แคว้นเสิ่ง
"มีพระราชสาสน์มาจากฮ่องเต้แคว้นเจี๋ยพ่ะย่ะค่ะ" หานกงกงประคองสาส์นในถาดทองคำถวายให้ฮ่องเต้ถางจงฮ่วน
ฮ่องเต้มองสาส์นประดุจเผือกร้อนกองหนึ่งแต่มิอ่านก็มิได้ พระองค์ไม่เข้าใจแคว้นเจี๋ยแม้แต่น้อย สงครามพิพาทระหว่างชายแดนของสองแคว้นยืดเยื้อมาได้ห้าปี จนมาถึงฤดูใบไม้ผลิแคว้นเสิ่งกำลังจะเพลี่ยงพล้ำแต่กองทัพแคว้นเจี๋ยกลับมิได้ตามมาบดขยี้ เพียงเข้ายึดเมืองชายแดนแล้วอยู่เฉยๆ มิได้รุกคืบ สร้างความกดดันให้กับทางเมืองหลวงยิ่ง พระองค์เพียรส่งพระราชสาส์นไปหลายครั้งแต่มิได้รับสาส์นตอบแต่อย่างใด ขุนนางก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการสงบศึกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งกองทัพไปบดขยี้ เฮอะ เจ้าพวกไร้สมอง มีแต่ทางเราจะถูกบดขยี้สิไม่ว่า แถมนี่ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว พระองค์ไม่สามารถรีดภาษีหรือหาเสบียงได้ทันการเคลื่อนทัพเป็นแน่
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะหนักๆแต่สาส์นยังคงต้องอ่าน เมื่อกวาดสายตาอ่านจนจบ หานกงกงที่คอยมองสีหน้าอยู่ยังมิสามารถอ่านสีหน้าของฮ่องเต้ยามนี้ได้
"มิทราบว่าทางแคว้นเจี๋ยยื่นข้อเสนอใดมาหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้ามิเข้าใจ เหตุใดทางแคว้นเจี๋ยจึงยื่นข้อเสนอที่เสียเปรียบนี้มา"
"ข้อเสนออันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี"
ฮ่องเต้ยังขบคิดข้อเสนอจากแคว้นเจี๋ยอยู่ แม้ยามค่ำคืนที่พระองค์อยู่กับสนมคนโปรด หว่างคิ้วยังคงมิคลาย
"ฝ่าบาท มิทราบว่ากังวลพระทัยเรื่องใดอยู่หรือเพคะ สนมทราบว่าปัญญาต้อยต่ำแต่ยังคงอยากช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์นะเพคะ" เซี่ยกุ้ยเฟยใช้หน้าอกอิ่มเบียดแขนฮ่องเต้อย่างออดอ้อน นับว่าสนมผู้นี้ฉลาดพูดจานัก แถมคนยังงามสะพรั่งในวัยใกล้สี่สิบ ถึงแม้ว่าให้กำเนิดเชื้อสายมังกรแก่องค์ฮ่องเต้แล้ว
"ทางแคว้นเจี๋ยยื่นข้อเสนอแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ข้ายังคิดไม่ตกว่าจะส่งผู้ใดไปจึงจะเหมาะสม เจ้าก็รู้ว่าเราไม่มีองค์หญิงที่อยู่ในวัยออกเรือน" ฮ่องเต้เล่าให้สนมรักฟังโดยหว่างคิ้วยังมิคลาย
"หม่อมฉันเคยอ่านพงศาวดารว่าสมัยก่อนมีการแต่งตั้งองค์หญิงโดยเลือกจากบุตรีของขุนนางที่มีชาติตระกูลดี ความประพฤติดีเพคะ"
"จริงสิ ยังมีวิธีที่เจ้าว่าอยู่" ฮ่องเต้คลายกังวล รับการปรนเปรอจากสนมรักจนใกล้สาง
ณ ท้องพระโรง
"ฮ่องเต้เสด็จแล้ว" เสียงขันทีขานดังก้องกังวาน
"ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี" เหล่าขุนนางคุกเข่าส่งเสียงกระหึ่มท้องพระโรงให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธ์ชนิดหนึ่ง
"ลุกขึ้น" ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรแล้วกล่าวอนุญาตแก่เหล่าขุนนาง
หลังจากฟังรายงานจากขุนนางแล้วพระองค์เริ่มกล่าวถึงถึงพระราชสาส์นจากแคว้นเจี๋ย
"ทางแคว้นเจี๋ยเสนอการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่พวกเจ้าก็รู้ว่าเรามีองค์หญิงเพียงองค์เดียวและเพิ่งอายุสี่ขวบ ไม่ใกล้เคียงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ" ใช่แล้ว พระองค์มีสนมมากมายมีลูกถึงสิบคน แต่ชะตาช่างเล่นตลก องค์ชายที่มาประสูติได้ยากนักในรัชกาลก่อนกลับมาประสูติแต่พระองค์มากมาย กว่าพระองค์จะได้องค์หญิงน้อยมาแทบจะต้องบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ มีหรือจะยอมส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการต่างเมือง
เสียงเหล่าขุนนางปรึกษากันกระหึ่มท้องพระโรง รัชกาลนี้ไม่มีองค์หญิงเป็นที่รู้กันทั่ว ทางแคว้นเจี๋ยย่อมมิอยากได้เด็กทารกไปเป็นเครื่องบรรณาการแน่
"ถ้าพระองค์ทรงแต่งตั้งบุตรีของใครสักคนเป็นองค์หญิงล่ะพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมกลาโหมเสนอขึ้น
"เจิ้นคิดถึงข้อนี้ไว้แล้ว จึงมาถามความสมัครใจของพวกเจ้าว่าผู้ใดมีบุตรสาวที่ยังไม่มีพันธะหมั้นหมายเสนอตัวรับใช้แผ่นดินบ้าง"
เสียงขุนนางเถียงกันดังเซ็งแซ่ เป็นเรื่องธรรมดาที่มิมีผู้ใดอยากส่งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนไปเป็นเครื่องบรรณาการยังแดนไกลที่มีแต่ความหนาวเหน็บเยี่ยงนั้น ทุกคนอย่างเกี่ยงกันและเสนอชื่อของบุตรีผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง
"คุณหนูตระกูลฟ่านจึงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน แถมยังอยู่ในวัยออกเรือน มิทราบว่าท่านเจ้ากรมคลังมีความเห็นประการใด"
เจ้ากรมคลังที่เงียบมาตลอดสบถในใจ อำมาตย์จวงที่คอยขัดแย้งกับเขามาตลอด ม้นกล้าพูดเพราะมีแต่บุตรชายจึงกล้าหาเรื่องเขา ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าบุตรีของเขาคือไท่จื่อเฟยในอนาคต มารดาของนางเป็นน้องของฮองเฮา สองพี่น้องตั้งใจว่าจะให้สองตระกูลเป็นทองแผ่นเดียวกัน ถึงยังมิได้หมั้นหมายแต่ความสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดา
"ฟ่านปิงปิงเป็นคู่หมายองค์ไท่จื่อ แต่ที่อำมาตย์จวงกล่าวมาก็เป็นเรื่องดีอยู่ เจ้ากรมคลังยังมีบุตรชายที่งดงามอยู่อีกคนมิใช่หรือ" เป็นฮองเฮาที่หาทางออกสวยๆให้ นางรู้ว่าบุตรชายผู้งดงามของเจ้ากรมคลังเป็นหนามยอกอกน้องสาวนางมานานแล้ว บุตรชายที่ถือกำเนิดจากฮูหยินรองที่ใบหน้าประพิมพ์พายคล้ายฟ่านปิงปิงถึงแปดส่วน เพราะเด็กทั้งสองหน้าเหมือนท่านย่าที่เคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้น อีกสองส่วนที่ไม่เหมือนนั้นคือส่วนที่งดงามกว่า ครั้งนี้ถือว่าช่วยน้องสาวของนางและทำให้หนทางสู่บัลลังก์มังกรของบุตรชายนางมั่นคงยิ่งขึ้น ทรัพย์สินของตระกูลฟ่านก็มีมิใช่น้อย หากเด็กนั่นอยู่ผู้เป็นบุตรชายย่อมได้สืบทอด หากน้องสาวนางรู้ย่อมขอบคุณนางเป็นแน่
"เจ้ากรมคลังท่านมีความคิดเห็นอย่างไร" สุรเสียงทรงอำนาจถามขึ้น
"เอ่อ.... กระหม่อม"
"เจ้ากรมคลังคงตื่นเต้นจนพูดไม่ออกเพคะฮ่องเต้" ฮองเฮาพูดด้วยเสียงหยาดเยิ้มแต่สายตาจิกร่างของเจ้ากรมคลังจนพรุน คนแม้ทำท่าลำบากใจแต่เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างลูกชายผู้สืบทอดกับตำแหน่งพระสัสสุระแล้ว น้ำหนักในใจย่อมเทมาฝ่ายหลังแน่ เขาก็แค่รับอนุเพิ่มอีกซักสองสามคน พยายามทำบุตรชายสักหน่อย
"กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมคลังฟ่านแอบกระหยิ่มอยู่ในใจ
"ข้าขอแต่งตั้งบุตรชายของเจ้ากรมคลังเป็นองค์ชายสันติสุขเพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรียังแคว้นเจี๋ย ประทานผ้าร้อยผืน ทองคำยี่สิบหีบ เครื่องประดับทองและเพชรอย่างละสิบหีบ อาชาห้าสิบตัว นางกำนัลและขันทีอย่างละยี่สิบคน เจ้ากรมคลังจงบอกให้ลูกของเจ้าเตรียมตัวอีกเจ็ดวันขบวนรับเจ้าสาวของแคว้นเจี๋ยจะเดินทางมาถึง เลิกประชุมได้" ฮ่องเต้ลุกขึ้นเดินออกจากท้องพระโรงทิ้งให้เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่พร้อมกับมาแสดงความยินดีกับเจ้ากรมคลัง
"ท่านอ๋อง เสด็จล่วงหน้าขบวนมาแบบนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมถามขึ้น แต่เสียงกลับทุ้มหล่อขัดกับหน้าตา"ข้าอยากดูหน้าเจ้าสาวจนทนไม่ไหวไงล่ะ ข่าวว่าเป็นคุณหนูที่มีดีแค่ความงามมิใช่รึ" คนพูดเป็นชายหนุ่มหนวดเครารกครึ้มในชุดผ้าเนื้อหยาบแต่มิอาจปกปิดเค้าหน้างามสง่าและบุคลิกสูงส่งได้"มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นคุณชายคนน้องพ่ะย่ะค่ะ""แคว้นเสิ่งหาสตรีมิได้แล้วหรือถึงส่งบุรุษมาแต่งงาน" คนพูดเสียงเยาะหยัน"ก็อาจเป็นได้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็มีแต่องค์ชาย มีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวชันษาสี่ขวบ""ข้ามิใช่คนวิปริตที่จะแต่งงานกับทารกหรอกนะ" คนทำหน้านิ่ง"จึงมีการแต่งตั้งองค์ชายจากบุตรขุนนางไงพ่ะย่ะค่ะ เพราะบุตรีมีน้อยและต่างมีพันธะหมั้นหมายกันหมดแล้ว""หึ" คนแค่นเสียงคำหนึ่งก่อนที่จะกระตุ้นม้าวิ่งเต็มฝีเท้า ทิ้งให้ผู้ติดตามกระตุ้นม้าตามทางจวนเจ้ากรมคลัง"ฟ่านลู่อี่รับราชโองการ" ทหารประกาศดังก้องจวนคนทั้งจวนฟ่านคุกเข่าที่ลานด้านหน้า"สงครามชายแดนยืดเยื้อมาหลายปี ทางแคว้นเจี๋ยต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีขอแต่งตั้งฟ่านลู่อี่เป็นองค์ชายสันติสุขไปแต่งงานกับอ๋องพยัคฆ์ยังแคว้นเจี๋ย พ
ขบวนทหารม้าจากแคว้นเจี๋ยชักแถวเดินเข้าเมืองอย่างองอาจ ผู้นำขบวนเป็นถึงรองแม่ทัพมือขวาของอ๋องพยัคฆ์มีไท่จื่อเป็นผู้แทนพระองค์มาต้อนรับขี่ม้าตีคู่มาตามด้วยรถม้าหรูหราสองคัน คันหนึ่งมีพยัคฆ์สีดำปลอดยืนอยู่บนหลังคาสายตาสอดส่ายไปรอบๆอย่างสนใจ เสียงชาวบ้านซุบซิบกันถึงพยัคฆ์ดำต่างพากันเดาว่าเป็นของอ๋องพยัคฆ์ เหล่าชาวเมืองมีทั้งสายตาชื่นชมมีบ้างบางคนที่หวาดกลัวรถม้าที่ทำจากไม้เนื้อดีอีกยี่สิบคันเทียมด้วยอาชาพ่วงพี กองทหารม้าอีกห้าสิบปิดท้ายขบวน ทุกคนท่าทีองอาจข่มขวัญผู้คน แต่ก็อยู่ในระเบียบกองทัพมิได้ข่มเหงผู้ใดกองกำลังพยัคฆ์ดำมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองรอจนเช้าวันใหม่เมื่อผู้แทนพระองค์ไปรับที่ประตูเมืองจึงจัดขบวนเข้าเมืองอย่างองอาจไทจื่อก้าวนำรองแม่ทัพโจวหงเจินมายังท้องพระโรง"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี" ปากบอกเคารพแต่ท่าทียังองอาจมิยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อยฮ่องเต้ถางจงฮ่วนได้แต่กล้ำกลืนก้อนเลือดลงคอ จำต้องเอ่ยคำปฏิสันถารตามมารยาท"พวกท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญไปพักก่อนดีหรือไม่ ข้าให้คนจัดที่พักไว้แล้ว""เรื่องนั้นไว้ทีหลังได้ ข้าเป็นตัวแทนแคว้นเจี๋ยเดินทางมารับ
ลู่อี่บังคับให้เสี่ยวถงนั่งลงร่วมรับประทานน้ำชาด้วย ทั้ง 4 คนคุยกันอย่างเพลิดเพลินจนเย็น ส่วนพยัคฆ์ดำได้เนื้อสดก้อนใหญ่ที่เสี่ยวถงไปนำมาให้นอนพุงป่องอยู่ด้านข้าง"นี่ก็ใกล้เวลาเริ่มงานเลี้ยงแล้วพระชายามิต้องไปเตรียมตัวก่อนหรือกระหม่อม" โจวหงเจินรู้สึกตัวก่อนว่าใกล้ถึงเวลางานเลี้ยง"ข้าไม่อยากไป" ฟ่านลู่อี่ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด"งั้นก็ไม่ต้องไป เรากลับแคว้นเจี๋ยกันเลยเถอะ" ซือเย่ามองฟ่านลู่อี่"นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ดีก็ได้ งานเลี้ยงนั่นพวกเขาจัดกันก็ให้เขาสนุกกันเองก็แล้วกัน" ฟ่านลู่อี่ยิ้มออกมาได้"ให้ข้าไปช่วยพระชายาขนสัมภาระเถิดกระหม่อม" ซือเย่าออกปาก"รบกวนท่านแล้ว" ฟ่านลู่อี่พยักหน้า"ข้าจะไปช่วยเสี่ยวถง" โจวหงเจินแยกไปกับเสี่ยวถง ปล่อยให้ซือเย่าตามลู่อี่ไปลู่อี่กวาดตามองรอบๆห้องนอน เขาผ่านอะไรมามากเหลือเกินจนรู้สึกว่าตัวเองแก่ชรากว่าอายุจริง ถึงแม้ไม่มีเรื่องดีๆให้จดจำมากนักแต่พอจะไปจริงๆก็อดอาลัยมิได้ซือเย่ากวาดตามองไปรอบๆ ทั้งที่เห็นห้องนี้แล้วเมื่อครั้งที่ลอบเข้ามา แต่เมื่อดูอย่างเปิดเผยอีกครั้งก็พบว่าห้องนี้แทบไม่มีอะไรเลย"เราไปกันเถอะ" เสียงลู่อี่ปลุกซือเย่าจากภวังค์ เขาถ
"เหตุใดพระชายาจึงมิต่อต้าน ทั้งที่รู้ว่าต้องไปแต่งงานต่างแคว้นแถมยังแต่งงานกับบุรุษ" ซือเย่าถามคนงามหลังรับประทานอาหารเสร็จ"ต่อต้านแล้วอย่างไรไม่ต่อต้านแล้วอย่างไร ฮ่องเต้มีพระราชโองการมาเยี่ยงนั้นข้าต่อต้านได้หรือ เมื่อทำสิ่งใดมิได้ก็ย่อมต้องทำใจ หากข้าหักใจหนีไปอาจโดนประหารทั้งตระกูลบ่าวไพร่ที่ไม่มีความผิดจะเดือดร้อนไปด้วย ข้าฟังข่าวลือเรื่องท่านอ๋องพยัคฆ์จากนักเดินทางที่แวะมาที่ร้านน้ำชาของข้ามามากมาย แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าท่านอ๋องเป็นผู้นิยมบุรุษ ข้าจึงคิดว่าถึงแต่งไปก็คงไม่เป็นไรต่างคนต่างอยู่ก็คงได้กระมัง" คนงามพูดด้วยความไม่แน่ใจในตอนท้ายซือเย่าแอบยกนิ้วให้ในใจ พระชายาช่างมีความคิดอ่านเยือกเย็นนัก แต่มีเรื่องจริงเพียงแค่ส่วนเดียวว่าท่านอ๋องไม่เคยนิยมบุรุษแต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่นิยมบุรุษอาหลานเดินออกมาจากเงามืด ปากคาบกระต่ายป่าสีขาวมาตัวหนึ่ง มันวางกระต่ายลงหน้าลู่อี่"ให้ข้าหรือขอบใจเจ้ามากนะ" ฟ่านลู่อี่ตบหัวมันเบาๆ ในรถม้าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่ ปกติอาหลานที่แสนเย่อหยิ่งมิยอมให้ผู้ใดลูบศีรษะนอกจากท่านอ๋องลู่อี่หยิบกระต่ายโชคร้ายขึ้นมาดู มันนอนนิ่งเหมือนตายแล้วดูจากภา
ซือเย่านำลู่อี่มาถึงจวนเจ้าเมือง เป็นหมู่ตึกที่ดูโออ่ามิใช่น้อย"คืนนี้เราจะพักกันที่นี่พ่ะย่ะค่ะ"ลู่อี่มองชายวัยกลางคนร่างท้วมที่ยืนหัวแถวรวมกับผู้คนรออยู่หน้าจวนอย่างกระวนกระวายใจ พอเขาเห็นลู่อี่ก็ทำความเคารพและแนะนำตัวอย่างนอบน้อม"เชิญองค์ชายด้านในพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเจ้าเมืองกังได้เตรียมที่พักและงานเลี้ยงพร้อมทั้งอาหารรสเลิศไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ""ต้องลำบากท่านแล้ว รบกวนส่งอาหารมาที่เรือนพักของข้าด้วย ข้าเหนื่อยต้องการพักผ่อน และรบกวนท่านจัดหาสุราอาหารให้ทหารของข้าด้วย" ลู่อี่กล่าวแล้วเดินตามซือเย่าไปอย่างไม่แยแสงานเลี้ยงที่เจ้าเมืองเตรียมไว้ บรรดาสาวงามที่แต่งตัวมารอต้อนรับหน้าบึ้งไปตามๆกัน เพราะนางหวังจะแสดงความงดงามโดดเด่นจับใจชายหนุ่มที่มาร่วมงานเลี้ยงแต่งานกลับถูกยกเลิก แถมเมื่อองค์ชายผู้งดงามมาถึงยังมีสายตาผู้ใดเหลือมาเหลือบแลพวกนางเล่า"ขอบคุณท่าน เชิญท่านไปพักผ่อนเถิด" ลู่อี่ออกปาก ซือเย่าจึงจำต้องถอยออกมา สวนกับบ่าวที่ยกอ่างน้ำเข้าไปในห้อง เขารอจนบ่าวออกมาให้แน่ใจว่ามีเพียงเสี่ยวถงคอยปรนนิบัติลู่อี่จึงวางใจได้ แต่ก็ยังมีองครักษ์เงาถึงสี่คนคอยอารักขา ส่วนอาหลานเข้าห้องไปรอ
ฟ่านลู่อี่เรียกโจวหงเจินมาถามถึงเส้นทางข้างหน้าได้ความว่าจากนี้จะเร่งเดินทาง โดยปกติแล้วระยะทางระหว่างเมืองหลวงของแคว้นเสิ่งไปถึงชายแดนแคว้นเจี๋ยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 1 เดือน แต่ขบวนของพวกเขาจะเดินทางออกจากทางหลวงเป็นบางช่วงเพื่อตัดตรงทะลุป่าเขาบ้างจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ทำให้จากนี้ไปอาจจะต้องนอนกลางป่ากันบ้างเป็นบางคืน"ท่านอ๋องอยากให้พระชายาเดินทางถึงแคว้นเจี๋ยให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" ซือเย่าบอก "เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือ" ฟ่านลู่อี่ถาม"ฤดูเหมันต์ของแคว้นเจี๋ยจะมาถึงก่อนแคว้นเสิ่งหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะและกินระยะเวลายาวนานถึงหกเดือน โหรหลวงทำนายว่าปีนี้จะหนาวรุนแรงที่สุดในรอบยี่สิบปีและอาจยาวนานถึงแปดเดือน ท่านอ๋องเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาจึงอยากให้เร่งเดินทาง" ซือเย่าลอบร้องย่ำแย่ในใจ พระชายาเอ่ยปากก็ถามได้ตรงจุด แคว้นเสิ่งช่างโง่จริงๆที่ปล่อยเพชรเม็ดนี้มาให้แคว้นเจี๋ย"งั้นหรือ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไปทุกคนย่อมมีครอบครัวรออยู่" ฟ่านลู่อี่บอก เขาไม่ใส่ใจว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าใดทั้งสี่คนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันบนรถม้าจากนั้นโจวหงเจินและซือเย่าก็ออกไปขี่ม้านำขบวนเหมือนเดิมยา
