เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการ และพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่
เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใจดุจมดในกระทะร้อน อู๋กั๋วกงหลี่เจียงเองก็ไม่นิ่งนอนใจ รุดเข้าเฝ้าไทเฮาแต่เช้าจนถึงตอนนี้ประตูตำหนักฉือซวนยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดต้อนรับผู้ใด
ภายในตำหนักฉือซวนหลี่เจียงเห็นบุตรสาวเอนกายผ่อนคลายอารมณ์อยู่บนตั่งคนงาม มีหม่าหมัวมัวนางกำนัลคนสนิทคอยรับใช้ข้างกาย ความร้อนรุ่มกลุ้มใจที่มีก็คลายลงไม่น้อย
“เหนียงเหนียง[2]”
“ท่านพ่อไม่ต้องมากพิธี มาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องด่วนอะไรหรือ” หลี่ย่าเสียงส่งสายตาให้หม่าหมัวมัวยกโต๊ะรินชาให้กับอู๋กั๋วกงผู้เฒ่า หลี่เจียงเองก็ไม่มากพิธีอีก พอนั่งลงบนเก้าอี้ก็เริ่มปรึกษาหารือเรื่องในราชสำนักกับบุตรสาวอย่างเคร่งเครียด
“จะเรื่องใดเล่า หากไม่ใช่เหตุการณ์ลอบสังหารในครานี้ พวกเซียนเป่ยน่าตายนั่นทำคนของเราตายดุจใบไม้ร่วง เหนียงเหนียงก็รู้ว่าสองสามปีมานี้ ตั้งแต่พระนางลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน ตระกูลเราถูกลดทอนอำนาจไปมากเพียงใด คนเก่าคนแก่ยังมาถูกพวกเซียนเป่ยสังหารไปอีก ช่วงนี้พ่อกับอาเจี๋ยจะขยับตัวทำอะไรก็ลำบากไปหมด คนที่เข้ามารับตำแหน่งแทนคนของเราก็เป็นคนของไอ้เด็กเวรนั่นทั้งนั้น ทีนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเล่า”
“ท่านพ่อจะร้อนใจไปไย ในเมื่อแต่งตั้งได้เราก็หาเรื่องปลดได้เช่นกัน หากปลดออกจากตำแหน่งไม่ได้ เราก็แค่หยิบยื่นผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ หลอกล่อ ใครบ้างไม่ต้องการ อันคำว่ามนุษย์นั้นย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ผู้ใดจะปฏิเสธหนทางก้าวหน้าในชีวิตของตนเอง ช่วงนี้ท่านพ่อกับพี่ชายก็ทนอึดอัดคับข้องใจไปก่อน หลังจากนี้ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเอาคืน” หลี่ย่าเสียงรับน้ำชามาจิบให้ชุ่มคอ หม่าหมัวมัวคอยนวดขาคลายเมื่อย ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจไปกับบิดาเลยสักนิด มีพี่ชายอย่างหลี่เหยียนเจี๋ยเป็นถึงเสนาบดีกรมขุนนาง เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายขุนนางในราชสำนักนั้นง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
“เหนียงเหนียงตรัสเช่นนี้พ่อค่อยสบายใจหน่อย แล้วเรื่องของเหลียนเอ๋อร์เล่าไปถึงไหนแล้ว แต่งงานมาตั้ง 9 ปี เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวดีเสียที อย่าหาว่าพ่อเร่งรัดเลยนะ เหนียงเหนียงก็รู้เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการให้กำเนิดองค์ชายน้อยจากตระกูลหลี่ของเรา ถ้าเหลียนเอ๋อร์ไม่ได้จริงๆ ยังมีเหม่ยเอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์ที่ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ อย่าได้รังเกียจว่าเหม่ยเอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์เป็นแค่สายรอง อย่างไรเสียพวกนางก็มีสายเลือดตระกูลหลี่เช่นกัน พอองค์ชายคลอดออกมาอย่างไรก็ต้องยกให้เป็นบุตรของเหลียนเอ๋อร์อยู่ดี แต่ถ้าเหนียงเหนียงไม่ชอบใจก็รอให้เหลียนเอ๋อร์มีบุตรเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเปลี่ยนตัวฮ่องเต้ก็ยังไม่สาย” หลี่เจียงหารือกับบุตรสาว เหม่ยเอ๋อร์กับอิงเอ๋อร์ที่เขากล่าวถึงก็คือ หลี่ลู่เหม่ย และหลี่ลู่อิงหลานสาวของน้องชายเขาที่เพิ่งเข้าวังมาก่อนหน้านี้
“ใช่ว่าข้าจะไม่ร้อนใจกับเรื่องนี้เสียเมื่อไหร่ เดิมทีข้าวางแผนส่งตัวเหม่ยเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์เข้าตำหนักหยางซินได้แล้ว แผนการรัดกุมทุกอย่างถูกเตรียมการไว้พร้อมสรรพขาดก็แต่ลมบูรพาเท่านั้น ผู้ใดเล่าจะคิดว่าลมยังไม่มา แต่ที่มาคือพายุฝนคาวโลหิตแทน แผนที่ข้าวางไว้เลยพังไม่เป็นท่า” หลี่ย่าเสียงแค้นใจ แผนการที่วางไว้เสียดิบดีกลับต้องมาพังไม่เป็นท่าเพราะคนป่าเถื่อนพวกนั้น
“ทางด้านเต๋อเฟยก็ไม่มีวี่แววเลยหรือ”
“นังปีศาจจิ้งจอกนั่น นอกจากยั่วยวนไปวันๆ แล้ว หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ แค่ส่งข่าวเล็กๆ น้อยๆ ยังอิดออดเกียจคร้าน ถ้าไม่เห็นแก่หน้ารองเสนาบดีซูแล้วละก็ข้าคงกำจัดนางทิ้งไปตั้งนานแล้ว”
“เวลาก็ผ่านมาตั้งเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีองค์ชายองค์หญิงหลุดออกมาสักคน หรือว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง” หลี่เจียงพึมพำเสียงเบาลูบหนวดครุ่นคิดถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดในหมู่ประชาราษฎร์กันหนาหูในระยะนี้
“ข่าวลือเรื่องใดหรือท่านพ่อ”
“จำเรื่องที่เราส่งคนไปลอบสังหารไอ้เด็กนั่นในสนามรบได้หรือไม่” หลี่เจียงกล่าวถึงตอนที่เฉินเทียนอี้อาสายกทัพไปปราบเผ่าซยงหนูในคราวนั้นด้วยตนเอง เขารู้ถึงความทะเยอทะยานของเฉินเทียนอี้ดี เลยซ้อนแผนกะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตกไปในสงครามนั่นเสีย แล้ววางแผนยกเฉินซือหยางขึ้นครองบัลลังก์แทน เพราะถึงอย่างไรตอนที่หลานกุ้ยเฟยตั้งครรภ์เฉินเทียนอี้ก็ไม่ได้ล่วงรู้ว่ามีบุตรคนนี้อยู่ การฆ่ามารดาเอาบุตรนั้นเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง เพราะสำหรับสตรีแล้วการคลอดบุตรก็เหมือนกับการไปเยือนประตูผีมารอบหนึ่ง เดิมทีแผนการทุกอย่างรัดกุม บัลลังก์มังกรก็เหมือนกับของที่อยู่ในถุงหนังของสกุลหลี่ ใครจะนึกว่าเฉินเทียนอี้กลับดวงแข็งสามารถยกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะทั้งยังข่มขู่เอาเด็กไปจากพวกเขาได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะแลกกับการแต่งตั้งเหลียนเอ๋อร์เป็นฮองเฮา และยอมดื่มพิษสะบั้นวิญญาณก็เถอะ แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าอยู่ดี ถ้าไม่มัวแต่อยากได้องค์ชายที่มีสายเลือดสกุลหลี่ ป่านนี้สกุลหลี่ของเขาคงลักมังกรเปลี่ยนหงส์สำเร็จไปนานแล้ว พูดมาก็ให้เสียดายยิ่งนัก หลี่เจียงส่ายศีรษะทอดถอนใจ
“ลูกจำได้แม่นเลยทีเดียว” เห็นชัดว่าหลี่ย่าเสียงก็คิดเช่นเดียวกัน
“เห็นเขาลือว่าฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บที่ส่วนนั้นตอนสู้รบจึงไม่สามารถมีทายาทได้อีก”
