จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น
“ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน”
“น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน”
“จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ”
“แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่”
กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ”
จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบอบบางเพื่อปลอบประโลม
“เจ้าอย่าห่วงไปเลย ฝ่าบาททรงแสดงท่าทีชัดเจนถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องการให้พี่เป็นกำลังหนุนให้กับองค์รัชทายาท ตอนที่พี่รู้ว่าต้องดำรงตำแหน่งไท่เว่ยมีนายทหารอยู่ใต้อาณัตินับร้อยหมื่นคน พี่ก็รู้แล้วว่าจะมีวันนี้ พระองค์ชิงยกขุมกำลังขนาดใหญ่นี้มาวางไว้ในมือพี่ เพื่อหลีกเลี่ยงทิศทางลมให้กับองค์รัชทายาททั้งยังป้องกันไม่ให้ขั้วอำนาจของหลี่ไทเฮาที่กำลังจับจ้องกองกำลังนี้อยู่ราวกับพยัคฆ์จ้องเหยื่อยื่นมือเข้ามาสอดได้ บัดนี้เมื่อฝ่าบาทมีพระราชทานสมรสลงมาเพื่อบอกพี่เป็นนัยว่าฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้แม่ทัพคนใดกุมกำลังพลมากมายถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่าเป็นการตบตาเพื่อถ่ายโอนกำลังพลไปให้องค์รัชทายาท ซึ่งพระองค์ก็ทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วพี่จะทำเช่นไรได้ นอกจากทำตามรับสั่ง”
“แต่ว่าเสี่ยวชี...”
“ตราบใดที่พี่ไม่เอาใจออกห่าง พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรลูกของเราอย่างแน่นอนเจ้าวางใจได้ เสี่ยวชีจะมีฐานะสูงส่งดุจตะวันฉาย ผู้คนแซ่ซ้องนับพันปี” จ้าวมู่กล่าวปลอบให้ภรรยาสบายใจ แต่เขาไม่มีทางบอกนางเด็ดขาดว่าเรื่องที่เขากล่าวมานั้นล้วนเป็นไปได้ยากยิ่ง ไม่ว่าในยุคสมัยใดหลังงานใหญ่เสร็จสิ้น ฮ่องเต้ย่อมทำการกวาดล้างภัยแฝงที่อาจสั่นคลอนบัลลังก์ของพระองค์ ตอนนี้หัวหอกเล็งไปยังตระกูลหลี่ที่เป็นพระญาติสายหลัก นั่นเพราะตระกูลหลี่เหิมเกริมอาจหาญท้าทายอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิ และก้าวล้ำเส้นความอดทนของพระองค์มากขึ้นทุกวัน ตระกูลหลี่จะต้องถูกโค่นล้มในไม่ช้านี้แน่นอน ส่วนหอกที่ใกล้มือพระองค์มากที่สุดในตอนนี้คงไม่พ้นตระกูลจ้าวของเขา ไม่ว่าฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด เขาทำได้แค่เพียงต้องทำตามเท่านั้น หากขัดพระประสงค์ตระกูลของเขาคงต้องถูกกำจัดก่อนเป็นแน่
จ้าวมู่ถอนหายใจอย่างหนักอก เพื่อความอยู่รอดของตระกูลเขาจำเป็นต้องเสียสละบุตรชายเพียงคนเดียว ความรุ่งโรจน์หลายชั่วอายุคนของตระกูลจ้าวจะไม่มีทางพังทลายลงในรุ่นของเขาเป็นอันขาด เรื่องอย่างวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1] จะไม่มีทางเกิดขึ้น เขาจะส่งบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาขึ้นไปยืนอย่างมั่นคงสง่างามเคียงข้างบัลลังก์ทองให้จงได้ เพื่อตอบแทนการเสียสละของจ้าวลี่หมิงในครั้งนี้
“แต่ว่าลูกของเราเป็นชายหาใช่อิสตรีไม่ เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่เลือกพระราชทานสมรสให้กับบุตรสาวของเราเล่า”
ก็เพราะบุตรชายคนเดียวย่อมสำคัญที่สุดน่ะสิ!
