"เหตุใดพระชายาจึงมิต่อต้าน ทั้งที่รู้ว่าต้องไปแต่งงานต่างแคว้นแถมยังแต่งงานกับบุรุษ" ซือเย่าถามคนงามหลังรับประทานอาหารเสร็จ
"ต่อต้านแล้วอย่างไรไม่ต่อต้านแล้วอย่างไร ฮ่องเต้มีพระราชโองการมาเยี่ยงนั้นข้าต่อต้านได้หรือ เมื่อทำสิ่งใดมิได้ก็ย่อมต้องทำใจ หากข้าหักใจหนีไปอาจโดนประหารทั้งตระกูลบ่าวไพร่ที่ไม่มีความผิดจะเดือดร้อนไปด้วย ข้าฟังข่าวลือเรื่องท่านอ๋องพยัคฆ์จากนักเดินทางที่แวะมาที่ร้านน้ำชาของข้ามามากมาย แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าท่านอ๋องเป็นผู้นิยมบุรุษ ข้าจึงคิดว่าถึงแต่งไปก็คงไม่เป็นไรต่างคนต่างอยู่ก็คงได้กระมัง" คนงามพูดด้วยความไม่แน่ใจในตอนท้าย
ซือเย่าแอบยกนิ้วให้ในใจ พระชายาช่างมีความคิดอ่านเยือกเย็นนัก แต่มีเรื่องจริงเพียงแค่ส่วนเดียวว่าท่านอ๋องไม่เคยนิยมบุรุษแต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่นิยมบุรุษ
อาหลานเดินออกมาจากเงามืด ปากคาบกระต่ายป่าสีขาวมาตัวหนึ่ง มันวางกระต่ายลงหน้าลู่อี่
"ให้ข้าหรือขอบใจเจ้ามากนะ" ฟ่านลู่อี่ตบหัวมันเบาๆ ในรถม้าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่ ปกติอาหลานที่แสนเย่อหยิ่งมิยอมให้ผู้ใดลูบศีรษะนอกจากท่านอ๋อง
ลู่อี่หยิบกระต่ายโชคร้ายขึ้นมาดู มันนอนนิ่งเหมือนตายแล้วดูจากภายนอกไม่มีบาดแผล พอลู่อี่ลูบตัวมันก็กระโดดขึ้นสุดตัว มันงงอยู่ชั่วครู่แล้วก็วิ่งหนีหายไป
"ปล่อยมันไปเถอะนะอาหลาน" ฟ่านลู่อี่บอกอาหลานที่ตั้งท่าจะกระโจนตามเจ้ากระต่ายไป
เจ้าพยัคฆ์ดำมองตามกระต่ายอย่างเสียดาย แต่ยินยอมหมอบลงข้างๆฟ่านลู่อี่ลู่อี่อย่างเชื่อฟัง คนงามนั่งเงียบจนอาหลานเอาหัวอันใหญ่โตของมันเกยตักคนจึงหลุดออกจากภวังค์
"ข้าไม่เป็นไรหรอกอาหลาน ข้าจะไม่เป็นไร" ฟ่านลู่อี่ยิ้มเศร้าลูบศีรษะอาหลาน
ทางพระราชวังเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงเริ่มทยอยมางานเลี้ยง ทั้งที่แพ้สงครามแต่คนต่างแต่งตัวหรูหรามาอวดประชันกัน คนตระกูลฟ่านที่ควรจะเป็นตัวเอกของงานกลับนั่งประจำที่อย่างเฉยเมย มีเพียงฟ่านปิงปิงที่เดินทักแขกเหรื่อไปทั่วงานกับองค์ไท่จื่อ
"มิทราบว่าเมื่อใดคุณชายฟ่านจะมาถึงหรือคุณหนูฟ่าน ข้าหวังจะได้ยลคุณชายเป็นครั้งสุดท้าย ช่างน่าเสียดายจริงๆที่แคว้นเราจะต้องเสียดอกไม้งามให้แก่แคว้นเจี๋ย" คนพูดมีกลิ่นสุราโชยมา ปกติแล้วเรื่องที่คุณชายฟ่านงดงามกว่าคุณหนูฟ่านเป็นเรื่องต้องห้าม แม้มีใบหน้าคล้ายกันอยู่หลายส่วนแต่เมื่อยืนคู่กันแล้ว คุณหนูก็ถูกความงามเปล่งประกายของคุณชายดับสิ้น จนเจ้ากรมคลังไม่พาคุณชายออกงานเพราะเกรงว่าผู้คนจะให้ความสนใจคุณชายมากกว่า อีกทั้งคุณชายฟ่านมีความเฉลียวฉลาดผิดกับคุณหนูฟ่านที่เอาแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ
