เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง
ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว
เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว
กึก!
มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ
“รู้ความผิดของตนเองหรือไม่”
“ทราบเจ้าค่ะ”
จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าในห้องขานรับเสียงอ่อย ใบหน้าหงอยๆ ของทั้งสามแฝดยิ่งก้มต่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองท่านย่าเพราะมีความผิดติดตัว
“รู้แล้วก็ดี เสี่ยวจื่อโบยสาวใช้พวกนี้สามสิบไม้ เรียกพ่อค้าทาสมาเอาตัวไป ดูแลเด็กแค่ไม่กี่คนยังทำไม่ได้ จวนข้าไม่เลี้ยงตัวไร้ประโยชน์!”
“ขอรับฮูหยิน” จ้าวเสี่ยวจื่อพ่อบ้านผู้ดูแลจวนเรียกบ่าวชายมาลากตัวสาวใช้ของคุณชาย และคุณหนูทั้งสามออกไปรับโทษตามคำสั่ง จนเกิดเสียงร้องขอความเมตตาดังระงมไปทั่วห้องโถงหลัก
“ฮูหยินผู้เฒ่าเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ พวกบ่าวไม่กล้า... ไม่กล้าละเลยอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอฮูหยินผู้เฒ่าโปรดเมตตาด้วย”
จ้าวลี่หลินเห็นคนจะถูกลากไปลงโทษจริงๆ ก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะคนที่ทำผิดแท้จริงแล้วก็คือพวกนางเอง เด็กสาวจึงอดขอร้องแทนบ่าวรับใช้ไม่ได้ “ท่านย่าเจ้าขา ไม่ลงโทษสาวใช้พวกนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ เป็นลี่หลินเองที่ชวนทุกคนหนีออกไปเล่นข้างนอกด้วยกัน ไม่ใช่ความผิดของสาวใช้พวกนี้เสียหน่อย”
“ใช่ๆ ลี่จูไม่ดีเองที่ไม่ห้ามน้องๆ ท่านย่าเมตตาพวกนางเถิดนะเจ้าคะ”
“เมตตาพวกนางเถิดนะเจ้าคะท่านย่า” จ้าวลี่จินก็ขอร้องเช่นกัน ถึงแม้พวกนางจะซุกซนไปบ้างจนทำให้พี่สาวเหล่านี้ปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะคุ้นเคยกันมานานจึงไม่อยากเห็นพวกนางถูกลงโทษเพราะตน
พอใบหน้าน่ารักทั้งสามถอดแบบกันมาเผยสีหน้าอ้อนวอนพร้อมกันเหมือนมีพลังทำลายล้างถึงสามเท่า ทำเอาเฉาม่านใจอ่อนยวบ แต่ก็ต้องแข็งใจอบรมหลานสาวต่อไป หากไม่สั่งสอนกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาอีก
“ความผิดของพวกเจ้าย่ายังไม่ได้ชำระความ กลับมาขอร้องแทนผู้อื่นเช่นนี้ นี่พวกเจ้าคิดแข็งข้อกับย่าอย่างนั้นหรือ”
“หลานไม่กล้าเจ้าค่ะ” ทั้งสามแฝดหดศีรษะพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ส่งสายตาเกี่ยงงอนกันไปมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากขอร้องท่านย่าอีก
เฉาม่านพึงพอใจกับปฏิกิริยาของหลานสาว ยังมีความยำเกรงผู้หลักผู้ใหญ่เช่นนี้นับว่าพอสั่งสอนได้
“เห็นแก่หลานสาวทั้งสามคนของข้าอุตส่าห์ขอร้องแทนพวกเจ้า ข้าจะลงโทษโบยเพียงสามสิบไม้ หวังว่าพวกเจ้าจะจดจำหน้าที่ของตนเองให้ขึ้นใจ ต่อไปก็ตั้งใจปรนนิบัติเหล่าคุณหนูคุณชายให้ดี หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกข้าจะโบยให้ตายคาเรือน เอาตัวออกไป!”