จ้าวมู่ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเฉินเทียนอี้ บุตรสาวทั้ง 6 คนของเขาหรือจะสู้จ้าวลี่หมิงเพียงคนเดียว เพราะผู้ที่จะได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์และเป็นผู้นำตระกูลต่อจากเขาก็คือจ้าวลี่หมิง จ้าวมู่ไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะหากพูดเช่นนั้นภรรยาของเขาคงเศร้าซึมด้วยความรู้สึกผิด และพร่ำโทษตัวเองที่ไม่สามารถคลอดบุตรชายให้เขาได้หลายคนกว่านี้
“เป็นรัชทายาทต้องใจเสี่ยวชีของเรา นั่นย่อมเป็นบุญวาสนาของเขาแล้ว เราจะไปกะเกณฑ์อะไรได้ มีบุตรสาวบุตรชายของขุนนางมากมายในเมืองหลวงที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉม ฐานะ และชาติตระกูลเหมาะกับตำแหน่งชายาองค์รัชทายาท แต่ลูกเราที่เป็นชายกลับคว้ามาได้โดยไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่น เจ้าก็คิดเสียว่าได้บุตรเขยเก็บตกมาคนหนึ่งก็แล้วกัน”
กู้ฟางเหนียงทำหน้าปูเลี่ยนๆ บุตรเขยเก็บตกที่สามีเอ่ยเรียกไม่ใช่องค์ฮ่องเต้ในวันหน้าหรือ?
ทางฝั่ง ‘บุตรเขยเก็บตก’ ผู้นอนหลับสบายอยู่ในเรือนช่านไฉ่ เฉินซือหยางหลับไปนานเท่าไรก็สุดรู้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความเปียกชื้นและความหนักอึ้งซึ่งกดทับบนอก ดวงตากลมโตปรือขึ้นเห็นเพียงก้นงอนๆ ปรากฏในครรลองสายตา เฉินซือหยางเอียงคอสงสัย สมองมึนงงเหมือนก้อนแป้งเปียก พอเบิกตามองดีๆ จึงพบว่าเป็นจ้าวลี่หมิงกลิ้งตัวขึ้นมานอนทับอกเขาอยู่ แถมเจ้าตัวเล็กยังบังอาจฉี่ใส่เขาอีกต่างหาก
เฉินซือหยางกลอกตามองบนอย่างจนใจ จะพลิกตัวก็กลัวทำเจ้าหมูน้อยตัวนี้ตื่น เด็กชายจึงนอนนิ่งๆ ให้จ้าวลี่หมิงหลับต่อไปอย่างยอมรับชะตากรรม อุทิศตัวเป็นเบาะรองนอนให้เด็กน้อย
มือป้อมลูบแผ่นหลังเล็กเล่น เด็กน้อยครางอืออาถูไถใบหน้ากับอกของเขาแล้วหลับต่อ ได้นอนเล่นอยู่ว่างๆ แบบนี้จะว่าไปก็ดีเหมือนกันแฮะ ถ้าไม่มีกลิ่นตุๆ ด้วยคงจะดีมาก
เดี๋ยวก่อนนะ...
กลิ่นเหม็นรุนแรงนี่มันอะไรกัน!
“จ้าวลี่หมิง!!”
