“ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ”
ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่
“ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”
“ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
“สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“หมดจอก” เหล่าแม่ทัพนายกองขานรับ ยกจอกสุรากระดกจนหมดจอกเช่นกัน ปลาบปลื้มใจในพระมหากรุณาธิคุณขององค์เหนือหัวที่ทรงให้ความสำคัญกับนายทหารหยาบกระด้างเช่นตน พอสุราไหลลงกระเพาะบรรยากาศจึงผ่อนคลายดูเป็นกันเองมากขึ้น
หลังการดื่มฉลองชัย งานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงฉินบรรเลงแว่วหวาน เหล่านางระบำออกมาร่ายรำราวกับนกกระเรียนโผบินสู่ยอดเขาสูง ผู้คนในงานต่างเพลิดเพลินกับสุรา อาหาร และการแสดงสุดตระการตา บางคนถือโอกาสนี้คารวะสุราเจิ้งกั๋วกง ยินดีกับชัยชนะในการศึกครั้งนี้ งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างครึกครื้นได้ช่วงหนึ่ง หวังกงกงก็ถวายบังคมเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วประกาศราชโองการ
“เจิ้งกั๋วกงรับราชโองการ”
จ้าวมู่ก้าวออกมาคุกเข่าคำนับเบื้องหน้าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ หวังกงกงคลี่ราชโองการสีเหลืองทองในมือออกอ่าน
“ด้วยบัญชาแห่งโอรสสวรรค์ เจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ประกอบคุณงามความชอบใหญ่หลวงแก่แผ่นดินต้าเฉินของเรา พระราชทานรางวัลที่ดินหนึ่งพันฉิ่ง[2] ผ้าแพรเจียงโจวชั้นดีพันพับ ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง อาชาเหงื่อโลหิตหนึ่งคู่ และเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ไท่เว่ย[3] ประดับพู่ห้อยตราทองแถบม่วง[4] พร้อมจวนแม่ทัพประจำตำแหน่ง มีนายทหารใต้บังคับบัญชาร้อยหมื่นนาย ประจำการที่ค่ายหงจวินนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จบราชโองการ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เกิดเสียงฮือฮาเบาๆ ในหมู่ขุนนาง ทุกคนต่างอิจฉาในโชควาสนาของเจิ้งกั๋วกงที่ได้เป็นถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ เลื่อนจากขุนนางขั้น 2 เป็นขุนนางขั้น 1 ในชั่วพริบตา มีอำนาจวาสนาเทียบเท่ากับอัครมหาเสนาบดี อยู่ใต้คนหนึ่งคน แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น ดั่งนกเฟิ่งทะยานสู่ท้องนภาก็คงไม่ผิดนัก ผู้ใดเล่าจะไม่ริษยา
“น่ายินดี ช่างน่ายินดียิ่ง เรื่องดีๆ เช่นนี้จะขาดอายเจีย[5] ไปได้เช่นไร ได้ยินข่าวว่าเรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงยังว่างเปล่า บุตรธิดาที่จะแสดงความกตัญญูก็มีน้อยยิ่งนักใช่หรือไม่” หลี่ย่าเสียงเอ่ยขัดเสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีกับจ้าวมู่ จนผู้คนต่างพากันเงียบกริบกันถ้วนหน้า ไม่รอให้จ้าวมู่เอ่ยขัด หลี่ย่าเสียงก็ปรบมือเรียกนางกำนัลข้างกาย “เด็กๆ พาคนเข้ามา”
สตรีสวมชุดกระโปรงหรูฉวิน[6] สีแดงสดยาวกรุยกราย ย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงกว้าง ผ้าคลุมไหล่สีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวตามการเคลื่อนกายของนางแลดูเย้ายวนใจ ใบหน้างดงามอ่อนช้อยนั้นงามล่มเมืองคล้ายกับใครบางคนราวกับถอดรูป จนเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วตำหนักไท่เหอ สายตาทุกคู่จับจ้องกู้ฟางเหนียงสลับกับสตรีปริศนาผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนด้วยความสนใจใคร่รู้ รอชมเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
“นี่คือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอผู่เยว่”
“ฟางเซียนคารวะทุกท่านเจ้าค่ะ”