“จะเป็นไปได้อย่างไร แล้วที่เขาเที่ยวหว่านเมล็ดพันธุ์เป็นว่าเล่นในวังหลังนั่น เขาตบตาอายเจียอยู่หรือ บัดซบ!” หลี่ย่าเสียงเขวี้ยงถ้วยชาโมโหเลือดขึ้นหน้า หลายปีที่นางยัดเยียดนางสนมมากหน้าหลายตาเข้าวังหลังเพื่อสิ่งใดกัน
“เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ข่าวที่ชาวบ้านเขาลือกัน ใช่ว่าจะเป็นจริงเสียเมื่อไหร่ เราหาทางสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดแล้วค่อยวางแผนกันอีกทีดีหรือไม่” หลี่เจียงพยายามระงับอารมณ์ของบุตรสาว หลี่ย่าเสียงสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ข่มอารมณ์กรุ่นโกรธ เค้นเสียงสั่งบิดาเสียงต่ำ
“ได้! ท่านพ่อรีบให้พี่ชายสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างเถิด หากข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนั่นกล้าเล่นแง่กับข้ามาหลายปีขนาดนี้แล้วละก็ ข้าจะทำให้มันอยู่ไม่สู้ตาย”
หลี่เจียงไม่ขัดบุตรสาวเพียงพยักหน้าคล้อยตาม ก่อนกลับไม่ลืมกำชับบุตรสาวอีกรอบ “ราตรียาวนาน ความฝันมากมาย[3] เหนียงเหนียงรีบหาวิธีเถิด หากชักช้าจะยิ่งเสียการใหญ่”
[1] เป็นตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้ารับราชการเป็นขุนนางในสมัยโบราณ แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยจ้วงหยวนคือ ผู้ที่สอบได้อันดับ 1 ปั๋งเหยี่ยนคือ ผู้ที่สอบได้อันดับ 2 และทั่นฮวาคือ ผู้ที่สอบได้อันดับ 3 ในการสอบเตี้ยนซื่อหรือการสอบหน้าพระที่นั่ง
[2] เหนียงเหนียง (娘娘) คำที่ใช้เรียกไทเฮา ฮองเฮา หรือพระสนมยศสูงด้วยความเคารพ
[3] หมายความว่า เวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคยิ่งมีมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก
ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs
ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ
เรื่องสุดท้ายคงหนีไม่พ้นแฝดสามตระกูลจ้าว หลังงานเลี้ยงเลิกราไปแล้วสมาชิกตระกูลจ้าวยังคงรวมตัวกันในห้องโถงของเรือนหลัก โดยมีฮูหยินผู้เฒ่านั่งเป็นประธานพิจารณาความผิดของสามแฝดรวมถึงบ่าวรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลจ้าวลี่หมิง ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นจิบ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียง ภายในห้องเงียบฉี่ หากมีเข็มหล่นบนพื้นคงได้ยินกันทั่ว เฉาม่านเหลือบตามองหลานสาวที่นั่งหน้าหงอยอยู่เบื้องหน้าตนแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก ความซุกซนของหลานสาวทั้งสามคนเกือบก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว กึก! มือบางที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาวางถ้วยชากระทบโต๊ะเสียงดัง ทำเอาสามแฝดสะดุ้งโหยง รู้ว่าคราวนี้ท่านย่าโกรธแล้วจริงๆ “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ทราบเจ้าค่ะ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน รวมถึงสาวใช้ที่นั่งคุกเ
