หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้ อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉมเบ่งบาน จนกลิ่นหอมกำจายไปไกลดึงดูดเหล่าภมรให้มาดอมดม เป็นภาพชวนติดตราตรึงใจไม่รู้ลืม จ้าวลี่จ้งลืมตัวเหม่อมองเป็นครู่ ก่อนจะถูกเสียงเรียกดึงสติกลับมา
“คุณหนูจ้าว?”
“คุณชายท่านนี้ ท่านเรียกข้าหรือ” จ้าวลี่จ้งมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ ไม่คิดว่าตนเองจะมีวาสนาเป็นที่รู้จักของบุรุษรูปงามเช่นนี้ด้วย
“ขออภัยที่ไม่เอ่ยแนะนำตัว ข้าน้อยจินซาน ต้องขอบคุณที่วันนั้นคุณหนูมีน้ำใจช่วยชีวิต บุญคุณยิ่งใหญ่ กลับตอบแทนได้เพียงน้อยนิด ข้าน้อยละอายใจยิ่งนัก หากมีเรื่องใดที่ข้าน้อยสามารถช่วยเหลือได้ขอให้คุณหนูเอ่ยปากอย่าได้เกรงใจ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าน้อยก็ยินดี”
ฟังถึงตรงนี้จ้าวลี่จ้งถึงนึกขึ้นได้ว่าในงานเลี้ยงฉลองชัยตนได้ช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งไว้จริงๆ ตอนนั้นเหตุการณ์วุ่นวายถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวอยากทดแทนบุญคุณนางถึงเพียงนี้ ถ้าไม่สนองตอบจะเป็นการไม่ควรยิ่ง ท่านพ่อเคยกล่าวว่าบัณฑิตพวกนี้มีแต่ความรู้เต็มท้อง ผายลมออกมาก็มีแต่หลักการ ยึดติดกับคุณธรรมเป็นที่สุด ช่างน่าเบื่อหน่าย
จ้าวลี่จ้งถอนหายใจ จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรดีๆ ออก “หากเป็นเรื่องขอความช่วยเหลือจากคุณชายจินก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่คุณชายแน่ใจหรือว่าจะสามารถทำตามที่ลั่นวาจาได้”
“ขอแค่ไม่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมอย่างฆ่าคนวางเพลิง ข้าน้อยย่อมรับปากทุกเรื่องเพื่อทดแทนบุญคุณ”
“ดี! เช่นนั้นก็ดี อันว่าหญิงชายย่อมมีความแตกต่างไม่ควรใกล้ชิด หากข้าจำไม่ผิดวันนั้นข้ากับท่านแนบชิดกันถึงเพียงนี้ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียง และจริยธรรมอันดีของข้า แต่ในเมื่อข้าทำไปเพราะช่วยชีวิตคุณชายนั่นย่อมละเลยได้ แต่บุญคุณช่วยชีวิตยิ่งใหญ่ดุจผู้ให้กำเนิด ท่านไม่คิดจะพลีกายถวายชีวิตตอบแทนข้าบ้างหรือ หืมมม” จ้าวลี่จ้งยิ้มร้าย ใบหน้าหล่อเหลาถอดเค้ามาจากเจิ้งกั๋วกงสมัยหนุ่มยิ่งน่ามอง แต่พอนึกว่านี่เป็นใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งกลับทำให้จินซานรู้สึกแปลกๆ คล้ายยากจะยอมรับได้อยู่หน่อยๆ
“คุณหนูล้อเล่นแล้ว”
“ใครบอกว่าข้าล้อเล่น ข้าจริงจังมากต่างหาก หรือว่าคุณชายมีภรรยาแล้ว”
“หา! ภรรยา? ของแบบนั้นใช่จะมีก็มีง่ายๆ ได้อย่างไร”
“แล้วเหตุใดคุณชายจินไม่ยอมรับการสู่ขอจากข้า”
“สู่ขอ? ท่านน่ะหรือจะสู่ขอข้า?”
