ใช่ผักให้จ้าวลี่หมิงฟังอยู่นั้น เว่ยอันที่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้มาตรวจสอบห้องด้านข้างก็ได้รู้อะไรดีๆ เข้าโดยไม่คาดคิด ห้องด้านข้างหอฟู่กุ้ย เสนาบดีกรมคลังต่งเซินกับเสนาบดีกรมกลาโหมกำลังร่ำสุราปรึกษาหารือเรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้านี้เสียงเบา “ข่าวการศึกจากทางเหนือที่แม่ทัพจ้าวส่งมาไม่นับว่าร้ายแรงนัก ข้าคิดว่าการจัดเตรียมเสบียงกองทัพในครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร” “ตอนนี้ไม่ร้ายแรงใช่ว่าต่อไปจะไม่ร้ายแรงเสียเมื่อไหร่” ต่งเซินกระดกสุราไปค่อนข้างมากเผลอหลุดปากบอกอีกฝ่ายเป็นนัย เสนาบดีกรมกลาโหมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจทันที เพราะการจัดหาเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบย่อมผ่านมือเขาทั้งสิ้น เบี้ยหวัดเล็กๆ เหล่านี้ย่อมมียักย้ายเข้าพกเข้าห่อเป็นธรรมดา ยิ่งสถานการณ์การรบร้ายแรงเท่าไหร่ งบประมาณการจัดหาเ
กู้ฟางเหนียงกลับเรือนหลักหลังจากปรนนิบัติแม่สามีเข้านอน ขณะเดินผ่านเรือนช่านไฉ่แสงไฟในห้องนอนของบุตรชายยังคงสว่างโร่กู้ฟางเหนียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดเสี่ยวชีถึงยังไม่หลับไม่นอน “เสี่ยวชี แม่เข้าไปได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้บุตรชายอนุญาต “ท่านแม่!” จ้าวลี่หมิงตกใจ เมื่อจู่ๆ มารดาก็เปิดประตูเข้ามา เด็กน้อยรีบซ่อนของไว้ใต้หมอนไม่ให้มารดาเห็นด้วยความอาย “ทำอะไรอยู่หรือ” กู้ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงเล็ก มือบางลูบศีรษะบุตรชายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงรักใคร่อ่อนโยน สายตาเหลือบมองหมอนหยกใบเล็กที่บุตรชายใช้ซ่อนของบางสิ่ง แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาแหลมคมของนางไปได้ “ชีชีนั่งเล่น ยังไม่ง่วงเลยขอรับ” “แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ แม่ดูได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงถามยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงกระอึกกระอักอยู่เป็นครู่ มือเล็กบิดไปบิดมาค่อยหยิบของสิ่
แสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านแมกไม้ในป่าทึบเผยให้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบม้าฝีเท้าจัดตะบึงผ่านเส้นทางลับมุ่งสู่ชายแดนทางเหนือของแผ่นดินต้าเฉินโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก คนทั้งกลุ่มเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อส่งสาส์นไปยังจุดหมาย ในระหว่างควบม้าเลาะขอบหน้าผาสูงชัน กลับถูกกลุ่มชายชุดดำลึกลับบุกเข้ามาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระบี่แหลมคมฟาดฟันกันแบบถึงเลือดถึงเนื้อ กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าชายชุดดำ ด้วยชัยภูมิที่เสียเปรียบทำให้กลุ่มชายบนหลังม้าล้มตายดุจใบไม้ร่วง สุดท้ายเหลือเพียงชายหนุ่มผู้กุมสาส์นลับอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีเข้าป่าไปพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์ “ตามไป!” หัวหน้าชายชุดดำสั่งเสียงเข้ม เร่งฝีเท้าไล่ตามไป คนทั้งกลุ่มไล่ล่าชายผู้กุมสาส์นลับจนอีกฝ่ายจนมุมตรงริมหน้าผาสูงชัน เหล่าชายชุดดำตีวงโอบล้อมเพื่อป้องกันอีกฝ่ายหลบหนีไปได้ “ส่งสาส์นลับมาให้ข้า” “เจ้าอย่าหวังเลย
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