“ข้าเห็นใบหน้าของนางคราแรกก็คิดถึงเจิ้งกั๋วกงขึ้นมาทันทีเลยรู้หรือไม่ วีรบุรุษย่อมคู่กับสาวงาม จากนี้ไปข้ายกให้เจ้าดูแลต่อเป็นเช่นไร ถือเสียว่าเป็นรางวัลชนะศึกจากอายเจีย”
จ้าวมู่เหม่อมองใบหน้าของฟางเซียนด้วยความตกตะลึงอยู่เป็นนาน แต่พอได้ยินว่าไทเฮาทรงเปรียบเปรยว่าฮูหยินของเขาคล้ายกับหญิงคณิกานางหนึ่ง เขาถึงกับมือกระตุก จอกสุราทองเหลืองในมือหนาโดนบีบจนบิดเบี้ยวตามแรงอารมณ์ ไทเฮากล้าดีอย่างไรถึงได้กล้าหักหน้าเขาเช่นนี้ กล้าเอาหญิงคณิกานางหนึ่งมาเย้ยหน้าฮูหยินของเขา พอเหลือบตามองใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายของภรรยา คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความปวดใจ อยู่กินกันมาหลายสิบปี มีลูกด้วยกันแล้ว 7 คน เขายังไม่เคยทำให้ฮูหยินของเขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่เพียงนิด แล้วยัยแก่นี่เป็นใครถึงได้กล้ามาหยามน้ำใจภรรยาเขา
กู้ฟางเหนียงเห็นสามีโมโหจนหนวดกระดิก ก็รีบคว้ามือหนารั้งเอาไว้ ส่งสายตาตักเตือนไม่ให้กล่าวคำพูดไม่น่าฟังออกไป คนผู้นี้เวลาโมโหใครขึ้นมาไม่เคยไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ขนาดจักรพรรดิองค์ก่อนยังกล้าขึ้นเสียงใส่มาแล้ว นับประสาอะไรกับไทเฮาพระองค์นี้ แต่ตอนนี้ราชสำนักตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลหลี่ หากสามีของนางบุ่มบ่ามล่วงเกินไทเฮาขึ้นมา จะไม่เป็นการดีต่อตระกูลจ้าวของพวกนาง ถึงแม้ว่านางจะโกรธเกรี้ยวไปไม่น้อยกว่าสามีก็ตาม นึกถึงเมื่อครู่หลี่ฮูหยินเข้ามาพูดจาตีสองหน้าด้วย นางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนคนตระกูลนี้ยิ่งนัก
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี! จอกนี้อายเจียขอดื่มให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะมีบุตรเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
“ขอบพระทัยไทเฮา”
เฉินซือหยางจับจ้องใบหน้าเรียบเฉยตอนกล่าวขอบคุณหลี่ย่าเสียงของจ้าวมู่แล้วยกยิ้มในหน้า เขานึกว่าเสด็จย่าจะมีไม้เด็ดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็แค่กลสาวงาม แผนการดาษดื่น ยอมแม้กระทั่งผิดใจกับต่งเซินให้ได้ แต่หากจ้าวมู่หลงใหลฟางเซียนขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าล่ะนะ ถึงกับดึงเจิ้งกั๋วกงที่เป็นถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพมาเป็นพวกได้ทั้งที เสนาบดีกรมคลังจะเป็นกระไรได้ แต่นางคงลืมไปว่าจ้าวมู่นั้นรักมั่นต่อจ้าวฮูหยินมากเพียงไร การเอาหญิงคณิกาที่มีหน้าตาเหมือนจ้าวฮูหยินมามอบให้ถือเป็นการหยามหน้ากู้ฟางเหนียงอย่างยิ่ง คิดหรือว่าที่เรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงยังขาวสะอาดขนาดนี้เป็นเพราะจ้าวมู่ไม่ยอมรับผู้ใดเข้ามาเป็นอนุภรรยาจริงๆ หากกู้ฟางเหนียงไม่มีฝีมือไหนเลยจะเอาใจทั้งสามีและแม่สามีอยู่ ดูท่าแต่นี้ต่อไปเรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงคงมีเรื่องสนุกให้ดูชมอีกเยอะเชียวล่ะ
เฉินซือหยางจิบสุธารสชาอย่างสบายอกสบายใจ มองดูเสนาบดีต่งจ้องมองแม่นางฟางเซียนไม่คลาดสายตา แผนการชั่วร้ายต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวมากมาย ดวงตากลมวาววับจับจ้องเหยื่อที่เขากะจะเล่นงานในภายภาคหน้า ถ้าไม่โดนเสียงกระแอมในลำคอของเสด็จพ่อขัดขึ้นเสียก่อน
“อย่าได้สอดเท้าเล็กๆ ของเจ้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เด็ดขาด” เฉินเทียนอี้เอ่ยเตือนบุตรชาย เห็นประกายนึกสนุกในดวงตากลมโต ผู้เป็นบิดาอย่างเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าปีศาจน้อยตัวนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” เฉินซือหยางรับคำเสียงเบา หมดสนุกเลยคราวนี้ เด็กน้อยเลยหันไปสนใจหวังกงกงประกาศเนื้อความในราชโองการแทน
“จ้าวลี่จิ่นรับราชโองการ...”