“แอ๊รรรรรรรร”
เสียงแผดร้องผสานกับเสียงร้องไห้ดังสนั่นลั่นเรือนจนไก่สุนัขแตกกระเจิง ทำเอาบ่าวไพร่และหวังกงกงซึ่งยืนฟังความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกต่างพุ่งเข้ามาในเรือนช่านไฉ่อย่างตกอกตกใจ
“องค์รัชทายาท / คุณชาย”
ทุกคนร้องเรียกน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับเป็นเฉินซือหยางซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วย ‘เศษซากแห่งอารยธรรมอาหารต้าเฉิน’ สีเหลืองอ๋อย กลิ่นโชยแรง กำลังชูตัวจ้าวลี่หมิงออกไปไกลๆ ในขณะที่เด็กน้อยร้องไห้เพราะตกใจและไม่สบายตัว เอี๊ยมสีแดงสดเปียกโชกโชยกลิ่นเหม็นพอๆ กัน จนคนที่เห็นเหตุการณ์ยืนนิ่งเป็นไก่ไม้ มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าผู้ใดจะเป็นหน่วยกล้าตายไปรับหน้าองค์รัชทายาทดี
“มัวรีรออะไรกันอยู่ ไม่เห็นหรือว่าชีชีร้องไห้หนักขนาดนี้ รีบๆ เข้ามาปรนนิบัติเร็วเข้าสิ” เฉินซือหยางหน้าบึ้งถลึงตาตวาดสาวใช้ของจ้าวลี่หมิง จนพวกนางตัวสั่นงันงกโขกศีรษะขออภัยเป็นการใหญ่ ก่อนจะรีบเข้าไปอุ้มคุณชายไปทำความสะอาดเนื้อตัว
“เดี๋ยว! ผู้ใดบอกให้พวกเจ้าแตะต้องเขา ไปเตรียมน้ำ ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เฉินซือหยางโยกตัวจ้าวลี่หมิงหลบมือสาวใช้ ระหว่างนั่งรอให้บ่าวเติมน้ำร้อนในอ่างเขาก็จัดการลอกคราบจ้าวลี่หมิงจนเนื้อตัวเปลือยเปล่าค่อยพยักหน้าให้หวังกงกงมาปรนนิบัติตนเองบ้าง
ทั้งสองล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำสะอาดก่อนจะลงแช่ในอ่างไม้ด้วยกัน จ้าวลี่หมิงตีน้ำเล่นอย่างสนุกสนาน ร่างเล็กๆ ขยับตัวหยุกหยิก บ้างก็หยิบกลีบดอกเหมยที่ลอยอยู่เหนือน้ำเข้าปาก ทำเอาเฉินซือหยางจนด้วยเกล้า
“อยู่นิ่งๆ บ้างได้หรือไม่ ฮึ! เจ้าหมูอ้วน”
“แอ๊ะ”
จ้าวลี่หมิงตีน้ำใส่หน้าเฉินซือหยางอย่างได้ใจ ฟังเด็กชายพูดไม่รู้ความแม้แต่น้อย ร่างเล็กอวบกลมกลิ้งยังคงดิ้นรนไปมา จนเฉินซือหยางกลัวว่าเขาจะจมน้ำจนต้องอุ้มไว้แนบอกแทน
“ตอนเด็กๆ พระองค์ก็ทรงซุกซนเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงมองดูเด็กน้อยทั้งสองคนเล่นน้ำด้วยกันเปรยยิ้มๆ เฉินซือหยางสมัยก่อนเองก็ชอบวุ่นวายตอนสรงน้ำแบบนี้เป็นประจำ
“ไม่มั้ง หวังกงกงหลอกข้าอยู่ใช่หรือไม่” เฉินซือหยางมองหน้าหวังกงกงสลับกับจ้าวลี่หมิง เด็กน้อยยิ้มแฉ่งให้อย่างอารมณ์ดี มือเล็กๆ ยังเล่นตีน้ำไม่หยุด ไม่มีทีท่าว่าจะอยากขึ้นจากน้ำเลยสักนิด
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า บ่าวเฒ่าจะกล้าหลอกลวงพระองค์ได้อย่างไร หากไม่เชื่อบ่าวค่ำนี้ตอนไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทลองตรัสถามพระองค์ดูได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงพูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตนเองแรงๆ สักที เขาลืมไปได้อย่างไรว่าฝ่าบาทยังไม่ทรงฟื้นจากพระอาการประชวร
