แชร์

บทที่ 14

ผู้เขียน: ตงเฟินไป่หลิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-27 20:35:33

       

       เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง

       ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว

       เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว

       กึก!

       มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ

       “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่”

       “ทราบเจ้าค่ะ”

       จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าในห้องขานรับเสียงอ่อย ใบหน้าหงอยๆ ของทั้งสามแฝดยิ่งก้มต่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองท่านย่าเพราะมีความผิดติดตัว

       “รู้แล้วก็ดี เสี่ยวจื่อโบยสาวใช้พวกนี้สามสิบไม้ เรียกพ่อค้าทาสมาเอาตัวไป ดูแลเด็กแค่ไม่กี่คนยังทำไม่ได้ จวนข้าไม่เลี้ยงตัวไร้ประโยชน์!”

       “ขอรับฮูหยิน” จ้าวเสี่ยวจื่อพ่อบ้านผู้ดูแลจวนเรียกบ่าวชายมาลากตัวสาวใช้ของคุณชาย และคุณหนูทั้งสามออกไปรับโทษตามคำสั่ง จนเกิดเสียงร้องขอความเมตตาดังระงมไปทั่วห้องโถงหลัก

       “ฮูหยินผู้เฒ่าเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ พวกบ่าวไม่กล้า... ไม่กล้าละเลยอีกแล้วเจ้าค่ะ”

       “ขอฮูหยินผู้เฒ่าโปรดเมตตาด้วย”

       จ้าวลี่หลินเห็นคนจะถูกลากไปลงโทษจริงๆ ก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะคนที่ทำผิดแท้จริงแล้วก็คือพวกนางเอง เด็กสาวจึงอดขอร้องแทนบ่าวรับใช้ไม่ได้ “ท่านย่าเจ้าขา ไม่ลงโทษสาวใช้พวกนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ เป็นลี่หลินเองที่ชวนทุกคนหนีออกไปเล่นข้างนอกด้วยกัน ไม่ใช่ความผิดของสาวใช้พวกนี้เสียหน่อย”

       “ใช่ๆ ลี่จูไม่ดีเองที่ไม่ห้ามน้องๆ ท่านย่าเมตตาพวกนางเถิดนะเจ้าคะ”

       “เมตตาพวกนางเถิดนะเจ้าคะท่านย่า” จ้าวลี่จินก็ขอร้องเช่นกัน ถึงแม้พวกนางจะซุกซนไปบ้างจนทำให้พี่สาวเหล่านี้ปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะคุ้นเคยกันมานานจึงไม่อยากเห็นพวกนางถูกลงโทษเพราะตน

       พอใบหน้าน่ารักทั้งสามถอดแบบกันมาเผยสีหน้าอ้อนวอนพร้อมกันเหมือนมีพลังทำลายล้างถึงสามเท่า ทำเอาเฉาม่านใจอ่อนยวบ แต่ก็ต้องแข็งใจอบรมหลานสาวต่อไป หากไม่สั่งสอนกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาอีก

       “ความผิดของพวกเจ้าย่ายังไม่ได้ชำระความ กลับมาขอร้องแทนผู้อื่นเช่นนี้ นี่พวกเจ้าคิดแข็งข้อกับย่าอย่างนั้นหรือ”

       “หลานไม่กล้าเจ้าค่ะ” ทั้งสามแฝดหดศีรษะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ส่งสายตาเกี่ยงงอนกันไปมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากขอร้องท่านย่าอีก

       เฉาม่านพึงพอใจกับปฏิกิริยาของหลานสาว ยังมีความยำเกรงผู้หลักผู้ใหญ่เช่นนี้นับว่าพอสั่งสอนได้

       “เห็นแก่หลานสาวทั้งสามคนของข้าอุตส่าห์ขอร้องแทนพวกเจ้า ข้าจะลงโทษโบยเพียงสามสิบไม้ หวังว่าพวกเจ้าจะจดจำหน้าที่ของตนเองให้ขึ้นใจ ต่อไปก็ตั้งใจปรนนิบัติเหล่าคุณหนูคุณชายให้ดี หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกข้าจะโบยให้ตายคาเรือน เอาตัวออกไป!”

