ยุคสมัยที่การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีไม่จำกัดอยู่เพียงหญิงชาย เพศเดียวกันก็สามารถแต่งงานกันได้ถ้าผลประโยชน์ต้องกัน ฟ่านลู่อีถูกแต่งตั้งเป็นองค์ชายไปแต่งงานกับอ๋องต่างแคว้นเพื่อเป็นบรรณาการของการสงบศึก กับอ๋องที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในแผ่นดิน! เนื้อเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ค่ะ เดินเรื่องแบบสูตรสำเร็จพระเอกนายเอกเก่งเทพ
더 보기"ผิดละ ข้าปล่อยปละละเลยพวกเจ้าสองคนพี่น้องมากเกินไปต่างหาก พวกเจ้าจึงคิดแผนการชั่วร้ายนี้ขึ้นมาได้ ออกไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า" "แต่ว่าหยุนมู่.." เสียงคนยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมดังขึ้นประดุจห้องทลาย ฟ่านลู่อี่ที่อยากจะลืมตาดูแต่ก็ลืมไม่ขึ้นได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ เขาเป็นได้แค่ตัวหมากกระนั้นหรือ คนที่เขาเริ่มมีใจให้กลับเห็นเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ... จะต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ให้ได้"พี่หยุนมู่ ข้าขออยู่เฝ้าลู่อี่เถอะนะ" อ๋องพยัคฆ์อ้อนวอน แต่กลับมีเสียงโครมใหญ่อีกครั้งแทน มีเพียงสุ่ยเซียนเท่านั้นที่เป็นพยานว่าฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์ถูกฮองเฮาเตะกระเด็นทะลุประตูออกจากห้องไปอัดเสาฝั่งตรงข้าม "ทหาร!" หยุนมู่ตะโกนเรียก เหล่าทหารยามวิ่งมารวมแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าหยุนมู่ "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดตำหนักห้ามฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์เข้ามาเด็ดขาด แม้แต่คนของพวกเขาก็ห้าม เข้าใจหรือไม่" "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ดี ผู้ใดขัดคำสั่งข้า" หยุนมู่ทำมือปาดคอตัวเอง ใครจะกล้าขัดคำสั่งพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ ไม่มีใครสนใจสองพี่น้องที่ยืนหน้าละห้อยอยู่ "
อ๋องพยัคฆ์แทบจะวิ่ง ขันทีนำทางคงรู้อารมณ์เขาจึงเร่งฝีเท้านำเขาไป เปิดประตูห้องให้ พอเข้าไปได้อ๋องพยัคฆ์ก็พุ่งตัวไปหาฟ่านลู่อี่ที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง มือหนาลูบใบหน้างามอย่างทะนุถนอม คนป่วยยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้น "เจ้าไม่คิดจะทักพี่สาวคนนี้เลยรึ" เสียงสตรีดังขึ้น อ๋องพยัคฆ์จึงเพิ่งรู้สึกว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย "คารวะพี่หยุนมู่ พี่สุ่ยเซียน" อ๋องพยัคฆ์คารวะเร็ว "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เขานั่งลงข้างเตียง หยิบมือเย็นมาแนบแก้มสากด้วยหนวดที่ขึ้นไรครึ้ม "ป้อนยาที่ข้าปรุงทุกหนึ่งชั่วยามกับให้แช่น้ำร้อน เสริมด้วยปราณกรุยจุดชีพจรอีกวันละสองรอบ ข้าคิดว่าอาการน่าจะหายในเจ็ดวันนะ" สุ่ยเซียนตอบยิ้มๆ "เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด พวกเราเพิ่งป้อนยาน้องสะใภ้ไปไม่นาน เจ้าค่อยกลับมาก็ได้" หยุนมู่พูดอย่างใจดี คนที่อ๋องพยัคฆ์เชื่อฟังมากที่สุดคือหยุนมู่นี่เอง สำหรับฮ่องเต้ เชื่อฟังนั้นก็เชื่ออยู่ แต่ก็ตีกันบ่อยเช่นกัน อ๋องพยัคฆ์เดินสวนกับอาหลาน มันเดินขึ้นเตียงไปนอนข้างฟ่านลู่อี่แต่ถูกสุ่ยเซียนดุ "อาหลาน ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดไปให้เทียนเฉินอาบน้ำให้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข
ฮ่องเต้หลิวเทียนจินเป็นองค์ชายรองในรัชกาลก่อน หลังจากองค์ชายใหญ่ก่อกบฏ องค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปดหนีตายไปหาแม่ทัพติงผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของแม่ทัพติงคนปัจจุบันที่ยามนั้นเป็นรองแม่ทัพอยู่กองทัพเดียวกับบิดา แม่ทัพติงยามนั้นเฝ้ารักษาชายแดนทางตะวันออกของแคว้นเจี๋ย เขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากจึงได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปรักษาชายแดน โดยหลานสาวของเขาติงสุ่ยเซียนที่อายุน้อยกว่าองค์ชายรองสองปีก็ได้หมั้นหมายกับองค์ชายรองตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เจอหน้ากันปีละครั้งยามแม่ทัพติงเข้ามาอวยพรวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เด็กทั้งคู่นับว่ามีไมตรีที่ดีต่อกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เสกสมรสกันก็เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน แม่ทัพติงอยู่ชายแดนห่างไกลยกทัพมาช่วยไม่ทัน จึงแยกตัวออกจากราชสำนักรวบรวมกำลังคนเตรียมกลับไปช่วยฮ่องเต้พระบิดาขององค์ชายรอง เหล่าองค์ชายที่หนีตายมาพึ่งพาแม่ทัพติงมิได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ฝึกการต่อสู้อย่างหนัก แม่ทัพติงทั้งคู่ มิได้อ่อนข้อให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามีติงหยุนมู่พี่ชายของติงสุ่ยเซียนเป็นพี่เลี้ยง เขาแก่กว่าองค์ชายรองสองปีจึงสนิทสนมกันมาก ด้วยความที่ติงหยุนมู่แก่กว่า
ฮ่องเต้นำกองทัพไปล้อมจับเจ้าเมืองโหย่วกวาน ได้ตัวตอนกำลังหลบหนีออกทางหลังจวน ขุนนางละโมบพยายามขนทรัพย์สินเงินทองไปด้วยจำนวนมากทำให้หนีไม่พ้น ไห่เสียงเตะมันล้มกลิ้งมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ "เราเลี้ยงดูขุนนางไม่ดีรึ เจ้าจึงคิดกบฏ" ฮ่องเต้ถามทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา "โปรดเมตตาด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว" คนโขกหัวจนหน้าผากแตกน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความกลัว"หึ" ฮ่องเต้ยิ้มหยัน คืนนั้นขุนนางที่อยู่ในรายชื่อว่าสมคบกับพวกกบฏของเมืองโหย่วกวานถูกฉุดกระชากลงมาจากเตียงยามดึก ครอบครัวบ่าวไพร่ถูกต้อนไปรวมกันที่หน้าศาลาว่าการประจำเมือง ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ คบไฟถูกจุดสว่างไปทั้งเมือง ดุจดั่งกลางวัน เสียงซัดทอดความผิดดังระงม ฮ่องเต้เรียกหัวหน้ากองธงมาสองคน มอบหมายให้สอบสวนครอบครัวและบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพวกคนในจวนเจ้าเมืองเป็นอีกสองกองธงจัดการสอบสวน ตัวเจ้าเมืองถูกล่ามขื่อทั้งที่โลหิตไหลท่วมหน้า "เงียบ!" ราชองครักษ์ผู้หนึ่งตวาด เกิดความเงียบครู่เดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก อาหลานคงทนไม่ไหว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังกำแพงส่งเสียงขู่คำรามอันทรงพลังก้องไปทั้งเน
อ๋องพยัคฆ์สำรวจรอบๆ ด้วยสายตา ที่นี่คงเป็นค่ายของพวกกบฏ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วจึงถอนค่ายหนีอย่างรีบร้อนเช่นนี้ "ไม่เหลือสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะนอกจากเตาหลอม พวกมันน่าจะลักลอบผลิตอาวุธกันในถ้ำ" "มีรอยเกวียนมุ่งหน้าไปในป่า รอยล้อกดลึกบ่งบอกว่าบรรทุกของหนัก พ่ะย่ะค่ะ" นายกองอีกผู้หนึ่งรายงาน "ตามไปดูว่ารอยเกวียนนั้นสิ้นสุดลงที่ใด ส่งผู้หนึ่งไปแจ้งฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพต่อไป บอกให้สังเกตทางเกวียนทางด้านขวาที่ออกจากป่า ข้าคาดว่าถ้าเราไปตามทางน่าจะไปบรรจบกันด้านหน้า" เหล่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีแยกกันไปทำตามคำสั่ง พวกเขาตามรอยมาจนยามซวี หรือประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จึงได้ตามทัน เส้นทางเกวียนนำมาถึงเชิงเขาของเมืองโหย่วกวาน เสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านหน้า อ๋องพยัคฆ์เห็นเหล่าทหารม้าของเขาสู้อยู่กับกองกำลังของถางจินเข่อ ทหารม้ามีจำนวนคนน้อยกว่ามากจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ "วางดาบคนเป็น จับดาบคนตาย!" อ๋องพยัคฆ์ชูดาบตะโกนก้อง ตามด้วยเสียงคำรามของอาหลานทำให้กองกำลังของถางจินเข่อที่ได้ยินก็ขวัญเสีย พวกมันเข้าร่วมเป็นกบฏด้วยเห็นแก่ลาภยศเมื่อมาได้เจออ๋องพยัคฆ์ตัวจริ
"มาช้านะท่านพี่" อ๋องพยัคฆ์แสยะยิ้มชักม้าออกจากที่กำบัง ผู้มาใหม่คืออดีตองค์ชายรองหรือฮ่องเต้ของแคว้นเจี๋ยหลิวเทียนจินนั่นเอง "ข้าต้องรอหมอหลวงต้มยา แถมกว่าจะเด็ดผลมังกรอัคคีได้ข้าถึงกับถูกน้ำในธารเดือดกระเด็นใส่เป็นรอยพุพองทีเดียวนะ" คนพูดคลำแขนตัวเองเหมือนเจ็บมากแต่ถูกคนที่มาด้วยขัดคอ "รอยพองเท่าเหรียญอีแปะถึงกับอาบน้ำเองมิได้ยกตะเกียบมิไหวต้องให้ข้าป้อนข้าวอยู่หลายมื้อเยี่ยงนั้นรึ" เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเนียน คิ้วเฉียง ดวงตาแฝงความทระนงองอาจ แม้มิได้บึกบึนเช่นทหารส่วนใหญ่แต่ร่างกายแฝงด้วยกล้ามเนื้องดงามสมส่วน "เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าสิ ปรนนิบัติสามีนิดหน่อยก็บ่น" คนพูดทำปากยื่น "ยา" อ๋องพยัคฆ์พูดแค่คำเดียว ฟ่านลู่อี่ของเขาอาการหนักมากแล้ว คนพวกนี้ยังมาเล่นปาหี่ให้เขาดูอีก "เจ้าน้องคนนี้นี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ข้าหวังจะได้เห็นใบหน้าอื่นของเจ้าแท้ๆ เจ้าส่งน้องสะใภ้ให้ฮองเฮาเถอะ เขาจำเป็นต้องกลับไปแช่น้ำร้อนที่วัง ข้าเตรียมคนและรถม้าไว้ให้แล้ว ส่วนเจ้าต้องไปจับมุสิกกับข้า" คนสั่งแฝงอำนาจของผู้นำทำให้อ๋องพยัคฆ์จนใจ เรื่องบ้านเมืองก็สำคัญ เขาจำใจส่งฟ่านลู่อี่ให้บุรุษอี
อ๋องพยัคฆ์ควบม้าไปทางใดล้วนมีเศษเลือดเนื้อสาดกระจาย แต่พวกมันกลับไม่กลัวตายหนุนเนื่องกันเข้ามาไม่ได้หยุด ทางซินเกาเล่อก็ไม่น้อยหน้า ฟาดคนที่เข้าใกล้ด้วยง้าวจนร่างขาดเป็นสองส่วน โจวหงเจินกำลังต้านศัตรูให้จ้าวอี้หานเตรียมอะไรบางอย่าง จนเขาจุดชุดไฟที่หัวธนูได้สำเร็จ ขึ้นไปยืนบนหลังม้ายิงธนูไฟเข้าใส่กลุ่มศัตรู และยิงต่อเนื่องเป็นแนวยาวไปตึง กรึ้ม บึ้ม... เสียงระเบิดดังกึกก้อง ฝุ่นฟุ้งกระจาย จ้าวอี้หานใช้ธนูหัวระเบิดเปิดทาง แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้างแต่สร้างความชะงักงันได้ชั่วเวลาหนึ่ง อดีตรองแม่ทัพของซินเกาเล่อ ควบม้าเปิดทางตามทางระเบิด อ๋องพยัคฆ์กระตุ้นม้าตามเข้าไปคนที่เหลือปิดท้าย เข่นฆ่าจนเป็นเส้นทางเลือด แต่ศัตรููที่ยกมามีจำนวนถึงหนึ่งพันคนคงเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ไม่ได้แล้ว "ไม่เป็นไรนะคนดี ข้าจะพาเจ้าไปรักษาตัว" อ๋องพยัคฆ์กระชับลู่อี่บนหลังสายตาทอแววเข่นฆ่า เสียงร้องโอดโอยดังแว่วมาแสดงว่าอาหลานเริ่มจัดการพลธนูที่ซุ่มอยู่แล้ว อ๋องพยัคฆ์มีสองรองแม่ทัพคอยระวังหลัง คนทั้งหมดค่อยๆคืบหน้าไปอย่างช้าๆ ม้าศึกยังดีดศัตรูหลายคนหน้าผากเปิดกระโหลกยุบ "ปล่อยให้เป็นแบบนี้นานไปคงจะไม่
ด้านกองกำลังของอ๋องพยัคฆ์ ออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่า อ๋องพยัคฆ์มัดลู่อี่ไว้แนบอก ควบม้านำขบวนลัดเลาะไปในป่า พวกเขาคาดว่านักฆ่าอาจจะไปดักอยู่บนทางหลวงจึงเลี่ยงมาใช้ทางด่านที่ไม่ค่อยมีใครใช้ อาหลานหมอบบนหลังม้ากับจ้าวอี้หาน ออกจะลำบากนิดหน่อยแต่ฝีเท้าอาหลานไม่สามารถวิ่งนานๆ ได้แบบม้า จากจุดที่พวกเขาอยู่ ถ้าม้าวิ่งเต็มที่ไปเมืองหลวงใช้เวลาสี่ชั่วยาม พวกเขาเลาะทางด่านย่อมเสียเวลามากขึ้น ก่อนเดินทางอ๋องพยัคฆ์ปลุกฟ่านลู่อี่มารับประทานเนื้อแห้งรองท้อง แต่คนถูกพิษร้ายไม่ยอมรับประทานสิ่งใดนอกจากน้ำ ทำให้เขากังวลใจอยู่มาก เมื่อเจอน้ำพุร้อนอ๋องพยัคฆ์จึงสั่งหยุดพัก เพราะอยากให้ฟ่านลู่อี่แช่น้ำร้อนสักนิด ไม่เช่นนั้นอาการคงจะทรุดลง ยาที่ควรจะรับประทานก็ไม่มี ทั้งหมดกระจายกำลังคุ้มกันหันหลังให้น้ำพุร้อน อ๋องพยัคฆ์เปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง และฟ่านลู่อี่อย่างรวดเร็ว พอลงน้ำได้ก็ถ่ายทอดลมปราณให้ทันที "ท่านอ๋อง ให้ข้าช่วยถ่ายทอดลมปราณให้องค์ชายหรือไม่" ซินเกาเล่อถามทั้งที่ไม่ได้หันมา อ๋องพยัคฆ์รู้ตัวดีว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาก็ไม่อาจสู้ศัตรูได้เต็มที่แต่ผู้อื่นก็มิได้พักเช่นเดียวกัน "ขอบใจ แต่ลู่อ