“เยว่เอ๋อร์” เฉินเทียนอี้มองเรือนร่างงดงามดุจกิ่งหลิวในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองลายพญาหงส์ห้าสี ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ ติ่งหูบอบบางนุ่มนิ่มประดับกุณฑลไข่มุกเม็ดงาม ลำคอระหงใส่หลิ่งเยวีย[1] เส้นสวย พาดทับด้วยประคำไข่มุกเฉาจูเส้นยาวเต็มพิธีการ สายตาคมเข้มจับจ้องดวงหน้างดงามหมดจด บริสุทธิ์ อ่อนหวานดั่งดวงจันทราในฝากฟ้ายามรัตติกาลที่เขาคะนึงหาทุกวันคืนด้วยสายตารักใคร่หลงใหล ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โดยไม่สะทกสะท้านต่อความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ มือหนาสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสแก้มนวลเย็นเฉียบของหลานซือเยว่ นิ้วเรียวยาวเขี่ยไล้แก้มอิ่มเบาๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสัมผัสกับขนตางอนยาว หวังเหลือเกินว่าดวงตาหงส์ที่กำลังหลับพริ้มอยู่จะลืมตาตื่นขึ้นมาสบตากับเขาอีกครา เฉินเทียนอี้รวบมือบางขึ้นมาลูบไล้เล่น ขณะพูดคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย “รู้หรือไม่เยว่เอ๋อร์ คนที่เคยทำร้ายเจ้ากำลังจะได้รับผลกรรมที่พวกมัน
“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน “มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย “พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า” “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น” “ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว” เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่
อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง “นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว “เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที “อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า” “ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน “เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้
สามวันให้หลังทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมสรรพ ทัพใหญ่สามสิบหมื่นนำโดยเจิ้งกั๋วกงพร้อมด้วยแม่ทัพซ้ายขวาและรองแม่ทัพผู้ติดตาม เคลื่อนพลออกจากเมืองผิงอานในยามซื่อที่ท้องฟ้าแจ่มใส แต่กลับสร้างความหม่นหมองให้กับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะญาติมิตรของพลทหารรวมถึงคนตระกูลจ้าวด้วย “หยางหยาง ท่านพ่อจะกลับมาหาชีชีใช่หรือไม่” จ้าวลี่หมิงถามเสียงเครือ มองส่งจ้าวมู่ในอ้อมแขนของเฉินซือหยางบนกำแพงเมืองหลวงไกลจนลับตา “เจิ้งกั๋วกงแค่ไปปฏิบัติหน้าที่ อีกไม่นานจะต้องกลับมาแน่ เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เฉินซือหยางกอดปลอบคนในอ้อมแขน มือหนากำตราพยัคฆ์ที่ได้รับมาจากจ้าวมู่แน่น ความเย็นเฉียบของมันช่วยปัดเป่าความหนักอึ้งซึ่งทับถมอยู่ในใจให้เบาบางลง “องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเลยหรือไม่เพคะ” กู้ฟางเหนียงถามเสียงเบา ดวงตายังคงแดงระเรื่อจากการที่ต้องลาจากสามี “เราคงต้องกลับเลย ยังมีเรื่องที่เราต้องทำอีกมากไท่เว่ยฮูหยินมีอะไรอย่างนั้นหรือ”