       “ขอรับ”

       “ส่วนพวกเจ้าทั้งสามคน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเจ้าปล่อยน้องชายไว้คนเดียวเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เสี่ยวชียังเล็กถึงเพียงนั้น หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เช่น ศาลาแปดเหลี่ยมหลังนั้นกันลมหนาวไม่ได้จนทำให้เสี่ยวชีหนาวตาย หรือพวกเจ้าปิดกระจกไม่ดีแล้วเสี่ยวชีคลานออกมาตกน้ำตกท่าไปผู้ใดจะรู้เห็น พวกเจ้าเป็นพี่สาวกลับไม่คิดเผื่อน้องชายที่ยังเล็กห่วงแต่จะเล่นซน แล้วยังไม่บอกกล่าวกับใครว่าน้องอยู่ที่ไหน จนท่านพ่อของเจ้าต้องแอบโยกย้ายกำลังทหารออกตามหาไปทั่วเมืองหลวง หากเรื่องที่ท่านพ่อของเจ้าเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการทราบถึงพระเนตรพระกรรณขององค์ฮ่องเต้ รู้หรือไม่ว่าท่านพ่อเจ้าจะได้รับโทษเช่นไร ขั้นต่ำอาจถูกลดตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการ หนักกว่านั้นอาจถึงขั้นถูกประหารชีวิตฐานก่อกบฏ แล้วจวนไท่เว่ยจะเป็นเช่นไร ไม่ใช่จะถูกประหารเก้าชั่วโคตรตายตกไปตามกันอย่างนั้นหรือ รู้แล้วหรือยังว่าความไม่รู้จักคิดของพวกเจ้าจะก่อให้เกิดหายนะใดตามมา!”

       “หลานขออภัยเจ้าค่ะ”

       “ท่านพ่อลูกขออภัยนะเจ้าคะ”

       “เสี่ยวชีพี่ขอโทษ”

       จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลินร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาคลอหน่วย สำนึกเสียใจแล้วว่าการกระทำโดยไม่ยั้งคิดของพวกนางก่อเรื่องใดขึ้น

       “ต่อไปยังจะกล้าทำเช่นนี้อีกหรือไม่”

       “หลานไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”

       “ดี! รู้จักสำนึกผิดก็ยังพอให้อภัยกันได้ ถ้าอย่างนั้นย่าจะลงโทษพวกเจ้าให้คุกเข่าสำนึกตนที่ศาลบรรพชนหนึ่งคืน คัดกฎตระกูล ตำราสอนหญิง และจริยธรรมของผู้เป็นสตรีหนึ่งร้อยจบ พวกเจ้ายินยอมหรือไม่”

       “หลานยินยอมเจ้าค่ะ”

       “ต่อไปนี้ย่าหวังว่าพวกเจ้าจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะลงมือทำ เพราะการกระทำของพวกเจ้าล้วนส่งผลต่อความอยู่รอด เกียรติยศ และชื่อเสียงของจวนไท่เว่ยของเรา เอาล่ะวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเถอะ” เฉาม่านโบกมือไล่ทุกคน หญิงชราลุกขึ้นตามการประคองของบุตรชายและลูกสะใภ้กลับเรือนตน ปล่อยหลานสาวฝาแฝดทั้งสามคนให้เป็นหน้าที่ของจ้าวลี่จ้งไปจัดการ

       “ไงล่ะ! คราวนี้คงอยู่กันอย่างสงบได้พักใหญ่แล้วสินะ เจ้าสามแสบ” จ้าวลี่จ้งเคาะหัวน้องสาวทั้งสามด้วยความเอ็นดู จ้าวลี่เจียยืนเงียบมาโดยตลอดเข้ามากอดปลอบน้องสาวทั้งสามคนด้วยความสงสาร ถึงแม้น้องๆ จะซนไปบ้าง ถูกท่านแม่ดุด่าทำโทษเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยเห็นน้องสาวเสียอกเสียใจเท่าครั้งนี้