ทั้งหมดสลัดกลุ่มนักฆ่าที่ตามมาได้ในที่สุด พวกเขาควบม้าเลี่ยงทางหลวงเข้าไปในป่าลึก จนมาถึงถ้ำที่มิดชิดแห่งหนึ่งก็หยุดยั้งลง "เราจะพักสักครู่ พวกเจ้าจัดการอาการบาดเจ็บของตัวเองซะ" คนสั่งลงจากหลังม้า โจวหงเจินใช้ผ้าจากกระเป๋าข้างอานม้าปู และช่วยปลดลู่อี่ลงจากหลังอ๋องพยัคฆ์ คนงามยังคงไม่ได้สติใบหน้าสวยซีดเซียว ปากที่เคยชมพูระเรื่อแทบไม่มีสีเลือด ดีที่ซินเกาเล่อสั่งมิให้ปลดอานม้าออกเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้พวกเขามีของใช้จำเป็น น้ำและอาหารแห้งที่จะต้องมีติดอยู่ในกระเป๋าข้างอานม้า ทั้งโจวหงเจินและจ้าวอี้หานมีสีหน้าเคร่งเครียด "เสี่ยวถงจะปลอดภัย หมอซูไม่ใช่คนโง่ ข้าสั่งให้พวกเขาหลบซ่อนตัว พวกมันคงหาเขาไม่เจอ หมอซูจะพาเสี่ยวถงกลับเมืองหลวงได้" อ๋องพยัคฆ์มองทั้งคู่อย่างเห็นใจ บางทีการที่จะมีความรู้สึกดีกับผู้ใดสักคนหนึ่งอาจจะใช้เวลาไม่นาน "ท่านอ๋องพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกข้าจะผลัดกันอยู่เวรยามเอง" โจวหงเจินทูล "เราจะออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่า พวกเจ้าก็จงผลัดกันพักผ่อน" เหลือเวลาให้พักเพียงไม่ถึงสองชั่วยาม อ๋องพยัคฆ์โอบฟ่านลู่อี่แนบกายหวังใช้ร่างกายตัวเองเพิ่มความอบอุ่น เขารู้
แคว้นเสิ่ง"มีพระราชสาสน์มาจากฮ่องเต้แคว้นเจี๋ยพ่ะย่ะค่ะ" หานกงกงประคองสาส์นในถาดทองคำถวายให้ฮ่องเต้ถางจงฮ่วน ฮ่องเต้มองสาส์นประดุจเผือกร้อนกองหนึ่งแต่มิอ่านก็มิได้ พระองค์ไม่เข้าใจแคว้นเจี๋ยแม้แต่น้อย สงครามพิพาทระหว่างชายแดนของสองแคว้นยืดเยื้อมาได้ห้าปี จนมาถึงฤดูใบไม้ผลิแคว้นเสิ่งกำลังจะเพลี่ยงพล้ำแต่กองทัพแคว้นเจี๋ยกลับมิได้ตามมาบดขยี้ เพียงเข้ายึดเมืองชายแดนแล้วอยู่เฉยๆ มิได้รุกคืบ สร้างความกดดันให้กับทางเมืองหลวงยิ่ง พระองค์เพียรส่งพระราชสาส์นไปหลายครั้งแต่มิได้รับสาส์นตอบแต่อย่างใด ขุนนางก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการสงบศึกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งกองทัพไปบดขยี้ เฮอะ เจ้าพวกไร้สมอง มีแต่ทางเราจะถูกบดขยี้สิไม่ว่า แถมนี่ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว พระองค์ไม่สามารถรีดภาษีหรือหาเสบียงได้ทันการเคลื่อนทัพเป็นแน่ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะหนักๆแต่สาส์นยังคงต้องอ่าน เมื่อกวาดสายตาอ่านจนจบ หานกงกงที่คอยมองสีหน้าอยู่ยังมิสามารถอ่านสีหน้าของฮ่องเต้ยามนี้ได้"มิทราบว่าทางแคว้นเจี๋ยยื่นข้อเสนอใดมาหรือพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามิเข้าใจ เหตุใดทางแคว้นเจี๋ยจึงยื่นข้อเสนอที่เสียเปรียบนี้มา""ข้อเสนออันใดหรือพ่ะ...
댓글