ถึงอย่างไรเรื่องนี้เพียงรู้กันวงในเท่านั้น ฟ่านปิงปิงยังครองตำแหน่งสตรีงดงามที่สุดในแผ่นดินจากงานชมบุปผามาสามปีแล้วเพราะฟ่านลู่อี่ไม่ได้เข้าร่วมงานของสตรี
"ฮ่องเต้เสด็จแล้ว" เสียงขันทีขานดังก้องท้องพระโรงที่จัดงาน เหล่าผู้มาร่วมงานเข้าประจำที่หมอบกราบกันจ้าละหวั่น ฮ่องเต้และฮองเฮาเข้าประทับยังพระที่นั่ง ดวงตากวาดมองไปทั่วงานพระพักตร์เริ่มบึ้งตึง เจ้ากรมคลังพยายามนั่งตัวลีบแต่ยังไม่สามารถรอดพ้นไปได้
"เจ้ากรมคลัง บุตรชายของเจ้าอยู่ที่ใด"
"ตอนกระหม่อมออกมา ลู่อี่ยังคุยกับท่านรองแม่ทัพอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปตามเดี๋ยวนี้" เจ้ากรมคลังเช็ดเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาดุจธารน้ำในใจนึกก่นด่าบุตรชาย เขาประมาทไปหน่อยเพราะที่ผ่านมาลู่อี่ไม่เคยขัดคำสั่งเขามาก่อนเขาจึงวางใจมิได้ส่งใครไปดูแล
ผ่านไปสองเค่อ เจ้ากรมคลังนั่งคอยืดยาวรอบุตรชายแต่คนสนิทที่ส่งกลับไปดูที่จวนมากระซิบข้างหู เจ้ากรมคลังถึงกับหูอื้อนัยน์ตาลายขณะกำลังใคร่ครวญว่าจะถวายรายงานเช่นไรดี ก็มีขันทีเดินถือสาส์นเข้ามาถวายให้ฮ่องเต้ พระองค์รับไปอ่านแล้วขยำจดหมายแน่นแต่ยังมิได้ขว้างทิ้ง
"เลิกงานได้" สุรเสียงดังด้วยโทสะก้องท้องพระโรง ฮ่องเต้เดินสะบัดหน้าออกจากงานแม้แต่ฮองเฮายังมิทันตั้งตัวจำต้องลุกตามไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่
กลับมาที่กองกำลังพยัคฆ์ที่คุ้มครองพระชายาลู่อี่กลับแคว้นเจี๋ย ทั้งหมดเดินทางตลอดคืนตัดผ่านทางหลวงโดยไม่แวะพัก จนถึงรุ่งเช้าที่ชายป่า แวะพักเพียงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางต่อ มื้อเที่ยงยังรับประทานบนหลังม้า ลู่อี่อยู่แต่บนรถม้ามิเพียงไม่อึดอัดหนำซ้ำยังสุขสบายยิ่ง เขาเอนกายอยู่บนรถม้าปูหนังแกะทับด้วยผ้าไหม มีชาชั้นดีชงกับน้ำแร่ ยามสายมีของว่างและผลไม้ มื้อเที่ยงยังเป็นอาหารร้อนๆน่ารับประทานจนเขาอดสงสัยมิได้ว่าซือเย่านำมาจากไหน
เขาบังคับคนให้รับประทานเป็นเพื่อน ซือเย่าเองก็เต็มใจอย่างยิ่ง หลังจากรับประทานเสร็จยังมีหนังสือให้อ่านแก้เบื่อ ลู่อี่มือหนึ่งถือหนังสือมือหนึ่งเกาท้องอาหลานที่ยามนี้นอนหงายท้องอย่างสบายอารมณ์ดุจแมวยักษ์ตัวหนึ่ง
"ท่านอ๋องช่างใส่ใจยิ่งถึงกับเตรียมบ๊วยเปรี้ยวให้คุณชายแก้เมารถด้วยขอรับ" เสี่ยวถงที่กำลังเก็บของให้เป็นระเบียบอยู่นั้นก็เปิดดูลิ้นชักเล็กๆที่มีอยู่หลายลิ้นชักในรถ
"นั่นสิ เขาดูแลดีจนข้าหวั่นใจว่าถ้าทางนั้นทราบว่าข้าเป็นคนที่มิได้มีความสำคัญใดๆต่อแคว้นเสิ่งเขาจะต้อนรับเราดีเยี่ยงนี้หรือเปล่า"