       “เอาล่ะๆ หยุดร้องไห้กันได้แล้ว พี่รู้ว่าพวกเจ้าเสียใจ แต่ถือโอกาสตอนที่ท่านแม่ยังไม่กลับมารีบทานอะไรร้อนๆ กันก่อนเถอะ ใส่เสื้อคลุมหนาๆ ตอนไปที่ศาลบรรพชนจะได้ไม่หนาวมาก แล้วอย่าลืมพกซาลาเปาไส้เนื้อใส่อกเสื้อไปด้วยเผื่อหิวตอนกลางดึก ส่วนนี่เป็นเบาะรองเข่า ผูกเอาไว้ที่เข่าแบบนี้เวลาคุกเข่าจะได้ไม่เจ็บมาก” จ้าวลี่เจียเช็ดหน้าเช็ดตาให้น้องสาวทั้งสาม ก่อนจะโบกมือให้สาวใช้นำของที่เตรียมไว้มายื่นให้น้องสาว

       “พี่สาม” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลินมองจ้าวลี่เจียด้วยความซาบซึ้งใจ พี่สามดีกับพวกนางเป็นที่สุดเสมอ

       “เจ้าก็ดีแต่ให้ท้ายพวกนาง” จ้าวลี่จ้งต่อว่าน้องสาวคนที่สามแบบไม่จริงจังนัก

       “ผู้ใดบอกให้พวกนางเกิดมาเป็นน้องสาวของข้ากันเล่า ท่านพี่เองก็เถอะ ก่อนหน้านี้ซุกซนยิ่งกว่าพวกนางเสียอีก ไม่ใช่ข้าผู้นี้หรือที่คอยขอร้องแทนท่าน”

       “เรื่องมันผ่านมาแล้วก็อย่าไปพูดถึงเลยน่า” จ้าวลี่จ้งกระแอมไอ ไม่อยากให้จ้าวลี่เจียเอ่ยถึงอดีตลับดำมืดของตนออกมาให้ได้อายน้องสาวสามแฝด จึงเสไปเอ่ยเร่งรัดน้องสาวแทน “เอาล่ะ เสร็จแล้วใช่ไหม เราไปรอท่านแม่ด้านนอกกันเถอะ กลับมาท่านแม่จะได้ไม่โมโหหนักกว่าเดิม”

       เรื่องราววุ่นวายในจวนไท่เว่ยของเจิ้งกั๋วกงก็จบลงด้วยประการฉะนี้

หลังจากเฉินซือหยางกลับวังก็ตรงดิ่งไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ตำหนักหยางซินในทันที เฉินเทียนอี้เอนกายผ่อนคลายอิริยาบถบนเตียงตั่ง ในมือถือตำรากลยุทธ์การบริหารราชการแผ่นดิน โดยตำราเล่มนี้รวบรวมวิธีการบริหารแผ่นดินของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ และถูกส่งต่อให้ฮ่องเต้องค์ต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก การใช้คนให้เหมาะกับหน้าที่การงาน รวมถึงเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ที่ฮ่องเต้แต่ละพระองค์เคยพบเจอ ตลอดจนการจัดการและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับราชกิจของบ้านเมือง เฉินเทียนอี้อ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นบุตรชายเข้ามาหา เขาจึงปิดหนังสือเอ่ยปากทักทาย

       “กลับมาแล้วหรือ”

       “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

       “มานั่งนี่สิ”

       เฉินซือหยางนั่งลงบนเตียงข้างเฉินเทียนอี้ตามรับสั่ง มือเล็กหยิบตำราที่เสด็จพ่อเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่เปิดดูอย่างสนใจใคร่รู้

       “ถ้าสนใจก็เอากลับไปศึกษาเถอะ แค่ระวังอย่าให้ผู้ใดพบเห็นเป็นพอ” เฉินเทียนอี้ลูบศีรษะบุตรชายเล่น รับสุธารสชาจากหวังกงกงมาจิบเล็กน้อย ค่อยซักถามถึงเรื่องที่มอบหมายให้ไปทำ

       “ไปเยือนจวนไท่เว่ยคราวนี้ได้เรื่องหรือไม่”

       “พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เราวางไว้ จ้าวลี่หมิงหยิบปิ่นที่ลูกนำติดตัวไปไม่ยอมปล่อย และยังขอหยกพกของลูกไปด้วย คาดว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่อง ‘ของแทนใจ’ น่าจะแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง”