ฟ่านลู่อี่หมดอารมณ์จะชมเมืองเขานั่งนิ่งอยู่บนรถม้าโดยไม่เอ่ยคำใดแม้แต่เสี่ยวถงยังมิกล้าเปิดปาก อาหลานพยายามเอาหัวมาดุนมือคนงามแบบที่เคยใช้ได้ผลแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากฟ่านลู่อี่ รถม้าหยุดยั้งลงประตูถูกเปิดออกโดยอ๋องพยัคฆ์ ฟ่านลู่อี่มีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวลงมาจากรถม้าโดยไม่รับมือของท่านอ๋องที่ส่งมาให้ "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา" ทหารและชาวเมืองที่ออกมาต้อนรับส่งเสียงดังกระหึ่มพร้อมกันทุกคนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนว่าท่านอ๋องได้รับองค์ชายสันติสุขเป็นพระชายาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีและสงบศึกเหล่าชาวเมืองที่เผชิญสงครามมาหลายปีย่อมยินดียิ่งถึงแม้ทางแคว้นเสิ่งจะแพ้สงครามแต่นอกจากส่งทหารมาควบคุมความเรียบร้อยแล้วก็มิได้มีการทารุณชาวเมืองแต่อย่างใดคนจึงไม่ต่อต้านมากนักแถมทหารที่มาส่งข่าวเฝ้าโม้ถึงความงามของพระชายาฟ่านลู่อี่จนเลิศเลอจึงมีคนมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ฟ่านลู่อี่คลี่ยิ้มไปรอบๆ ผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายทำเอาหลายคนตะลึง บ้างถูกความงามมอมเมาจนเผลอจส่งสายตาเคลิ้มฝันมาให้ "เชิญท่านอ๋องกับพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" จ้าวอี้หานรีบเชิญเสด็จก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นเมื่อดูจา
ฟ่านลู่อี่ตื่นมาก็ไม่เห็นอาหลานแล้ว นอกจากที่นอนที่ยังอุ่นอยู่บ่งบอกว่ามันนอนกับเขาตลอดคืน หารู้ไม่ว่าเมื่อคืนมีเหตุใดเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืน"จับมุสิกได้กี่ตัว" อ๋องพยัคฆ์เดินช้าๆมาดูคนชุดดำที่ถูกจับมัดดังสุกรกลิ้งอยู่ที่พื้น"ห้าพ่ะย่ะค่ะ ช่างมีขวัญเทียมฟ้ากล้าบุกจวนทั้งที่รู้ว่าอยู่ในความดูแลของเรา" จ้าวอี้หานเตะนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปอัดต้นไม้แน่นิ่ง เพราะเห็นมันทำท่าจะสลัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า"เจ้าจงรีดความจริงว่าใครส่งมันมา ข้าคาดว่าพวกมันคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พระชายาเจ้าจงวางกำลังให้รัดกุม" อ๋องพยัคฆ์สั่งแล้วหมุนกายกลับไปหาลู่อี่ไปถึงก็เขี่ยอาหลานลงจากเตียง มันส่งเสียงหงุดหงิดแต่ยอมกระโดดลงจากเตียงไปนอนที่พรมกลางห้องฟ่านลู่อี่ขดกายเข้าหากันเพราะเริ่มหนาว อ๋องพยัคฆ์รีบเข้าไปนอนแทนที่อาหลานกอดคนงามเข้ามาในวงแขน เมื่อความอบอุ่นกลับมาลู่อี่ก็ขยับกายหาที่เหมาะๆ แล้วหลับอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้างดงามยิ้มน้อยๆ"ข้าจะทนจนถึงพิธีสยุมพรไม่ไหวถ้าเจ้ายั่วกันแบบนี้" คนจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนิ่นนานก่อนจะหลับตามไปอ๋องพยัคฆ์ตื่นก่อนฟ่านลู่อี่แล้วออกไปฝึกซ้อมตอนเช้า เขารู้ดีว่าถ้าคนงามตื่น
"ผิดละ ข้าปล่อยปละละเลยพวกเจ้าสองคนพี่น้องมากเกินไปต่างหาก พวกเจ้าจึงคิดแผนการชั่วร้ายนี้ขึ้นมาได้ ออกไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า" "แต่ว่าหยุนมู่.." เสียงคนยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมดังขึ้นประดุจห้องทลาย ฟ่านลู่อี่ที่อยากจะลืมตาดูแต่ก็ลืมไม่ขึ้นได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ เขาเป็นได้แค่ตัวหมากกระนั้นหรือ คนที่เขาเริ่มมีใจให้กลับเห็นเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ... จะต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ให้ได้"พี่หยุนมู่ ข้าขออยู่เฝ้าลู่อี่เถอะนะ" อ๋องพยัคฆ์อ้อนวอน แต่กลับมีเสียงโครมใหญ่อีกครั้งแทน มีเพียงสุ่ยเซียนเท่านั้นที่เป็นพยานว่าฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์ถูกฮองเฮาเตะกระเด็นทะลุประตูออกจากห้องไปอัดเสาฝั่งตรงข้าม "ทหาร!" หยุนมู่ตะโกนเรียก เหล่าทหารยามวิ่งมารวมแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าหยุนมู่ "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดตำหนักห้ามฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์เข้ามาเด็ดขาด แม้แต่คนของพวกเขาก็ห้าม เข้าใจหรือไม่" "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ดี ผู้ใดขัดคำสั่งข้า" หยุนมู่ทำมือปาดคอตัวเอง ใครจะกล้าขัดคำสั่งพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ ไม่มีใครสนใจสองพี่น้องที่ยืนหน้าละห้อยอยู่ "