“ขอรับ”
“ส่วนพวกเจ้าทั้งสามคน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเจ้าปล่อยน้องชายไว้คนเดียวเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เสี่ยวชียังเล็กถึงเพียงนั้น หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เช่น ศาลาแปดเหลี่ยมหลังนั้นกันลมหนาวไม่ได้จนทำให้เสี่ยวชีหนาวตาย หรือพวกเจ้าปิดกระจกไม่ดีแล้วเสี่ยวชีคลานออกมาตกน้ำตกท่าไปผู้ใดจะรู้เห็น พวกเจ้าเป็นพี่สาวกลับไม่คิดเผื่อน้องชายที่ยังเล็กห่วงแต่จะเล่นซน แล้วยังไม่บอกกล่าวกับใครว่าน้องอยู่ที่ไหน จนท่านพ่อของเจ้าต้องแอบโยกย้ายกำลังทหารออกตามหาไปทั่วเมืองหลวง หากเรื่องที่ท่านพ่อของเจ้าเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการทราบถึงพระเนตรพระกรรณขององค์ฮ่องเต้ รู้หรือไม่ว่าท่านพ่อเจ้าจะได้รับโทษเช่นไร ขั้นต่ำอาจถูกลดตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการ หนักกว่านั้นอาจถึงขั้นถูกประหารชีวิตฐานก่อกบฏ แล้วจวนไท่เว่ยจะเป็นเช่นไร ไม่ใช่จะถูกประหารเก้าชั่วโคตรตายตกไปตามกันอย่างนั้นหรือ รู้แล้วหรือยังว่าความไม่รู้จักคิดของพวกเจ้าจะก่อให้เกิดหายนะใดตามมา!”
“หลานขออภัยเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อลูกขออภัยนะเจ้าคะ”
“เสี่ยวชีพี่ขอโทษ”
จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลินร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาคลอหน่วย สำนึกเสียใจแล้วว่าการกระทำโดยไม่ยั้งคิดของพวกนางก่อเรื่องใดขึ้น
“ต่อไปยังจะกล้าทำเช่นนี้อีกหรือไม่”
“หลานไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี! รู้จักสำนึกผิดก็ยังพอให้อภัยกันได้ ถ้าอย่างนั้นย่าจะลงโทษพวกเจ้าให้คุกเข่าสำนึกตนที่ศาลบรรพชนหนึ่งคืน คัดกฎตระกูล ตำราสอนหญิง และจริยธรรมของผู้เป็นสตรีหนึ่งร้อยจบ พวกเจ้ายินยอมหรือไม่”
“หลานยินยอมเจ้าค่ะ”
“ต่อไปนี้ย่าหวังว่าพวกเจ้าจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะลงมือทำ เพราะการกระทำของพวกเจ้าล้วนส่งผลต่อความอยู่รอด เกียรติยศ และชื่อเสียงของจวนไท่เว่ยของเรา เอาล่ะวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเถอะ” เฉาม่านโบกมือไล่ทุกคน หญิงชราลุกขึ้นตามการประคองของบุตรชายและลูกสะใภ้กลับเรือนตน ปล่อยหลานสาวฝาแฝดทั้งสามคนให้เป็นหน้าที่ของจ้าวลี่จ้งไปจัดการ