“ใช่ ท่านจะได้เป็นบุตรเขยคนรองของเจิ้งกั๋วกงอย่างไรเล่า และยังได้ตอบแทนบุญคุณข้าอีก เป็นอย่างไรเช่นนี้ดีหรือไม่”
จ้าวลี่จ้งหลอกล่อ สืบเท้าเข้าหาชายหนุ่มจนจินซานถอยร่น เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของคนทั้งสอง จ้าวลี่จ้งนั้นสูงโปร่งกำยำดุจนักรบ ในขณะที่จินซานผอมบางดุจกิ่งหลิว และยังเตี้ยกว่าจ้าวลี่จ้งถึงหนึ่งช่วงศีรษะ หนึ่งงดงามอ่อนหวาน? หนึ่งดุดันแกร่งกร้าว? เมื่อยืนเคียงกันในสวนสวยแล้ว ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดุจกิ่งทองใบหยก
“คุณหนูหยอกล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานคุณหนูควรปรึกษาญาติผู้ใหญ่ให้ดี เพราะมันคือความสุขชั่วชีวิตของคุณหนูเอง”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่ท่านพยักหน้า อีกสามวันจะมีแม่สื่อไปสู่ขอท่านถึงเรือนทันที”
“หากข้าไม่ยินยอมเล่า”
“เช่นนั้นท่านก็ไม่ควรพูดว่าจะรับปากทุกเรื่องที่ข้าร้องขอตั้งแต่ทีแรก เพราะมันจะเป็นบ่วงรัดตัวท่านเอง”
ได้หยอกเย้าบัณฑิตหนุ่มหน้ามน อารมณ์ร้อนรุ่มกลุ้มใจของจ้าวลี่จ้งก็ดีขึ้นเป็นกอง ผิดกับท่าทางครุ่นคิดอย่างหนักของจินซาน
“ขอเวลาข้าน้อยคิดเรื่องนี้สักหน่อยได้หรือไม่” จินซานกล่าวด้วยท่าทีหนักใจ
“เช่นนั้นคุณชายจินก็ค่อยๆ คิดเถิด ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ ขอตัว”
“คุณหนูเดินระวังๆ ด้วย”
จินซานมองส่งจ้าวลี่จ้งจนลับสายตา เรื่องราวเล็กๆ นี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่รู้
อีกเรื่องคงหนีไม่พ้นฟางเซียนยอดหญิงงามแห่งหอผู่เยว่ อนุภรรยาคนใหม่ที่ไทเฮาพระราชทานแก่จ้าวมู่ นับตั้งแต่หญิงงามนั่งเกี้ยวสี่คนหามเข้าประตูข้างมา ฟางเซียนก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนไม่คิดแย่งชิงความรักกับฮูหยินใหญ่ ทำให้วันคืนของนางผ่านไปอย่างราบรื่นสงบสุข ตัวตนของฟางเซียนค่อยๆ เลือนหายไปจากใจทุกคน พอจวนไท่เว่ยวุ่นวายกับการจัดงานเลี้ยงฉลองทุกคนยิ่งลืมหญิงสาวไปเสียสนิทใจ ซึ่งฟางเซียนพอใจยิ่ง พอไม่มีคนคอยจับตามอง นางยิ่งเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น
ฟางเซียนสังเกตเห็นความผิดปกติของจวนไท่เว่ยได้อย่างรวดเร็ว จากการคุ้มกันแน่นหนา วันนี้ข้ารับใช้และทหารในจวนต่างวิ่งวุ่นไปทั่วเหมือนตามหาอะไรบางอย่าง ทำให้การคุ้มกันหละหลวม นางเพิ่งสืบได้ความว่าคุณชายจ้าวลี่หมิงหายตัวไป หลี่เหยียนเจี๋ยที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ด้วย แอบส่งสัญญาณให้หญิงสาวตามเขาออกมาหามุมลับตาผู้คนเพื่อพูดคุย
“นายท่าน”
“เรื่องที่ให้ทำตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“จวนไท่เว่ยคุ้มกันแน่นหนาดุจถังเหล็ก ผู้น้อยยังหาวิธีลอบเข้าห้องหนังสือของเจิ้งกั๋วกงไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“เร่งมือเข้า ใช้ความงามของเจ้าให้เป็นประโยชน์ คราวหน้าข้าจะต้องได้ข้อมูลลับเฉพาะที่สามารถใช้ควบคุมจ้าวมู่ได้ ถ้าหากไม่ได้เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและคนของเจ้า”
“ผู้น้อยจะพยายามสุดกำลังเจ้าค่ะ” ฟางเซียนแสร้งหวาดกลัวคำขู่ของหลี่เหยียนเจี๋ยจนตัวสั่น ก่อนจะอ้อมแอ้มถามไปอีกเรื่อง “เอ่อ... แล้วเรื่องที่นายท่านเคยรับปากผู้น้อย”
“เรื่องนั้นข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าแค่ตั้งใจทำตามคำสั่งของข้าเป็นพอ”
“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ”
“อย่าลืม ถ้าได้ของมาแล้วให้นำไปมอบให้คนเลี้ยงม้าที่ชื่อเสี่ยวโต้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้เจ้าติดต่อกับเขาโดยตรง”
“เจ้าค่ะ”