พอเฉินซือหยางได้ยินหวังกงกงพูดถึงเฉินเทียนอี้ก็นิ่งงันไป นึกถึงเสด็จพ่อที่นอนซมไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขาก็หมดอารมณ์จะทำอะไรแล้ว
“แต่งตัวให้เราเถอะ” เฉินซือหยางลุกออกจากถังไม้เพื่อให้หวังกงกงเช็ดตัวให้ แต่ดูเหมือนจ้าวลี่หมิงจะไม่ค่อยพอใจ เด็กน้อยดิ้นรนจะลงไปเล่นน้ำให้ได้จนเกือบหลุดมือเฉินซือหยาง
“อย่าดื้อน่า น้ำเย็นหมดแล้วเห็นไหม เราขึ้นจากน้ำกันดีกว่านะ” เฉินซือหยางปะเหลาะเจ้าตัวเล็ก แต่จ้าวลี่หมิงไม่ยอมฟัง ร่างเล็กดิ้นรนจะลงไปเล่นน้ำให้ได้ เฉินซือหยางจำต้องแข็งใจอุ้มเด็กน้อยเดินลิ่วกลับเข้าห้องนอน
จ้าวลี่หมิงร้องไห้งอแงพลิกกายนอนหันหลังหันก้นให้เฉินซือหยางอย่างแสนงอน ไม่สนใจอีกฝ่าย เฉินซือหยางก็ได้แต่โคลงศีรษะ เช็ดตัว ประแป้ง แต่งตัวให้เด็กน้อยด้วยตัวเองจนเสร็จ จ้าวลี่หมิงก็ยังไม่สนใจเขาเลยอดยื่นนิ้วเรียวไปเขี่ยเอวเจ้าเด็กอ้วนไม่ได้
“นี่ ยังไม่หายโกรธเราอีกหรือ”
“(*  ̄︿ ̄)”
“หายโกรธเถอะน่า ไม่งั้นเราไม่ให้กินไอ้นี่นะ” เฉินซือหยางงัดท่าไม้ตายเข้าสู้ ควักเอานมก้อนรูปกระต่ายออกมาแกว่งยั่วใครบางคน กลิ่นหอมของนมผสมน้ำผึ้งโชยเข้าจมูก เด็กตะกละเลยอดใจไม่ไหว พลิกตัวหันมางับนมก้อนไปจากนิ้วขาวอวบอย่างหน้าชื่นตาบาน
“อือออ” จ้าวลี่หมิงครางอย่างมีความสุข อ้าปากเล็กเร่งให้เฉินซือหยางป้อนเขาอีก พอได้เคี้ยวนมก้อนหนึบหนับมีรสหวานกลมกล่อมแล้ว จ้าวลี่หมิงยิ่งอารมณ์ดียอมให้อีกฝ่ายอุ้มเล่นอย่างไรก็ได้
“เรามีประโยชน์แค่ตอนที่เจ้าหิวสินะเจ้าตัวแสบ” เฉินซือหยางฟัดพุงเด็กอ้วนให้หายมันเขี้ยว ทำเอาจ้าวลี่หมิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขยุ้มผมของเด็กชายแน่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
“นี่แน่ะๆ เจ้าผีหิวน้อย ยอมแล้วหรือยัง” เฉินซือหยางไซ้พุงเด็กน้อยไม่หยุด เพื่อให้เจ้าตัวปล่อยมือจากผมของเขา แต่ยิ่งซุกไซ้มือเล็กยิ่งกำแน่น ผมของเฉินซือหยางจึงยิ่งชี้โด่ ความสง่างามของผู้เป็นองค์รัชทายาทปลิวหายไปโดยสิ้นเชิง
เด็กน้อยเล่นด้วยกันอยู่นานจนสายัณห์ตะวันรอนก็ยังไม่มีทีท่าว่าเฉินซือหยางจะกลับเสียที จนหวังกงกงต้องออกปากเตือน
“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยามโหย่วแล้วควรเสด็จกลับก่อนที่ประตูวังจะปิดนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรารู้แล้ว”
เฉินซือหยางอุ้มจ้าวลี่หมิงไปส่งให้บิดามารดาของเด็กน้อย และถือโอกาสกล่าวลา
“องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รอเสวยพระกระยาหารมื้อค่ำด้วยกันก่อนล่ะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวชีจะได้มีเพื่อนทานข้าว” จ้าวมู่ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองกับเฉินซือหยาง ไหนๆ ก็ต้องอยู่ฝั่งเดียวกันแล้ว การเอาใจองค์รัชทายาทย่อมเป็นเรื่องดีต่อบุตรชายของตน
“คงต้องเป็นคราวหน้าไว้เราจะมาขอชิมรสมือของไท่เว่ยฮูหยินบ้าง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วเพคะ หม่อมฉันจะพยายามสุดฝีมือ” กู้ฟางเหนียงค้อมกายรับคำ เฉินซือหยางผงกศีรษะให้หันไปบอกลาจ้าวลี่หมิงเป็นการส่งท้าย ไม่ลืมกำชับจ้าวมู่กับกู้ฟางเหนียง