"คุณชายเป็นคนดี พวกเขาจะต้องรักท่านแน่นอน" เสี่ยวถงปลอบ ตอนแรกเด็กหนุ่มกลัวไปสารพัดแต่เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งเหล่าทหารล้วนมีท่าทางเป็นมิตรกับเขา เสี่ยวถงจึงเกิดความรู้สึกที่ดีกับชาวแคว้นเจี๋ยขึ้นมา ส่วนเจ้าพยัคฆ์ดำมันช่วยแก้เหงาได้ดียิ่ง
"ข้าก็หวังว่าเช่นนั้น เจ้าเองก็พักเสียบ้างเถอะ ไว้ถึงเมืองข้างหน้าย่อมมีงานให้เจ้าทำมากมายเป็นแน่" ลู่อี่พูดยิ้มๆ เสี่ยวถงจึงคล้อยตาม มือเล็กปิดปากหาวขดตัวนอนอยู่มุมหนึ่งของรถม้า ลู่อี่ยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วอ่านหนังสือในมือต่อ
ขบวนเดินทางด้วยความเร็วคงที่ ยามเซินก็มาถึงประตูเมืองกัง ทหารยามรีบเปิดประตูของเชื้อพระวงศ์ให้ขบวนผ่านไป ลู่อี่เปิดผ้าม่านมองไปสองฟากทางเห็นชาวบ้านชี้ชวนกันดูขบวนอย่างสนใจ
"ท่านซือเย่าอีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงที่พัก" เสี่ยวถงยื่นศีรษะออกมาถามซือเย่าที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง
"ประมาณสองเค่อ เจ้ามีอันใด"
"คุณชายนั่งรถมานาน อยากจะออกไปเดินเล่นบ้าง ขอลงตรงนี้แล้วเดินไปที่พักได้หรือไม่" เสี่ยวถงมุดกลับเข้ามาในรถแล้วยื่นหน้าไปบอกอีกครั้ง
ซือเย่าตะโกนสั่งหยุดขบวน เขาลงจากหลังม้า เดินมาเปิดประตูรถม้าให้ แต่เป็นอาหลานโดดลงมาก่อนตามด้วยเสี่ยวถงและฟ่านลู่อี่
"ข้าอยากให้อาหลานไปด้วยแต่เกรงว่าจะทำให้ชาวเมืองหวาดกลัว เจ้ากลับไปรอข้าได้หรือไม่แล้วข้าจะซื้อขาหมูกลับไปฝาก" ฟ่านลู่อี่แย้มยิ้ม ได้รับเสียงฮือฮาจากชาวเมืองที่มองอยู่ แต่ถูกรังสีอำมหิตจากซือเย่าแผ่เข้าใส่จนคนถอยห่าง
อาหลานครางในลำคอแล้วโดดขึ้นหลังคารถม้า
"กองกำลังพยัคฆ์ดำจริงๆด้วย" เสียงอื้ออึงดังมาจากชาวเมือง
ฟ่านลู่อี่ทำหน้าเรียบเฉย หลบให้ขบวนผ่านไปก่อน จากนั้นคนก็เริ่มออกเดิน มีคนติดตามแค่เสี่ยวถง โจวหงเจินและซือเย่า
คนงามเดินช้าๆชมร้านค้าไปเรื่อยๆ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าได้โอกาสร้องขายสินค้ากันใหญ่แต่ลู่อี่แค่มองผ่านๆ ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงไม่มาก สินค้าจึงไม่ต่างกันนัก
ฟ่านลู่อี่เพียงรวบผมง่ายๆแต่งกายไม่หรูหรายังไม่สามารถปิดราศีสูงส่งลงได้ เขาเดินเรื่อยๆดูสินค้าตามสบาย ต่างกับเสี่ยวถงที่มองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้นจนเผลอเดินออกนอกขบวนไปหลายครั้งจนโจวหงเจินต้องจับมือมากุมไว้ ปล่อยให้ซือเย่าเดินคู่กับลู่อี่
"ข้าแวะร้านหนังสือสักครู่นะ" ฟ่านลู่อี่หันมาบอกแล้วหายไปในชั้นหนังสือ เสี่ยวถงมองนายทหารทั้งสองเป็นเชิงขอโทษ
"คุณชายคงเลือกหนังสืออีกนาน พวกท่านจะไปหาที่นั่งรอก่อนไหมขอรับ"
"ข้ารอได้" ซือเย่าตัดบทแล้วเดินตามฟ่านลู่อี่ เสี่ยวถงจะเดินตามแต่ถูกโจวหงเจินดึงมือไปอีกทาง