“ไงล่ะ! คราวนี้คงอยู่กันอย่างสงบได้พักใหญ่แล้วสินะ เจ้าสามแสบ” จ้าวลี่จ้งเคาะหัวน้องสาวทั้งสามด้วยความเอ็นดู จ้าวลี่เจียยืนเงียบมาโดยตลอดเข้ามากอดปลอบน้องสาวทั้งสามคนด้วยความสงสาร ถึงแม้น้องๆ จะซนไปบ้าง ถูกท่านแม่ดุด่าทำโทษเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยเห็นน้องสาวเสียอกเสียใจเท่าครั้งนี้
“เอาล่ะๆ หยุดร้องไห้กันได้แล้ว พี่รู้ว่าพวกเจ้าเสียใจ แต่ถือโอกาสตอนที่ท่านแม่ยังไม่กลับมารีบทานอะไรร้อนๆ กันก่อนเถอะ ใส่เสื้อคลุมหนาๆ ตอนไปที่ศาลบรรพชนจะได้ไม่หนาวมาก แล้วอย่าลืมพกซาลาเปาไส้เนื้อใส่อกเสื้อไปด้วยเผื่อหิวตอนกลางดึก ส่วนนี่เป็นเบาะรองเข่า ผูกเอาไว้ที่เข่าแบบนี้เวลาคุกเข่าจะได้ไม่เจ็บมาก” จ้าวลี่เจียเช็ดหน้าเช็ดตาให้น้องสาวทั้งสาม ก่อนจะโบกมือให้สาวใช้นำของที่เตรียมไว้มายื่นให้น้องสาว
“พี่สาม” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน และจ้าวลี่หลินมองจ้าวลี่เจียด้วยความซาบซึ้งใจ พี่สามดีกับพวกนางเป็นที่สุดเสมอ
“เจ้าก็ดีแต่ให้ท้ายพวกนาง” จ้าวลี่จ้งต่อว่าน้องสาวคนที่สามแบบไม่จริงจังนัก
“ผู้ใดบอกให้พวกนางเกิดมาเป็นน้องสาวของข้ากันเล่า ท่านพี่เองก็เถอะ ก่อนหน้านี้ซุกซนยิ่งกว่าพวกนางเสียอีก ไม่ใช่ข้าผู้นี้หรือที่คอยขอร้องแทนท่าน”
“เรื่องมันผ่านมาแล้วก็อย่าไปพูดถึงเลยน่า” จ้าวลี่จ้งกระแอมไอ ไม่อยากให้จ้าวลี่เจียเอ่ยถึงอดีตลับดำมืดของตนออกมาให้ได้อายน้องสาวสามแฝด จึงเสไปเอ่ยเร่งรัดน้องสาวแทน “เอาล่ะ เสร็จแล้วใช่ไหม เราไปรอท่านแม่ด้านนอกกันเถอะ กลับมาท่านแม่จะได้ไม่โมโหหนักกว่าเดิม”
เรื่องราววุ่นวายในจวนไท่เว่ยของเจิ้งกั๋วกงก็จบลงด้วยประการฉะนี้
หลังจากเฉินซือหยางกลับวังก็ตรงดิ่งไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ตำหนักหยางซินในทันที เฉินเทียนอี้เอนกายผ่อนคลายอิริยาบถบนเตียงตั่ง ในมือถือตำรากลยุทธ์การบริหารราชการแผ่นดิน โดยตำราเล่มนี้รวบรวมวิธีการบริหารแผ่นดินของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ และถูกส่งต่อให้ฮ่องเต้องค์ต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก การใช้คนให้เหมาะกับหน้าที่การงาน รวมถึงเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ที่ฮ่องเต้แต่ละพระองค์เคยพบเจอ ตลอดจนการจัดการและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับราชกิจของบ้านเมือง เฉินเทียนอี้อ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นบุตรชายเข้ามาหา เขาจึงปิดหนังสือเอ่ยปากทักทาย
“กลับมาแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“มานั่งนี่สิ”