อ๋องพยัคฆ์แทบจะวิ่ง ขันทีนำทางคงรู้อารมณ์เขาจึงเร่งฝีเท้านำเขาไป เปิดประตูห้องให้ พอเข้าไปได้อ๋องพยัคฆ์ก็พุ่งตัวไปหาฟ่านลู่อี่ที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง มือหนาลูบใบหน้างามอย่างทะนุถนอม คนป่วยยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้น "เจ้าไม่คิดจะทักพี่สาวคนนี้เลยรึ" เสียงสตรีดังขึ้น อ๋องพยัคฆ์จึงเพิ่งรู้สึกว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย "คารวะพี่หยุนมู่ พี่สุ่ยเซียน" อ๋องพยัคฆ์คารวะเร็ว "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เขานั่งลงข้างเตียง หยิบมือเย็นมาแนบแก้มสากด้วยหนวดที่ขึ้นไรครึ้ม "ป้อนยาที่ข้าปรุงทุกหนึ่งชั่วยามกับให้แช่น้ำร้อน เสริมด้วยปราณกรุยจุดชีพจรอีกวันละสองรอบ ข้าคิดว่าอาการน่าจะหายในเจ็ดวันนะ" สุ่ยเซียนตอบยิ้มๆ "เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด พวกเราเพิ่งป้อนยาน้องสะใภ้ไปไม่นาน เจ้าค่อยกลับมาก็ได้" หยุนมู่พูดอย่างใจดี คนที่อ๋องพยัคฆ์เชื่อฟังมากที่สุดคือหยุนมู่นี่เอง สำหรับฮ่องเต้ เชื่อฟังนั้นก็เชื่ออยู่ แต่ก็ตีกันบ่อยเช่นกัน อ๋องพยัคฆ์เดินสวนกับอาหลาน มันเดินขึ้นเตียงไปนอนข้างฟ่านลู่อี่แต่ถูกสุ่ยเซียนดุ "อาหลาน ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดไปให้เทียนเฉินอาบน้ำให้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข
ฮ่องเต้หลิวเทียนจินเป็นองค์ชายรองในรัชกาลก่อน หลังจากองค์ชายใหญ่ก่อกบฏ องค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปดหนีตายไปหาแม่ทัพติงผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของแม่ทัพติงคนปัจจุบันที่ยามนั้นเป็นรองแม่ทัพอยู่กองทัพเดียวกับบิดา แม่ทัพติงยามนั้นเฝ้ารักษาชายแดนทางตะวันออกของแคว้นเจี๋ย เขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากจึงได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปรักษาชายแดน โดยหลานสาวของเขาติงสุ่ยเซียนที่อายุน้อยกว่าองค์ชายรองสองปีก็ได้หมั้นหมายกับองค์ชายรองตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เจอหน้ากันปีละครั้งยามแม่ทัพติงเข้ามาอวยพรวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เด็กทั้งคู่นับว่ามีไมตรีที่ดีต่อกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เสกสมรสกันก็เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน แม่ทัพติงอยู่ชายแดนห่างไกลยกทัพมาช่วยไม่ทัน จึงแยกตัวออกจากราชสำนักรวบรวมกำลังคนเตรียมกลับไปช่วยฮ่องเต้พระบิดาขององค์ชายรอง เหล่าองค์ชายที่หนีตายมาพึ่งพาแม่ทัพติงมิได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ฝึกการต่อสู้อย่างหนัก แม่ทัพติงทั้งคู่ มิได้อ่อนข้อให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามีติงหยุนมู่พี่ชายของติงสุ่ยเซียนเป็นพี่เลี้ยง เขาแก่กว่าองค์ชายรองสองปีจึงสนิทสนมกันมาก ด้วยความที่ติงหยุนมู่แก่กว่า