คนงามดึงตำราออกมาจากชั้น เปิดดูครู่หนึ่งแล้ววางกลับไปที่เดิม ทำแบบนี้อยู่หลายรอบในที่สุดก็เลือกมาได้สองเล่ม ซือเย่ารับมาถือ
"พระชายาต้องการเพิ่มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" แต่ฟ่านลู่อี่ส่ายหน้า ส่งง้วนป้อเงินให้ซือเย่าแต่เขาไม่รับ
"ท่านเป็นคนของวังพยัคฆ์ดำ ทุกอย่างของท่านวังพยัคฆ์ดำเป็นผู้รับผิดชอบ"
"แต่ข้าก็มีเงินทองส่วนตัวพอใช้จ่ายคงมิต้องรบกวนท่าน" ฟ่านลู่อี่เกรงใจแต่ซือเย่าไม่สน ถือตำราไปชำระเงินให้เถ้าแก่แล้วถือไว้เอง
"ใกล้ค่ำแล้ว เชิญเสด็จกลับบ้านที่พักเถิดพ่ะย่ะค่ะ" คนผายมือให้ ลู่อี่เม้มปากแล้วเดินไปนำไป เขาแวะซื้อขนมนิดหน่อยไว้ทานเล่นระหว่างเดินทาง ซึ่งซือเย่าแย่งจ่ายเงินทั้งหมดแต่ส่งของให้โจวหงเจิน ดูแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นบ่าวใครเป็นนาย โดยที่ลู่อี่ไม่ลืมแวะซื้อขาหมูถึงสองขาไปฝากอาหลาน ทำเอาโจวหงเจินเกร็งแขนจนกล้ามขึ้นกว่าจะกลับถึงที่พัก
ซือเย่านำลู่อี่มาถึงจวนเจ้าเมือง เป็นหมู่ตึกที่ดูโออ่ามิใช่น้อย"คืนนี้เราจะพักกันที่นี่พ่ะย่ะค่ะ"ลู่อี่มองชายวัยกลางคนร่างท้วมที่ยืนหัวแถวรวมกับผู้คนรออยู่หน้าจวนอย่างกระวนกระวายใจ พอเขาเห็นลู่อี่ก็ทำความเคารพและแนะนำตัวอย่างนอบน้อม"เชิญองค์ชายด้านในพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเจ้าเมืองกังได้เตรียมที่พักและงานเลี้ยงพร้อมทั้งอาหารรสเลิศไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ""ต้องลำบากท่านแล้ว รบกวนส่งอาหารมาที่เรือนพักของข้าด้วย ข้าเหนื่อยต้องการพักผ่อน และรบกวนท่านจัดหาสุราอาหารให้ทหารของข้าด้วย" ลู่อี่กล่าวแล้วเดินตามซือเย่าไปอย่างไม่แยแสงานเลี้ยงที่เจ้าเมืองเตรียมไว้ บรรดาสาวงามที่แต่งตัวมารอต้อนรับหน้าบึ้งไปตามๆกัน เพราะนางหวังจะแสดงความงดงามโดดเด่นจับใจชายหนุ่มที่มาร่วมงานเลี้ยงแต่งานกลับถูกยกเลิก แถมเมื่อองค์ชายผู้งดงามมาถึงยังมีสายตาผู้ใดเหลือมาเหลือบแลพวกนางเล่า"ขอบคุณท่าน เชิญท่านไปพักผ่อนเถิด" ลู่อี่ออกปาก ซือเย่าจึงจำต้องถอยออกมา สวนกับบ่าวที่ยกอ่างน้ำเข้าไปในห้อง เขารอจนบ่าวออกมาให้แน่ใจว่ามีเพียงเสี่ยวถงคอยปรนนิบัติลู่อี่จึงวางใจได้ แต่ก็ยังมีองครักษ์เงาถึงสี่คนคอยอารักขา ส่วนอาหลานเข้าห้องไปรอ
ฟ่านลู่อี่เรียกโจวหงเจินมาถามถึงเส้นทางข้างหน้าได้ความว่าจากนี้จะเร่งเดินทาง โดยปกติแล้วระยะทางระหว่างเมืองหลวงของแคว้นเสิ่งไปถึงชายแดนแคว้นเจี๋ยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 1 เดือน แต่ขบวนของพวกเขาจะเดินทางออกจากทางหลวงเป็นบางช่วงเพื่อตัดตรงทะลุป่าเขาบ้างจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ทำให้จากนี้ไปอาจจะต้องนอนกลางป่ากันบ้างเป็นบางคืน"ท่านอ๋องอยากให้พระชายาเดินทางถึงแคว้นเจี๋ยให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" ซือเย่าบอก "เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือ" ฟ่านลู่อี่ถาม"ฤดูเหมันต์ของแคว้นเจี๋ยจะมาถึงก่อนแคว้นเสิ่งหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะและกินระยะเวลายาวนานถึงหกเดือน โหรหลวงทำนายว่าปีนี้จะหนาวรุนแรงที่สุดในรอบยี่สิบปีและอาจยาวนานถึงแปดเดือน ท่านอ๋องเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาจึงอยากให้เร่งเดินทาง" ซือเย่าลอบร้องย่ำแย่ในใจ พระชายาเอ่ยปากก็ถามได้ตรงจุด แคว้นเสิ่งช่างโง่จริงๆที่ปล่อยเพชรเม็ดนี้มาให้แคว้นเจี๋ย"งั้นหรือ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไปทุกคนย่อมมีครอบครัวรออยู่" ฟ่านลู่อี่บอก เขาไม่ใส่ใจว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าใดทั้งสี่คนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันบนรถม้าจากนั้นโจวหงเจินและซือเย่าก็ออกไปขี่ม้านำขบวนเหมือนเดิมยา
ฟ่านลู่อี่หมดอารมณ์จะชมเมืองเขานั่งนิ่งอยู่บนรถม้าโดยไม่เอ่ยคำใดแม้แต่เสี่ยวถงยังมิกล้าเปิดปาก อาหลานพยายามเอาหัวมาดุนมือคนงามแบบที่เคยใช้ได้ผลแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากฟ่านลู่อี่ รถม้าหยุดยั้งลงประตูถูกเปิดออกโดยอ๋องพยัคฆ์ ฟ่านลู่อี่มีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวลงมาจากรถม้าโดยไม่รับมือของท่านอ๋องที่ส่งมาให้ "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา" ทหารและชาวเมืองที่ออกมาต้อนรับส่งเสียงดังกระหึ่มพร้อมกันทุกคนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนว่าท่านอ๋องได้รับองค์ชายสันติสุขเป็นพระชายาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีและสงบศึกเหล่าชาวเมืองที่เผชิญสงครามมาหลายปีย่อมยินดียิ่งถึงแม้ทางแคว้นเสิ่งจะแพ้สงครามแต่นอกจากส่งทหารมาควบคุมความเรียบร้อยแล้วก็มิได้มีการทารุณชาวเมืองแต่อย่างใดคนจึงไม่ต่อต้านมากนักแถมทหารที่มาส่งข่าวเฝ้าโม้ถึงความงามของพระชายาฟ่านลู่อี่จนเลิศเลอจึงมีคนมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ฟ่านลู่อี่คลี่ยิ้มไปรอบๆ ผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายทำเอาหลายคนตะลึง บ้างถูกความงามมอมเมาจนเผลอจส่งสายตาเคลิ้มฝันมาให้ "เชิญท่านอ๋องกับพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" จ้าวอี้หานรีบเชิญเสด็จก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นเมื่อดูจา