เฉินซือหยางนั่งลงบนเตียงข้างเฉินเทียนอี้ตามรับสั่ง มือเล็กหยิบตำราที่เสด็จพ่อเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่เปิดดูอย่างสนใจใคร่รู้
“ถ้าสนใจก็เอากลับไปศึกษาเถอะ แค่ระวังอย่าให้ผู้ใดพบเห็นเป็นพอ” เฉินเทียนอี้ลูบศีรษะบุตรชายเล่น รับสุธารสชาจากหวังกงกงมาจิบเล็กน้อย ค่อยซักถามถึงเรื่องที่มอบหมายให้ไปทำ
“ไปเยือนจวนไท่เว่ยคราวนี้ได้เรื่องหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เราวางไว้ จ้าวลี่หมิงหยิบปิ่นที่ลูกนำติดตัวไปไม่ยอมปล่อย และยังขอหยกพกของลูกไปด้วย คาดว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่อง ‘ของแทนใจ’ น่าจะแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง”
ปิ่นปักผม และหยกพกถูกแช่ในนมผสมเซียวเฉ่า[1] ทั้งคืน ก่อนจะเอาไปให้จ้าวลี่หมิงเลือก ซึ่งกลิ่นหอมของนมผสมเซียวเฉ่านี่เองที่ดึงดูดให้จ้าวลี่หมิงหยิบปิ่นขึ้นมาดูดอมไม่ยอมวางมือ ถึงแม้จะแอบเล่นเล่ห์กับเด็กน้อยไปบ้าง แต่พอนึกถึงท่าทางโง่งมของจ้าวลี่หมิงตอนแทะปิ่นอย่างเอร็ดอร่อยจนน้ำลายยืด เฉินซือหยางก็อดยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดูเด็กน้อยไม่ได้ ดูท่าว่าแผนการกระจายข่าวลือต่อจากนี้ของเขาจะมีความจริงอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ เรื่องที่เขาพึงใจอีกฝ่ายก็เป็นความจริงล่ะนะ
เฉินเทียนอี้เห็นบุตรชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายถูกอกถูกใจอะไรบางอย่าง พอลองนึกๆ ดูแล้ว บุตรชายคงชอบเพื่อนเล่นอย่างจ้าวลี่หมิงไม่น้อย มือหนาอดโยกหัวบุตรชายเล่นไม่ได้ “จัดการได้ดี อีกสามวันพ่อจะออกพระราชทานสมรสให้ จำไว้ว่าในระหว่างนี้อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
เฉินซือหยางกลับตำหนักด้วยความเบิกบานใจผิดกับเฉินเทียนอี้ พอบุตรชายหายลับไปแล้ว องครักษ์ลับก็เข้ามารายงานเรื่องที่ฟางเซียนและองครักษ์เจาสืบมาได้ ใบหน้าปรากฏรอยเย็นชาถึงขีดสุด
“ดี! หลี่เหยียนเจี๋ยเจ้าดียิ่งนัก ถึงกับกล้าฝึกกองกำลังลับของตนเองแล้ว แบบนี้สิถึงจะทำให้ข้าไม่เบื่อหน่าย แผนการต่อไปคงไม่พ้นลักหงส์เปลี่ยนมังกรสินะ” เฉินเทียนอี้กล่าวเสียงเย็น “ไปแจ้งตำหนักคุนหนิง คืนนี้ข้าจะไประลึกความหลังกับฮองเฮาผู้เป็นที่รักเสียหน่อย”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
หวังกงกงถอยออกไปทำตามรับสั่ง เฉินเทียนอี้มองไปทางตำหนักคุนหนิงด้วยสายตามาดร้าย อยากได้องค์ชายนักใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยสงเคราะห์พวกเจ้าเอง!