รายนามของแม่ทัพนายกองผู้มีความดีความชอบถูกเรียกขานทีละชื่อๆ ทุกคนได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า ถึงแม้บางคนจะไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัย เพราะต้องประจำการที่ด่านชายแดนอย่างจ้าวลี่จิ่น ก็ยังได้รับพระราชทานรางวัลไม่มีตกหล่น เผยให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันกว้างใหญ่ไพศาลของเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ ลบบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ไปสิ้น
ยิ่งดึกงานเลี้ยงยิ่งสนุกสนานครื้นเครง ผู้คนต่างร่ำสุราจนเมามาย กระทั่งการแสดงสุดพิเศษเริ่มขึ้นถึงเรียกความสนใจจากผู้คนได้อีกครา เนื่องจากคณะกายกรรมจากฝูโจวมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า สมกับที่เสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้สรรหามาด้วยตัวเอง
เพียงแค่เริ่มแสดงก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วทั้งงาน เสียงปรบมือชอบอกชอบใจดังกระหึ่ม เมื่อหญิงงามนางหนึ่งเหินกายโปรยกลีบเหมยแดงไปทั่วห้องโถงราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อร์[7] ประทานพร ตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน ร่ายรำบนห่วงเหล็กขนาดใหญ่สูงเท่าตัวคน ห่วงเหล็กสีเงินมันวาวหมุนไปในทิศทางเดียวกันดั่งกลีบดอกไม้สีเงินแย้มบาน เมื่อรวมกับกลีบดอกเหมยที่กำลังโปรยปรายช่างเป็นภาพงดงามตระการตา พอห่วงเหล็กกลิ้งสลับกันไปมาเกิดเป็นแสงสีเงินตัดสลับแสงเทียนราวกับกลีบบุปผาต้องลมพายุจนกลีบดอกไม้ปลิดปลิวหายไปกับสายลม จากนั้นก็มีหญิงสาวใช้ไม้ควงจานกระเบื้องสีชมพูสดใสคนละ 4-5 ใบ ออกมาเริงระบำให้ผู้คนได้ยล โดยมีคนแอบโปรยหิมะเป็นระยะ เกิดเป็นภาพดอกอิงเบ่งบานหาญกล้าท้าทายฤดูหนาวอันงดงามหาชมได้ยาก
ในระหว่างที่ผู้คนต่างเพลิดเพลินกับการแสดงเบื้องหน้า นางกำนัลตัวเล็กๆ ไม่สะดุดตาผู้มีหน้าที่คอยรินชาให้กับองค์ฮ่องเต้ถือโอกาสตอนที่ไม่มีผู้ใดสนใจแอบป้ายผงยาปลุกกำหนัดฤทธิ์แรงรอบขอบถ้วยชา ก่อนจะทำทีเป็นรินชาตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ทั้งหมดไม่อาจรอดพ้นสายตาคมเข้มดุจเหยี่ยวของเฉินเทียนอี้ไปได้
เฉินเทียนอี้เก็บสายตากลับทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง มือหนาเอื้อมไปหยิบถ้วยชาใบนั้นมาคลึงเล่นในมือ ทำทีจะยกดื่มแต่กลับชะงักไปครู่ เมื่อการแสดงดึงดูดความสนใจไปจึงไม่ได้ดื่ม และเป็นแบบนี้อยู่หลายครา จนไทเฮาซึ่งคอยลุ้นอยู่ด้านข้างถลึงตาใส่แผ่นหลังกว้างด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ เมื่อเฉินเทียนอี้ไม่ยอมดื่มชาเสียที
เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน รับรู้ถึงสายตาอำมหิตที่แผ่มาจากด้านหลัง เห็นมารดา ‘สุดที่รัก’ ของเขาดิ้นพล่านไม่เป็นสุขแล้วรู้สึกสะใจพิลึก หลังจากหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่นพอสมควรแล้ว มือหนาจึงวางถ้วยชาลงเช่นเดิม เขาคร้านจะเล่นกับมารดาในนามของตนเองแล้ว จึงส่งสายตาให้หวังกงกงไปจัดการคนที่ลอบวางยาเขาให้เรียบร้อยซะ ก่อนจะพิศดูการแสดงต่อไปอย่างเบื่อหน่าย
เสียงดนตรีปลุกเร้าอารมณ์ดังถี่กระชั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเทียนอี้ ภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นภาพนักกายกรรมชายกำลังโยนมีดคมกริบหลายสิบเล่ม นักแสดงหนุ่มควงมีดอย่างชำนิชำนาญ ใบมีดลอยคว้างเป็นเส้นตรง บ้างก็เป็นเส้นโค้งสลับกันไปมา มีบางครั้งที่นักแสดงขยับมือช้าลงราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจนี้เขาจะควงมีดเล่มต่อไปไม่ทันกาล และมีดเล่มนั้นกำลังจะได้ลิ้มรสเลือดเขาไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง จนผู้ชมกลั้นลมหายใจด้วยความหวาดเสียว แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด มีดบินคมกริบที่ควรจะอยู่ในมือนักกายกรรม กลับพุ่งเข้าหาเฉินเทียนอี้ ว่องไวดุจสายฟ้าฟาดจนทุกคนตั้งตัวไม่ติด
เว่ยอันกระโจนออกมาปัดป้องมีดบินที่พุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที
“คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาท” องครักษ์เว่ยตะโกนเสียงดัง การลอบสังหารเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้คนในงานแตกตื่นตกใจ เสียงกรีดร้องดังระงมโกลาหลไปทั่วงาน องครักษ์เงาชักกระบี่ปกป้ององค์ฮ่องเต้ ต่อสู้กับนักฆ่าที่ปลอมตัวมาหลายสิบคน
“กำจัดทรราชแซ่เฉินซะ ล้างแค้นให้พี่น้องชาวเซียนเป่ยของเรา”
หัวหน้านักฆ่าชาวเซียนเป่ยบุกทะลวงเข้ามาจะฆ่าเฉินเทียนอี้ แต่ถูกองครักษ์เว่ยสกัดไว้ได้ ทั้งสองปะทะกันไปหลายร้อยกระบวนท่า ก็ยังไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ เหล่าองครักษ์เงาเองก็สู้รบติดพัน แม่ทัพนายกองที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พกดาบเข้ามาในงานก็ไม่นิ่งนอนใจ ออกหมัดมวยสกัดเหล่านักฆ่า พอแย่งดาบจากชาวเซียนเป่ยมาได้ก็เข้าโรมรันศัตรู ที่ฆ่าได้ฆ่า จับเป็นได้จับ สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดผิดกับสีหน้าเรื่อยเฉื่อยของเฉินซือหยาง
เด็กน้อยจับตาดูการต่อสู้อย่างสนใจ เห็นปั๋งเหยี่ยน[8] คนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในกรมอารักษ์ได้ไม่นาน เกือบจะถูกนักฆ่าสังหาร แต่กลับมีหญิงสาวหน้าตาหล่อเหลานางหนึ่งเข้ามาช่วยไว้ได้ทันการณ์ แถมฝีไม้ลายมือที่ใช้ต่อกรกับนักฆ่าไม่เบาเลยทีเดียว
“เสด็จพ่อๆ ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ใช่บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่”
เฉินซือหยางกระตุกชายฉลองพระองค์ชี้ชวนให้เสด็จพ่อดูฉากวีรสตรีช่วยชายงาม? ด้วยกัน
“หืม เจ้าสนใจ?”