ฟ่านลู่อี่ตื่นมาก็ไม่เห็นอาหลานแล้ว นอกจากที่นอนที่ยังอุ่นอยู่บ่งบอกว่ามันนอนกับเขาตลอดคืน หารู้ไม่ว่าเมื่อคืนมีเหตุใดเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืน"จับมุสิกได้กี่ตัว" อ๋องพยัคฆ์เดินช้าๆมาดูคนชุดดำที่ถูกจับมัดดังสุกรกลิ้งอยู่ที่พื้น"ห้าพ่ะย่ะค่ะ ช่างมีขวัญเทียมฟ้ากล้าบุกจวนทั้งที่รู้ว่าอยู่ในความดูแลของเรา" จ้าวอี้หานเตะนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปอัดต้นไม้แน่นิ่ง เพราะเห็นมันทำท่าจะสลัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า"เจ้าจงรีดความจริงว่าใครส่งมันมา ข้าคาดว่าพวกมันคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พระชายาเจ้าจงวางกำลังให้รัดกุม" อ๋องพยัคฆ์สั่งแล้วหมุนกายกลับไปหาลู่อี่ไปถึงก็เขี่ยอาหลานลงจากเตียง มันส่งเสียงหงุดหงิดแต่ยอมกระโดดลงจากเตียงไปนอนที่พรมกลางห้องฟ่านลู่อี่ขดกายเข้าหากันเพราะเริ่มหนาว อ๋องพยัคฆ์รีบเข้าไปนอนแทนที่อาหลานกอดคนงามเข้ามาในวงแขน เมื่อความอบอุ่นกลับมาลู่อี่ก็ขยับกายหาที่เหมาะๆ แล้วหลับอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้างดงามยิ้มน้อยๆ"ข้าจะทนจนถึงพิธีสยุมพรไม่ไหวถ้าเจ้ายั่วกันแบบนี้" คนจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนิ่นนานก่อนจะหลับตามไปอ๋องพยัคฆ์ตื่นก่อนฟ่านลู่อี่แล้วออกไปฝึกซ้อมตอนเช้า เขารู้ดีว่าถ้าคนงามตื่น
ลู่อี่ทราบว่าท่านอ๋องทิ้งอาหลานไว้เฝ้าเชลยศึกเพราะมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวนักโทษจึงทิ้งเจ้าพยัคฆ์ดำไว้ที่ค่าย โดยที่คนงามไม่ทราบความจริงว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของท่านอ๋องที่จะกีดกันเจ้าพยัคฆ์ดำออกจากตนเอง"ข้าขอไปเยี่ยมนักโทษเหล่านั้นได้หรือไม่" คนงามออกปากเผลอใช้แววตาออดอ้อนจนท่านอ๋องใจอ่อน"ก็ได้ แต่หงเจินต้องไปกับเจ้าด้วยห้ามอยู่ห่างจากเขา ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า ห้ามฯลฯ" อ๋องพยัคฆ์สั่งห้ามยาวเหยียดเหมือนฟ่านลู่อี่เป็นเด็กไม่ถึงสิบหนาวกว่าจะสั่งจบก็ผ่านไปสองเค่อ หลังจากส่งท่านอ๋องล่วงหน้าไปที่ค่ายทหารแล้ว คนงามก็รีบไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารจำนวนมากสำหรับไปให้เชลยสงคราม เน้นอาหารที่รับประทานง่ายเช่นซาลาเปาหลากไส้ พร้อมผลไม้ที่พอหาได้ ตัวเขาทำขนมโก๋กลิ่นดอกโมลี่พอเสร็จก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปรอโจวหงเจินที่หน้าจวน โดยมีเสี่ยวถงและบ่าวถืออาหารทั้งหมดเดินตัวเอียงตามมารองแม่ทัพรีบเข้าไปรับตะกร้าอาหารมาถือ พร้อมส่งสองนายบ่าวขึ้นรถม้าตัวเองขึ้นม้าขี่ตีคู่ไปเดินทางเพียงสามเค่อก็ถึงประตูค่าย"เชิญพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินเดินนำสองนายบ่าวไปส่วนลึกของค่าย มีโรงเรือนปลูกสร้างอย่างหยา