คืนนั้นเฉินเทียนอี้เสด็จไปประทับที่ตำหนักคุนหนิงอย่างเหนือความคาดหมายของใครหลายๆ คน ในระหว่างพูดคุยหยอกเย้าฉันสามีภรรยาอยู่นั้น ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นหลี่ลู่เหม่ยและหลี่ลู่อิงที่ปรนนิบัติข้างกายฮองเฮา หลี่ลู่เหม่ยมีดวงพักตร์คมขำขาวผ่องเป็นที่ถูกตาต้องใจ จึงเรียกให้ถวายงานที่ห้องข้างในตำหนักคุนหนิง หลี่ลู่เหม่ยบรรจงแต่งเนื้อแต่งตัวมาเต็มที่เผยรอยยิ้มขัดเขินยินดีที่ตนเองได้รับเลือก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปิดบังแววทะยานอยากในดวงตาของนางได้ หญิงสาวเดินตามหมัวมัว ก่อนไปยังไม่วายทิ้งสายตาให้เฉินเทียนอี้ ทำเอาหลี่ลู่เหลียนฮองเฮาโมโหจนลมจุกอก ได้แต่บิดผ้าเช็ดหน้าแค้นใจสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องอย่างลูกพี่ลูกน้องของตน บังอาจแย่งโอกาสอันหาได้อยากยิ่งนี้ไปจากตนหน้าด้านๆ
หลี่ลู่เหลียนคอแข็งกลับแสร้งวางเฉยพูดคุยสัพเพเหระกับเฉินเทียนอี้ต่อ ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งหลี่ลู่เหลียนก็ไม่เคยได้สัมผัสค่ำคืนวสันต์ร่วมกับเฉินเทียนอี้เลยสักครั้ง เขามาเพียงครู่แล้วก็ไปค้างที่ตำหนักอื่นปล่อยให้นางเปล่าเปลี่ยวเดียวดายราวกับแม่ม่ายสามีทิ้ง นางรู้ว่าตนเองอายุมากกว่าเฉินเทียนอี้หลายปีนัก แต่นังแพศยาหลานซือเยว่ก็ไม่ใช่ว่าอายุมากกว่าเขาเช่นกันหรือ เหตุใดเขาโปรดปรานนังแพศยานั้นจนกระทั่งตายไปแล้วยังหาตัวแทนมาปรนนิบัติ แต่กลับไม่คิดโปรดปรานนางบ้าง นางงดงามน้อยหน้านังแพศยาเหล่านั้นที่ใดกัน!
เฉินเทียนอี้มองท่าทางอัดอั้นตันใจของหลี่ลู่เหลียนด้วยท่าทีวางเฉย หลังจากพูดคุยกับอีกฝ่ายเพียงครู่ เฉินเทียนอี้ก็ผละจากไปไม่อยากจะเห็นหน้าคนตระกูลนี้ให้รกหูรกตา
ทันทีที่เฉินเทียนอี้เดินเข้าประตูห้องข้างมา กลิ่นธูปเสน่หาก็พุ่งเข้าปะทะหน้า กลิ่นกระตุ้นเร้าราคะรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วห้อง ชายหนุ่มยิ้มเย็นโบกมือให้หวังกงกงปิดประตูให้เรียบร้อย แล้วสาวพระบาทตรงไปยังห้องด้านใน
“ฝ่าบาทเพคะ รีบๆ เข้ามาสิเพคะ หม่อมฉันร้อนเหลือเกิน” หลี่ลู่เหม่ยร่างกายเปลือยเปล่านอนบิดเร่าอยู่บนแท่นบรรทม เอ่ยเรียกเฉินเทียนอี้เสียงกระเส่า มือขาวเรียวลูบไล้ไปตามเรือนกายตัวเอง ยั่วเย้าให้ชายหนุ่มเข้ามาเสพสมอย่างลืมตัวลืมอาย กลิ่นธูปกระตุ้นเร้าให้สติของนางพร่าเลือนไปหมด ร่างกายร้อนเร่าอดรนทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาโลมไล้ร่างกายกำยำล่ำสันของเฉินเทียนอี้เพื่อปลุกเร้าชายหนุ่มไปพร้อมๆ กัน
“หญิงสาวตระกูลหลี่เช่นพวกเจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายกันหมดทุกคน” เฉินเทียนอี้ผลักเรือนร่างงดงามของหลี่ลู่เหม่ยออกด้วยความรังเกียจ จนร่างบางเซถลาล้มลงกระแทกเตียง ขณะกำลังมึนงงอยู่นั้น เปลวเทียนในห้องก็ดับลงพร้อมกับร่างสูงใหญ่กำยำที่โถมเข้าหา หลี่ลู่เหม่ยร้องครวญครางเสียงดังอย่างเจ็บปวดปนสุขซ่านเมื่อกายหนาโถมเข้าลึกสุดตัว
เฉินเทียนอี้มองเงาร่างสูงใหญ่ หนึ่งบอบบาง เสพสังวาสกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มนั่งเป็นประจักษ์พยานในการก่อกำเนิดองค์ชายของตระกูลหลี่อยู่ค่อนคืนค่อยเดินจากไปท่ามกลางความมืดยามราตรีเพียงลำพัง