“ชีชี ข้ากลับแล้วนะ” เฉินซือหยางลูบศีรษะเล็กๆ เป็นการบอกลา “หากมีเรื่องใดให้นำป้ายหยกของเราเข้าวังได้ทุกเมื่อ เข้าใจหรือไม่”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” สามพ่อแม่ลูกตระกูลจ้าวน้อมส่งเฉินซือหยางกลับวังหลวง
[1] มาจากสำนวนวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข หมายถึง คนที่หมดประโยชน์แล้วก็จะถูกกำจัดทิ้ง เหมือนกับการยิงนกแล้วเก็บธนูไว้ไม่ใช้อีก หรือพอจับกระต่ายได้ก็เอาสุนัขล่าเนื้อมาฆ่ากิน
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  
หลี่เหยียนเจี๋ยเองก็กำลังหัวเสียพอกัน หลังออกจากที่ประชุมเช้าก็ตรงดิ่งขอเข้าเฝ้าหลี่ไทเฮาทันที “เหนียงเหนียง” “ท่านพี่มาหาข้าด้วยเหตุอันใด” “เหนียงเหนียงทรงทราบหรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเองก็ทรงเข้าร่วมประชุมเช้าเหมือนกัน” “หืมมม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” “คนที่เราวางไว้ในตำหนักอี้ชิ่งคงต้องกำจัดทิ้งแล้ว หากไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมาถึงเราเช่นนี้ แสดงว่าคนพวกนั้นอาจถูกเปิดโปงแล้ว จะเก็บเอาไว้ไม่ได้” “จัดการตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็หาทางสอดเท้าเข้าไปบริหารราชกิจบ้านเมืองได้อยู่ดี ราชสำนักประดุจดั่งบ่อโคลนคอยดูดกลืนผู้คน ผู้ใดโถมตัวลงไปก็มีแต่จะแปดเปื้อนไปทั้งตัวก็เท่านั้น ดีเสียอีกเราจะได้หาทางกำจัดพวกมันได้ง่ายหน่อย ท่านพี่หาทางขัดแข้งขัดขามันเข้าเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการบำรุงร่างกายของเหม่ยเอ
เฉินซือหยางกลับจากจวนไท่เว่ยก็เรียกที่ปรึกษาส่วนตัวเข้าร่วมประชุมทันที คนทั้งหมดประชุมกันจนดึกดื่นค่อนคืน จัดทำแผนงานจนรัดกุมดีแล้ว รุ่งเช้าเฉินซือหยางจึงนำเข้าที่ประชุมให้เฉินเทียนอี้ทอดพระเนตร “สำนักป้องกันอัคคีภัยที่ก่อตั้งขึ้นนั้นจะต้องสร้างไว้ใจกลางเมือง โดยเราจะขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางที่ทำการเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย หอสังเกตการณ์จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือซึ่งสะดวกต่อการสังเกตทิศทางลม และสัญญาณควัน หากเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์เห็นเพลิงไหม้หรือควันไฟจะรีบตีระฆังแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นทันที ด้านหน้าลูกจะเอาไว้เป็นที่จอดรถม้าสำหรับใช้ขนส่งน้ำ โดยจะต่อตัวรถเป็นถังไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อใช้บรรจุน้ำ เพิ่มจำนวนล้อเพื่อรับน้ำหนักของน้ำและตัวรถเป็นหกล้อ" เฉินซือหยางคลี่แบบแปลนอาคาร และภาพร่างรถขนน้ำประกอบคำอธิบาย "ลูกกลัวว่าตัวรถจะสูงเกินไปทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงตักน้ำลำบากลูกจึงทำท่อระบายน้ำไว้รอบตัวรถจำนวน 40 ท่อเปิดปิดได้สะดวกยิ่ง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาช่วยดับไฟจะได้รองน้ำใส
บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย
“ท่านพ่อนี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านพี่ถึงถูกปลดจากตำแหน่งเสนาบดีง่ายดายถึงเพียงนี้ สภาขุนนางฝ่ายเราทำอะไรกันอยู่ ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร” หลี่ย่าเสียงซักถามทันทีที่เห็นหลี่เจียงเดินเข้าประตูตำหนักมา “เหนียงเหนียงประทับบนพระที่นั่งก่อนเถิด เรื่องนี้พ่อหารือกับที่ประชุมลับแล้วคงต้องให้อาเจี๋ยลำบากแบกพุ่มหนามไปขอขมาฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท ทางสภาขุนนางก็รับปากว่าจะถวายฎีกาขออภัยโทษให้ ต้องรอดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” “ขอโทษ? เหตุใดท่านพี่ถึงต้องลดเกียรติลงไปขอโทษพวกมัน” หลี่ย่าเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธ “เหนียงเหนียงยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อีกหรือ ข้อหาขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมืองโทษร้ายแรงนัก อาเจี๋ยยังจงใจขัดขวางการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางนับร้อยในท้องพระโรงถึงสองครั้งสองครา ตอนนี้เรื่องที่อาเจี๋ยไม่เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอยู่ในสายตาถูกลือออกไปทั่วแคว้น ชาวบ้านที่โกรธแค้นต่างก็มารุมปาข้าวของใส่ประตูจวนจนแทบพังลงมา ต่อให้มีร้อยปากตอนนี้เราก็แก้ต่างอะไรไม่ขึ้นแล้ว” หลี่เจียงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก พอเข้าฤดูหนาวสุ
วันนี้จวนไท่เว่ยสาดน้ำล้างประตูจวนแต่เช้าตรู่ ก่อนจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัย ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญต่างทยอยมาร่วมดื่มเหล้ามงคลกันอย่างคับคั่ง “ไม่นึกเลยว่าจ้งเอ๋อร์ของเราจะมีวันนี้เช่นกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา ตื้นตันใจเหลือจะกล่าวที่หลานสาวจะมีเหย้ามีเรือน “นั่นสิเจ้าคะ ลูกก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะมีวันได้ออกเรือนเหมือนคนอื่นเขา ยังนึกว่าจะต้องเลี้ยงนางจนแก่เฒ่าเป็นสาวเทื้อคาจวนเสียอีก” กู้ฟางเหนียงที่วันนี้ลงมือเกล้าผมปักปิ่นให้บุตรสาวด้วยตนเองกล่าวด้วยความตื้นตันใจดุจเดียวกัน “ท่านแม่อย่าห่วงไปเลย ความสามารถด้านนี้ของข้าล้วนได้พี่ใหญ่เป็นผู้ชี้แนะ ไม่มีทางเป็นสาวเทื้อคาจวนอย่างที่ท่านแม่ว่าแน่นอน” จ้าวลี่จ้งยิ้มอวด วันนี้หญิงสาวแลดูสง่างามเป็นพิเศษในชุดแต่งงานสีแดงเรียบง่ายคล้ายชุดแต่งงานของบุรุษ ถึงแม้จวนจะออกเรือนแล้วแต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้ามารดาดั่งเด็กน้อยผู้หนึ่งเลยถูกกู้ฟางเหนียงเขกศีรษะเข้าให้
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