       ปิ่นปักผม และหยกพกถูกแช่ในนมผสมเซียวเฉ่า[1] ทั้งคืน ก่อนจะเอาไปให้จ้าวลี่หมิงเลือก ซึ่งกลิ่นหอมของนมผสมเซียวเฉ่านี่เองที่ดึงดูดให้จ้าวลี่หมิงหยิบปิ่นขึ้นมาดูดอมไม่ยอมวางมือ ถึงแม้จะแอบเล่นเล่ห์กับเด็กน้อยไปบ้าง แต่พอนึกถึงท่าทางโง่งมของจ้าวลี่หมิงตอนแทะปิ่นอย่างเอร็ดอร่อยจนน้ำลายยืด เฉินซือหยางก็อดยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดูเด็กน้อยไม่ได้ ดูท่าว่าแผนการกระจายข่าวลือต่อจากนี้ของเขาจะมีความจริงอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ เรื่องที่เขาพึงใจอีกฝ่ายก็เป็นความจริงล่ะนะ

       เฉินเทียนอี้เห็นบุตรชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายถูกอกถูกใจอะไรบางอย่าง พอลองนึกๆ ดูแล้ว บุตรชายคงชอบเพื่อนเล่นอย่างจ้าวลี่หมิงไม่น้อย มือหนาอดโยกหัวบุตรชายเล่นไม่ได้ “จัดการได้ดี อีกสามวันพ่อจะออกพระราชทานสมรสให้ จำไว้ว่าในระหว่างนี้อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด”

       “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

       เฉินซือหยางกลับตำหนักด้วยความเบิกบานใจผิดกับเฉินเทียนอี้ พอบุตรชายหายลับไปแล้ว องครักษ์ลับก็เข้ามารายงานเรื่องที่ฟางเซียนและองครักษ์เจาสืบมาได้ ใบหน้าปรากฏรอยเย็นชาถึงขีดสุด

       “ดี! หลี่เหยียนเจี๋ยเจ้าดียิ่งนัก ถึงกับกล้าฝึกกองกำลังลับของตนเองแล้ว แบบนี้สิถึงจะทำให้ข้าไม่เบื่อหน่าย แผนการต่อไปคงไม่พ้นลักหงส์เปลี่ยนมังกรสินะ” เฉินเทียนอี้กล่าวเสียงเย็น “ไปแจ้งตำหนักคุนหนิง คืนนี้ข้าจะไประลึกความหลังกับฮองเฮาผู้เป็นที่รักเสียหน่อย”

       “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

       หวังกงกงถอยออกไปทำตามรับสั่ง เฉินเทียนอี้มองไปทางตำหนักคุนหนิงด้วยสายตามาดร้าย อยากได้องค์ชายนักใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยสงเคราะห์พวกเจ้าเอง!

       คืนนั้นเฉินเทียนอี้เสด็จไปประทับที่ตำหนักคุนหนิงอย่างเหนือความคาดหมายของใครหลายๆ คน ในระหว่างพูดคุยหยอกเย้าฉันสามีภรรยาอยู่นั้น ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นหลี่ลู่เหม่ยและหลี่ลู่อิงที่ปรนนิบัติข้างกายฮองเฮา หลี่ลู่เหม่ยมีดวงพักตร์คมขำขาวผ่องเป็นที่ถูกตาต้องใจ จึงเรียกให้ถวายงานที่ห้องข้างในตำหนักคุนหนิง หลี่ลู่เหม่ยบรรจงแต่งเนื้อแต่งตัวมาเต็มที่เผยรอยยิ้มขัดเขินยินดีที่ตนเองได้รับเลือก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปิดบังแววทะยานอยากในดวงตาของนางได้ หญิงสาวเดินตามหมัวมัว ก่อนไปยังไม่วายทิ้งสายตาให้เฉินเทียนอี้ ทำเอาหลี่ลู่เหลียนฮองเฮาโมโหจนลมจุกอก ได้แต่บิดผ้าเช็ดหน้าแค้นใจสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องอย่างลูกพี่ลูกน้องของตน บังอาจแย่งโอกาสอันหาได้อยากยิ่งนี้ไปจากตนหน้าด้านๆ