[1] วานิลลา
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้
ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
ค่ำคืนดึกสงัดร้างไร้ผู้คน จันทราหลบเร้นหลังม่านเมฆไร้แสงดาวเงาร่างในอาภรณ์สีนิลหลายนายอาศัยความมืดอำพรางกายเร้นหายไปในย่านชุมชนแออัดฝั่งตะวันตกของเมือง ณ เรือนไม้ผุพังหลังหนึ่งท้ายชุมชน “มา! ดื่ม” ผู้คุ้มกันที่ต่งเซินจ้างวานมาปลอมตัวเป็นคนงานแบกหามกำลังนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกภายในเรือนเก่าโทรมหลังน้อยที่ใช้กักขังหมอใบ้ผู้ชรา หลังจากเห็นว่าหมอเฒ่าเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนก็ออกมาดื่มเหล้าท้าลมหนาวตั้งแต่หัวค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ทำงานคุ้มกันมาเป็นสิบปียังไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ทุกคนจึงชะล่าใจไม่ได้เข้มงวดกวดขันเหมือนตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เลยไม่ได้ระมัดระวังปล่อยตัวตามสบายดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองเมามายไร้สติอยู่นั้น เงาร่างสูงใหญ่ในชุดพรางกายสีดำสนิทก็โผล่มาข้างกายผู้คุ้มกันทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะลงมือปลิดชีพพวกเขาในดาบเดียว  
หลานซือเยว่อุ้มสิงโตตัวน้อยเข้ามาในห้องบรรทม ใช้ผ้าที่อบจนอุ่นบรรจงเช็ดขนให้เจ้าตัวน้อยอย่างใส่ใจ สวีเฟยหลงถูกภรรยาปรนนิบัติรู้สึกอุ่นสบายไปทั้งตัว นอนหมอบอยู่บนตัก อ้าปากหาวหวอด ซุกไซ้ศีรษะกับต้นขานุ่มหาที่นอน ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาของหลานซือเยว่ “จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ ระวังจะอดกินเนื้อในมื้อค่ำนะเจ้าตัวเล็ก” หลานซือเยว่แกล้งเขี่ยใบหูนิ่มของลูกสิงโตทองเล่น เห็นใบหูเล็กๆ นั่นกระดุกกระดิกหลบหลีกนิ้วมือเรียวไปมา ไหนจะเสียงครางประท้วงคล้ายถูกก่อกวนอย่างหนัก ทำเอาหลานซือเยว่หัวเราะคิกคักชอบใจ “อืมมม เรียกแต่เจ้าตัวเล็กๆ ลืมไปว่าเจ้ายังไม่มีชื่อนี่น่า ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม เอาชื่ออะไรดีนะ” หลานซือเยว่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เก็บมันมาเลี้ยงยังไม่เคยตั้งชื่อให้มันเลย ดวงหน้าหวานซึ้งฉายแววครุ่นคิด ละมือจากใบหูนิ่มไม่ก่อกวนเจ้าสิงโตตัวน้อยอีก สวีเฟยหลงผงกศีรษะมองภรรยาอย่างคาดหวัง ส่งกระแสแห่งรักให้หลินเสวี่ยเฟิ่งไม่ขาดสายด้วยหวังว่าภรรยาจะเรียกชื่อเขาถูก เพราะว่าคะนึงหาเขาอยู่เสมอ ‘อาหลง เสวี่ยเอ๋อร์เรียกข้าว่า อาหลงสิ’ เฉินเทียนอี้ออกมาจ
ตำหนักข้างฝั่งตะวันออกของตำหนักเยว่ชุนตกอยู่ในวสันตฤดูอันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ช่างแตกต่างกับตำหนักหลักที่ตอนนี้ร้อนระอุราวตกอยู่ในวันที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน เฉินเทียนอี้ปรายตามองภรรยาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสิงโตตัวน้อยมาตลอดทาง ถ้ามันเป็นลูกสิงโตจริงๆ มีหรือที่เขาจะถือสา แต่สิงโตตัวนี้จ้องแต่จะคอยออดอ้อนภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และยังกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ภรรยามันเสียทุกทาง