“แล้วเสด็จพ่อไม่คิดว่ามันน่าสนใจบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเทียนอี้มองดูเหตุการณ์ที่บุตรชายชี้ชวนให้ดูด้วยความใคร่รู้ ท่ามกลางการเข่นฆ่ากันนองเลือด จ้าวลี่จ้งโอบเอว ‘จินซาน’ ปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่เขาเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง โฉบกายหลบคมดาบท่ามกลางกลีบดอกเหมยที่ปลิวว่อนราวกับละครงิ้ว ฉากที่พระ-นางเกี้ยวพาราสีกัน? ดูแล้วน่าสนใจเหมือนดั่งบุตรชายว่าจริงๆ
“อืม น่าสนใจจริงๆ ว่าแต่เหตุใดยังไม่เห็นเหอต๋านำทหารเข้ามาอีก” เฉินเทียนอี้ดูงิ้วของบุตรชายอยู่เป็นครู่ แต่ก็ยังไม่เห็นเหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตู[9] นำกำลังทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์เสียที ทำให้เหตุการณ์ดูเลวร้ายลงเรื่อยๆ เฉินเทียนอี้ไม่วางใจ จึงรีบฉวยร่างเล็กของบุตรชายหลบออกมาจากตำหนักตามการคุ้มกันขององครักษ์เงา
เฉินซือหยางและเฉินเทียนอี้ถูกคุ้มกันออกจากตำหนักไท่เหอ พร้อมๆ กับเจิ้งกั๋วกงที่พาครอบครัวเข้ามาสมทบ หลี่ไทเฮา หลี่ฮองเฮารวมถึงเต๋อเฟยเองได้หลี่เหยียนเจี๋ยและพรรคพวกคุ้มกันออกมาเช่นกัน กว่าทหารรักษาพระองค์จะเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ผู้คนในงานต่างก็บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก คราวนี้เฉินเทียนอี้โมโหแล้วจริงๆ
“สั่งการลงไปให้กรมอาญา ศาลต้าอี้ และสำนักตรวจการร่วมกันตรวจสอบการลอบสังหารในครั้งนี้ ผู้ใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องประหารไม่มีละเว้น”
[1] สุรากู่จิ่ง เป็น 1 ใน 10 สุดยอดสุราของจีน ผลิตจากหมู่บ้านเจี่ยนเจีย อำเภอเหา มณฑลอันฮุย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโจโฉ มีรสชาติหวานปานน้ำผึ้ง
[2] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่หรือไร่จีน
[3] ไท่เว่ย คือตำแหน่งสูงสุดของขุนนางฝ่ายบู๊ เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ
[4] พู่ห้อยหรือเพ่ยโส้ว (佩绶) เป็นไหมที่ถักผูกกับเหรียญหรือตราประทับที่ทำมาจากหยก ทองคำ เงิน ทองแดง งาช้าง หรือนอแรด ใช้ห้อยสายรัดเอวเพื่อบอกยศตำแหน่ง พู่ห้อยตราทองแถบม่วงเป็นเครื่องประดับแสดงยศของอัครมหาเสนาบดีและไท่เว่ย
[5] อายเจีย (哀家) คือคำเรียกแทนตัวของไทเฮา แปลว่า ตัวข้าผู้น่าสงสารเป็นม่ายร้างพระสวามี
[6] ชุดกระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดจีนโบราณที่ประกอบด้วยเสื้อตัวในแขนยาว นิยมใส่คู่กับเสื้อคลุมแขนสั้นที่เรียกว่า ‘ปั้นปี้’ (半臂) ทับอีกชั้นแล้วคาดกระโปรงรัดอก บ้างก็คล้องผ้าคลุมไหล่ที่เรียกว่า อวิ๋นเจียน
[7] ฉางเอ๋อร์ คือ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อของชาวจีน
[8] ปั๋งเหยี่ยน (榜眼) คือบัณฑิตจิ้นซื่อที่สอบได้อันดับสองในการสอบเคอจวี่หรือการสอบรับขุนนางในสมัยก่อน
[9] ผู้บัญชาการทหารเก้าประตู เป็นผู้นำสูงสุดของหน่วยองครักษ์รักษาความปลอดภัยในวังหลวง และเฝ้าระวังความปลอดภัยเวลาเปิดปิดประตูเมืองหลวงชั้นในทั้ง 9 ประตู
เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการและพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่ เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใ
วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก
ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs
ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ
เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง
ดินแดนทางเหนือมีหิมะปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี ป้อมปราการสูงตระหง่านท้าลมพายุ ปุยหิมะโปรยปรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมไปทุกอณูพื้นที่ ถึงภูมิอากาศจะเลวร้าย พืชพรรณธัญญาหารยากเพาะปลูก แต่ชาวบ้านก็ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งไม่คิดจะย้ายถิ่นฐาน เพราะชื่อเสียงของกองทัพตระกูลจ้าวเลื่องลือระบือไกลเป็นที่น่าครั่นคร้ามแก่อริราชศัตรู แม้แม่ทัพใหญ่อย่างจ้าวลี่จิ่นบุตรสาวของจ้าวมู่จะไม่อยู่ประจำการที่กองทัพด่านหน้า แต่แคว้นรอบข้างก็ยังไม่กล้ายกทัพเข้ามารุกราน ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขและปลอดภัย แต่แล้วความสงบสุขก็อันตรธานหายไป “ช่วยด้วย... กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หมู่บ้านเป่ยปิงตกอยู่ในฝันร้ายอันน่าหวาดผวา ศพของผู้คนนอนกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนทั้งเด็ก คนแก่ และสตรีที่ไร้เรี่ยวแรงหลบหนี แม้แต่บุรุษร่างสูงใหญ่ก็ยากจะต้านทานเมื่อต้องสู้กับสิ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณปลายนิ้วปลุกจ้าวลี่หมิงให้ตื่นจากนิทรานัยน์ตาสีน้ำตาลซ่อนประกายมรกตคู่งามสะท้อนภาพดวงหน้าคมเข้มเคล้าคลอมือนิ่ม ริมฝีปากหยักจุมพิตนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม “ตื่นแล้วหรือ ข้ากวนเจ้า?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แฝงประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ “ท่านพึ่งรู้ตัวหรือ” จ้าวลี่หมิงหลบสายตา ชักมือหนีคนตัวโตทั้งใบหูแดงระเรื่อแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น หนำซ้ำยังโดนคนหน้าหนาจูบหลังมือนุ่มหนักๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “อย่าซนสิ! ตอนนี้ยามใดแล้ว” “เพิ่งยามเฉิน[1] เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินซือหยางนอนทอดหุ่ยสบายอารมณ์ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเขาหยุดว่าราชการหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาตัวน้อย โยนภาร
ตำหนักบูรพาอบอวลไปด้วยความสุข ถึงแม้องค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของงานจะปลีกตัวออกไปตั้งแต่ต้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายในการประจบประแจงจึงเบนเข็มมายังเฉินเทียนอี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างดาหน้าเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสาย ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิ่งอึดอัดนิดหน่อย “เสี่ยวเทียนข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะ” “ถ้าเจ้าเบื่อเรากลับกันเลยไหม” “อย่าดีกว่า