       หลี่ลู่เหลียนคอแข็งกลับแสร้งวางเฉยพูดคุยสัพเพเหระกับเฉินเทียนอี้ต่อ ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งหลี่ลู่เหลียนก็ไม่เคยได้สัมผัสค่ำคืนวสันต์ร่วมกับเฉินเทียนอี้เลยสักครั้ง เขามาเพียงครู่แล้วก็ไปค้างที่ตำหนักอื่นปล่อยให้นางเปล่าเปลี่ยวเดียวดายราวกับแม่ม่ายสามีทิ้ง นางรู้ว่าตนเองอายุมากกว่าเฉินเทียนอี้หลายปีนัก แต่นังแพศยาหลานซือเยว่ก็ไม่ใช่ว่าอายุมากกว่าเขาเช่นกันหรือ เหตุใดเขาโปรดปรานนังแพศยานั้นจนกระทั่งตายไปแล้วยังหาตัวแทนมาปรนนิบัติ แต่กลับไม่คิดโปรดปรานนางบ้าง นางงดงามน้อยหน้านังแพศยาเหล่านั้นที่ใดกัน!

       เฉินเทียนอี้มองท่าทางอัดอั้นตันใจของหลี่ลู่เหลียนด้วยท่าทีวางเฉย หลังจากพูดคุยกับอีกฝ่ายเพียงครู่ เฉินเทียนอี้ก็ผละจากไปไม่อยากจะเห็นหน้าคนตระกูลนี้ให้รกหูรกตา

       ทันทีที่เฉินเทียนอี้เดินเข้าประตูห้องข้างมา กลิ่นธูปเสน่หาก็พุ่งเข้าปะทะหน้า กลิ่นกระตุ้นเร้าราคะรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วห้อง ชายหนุ่มยิ้มเย็นโบกมือให้หวังกงกงปิดประตูให้เรียบร้อย แล้วสาวพระบาทตรงไปยังห้องด้านใน

       “ฝ่าบาทเพคะ รีบๆ เข้ามาสิเพคะ หม่อมฉันร้อนเหลือเกิน” หลี่ลู่เหม่ยร่างกายเปลือยเปล่านอนบิดเร่าอยู่บนแท่นบรรทม เอ่ยเรียกเฉินเทียนอี้เสียงกระเส่า มือขาวเรียวลูบไล้ไปตามเรือนกายตัวเอง ยั่วเย้าให้ชายหนุ่มเข้ามาเสพสมอย่างลืมตัวลืมอาย กลิ่นธูปกระตุ้นเร้าให้สติของนางพร่าเลือนไปหมด ร่างกายร้อนเร่าอดรนทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาโลมไล้ร่างกายกำยำล่ำสันของเฉินเทียนอี้เพื่อปลุกเร้าชายหนุ่มไปพร้อมๆ กัน

       “หญิงสาวตระกูลหลี่เช่นพวกเจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายกันหมดทุกคน” เฉินเทียนอี้ผลักเรือนร่างงดงามของหลี่ลู่เหม่ยออกด้วยความรังเกียจ จนร่างบางเซถลาล้มลงกระแทกเตียง ขณะกำลังมึนงงอยู่นั้น เปลวเทียนในห้องก็ดับลงพร้อมกับร่างสูงใหญ่กำยำที่โถมเข้าหา หลี่ลู่เหม่ยร้องครวญครางเสียงดังอย่างเจ็บปวดปนสุขซ่านเมื่อกายหนาโถมเข้าลึกสุดตัว

       เฉินเทียนอี้มองเงาร่างสูงใหญ่ หนึ่งบอบบาง เสพสังวาสกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มนั่งเป็นประจักษ์พยานในการก่อกำเนิดองค์ชายของตระกูลหลี่อยู่ค่อนคืนค่อยเดินจากไปท่ามกลางความมืดยามราตรีเพียงลำพัง

[1] วานิลลา

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 15

    “เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-28
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 16

    “ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-29
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 17

    อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-30
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 18

    ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-01
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 19

    จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-02
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 20

    ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-03
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 21

    อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-04
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 22

    ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-05

บทล่าสุด

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 57

    นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 56

    “แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 55 สู่ปัจจุบัน

    ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 54

    สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 53

    เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 52

    ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 51

    กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 50

    เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 49 ความหลังของหลานซือเยว่

    16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status