แสงจันทร์สาดส่องลอดผ่านแมกไม้ในป่าทึบเผยให้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบม้าฝีเท้าจัดตะบึงผ่านเส้นทางลับมุ่งสู่ชายแดนทางเหนือของแผ่นดินต้าเฉินโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก คนทั้งกลุ่มเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อส่งสาส์นไปยังจุดหมาย ในระหว่างควบม้าเลาะขอบหน้าผาสูงชัน กลับถูกกลุ่มชายชุดดำลึกลับบุกเข้ามาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระบี่แหลมคมฟาดฟันกันแบบถึงเลือดถึงเนื้อ กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าพลาดท่าเสียทีให้กับเหล่าชายชุดดำ ด้วยชัยภูมิที่เสียเปรียบทำให้กลุ่มชายบนหลังม้าล้มตายดุจใบไม้ร่วง สุดท้ายเหลือเพียงชายหนุ่มผู้กุมสาส์นลับอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีเข้าป่าไปพร้อมกับบาดแผลฉกรรจ์ “ตามไป!” หัวหน้าชายชุดดำสั่งเสียงเข้ม เร่งฝีเท้าไล่ตามไป คนทั้งกลุ่มไล่ล่าชายผู้กุมสาส์นลับจนอีกฝ่ายจนมุมตรงริมหน้าผาสูงชัน เหล่าชายชุดดำตีวงโอบล้อมเพื่อป้องกันอีกฝ่ายหลบหนีไปได้ “ส่งสาส์นลับมาให้ข้า” “เจ้าอย่าหวังเลย
กู้ฟางเหนียงกลับเรือนหลักหลังจากปรนนิบัติแม่สามีเข้านอน ขณะเดินผ่านเรือนช่านไฉ่แสงไฟในห้องนอนของบุตรชายยังคงสว่างโร่กู้ฟางเหนียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ดึกดื่นป่านนี้เหตุใดเสี่ยวชีถึงยังไม่หลับไม่นอน “เสี่ยวชี แม่เข้าไปได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอให้บุตรชายอนุญาต “ท่านแม่!” จ้าวลี่หมิงตกใจ เมื่อจู่ๆ มารดาก็เปิดประตูเข้ามา เด็กน้อยรีบซ่อนของไว้ใต้หมอนไม่ให้มารดาเห็นด้วยความอาย “ทำอะไรอยู่หรือ” กู้ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงเล็ก มือบางลูบศีรษะบุตรชายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงรักใคร่อ่อนโยน สายตาเหลือบมองหมอนหยกใบเล็กที่บุตรชายใช้ซ่อนของบางสิ่ง แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาแหลมคมของนางไปได้ “ชีชีนั่งเล่น ยังไม่ง่วงเลยขอรับ” “แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ แม่ดูได้หรือไม่” กู้ฟางเหนียงถามยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงกระอึกกระอักอยู่เป็นครู่ มือเล็กบิดไปบิดมาค่อยหยิบของสิ่
ขณะที่เฉินซือหยางกำลังถกปัญหาเรื่องขาหมูไม่ใช่ผักให้จ้าวลี่หมิงฟังอยู่นั้น เว่ยอันที่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้มาตรวจสอบห้องด้านข้างก็ได้รู้อะไรดีๆ เข้าโดยไม่คาดคิด ห้องด้านข้างหอฟู่กุ้ย เสนาบดีกรมคลังต่งเซินกับเสนาบดีกรมกลาโหมกำลังร่ำสุราปรึกษาหารือเรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้านี้เสียงเบา “ข่าวการศึกจากทางเหนือที่แม่ทัพจ้าวส่งมาไม่นับว่าร้ายแรงนัก ข้าคิดว่าการจัดเตรียมเสบียงกองทัพในครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร” “ตอนนี้ไม่ร้ายแรงใช่ว่าต่อไปจะไม่ร้ายแรงเสียเมื่อไหร่” ต่งเซินกระดกสุราไปค่อนข้างมากเผลอหลุดปากบอกอีกฝ่ายเป็นนัย เสนาบดีกรมกลาโหมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจทันที เพราะการจัดหาเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบย่อมผ่านมือเขาทั้งสิ้น เบี้ยหวัดเล็กๆ เหล่านี้ย่อมมียักย้ายเข้าพกเข้าห่อเป็นธรรมดา ยิ่งสถานการณ์การรบร้ายแรงเท่าไหร่ งบประมาณการจัดหาเ