ฮ่องเต้นำกองทัพไปล้อมจับเจ้าเมืองโหย่วกวาน ได้ตัวตอนกำลังหลบหนีออกทางหลังจวน ขุนนางละโมบพยายามขนทรัพย์สินเงินทองไปด้วยจำนวนมากทำให้หนีไม่พ้น ไห่เสียงเตะมันล้มกลิ้งมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ "เราเลี้ยงดูขุนนางไม่ดีรึ เจ้าจึงคิดกบฏ" ฮ่องเต้ถามทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา "โปรดเมตตาด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว" คนโขกหัวจนหน้าผากแตกน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความกลัว"หึ" ฮ่องเต้ยิ้มหยัน คืนนั้นขุนนางที่อยู่ในรายชื่อว่าสมคบกับพวกกบฏของเมืองโหย่วกวานถูกฉุดกระชากลงมาจากเตียงยามดึก ครอบครัวบ่าวไพร่ถูกต้อนไปรวมกันที่หน้าศาลาว่าการประจำเมือง ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ คบไฟถูกจุดสว่างไปทั้งเมือง ดุจดั่งกลางวัน เสียงซัดทอดความผิดดังระงม ฮ่องเต้เรียกหัวหน้ากองธงมาสองคน มอบหมายให้สอบสวนครอบครัวและบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพวกคนในจวนเจ้าเมืองเป็นอีกสองกองธงจัดการสอบสวน ตัวเจ้าเมืองถูกล่ามขื่อทั้งที่โลหิตไหลท่วมหน้า "เงียบ!" ราชองครักษ์ผู้หนึ่งตวาด เกิดความเงียบครู่เดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก อาหลานคงทนไม่ไหว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังกำแพงส่งเสียงขู่คำรามอันทรงพลังก้องไปทั้งเน
อ๋องพยัคฆ์สำรวจรอบๆ ด้วยสายตา ที่นี่คงเป็นค่ายของพวกกบฏ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วจึงถอนค่ายหนีอย่างรีบร้อนเช่นนี้ "ไม่เหลือสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะนอกจากเตาหลอม พวกมันน่าจะลักลอบผลิตอาวุธกันในถ้ำ" "มีรอยเกวียนมุ่งหน้าไปในป่า รอยล้อกดลึกบ่งบอกว่าบรรทุกของหนัก พ่ะย่ะค่ะ" นายกองอีกผู้หนึ่งรายงาน "ตามไปดูว่ารอยเกวียนนั้นสิ้นสุดลงที่ใด ส่งผู้หนึ่งไปแจ้งฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพต่อไป บอกให้สังเกตทางเกวียนทางด้านขวาที่ออกจากป่า ข้าคาดว่าถ้าเราไปตามทางน่าจะไปบรรจบกันด้านหน้า" เหล่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีแยกกันไปทำตามคำสั่ง พวกเขาตามรอยมาจนยามซวี หรือประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จึงได้ตามทัน เส้นทางเกวียนนำมาถึงเชิงเขาของเมืองโหย่วกวาน เสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านหน้า อ๋องพยัคฆ์เห็นเหล่าทหารม้าของเขาสู้อยู่กับกองกำลังของถางจินเข่อ ทหารม้ามีจำนวนคนน้อยกว่ามากจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ "วางดาบคนเป็น จับดาบคนตาย!" อ๋องพยัคฆ์ชูดาบตะโกนก้อง ตามด้วยเสียงคำรามของอาหลานทำให้กองกำลังของถางจินเข่อที่ได้ยินก็ขวัญเสีย พวกมันเข้าร่วมเป็นกบฏด้วยเห็นแก่ลาภยศเมื่อมาได้เจออ๋องพยัคฆ์ตัวจริ
"มาช้านะท่านพี่" อ๋องพยัคฆ์แสยะยิ้มชักม้าออกจากที่กำบัง ผู้มาใหม่คืออดีตองค์ชายรองหรือฮ่องเต้ของแคว้นเจี๋ยหลิวเทียนจินนั่นเอง "ข้าต้องรอหมอหลวงต้มยา แถมกว่าจะเด็ดผลมังกรอัคคีได้ข้าถึงกับถูกน้ำในธารเดือดกระเด็นใส่เป็นรอยพุพองทีเดียวนะ" คนพูดคลำแขนตัวเองเหมือนเจ็บมากแต่ถูกคนที่มาด้วยขัดคอ "รอยพองเท่าเหรียญอีแปะถึงกับอาบน้ำเองมิได้ยกตะเกียบมิไหวต้องให้ข้าป้อนข้าวอยู่หลายมื้อเยี่ยงนั้นรึ" เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเนียน คิ้วเฉียง ดวงตาแฝงความทระนงองอาจ แม้มิได้บึกบึนเช่นทหารส่วนใหญ่แต่ร่างกายแฝงด้วยกล้ามเนื้องดงามสมส่วน "เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าสิ ปรนนิบัติสามีนิดหน่อยก็บ่น" คนพูดทำปากยื่น "ยา" อ๋องพยัคฆ์พูดแค่คำเดียว ฟ่านลู่อี่ของเขาอาการหนักมากแล้ว คนพวกนี้ยังมาเล่นปาหี่ให้เขาดูอีก "เจ้าน้องคนนี้นี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ข้าหวังจะได้เห็นใบหน้าอื่นของเจ้าแท้ๆ เจ้าส่งน้องสะใภ้ให้ฮองเฮาเถอะ เขาจำเป็นต้องกลับไปแช่น้ำร้อนที่วัง ข้าเตรียมคนและรถม้าไว้ให้แล้ว ส่วนเจ้าต้องไปจับมุสิกกับข้า" คนสั่งแฝงอำนาจของผู้นำทำให้อ๋องพยัคฆ์จนใจ เรื่องบ้านเมืองก็สำคัญ เขาจำใจส่งฟ่านลู่อี่ให้บุรุษอี