ท่านคอยรับรองแขกแทนหยางเอ๋อร์เถอะ ข้าไปไม่นานหรอก” หลินเสวี่ยเฟิ่งตบหลังมือหนาเบาๆ แล้วปลีกตัวออกมาจากงาน โดยมีหวังกงกงตามรับใช้ใกล้ชิด หลินเสวี่ยเฟิ่งเหม่อมองตำหนักหลักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของบุตรชาย เทียนมงคลสาดแสงสีแดงสลัวราง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบต่างจากงานพิธี ณ ลานหน้าตำหนักโดยสิ้นเชิง หลินเสวี่ยเฟิ่งยิ้มบาง แ
“ดีหรือไม่” เฉินซือหยางกระซิบถามเสียงพร่า ร่างหนาล้มตัวลงนอนทาบทับร่างโปร่งบาง กกกอดจ้าวลี่หมิงไว้ในอ้อมแขน ไม่ยอมถอดถอนตัวตนออกจากโพรงเนื้อนุ่มแม้เพียงชั่วขณะอยากจะซุกซบอยู่ในแอ่งอุ่นนี้ตราบนานเท่านาน “ยอดเยี่ยมที่สุด” จ้าวลี่หมิงถอนหายใจอย่างอิ่มเอม มือเรียวลูบไล้อกแกร่งเล่น ก่อนที่มือซุกซนจะเลื่อนไถลลงต่ำวนเวียนแถวๆ มัดกล้ามเป็นลอนงามเหนือหน้าท้องแกร่ง เล่นเอาไฟสวาทของเฉินซือหยางลุกโหมขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ลำกายแข็งชันเหยียดขยายช่องทางรักจนจ้าวลี่หมิงรู้สึกได้ “อีกครั้งนะ” เฉินซือหยางอ้อนเสียงพร่า มือหนาเริ่มยุ่มย่ามกับผิวเนื้อนวลเนียนชื้นเหงื่อให้สัมผัสลื่นมือ ตุ่มไตสีหวานตัดกับผิวขาวบางกระเพื่อมไหวตามการหายใจของจ้าวลี่หมิงยั่วเย้าให้ลมหายใจของคนร่างสูงหอบหนัก กระหายอยากคนร่างบางจนหน้ามืด “ไม่เอา เหนียว
จ้าวลี่หมิงถูกอุ้มเข้าห้องหอ หลังจากท่านพ่อท่านแม่ของเขาเข้ามาทำพิธีปูเตียงให้เรียบร้อย เขาก็ได้แต่นั่งรออย่างสงบอยู่ภายในห้อง “ข้าจะออกไปต้อนรับแขกสักครู่ หากเจ้าหิวก็ทานก่อนได้เลยไม่ต้องรอข้า” เฉินซือหยางจูบหน้าผากอิ่มเนิ่นนานค่อยผละจากคนร่างเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์ “ดูแลพระชายาให้ดี” “เพคะ” สาวใช้ประจำเรือนช่านไฉ่ทั้งสี่ตามมารับใช้จ้าวลี่หมิงด้วยรับคำโดยพร้อมเพรียง รอจนร่างสูงของเฉินซือหยางเดินจากไป จ้าวลี่หมิงก็โบกมือไล่เหล่าสาวใช้ “พวกเจ้าออกไปเถอะ หากมีอะไรแล้วข้าจะเรียก” “เพคะ” พอได้อยู่คนเดียวภายในห้องจ้าวลี่หมิงก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาพักผ่อนร่างกายให้คลายจากอาการเมื่อยขบ หลังจากยืนเกร็งอยู่เป็นนานในงานพิธี
เฉินซือหยางกอดรัดร่างบางแนบแน่น ฝ่ามือลูบไล้แผ่นหลังเล็ก บรรยากาศอ่อนหวานโอบล้อมคนทั้งคู่คงจะดีถ้าไม่มีกลิ่นดอกเหมยหอมกรุ่นก่อกวนจมูกโด่งคม ไหนจะเนื้อตัวนุ่มนิ่มคอยบดเบียดอยู่ในอ้อมแขนนี้อีกเล่า ยั่วเย้าจนอะไรต่อมิอะไรของเขาผงาดกล้า “บ้าเอ๊ย! อยากเข้าหอชะมัด พวกเราข้ามขั้นตอนเลยดีไหม” ฟองอากาศแห่งความสุขลอยละล่องอยู่รอบกายแตกโพละเพราะคำพูดของชายหนุ่ม “บ้า! มันใช่เวลาไหม” จ้าวลี่หมิงทุบบ่าแกร่ง ดิ้นรนหลีกหนีจากอ้อมแขนของคนไม่รู้กาลเทศะ “อย่าดิ้น อยู่นิ่งๆ ก่อน” เฉินซือหยางสูดลมหายใจระงับอารมณ์เร่าร้อน จ้าวลี่หมิงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหูจนเขารู้สึกวูบไหวไปด้วย คนตัวเล็กเลยหยุดดิ้นนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก รอจนลมหายใจหอบหนักของเฉินซือหยางกลับมาเป็นปกติ ค่อยผลักชายหนุ่มออกเบาๆ