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ผสานกับเสียงหัวเราะดังก้องกังวานลอยเข้าหูเฉินซือหยางที่เพิ่งกลับจากประชุมเช้า ณ ตำหนักเฉียนชิง ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเอะอะมะเทิ่งนั่น ภาพปรากฏชัดในครรลองสายตาคือ เหล่าองค์ชายองค์หญิงซึ่งกำลังเล่นสนุกกันในอุทยานหลวง มีองค์ชายรองบุตรของหลี่ลู่เหม่ย องค์ชายสามบุตรของเสียนเฟย องค์หญิงใหญ่บุตรของหลี่ลู่อิง และองค์ชายสี่บุตรของซูเฟยในวัยไล่เลี่ยกับจ้าวลี่หมิง เฉินซือหยางมองคนเหล่านั้นเพียงหางตาในระหว่างเดินผ่านอุทยานหลวงเพื่อกลับตำหนักอี้ชิ่ง จู่ๆ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิงก็เดินนำองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาขวางทางเดินเขา “พี่ชายเพิ่งกลับจากว่าราชการแทนเสด็จพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินจวินเฉิงทักทายด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดจะลดตัวคารวะบุคคลที่เขาเรียกขานว่า 'พี่ชาย' เลยแม้แต่น้อย “ใครคือพี่ชายเจ้า” เฉินซือหยางมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ดวงหน้าซึ่งถอดเค้ามาจากหลี่ลู่เหม่ยนั่นดูขัดตาเขาชอบกล
จางเสี่ยวเหล่ยเดินตามหลังเจ้านายทั้งสองมองดูองค์รัชทายาทผู้สูงส่งถึงกับลดตัวลงไปแย่งถังหูลู่ไม้หนึ่งกับเด็กน้อย ทำเอาเขาแทบทนดูไม่ได้ จะหยอกเย้าคุณชายจ้าวก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท เฉินซือหยางไม่สนสายตาที่มองมาของกงกงคนสนิทเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นน้ำตาของจ้าวลี่หมิงหยดแหมะ จมูกเล็กแดงเรื่ออย่างน่าสงสาร เขาก็อดใจอ่อนยวบยาบไม่ได้ “ตอนนี้เราหายแล้ว เพื่อตอบแทนถังหูลู่ของเจ้าเราซื้อน้ำตาลปั้นให้ดีหรือไม่” “หยางหยางพูดจริงหรือ” “จริงสิ” เฉินซือหยางพาเด็กน้อยไปที่ร้านขายน้ำตาลปั้นตามสัญญา จ้าวลี่หมิงมองน้ำตาลปั้นรูปสิงสาราสัตว์ต่างๆ มากมายละลานตาก็ยิ่งถูกอกถูกใจ ดวงตาเป็นประกาย ลืมถังหูลู่ไม้นั้นไปจนหมดสิ้น “ชีชีอยากได้รูปอะไรหรือ” “เอาหยางหยาง” จ้าวลี่หมิงบอกเสียงใส เฉินซือหยางยีหั
วันนี้จวนไท่เว่ยสาดน้ำล้างประตูจวนแต่เช้าตรู่ ก่อนจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัย ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญต่างทยอยมาร่วมดื่มเหล้ามงคลกันอย่างคับคั่ง “ไม่นึกเลยว่าจ้งเอ๋อร์ของเราจะมีวันนี้เช่นกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา ตื้นตันใจเหลือจะกล่าวที่หลานสาวจะมีเหย้ามีเรือน “นั่นสิเจ้าคะ ลูกก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะมีวันได้ออกเรือนเหมือนคนอื่นเขา ยังนึกว่าจะต้องเลี้ยงนางจนแก่เฒ่าเป็นสาวเทื้อคาจวนเสียอีก” กู้ฟางเหนียงที่วันนี้ลงมือเกล้าผมปักปิ่นให้บุตรสาวด้วยตนเองกล่าวด้วยความตื้นตันใจดุจเดียวกัน “ท่านแม่อย่าห่วงไปเลย ความสามารถด้านนี้ของข้าล้วนได้พี่ใหญ่เป็นผู้ชี้แนะ ไม่มีทางเป็นสาวเทื้อคาจวนอย่างที่ท่านแม่ว่าแน่นอน” จ้าวลี่จ้งยิ้มอวด วันนี้หญิงสาวแลดูสง่างามเป็นพิเศษในชุดแต่งงานสีแดงเรียบง่ายคล้ายชุดแต่งงานของบุรุษ ถึงแม้จวนจะออกเรือนแล้วแต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้ามารดาดั่งเด็กน้อยผู้หนึ่งเลยถูกกู้ฟางเหนียงเขกศีรษะเข้าให้