หลี่เหยียนเจี๋ยสั่งความเสร็จค่อยหันกายเดินจากไป ฟางเซียนเองก็ปลีกตัวกลับเรือนตัวเอง ทันทีที่ประตูเรือนปิดสนิท ชายชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของฟางเซียน หญิงสาวไม่ได้หันกลับไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมา
“มีรับสั่งจากฝ่าบาทหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
“กลับไปรายงานฝ่าบาทว่าทางเจิ้งกั๋วกงไม่มีปัญหา หลี่เหยียนเจี๋ยรับองครักษ์เจาเข้ากองทัพลับแล้วคาดว่าน่าจะได้หลักฐานการซ่องสุมกำลังพล และแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ตระกูลหลี่ใช้บำรุงกองทัพลับ จับตาดูคนเลี้ยงม้าที่ชื่อเสี่ยวโต้วด้วย คาดว่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของเสนาบดีหลี่จากคนผู้นี้”
“ต้องการให้สร้างข้อมูลลับของเจิ้งกั๋วกงตบตาหลี่เหยียนเจี๋ยหรือไม่”
“ต้องรบกวนแล้ว ตอนนี้การคุ้มกันจวนหละหลวมข้าจะไปค้นหาทางเข้าห้องลับของเจิ้งกั๋วกงเสียหน่อย หากได้ข่าวอะไรเพิ่มเติมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที”
“ขอรับ”
องครักษ์เงาไปมาไร้ร่องรอยดุจภูตพราย ฟางเซียนกวาดตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัย หญิงสาวจึงถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกซ่อนไว้ในอกเสื้อ ใบหน้าคล้ายกู้ฟางเหนียงถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเฉยชาไร้ความรู้สึกของสตรีนางหนึ่ง ฟางเซียนถอดชุดกระโปรงยาวกรุยกรายออก เปลี่ยนเป็นชุดพรางกายสีดำสนิท นางคือหนึ่งในองครักษ์เงาที่แฝงตัวเข้ามาตามรับสั่งของฝ่าบาท ฟางเซียนตัวจริงและน้องชายผู้อาภัพที่ถูกนางและองครักษ์เจาสวมรอยถูกส่งไปไกลหลายพันลี้[2] นางได้รับภารกิจให้มาจับตาดูเจิ้งกั๋วกงและแฝงตัวเป็นสายให้หลี่เหยียนเจี๋ยเพื่อล้วงข้อมูลจากอีกฝ่าย เรียกว่าหมากตานี้ของฝ่าบาทร้ายกาจยิ่งนัก
หญิงสาวแต่งกายเสร็จก็อาศัยจังหวะที่บ่าวรับใช้ประจำเรือนยังไม่กลับมา ย่องออกจากเรือนนอน ก่อนจะหายไปทางทิศที่ตั้งห้องหนังสือของเจิ้งกั๋วกง
[1] ผู้แต่งดัดแปลงมาจากฉายาของสี่ยอดหญิงงาม โดยมัจฉาจมวารีได้บรรยายถึงความงามของไซซี ปักษีตกนภาคือ ฉายาหวังเจาจวิน จันทร์หลบโฉมสุดาคือ ฉายาเตียวเสียน และมวลผกาละอายนางคือ ฉายาของหยางกุ้ยเฟย
[2] ลี้ (里) เป็นหน่วยวัดของจีนมีความยาวเท่ากับ 500 เมตร
เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้
ฮวงจุ้ยของจวนไท่เว่ยน่าจะดีเป็นพิเศษ นอกจากมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองตระกูลจ้าวกับรองเสนาบดีกรมพิธีการในช่วงเช้ากระจายออกไปแล้ว ช่วงบ่ายก็มีขบวนรถจากวังหลวงเดินทางมาถึงจวนไท่เว่ย รถม้าติดตราราชวงศ์หลายสิบคันจอดเรียงรายยาวเหยียดแทบปิดเส้นทางสัญจรฝั่งตะวันออกของเมือง เฉินซือหยางนำหวังกงกงมาเยือนจวนไท่เว่ยกะทันหัน ทำเอาจ้าวมู่ที่เพิ่งได้รับรายงานจากทหารรับใช้รีบควบม้ากลับจวน เห็นองค์รัชทายาทยืนรอพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขา จ้าวมู่ก็รีบเข้าไปค้อมกายทักทายทันที “องค์รัชทายาท” “เจิ้งกั๋วกง” เฉินซือหยางพยักหน้าให้อีกฝ่ายยิ้มๆ อีกฝ่ายมาต้อนรับเขารวดเร็วถึงเพียงนี้ คงได้รับข่าวตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากวังเลยกระมัง “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงให้เกียรติมาเยือนจวนของผู้น้อยได้ขอรับ” “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราถูกชะตากับบุตรชายของท่านยิ่งนัก ไหนๆ วันนี้เสด็จพ่อก็มีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทรา
จ้าวมู่เดินนำกู้ฟางเหนียงกลับเรือนนอน หลังจากสองสามีภรรยาปิดประตูห้องสนิท กู้ฟางเหนียงที่ร้อนอกร้อนใจเรื่องของบุตรชายอยู่เป็นทุนเดิมก็ผวาจับมือสามีแน่น “ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งเช่นนี้ แล้วท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเสี่ยวชีนี่มันอะไรกัน” “น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน” “จะให้น้องใจเย็นได้อย่างไร นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราเลยนะเจ้าคะ” “แล้วเจ้าจะให้พี่ทำเช่นไร ขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ ถ้าทำเช่นนั้นคนที่จะถูกประหารเป็นคนแรกคือเสี่ยวชีรู้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรงเมื่อได้ยินคำตอบของสามี ดวงตากลมโตของนางแดงระเรื่อ สะท้อนใจกับอนาคตที่ไม่แน่นอนของบุตรชาย “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ” จ้าวมู่นั่งลงข้างกายกู้ฟางเหนียง รวบร่างบางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือหนาลูบไล้บ่าบ
ทันทีที่เฉินซือหยางกลับวังข่าวพระราชทานสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงก็แพร่สะพัดออกไปราวกับพายุลูกใหญ่ ราษฎรโจษจันกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่าองค์ฮ่องเต้วิปลาสไปแล้ว มีที่ไหนออกราชโองการให้บุตรชายหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกันเอง บ้างก็เล่าลือว่าองค์รัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปจึงมีพระราชทานสมรสเช่นนี้ออกมา บ้างก็บอกว่าฮ่องเต้กลัวองค์รัชทายาทสั่นคลอนบัลลังก์จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมโดยการให้สมรสกับบุรุษจนอีกฝ่ายสิ้นไร้ทายาท บ้างก็ว่าจ้าวลี่หมิงผู้มีรูปโฉมงดงามล่มเมืองยั่วยวนให้องค์รัชทายาทหลงใหลจนเก็บไปละเมอเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เป็นอันกินอันนอน ฮ่องเต้ทรงเห็นองค์รัชทายาทปวดพระทัยไข้ใจรุมเร้าจึงมีรับสั่งบังคับให้บุตรชายของผู้อื่นหมั้นหมายด้วยเช่นนี้ บ้างก็เล่าลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับจ้าวลี่หมิงลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว ฮ่องเต้จึงจำใจต้องออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ยิ่งลือยิ่งไปกันใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยว่าบุคคลผู้กำลังเป็นที่ฮือฮาถูกพูดถึงกันอยู่นั้น
อย่างไรก็ดีข่าวเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ก็ไม่อาจกลบความจริงที่ว่าตอนนี้จวนไท่เว่ยทะยานขึ้นฟ้ากระทั่งไก่สุนัขยังพลอยได้ขึ้นสวรรค์[1] ตามไปด้วย ของขวัญแสดงความยินดีกับจ้าวลี่หมิงหลั่งไหลมาดุจสายน้ำหลากในยามวสันต์ มีคนคิดประจบเอาใจย่อมมีคนอิจฉาริษยา คนไม่พอใจที่เจิ้งกั๋วกงได้ดีแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมี 'ต่งเซิน' รวมอยู่ด้วย หลังออกจากท้องพระโรง เสนาบดีกรมคลังผู้อุดมไปด้วยไขมันพกความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มท้องไปเยือน 'หอผู่เยว่' หอโคมเขียวอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่นี่มีทั้งคณิกาหญิงและชายไว้คอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ละคนล้วนมีใบหน้างดงามตรึงใจ แน่นอนว่าดาวเด่นของหอผู่เยว่คือ แม่นางฟางเซียนที่ต่งเซินพลาดประมูลคืนแรกไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำนางยังถูกส่งไปเป็นอนุของเจิ้งกั๋วกงอีก สมัยก่อนกู้ฟางเหนียงขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยอดบุปผางามที่ชายทุกคนต่างหมายปอง ฟางเซียนผู้มีดวงหน้าคล้ายคลึงย่อมไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด เขาแอบชื่นชมกู้ฟางเหนียงใจสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ยังมีฟ
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