แถมไม่ยอมห่างจากหลานซือเยว่แม้เพียงเสี้ยววินาที แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากจับเจ้าสิงโตจอมเสแสร้งนี่ย่างกินเสียหลายครั้งได้อย่างไร และตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหรือ ก็นั่งแทะโลมนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกของภรรยาเขาอยู่น่ะสิ! ‘เจ้าอยากโดนโยนออกไปนอกห้องนักใช่ไหม’ สวีเฟยหลงนั่งอยู่บนตักหลินเสวี่ยเฟิ่งกำลังไล้เลียนิ้วมือเรียบเนียนของภรรยาเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหยุดชะ
ขบวนเสด็จออกเดินทางกันมาหกวันหกคืน เดินๆ หยุดๆ กว่าจะถึงตำหนักเยว่ชุนก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่เจ็ด จากปกติหากเดินทางโดยรถม้าจะถึงภายในสองวัน ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันแท้ๆ แต่เพราะบรรดานายท่านทั้งหลายต่างพากันยิงนกตกปลากันไปตลอดทาง ค่ำไหนนอนนั้น แวะมันทุกอำเภอ เส้นทางจากพระราชวังถึงตำหนักเยว่ชุนต้องผ่านทั้งสิ้นห้าอำเภอ สิบสองตำบล ยี่สิบเจ็ดหมู่บ้าน ดีที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่ได้ตามพระทัยว่าที่พระชายาและคุณชายหลินมากจนเกินขอบเขต หากตามใจกันขึ้นมาจริงๆ โดยการแวะมันทุกหมู่บ้านตามคำเสนอแนะของว่าที่พระชายาแล้วละก็ คาดว่าคงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หลังจากต้องนั่งรถม้าวนรอบภูเขาสูงหลายสิบรอบจนเวียนหัวตาลายในที่สุดยอดอาชาทั้งแปดตัวที่ใช้ลากรถม้าก็นำพาบรรดาเจ้านายของมันมาถึงตำหนักเยว่ชุน “ว้าว! สวยสุดๆ ไปเลย” จ้าวลี่หมิงอุทาน ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตำหนักหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงชันเปล่งประกายสีขาวนวลเจิดจรัสท
ม่านหมอกหนาทึบอัดแน่นไปด้วยไอวิเศษยังคงปกคลุมดินแดนเร้นลับในทุกอณูพื้นที่ กดดันให้ผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้หายใจอย่างยากลำบาก เพราะหากสูดรับเอาไอปราณเข้มข้นเหล่านี้มากเกินไปร่างกายอาจระเบิดเอาได้ง่ายๆ เงาร่างในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองมหานทีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชืด สวีหนิงหลงพยายามกำหนดลมหายใจไม่ให้ตนเองสูดรับไอวิเศษเข้าไปมากเกินไป หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากเทียนตี้ให้ออกมาตามหาร่องรอยของสวีเฟยหลง เขาก็นำกำลังพลตรงดิ่งมายังดินแดนเร้นลับโดยไม่รอช้า หลังจากค้นหากันอยู่นาน พวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางดินแดนเร้นลับ นั่นก็คือ ทะเลมหาธาตุแห่งจินหลิงในหุบเขาเร้นเมฆา ริ้วคลื่นในมหานทีเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้กระนั้น หรือมีบางอย่างทำให้พวกมันหวาดกลัวจนต้องหลบลี้จากที่แห่งนี้กันแน่