“ท่านพ่อนี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดท่านพี่ถึงถูกปลดจากตำแหน่งเสนาบดีง่ายดายถึงเพียงนี้ สภาขุนนางฝ่ายเราทำอะไรกันอยู่ ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร” หลี่ย่าเสียงซักถามทันทีที่เห็นหลี่เจียงเดินเข้าประตูตำหนักมา “เหนียงเหนียงประทับบนพระที่นั่งก่อนเถิด เรื่องนี้พ่อหารือกับที่ประชุมลับแล้วคงต้องให้อาเจี๋ยลำบากแบกพุ่มหนามไปขอขมาฝ่าบาทกับองค์รัชทายาท ทางสภาขุนนางก็รับปากว่าจะถวายฎีกาขออภัยโทษให้ ต้องรอดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” “ขอโทษ? เหตุใดท่านพี่ถึงต้องลดเกียรติลงไปขอโทษพวกมัน” หลี่ย่าเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธ “เหนียงเหนียงยังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อีกหรือ ข้อหาขัดขวางความเจริญของชาติบ้านเมืองโทษร้ายแรงนัก อาเจี๋ยยังจงใจขัดขวางการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางนับร้อยในท้องพระโรงถึงสองครั้งสองครา ตอนนี้เรื่องที่อาเจี๋ยไม่เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอยู่ในสายตาถูกลือออกไปทั่วแคว้น ชาวบ้านที่โกรธแค้นต่างก็มารุมปาข้าวของใส่ประตูจวนจนแทบพังลงมา ต่อให้มีร้อยปากตอนนี้เราก็แก้ต่างอะไรไม่ขึ้นแล้ว” หลี่เจียงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก พอเข้าฤดูหนาวสุ
บรรยากาศในท้องพระโรงขมุกขมัวเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน ไม่นึกว่าแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำขององค์รัชทายาทก็สามารถผลักเสนาบดีหลี่ที่เป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักมาช้านานตกลงไปในหุบเหวลึกจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ขุนนางฝ่ายสนับสนุนตระกูลหลี่จึงพากันร้อนๆ หนาวๆ หวั่นกลัวองค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก แต่เฉินซือหยางไม่สนใจเห็บหมัดพวกนี้แม้แต่น้อย วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยปากออกทรัพย์สินสมทบโครงการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอย่างหาได้ยาก “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านการก่อตั้งสำนักป้องกันอัคคีภัยอีก ลูกขอบริจาคเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อเป็นต้นทุนในการก่อสร้างพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมถึงจะมีเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดแต่ก็มีใจห่วงใยประชาชนดุจเดียวกัน ขอหน้าหนาพึ่งใบบุญองค์รัชทายาทร่วมสมทบหมื่นตำลึงเงินพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวมู่หาจังหวะประจบเอาใจเฉินเทียนอี้และเฉินซือหยางได้อย่างประจวบเหมาะเพราะพอเขาออกปากเช่นนั้น ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักจะไม่ออกปากร่วมสมทบเลยก็กระไร จึงจำใจกรีดเลือดควักเนื้อออกมาสมทบกันคนละนิดคนละหน่อย