อ๋องพยัคฆ์ควบม้าไปทางใดล้วนมีเศษเลือดเนื้อสาดกระจาย แต่พวกมันกลับไม่กลัวตายหนุนเนื่องกันเข้ามาไม่ได้หยุด ทางซินเกาเล่อก็ไม่น้อยหน้า ฟาดคนที่เข้าใกล้ด้วยง้าวจนร่างขาดเป็นสองส่วน โจวหงเจินกำลังต้านศัตรูให้จ้าวอี้หานเตรียมอะไรบางอย่าง จนเขาจุดชุดไฟที่หัวธนูได้สำเร็จ ขึ้นไปยืนบนหลังม้ายิงธนูไฟเข้าใส่กลุ่มศัตรู และยิงต่อเนื่องเป็นแนวยาวไปตึง กรึ้ม บึ้ม... เสียงระเบิดดังกึกก้อง ฝุ่นฟุ้งกระจาย จ้าวอี้หานใช้ธนูหัวระเบิดเปิดทาง แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้างแต่สร้างความชะงักงันได้ชั่วเวลาหนึ่ง อดีตรองแม่ทัพของซินเกาเล่อ ควบม้าเปิดทางตามทางระเบิด อ๋องพยัคฆ์กระตุ้นม้าตามเข้าไปคนที่เหลือปิดท้าย เข่นฆ่าจนเป็นเส้นทางเลือด แต่ศัตรููที่ยกมามีจำนวนถึงหนึ่งพันคนคงเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ไม่ได้แล้ว "ไม่เป็นไรนะคนดี ข้าจะพาเจ้าไปรักษาตัว" อ๋องพยัคฆ์กระชับลู่อี่บนหลังสายตาทอแววเข่นฆ่า เสียงร้องโอดโอยดังแว่วมาแสดงว่าอาหลานเริ่มจัดการพลธนูที่ซุ่มอยู่แล้ว อ๋องพยัคฆ์มีสองรองแม่ทัพคอยระวังหลัง คนทั้งหมดค่อยๆคืบหน้าไปอย่างช้าๆ ม้าศึกยังดีดศัตรูหลายคนหน้าผากเปิดกระโหลกยุบ "ปล่อยให้เป็นแบบนี้นานไปคงจะไม่
ด้านกองกำลังของอ๋องพยัคฆ์ ออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่า อ๋องพยัคฆ์มัดลู่อี่ไว้แนบอก ควบม้านำขบวนลัดเลาะไปในป่า พวกเขาคาดว่านักฆ่าอาจจะไปดักอยู่บนทางหลวงจึงเลี่ยงมาใช้ทางด่านที่ไม่ค่อยมีใครใช้ อาหลานหมอบบนหลังม้ากับจ้าวอี้หาน ออกจะลำบากนิดหน่อยแต่ฝีเท้าอาหลานไม่สามารถวิ่งนานๆ ได้แบบม้า จากจุดที่พวกเขาอยู่ ถ้าม้าวิ่งเต็มที่ไปเมืองหลวงใช้เวลาสี่ชั่วยาม พวกเขาเลาะทางด่านย่อมเสียเวลามากขึ้น ก่อนเดินทางอ๋องพยัคฆ์ปลุกฟ่านลู่อี่มารับประทานเนื้อแห้งรองท้อง แต่คนถูกพิษร้ายไม่ยอมรับประทานสิ่งใดนอกจากน้ำ ทำให้เขากังวลใจอยู่มาก เมื่อเจอน้ำพุร้อนอ๋องพยัคฆ์จึงสั่งหยุดพัก เพราะอยากให้ฟ่านลู่อี่แช่น้ำร้อนสักนิด ไม่เช่นนั้นอาการคงจะทรุดลง ยาที่ควรจะรับประทานก็ไม่มี ทั้งหมดกระจายกำลังคุ้มกันหันหลังให้น้ำพุร้อน อ๋องพยัคฆ์เปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง และฟ่านลู่อี่อย่างรวดเร็ว พอลงน้ำได้ก็ถ่ายทอดลมปราณให้ทันที "ท่านอ๋อง ให้ข้าช่วยถ่ายทอดลมปราณให้องค์ชายหรือไม่" ซินเกาเล่อถามทั้งที่ไม่ได้หันมา อ๋องพยัคฆ์รู้ตัวดีว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาก็ไม่อาจสู้ศัตรูได้เต็มที่แต่ผู้อื่นก็มิได้พักเช่นเดียวกัน "ขอบใจ แต่ลู่อ
ทั้งหมดสลัดกลุ่มนักฆ่าที่ตามมาได้ในที่สุด พวกเขาควบม้าเลี่ยงทางหลวงเข้าไปในป่าลึก จนมาถึงถ้ำที่มิดชิดแห่งหนึ่งก็หยุดยั้งลง "เราจะพักสักครู่ พวกเจ้าจัดการอาการบาดเจ็บของตัวเองซะ" คนสั่งลงจากหลังม้า โจวหงเจินใช้ผ้าจากกระเป๋าข้างอานม้าปู และช่วยปลดลู่อี่ลงจากหลังอ๋องพยัคฆ์ คนงามยังคงไม่ได้สติใบหน้าสวยซีดเซียว ปากที่เคยชมพูระเรื่อแทบไม่มีสีเลือด ดีที่ซินเกาเล่อสั่งมิให้ปลดอานม้าออกเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้พวกเขามีของใช้จำเป็น น้ำและอาหารแห้งที่จะต้องมีติดอยู่ในกระเป๋าข้างอานม้า ทั้งโจวหงเจินและจ้าวอี้หานมีสีหน้าเคร่งเครียด "เสี่ยวถงจะปลอดภัย หมอซูไม่ใช่คนโง่ ข้าสั่งให้พวกเขาหลบซ่อนตัว พวกมันคงหาเขาไม่เจอ หมอซูจะพาเสี่ยวถงกลับเมืองหลวงได้" อ๋องพยัคฆ์มองทั้งคู่อย่างเห็นใจ บางทีการที่จะมีความรู้สึกดีกับผู้ใดสักคนหนึ่งอาจจะใช้เวลาไม่นาน "ท่านอ๋องพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกข้าจะผลัดกันอยู่เวรยามเอง" โจวหงเจินทูล "เราจะออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่า พวกเจ้าก็จงผลัดกันพักผ่อน" เหลือเวลาให้พักเพียงไม่ถึงสองชั่วยาม อ๋องพยัคฆ์โอบฟ่านลู่อี่แนบกายหวังใช้ร่างกายตัวเองเพิ่มความอบอุ่น เขารู้