จ้าวลี่หมิงมองสิงโตทองตัวน้อยตาละห้อย อิจฉาหลินเสวี่ยเฟิ่งขั้นสุดจนลำไส้เขียว อยากเป็นเจ้าของสิงโตทองตัวนี้แทบขาดใจ นี่มันสิงโตทองเชียวนะ สิงโตทอง! สิงโตขาวว่าหาได้ยากแล้วยังสามารถพบเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งคราว แต่สิงโตทองตัวนี้คงหายากระดับตำนาน ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีตัวที่สองโผล่มาให้เห็นอีกหรือไม่ จ้าวลี่หมิงเช็ดไม้เช็ดมือที่มีเหงื่อผุดซึมกับชายผ้าด้วยความตื่นเต้น แอบเอื้อมอุ้งมือมารมาลูบหัวสิงโตตัวน้อยที่นั่งยืดอกเชิดหน้าราวกับพญาราชสีห์บนฝ่ามือของหลินเสวี่ยเฟิ่ง แต่กลับถูกเฉินเทียนอี้หิ้วแผงคอเจ้าตัวเล็กตัดหน้าไปเสียก่อน เฉินเทียนอี้พิจารณาลูกสิงโตตรงหน้าอย่างละเอียด ยามนัยน์ตาคมเข้มสบเข้ากับดวงตาสีนิลคมวาวแฝงแววท้าทายอย่างเปิดเผยนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้ฉุนกึก สวีเฟยหลงส่งรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้เหนือกว่าให้เฉินเทียนอี้ ชายหนุ่มแสร้งเลียอุ้งเท้าน้อยๆ ของตัวเองอย่างสบายอกส
ขบวนเสด็จเดินทางมาถึงศาลาสิบลี้ ในบรรดาขุนนางจากสามฝ่ายหกกรมมีทั้งเสนาบดี รองเสนาบดีจากทุกฝ่าย หานจางหมิ่นเองก็มาร่วมส่งเสด็จด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้อื่นมองข้ามไปล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ รวมถึงผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านภายในรถม้าพระที่นั่งผู้นั้นตลอดทางเขาคอยสังเกตบุคคลปริศนาตลอดเวลาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นชัดว่าตอนที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามากล่าวลาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับหานจางหมิ่น ผู้ใดกันที่มีความสำคัญต่อเฉินเทียนอี้ถึงเพียงนี้ ขนาดให้เท้าลงมาสัมผัสพื้นดินยังไม่ยินยอม หานจางหมิ่นได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ รอจนพิธีส่งเสด็จเป็นที่เรียบร้อยค่อยสั่งความคนสนิทข้างกายเสียงขรึม “ไปสืบความเป็นมาของผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมาให้ละเอียด” &nbs
จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห
แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม
สายลมยามดึกพัดผ่าน เปลวเทียนในตำหนักหยางซินพลิ้วไหวทำให้ภายในห้องบรรทมสลัวราง มือเรียวบิดผ้าหมาดชื้นเช็ดไปตามโครงหน้าคมเข้มด้วยความห่วงใย ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เช้าบัดนี้กลับมีการขยับไหว แม้เพียงนิดแต่หลานซือเยว่ซึ่งดูแลมาหลายชั่วยามย่อมจับสังเกตได้ เฉินเทียนอี้รู้สึกถึงความเปียกชื้นลืมตาตื่นในที่สุด ดวงตาลอยคว้างไร้จุดหมายเพียงครู่รูม่านตาก็หดแคบภาพดวงหน้างดงามคล้ายภรรยาของหลินเสวี่ยเฟิ่งลอยอยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินเทียนอี้ที่ยังมึนงงอยู่ได้สติกลับมา “เสี่ยวเทียน ท่านฟื้นแล้ว!” หลานซือเยว่เรียกชายหนุ่มอย่างดีใจ รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวเฉินเทียนอี้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะรินน้ำชาอุ่นๆ ให้ชายหนุ่มจิบแก้กระหาย “มา ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เฉินเทียนอี้มองหลานซือเยว่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน สายตาลึกล้ำหนักอึ้งราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนจมหายลงไปในความมืดมิดนั้นหลับลง