อ๋องพยัคฆ์เรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมรอบสุดท้าย ทุกอย่างจะต้องรัดกุมมากที่สุด เพราะเขาเคลื่อนกำลังเกินครึ่งกลับแคว้นเจี๋ย ทิ้งให้กองทัพอินทรีของแม่ทัพติงดูแลรักษาเมือง ซึ่งจะต้องรีดเสบียงจากแคว้นเสิ่งให้มาก เนื่องจากใกล้เข้าฤดูเหมันต์แล้ว หลังเลิกประชุมเขายังคงนั่งจัดการเอกสารต่างๆ ใจย้อนคิดไปถึงสมัยที่เป็นองค์ชายแปด ก่อนที่จะได้นามอ๋องพยัคฆ์มา ชื่อเสียงโหดเหี้ยมยาวนานจนผู้คนพากันลืมชื่อจริงไปหมดสิ้น มารดาของเขาเป็นสนมของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน นางเป็นน้องสาวของฮองเฮา เขาและองค์ชายรองโอรสของฮองเฮาจึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและยังมีองค์ชายห้าอีกผู้หนึ่งที่เสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก มารดาของเขาจึงรับมาเลี้ยงดูคู่กับเขาเพราะอายุไล่เลี่ยกัน พระบิดานิยมสะสมหญิงงามไว้ในวังหลังเหมือนท่านปู่ทำให้มีโอรสธิดามากมาย ระดับอ๋องที่เป็นพี่น้องกับพระบิดาก็มีหลายคนทำให้เกิดหลายขั้วอำนาจในวังหลวง เมื่ออายุได้สิบเอ็ดปีพระบิดาล้มป่วยลงโดยที่หมอหลวงหาสาเหตุไม่ได้ พระองค์อ่อนแอลงจึงมีการประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งตกเป็นขององค์ชายรองที่ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปีตามคาด เนื่องจากโอรสองค์แรกเป็นบุตรที่กำเนิดจากนางกำนัลต่อใ
ฟ่านลู่อี่เดินหน้านิ่งมาขึ้นรถม้า เมื่อคืนนอนเขาไม่สบายตัวอย่างยิ่งด้วยถูกเจ้าแมวหื่นกอดรัดไว้ทั้งคืนจะพลิกตัวก็ไม่ได้ทำเอาหงุดหงิด ส่วนตัวต้นเหตุหาได้รู้สึกไม่ร่าเริงออกไปตรวจกองทัพตั้งแต่เช้ามืด พอกลับมาก็อ้อนให้หวีผมให้บ้างละ คีบอาหารให้บ้างละ เขายอมรับว่ารู้สึกดีอยู่บ้างแต่ตนต้องการนอน หวังว่าเมื่อออกเดินทางแล้วเขาจะได้ใช้เวลาสงบๆ อยู่บนรถม้าเสียที จื่อเฉิงถูกปล่อยออกมาจากคุกแล้ว เนื่องจากแม่ทัพติงต้องการคนช่วยดูแลเมืองจึงได้มายืนเข้าแถวรอส่งฟ่านลู่อี่ ส่วนอดีตแม่ทัพซินและลูกน้องทั้งสี่คนถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของฟ่านลู่อี่ นับว่าอ๋องพยัคฆ์ใจกว้างมิใช่น้อย ทั้งสี่คนได้ม้าคนละตัวพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าของแคว้นเจี๋ยแต่มิใช่เครื่องแบบทหาร ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งโจวหงเจินก็มาเชิญฟ่านลู่อี่ไปขึ้นรถม้าบอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกเขาจึงร่ำลาจื่อเฉิง อาหลานโดดขึ้นยืนบนหลังคารถม้า องครักษ์ทั้งสี่ขึ้นม้าแยกประกบรถม้าของฟ่านลู่อี่จากนั้นโจวหงเจินก็ให้สัญญาณออกเดินทาง อ๋องพยัคฆ์ก็ได้ตรึกตรองไว้แล้วว่าต้องให้รองแม่ทัพทั้งสองดูแลกองทัพ การได้อดีตแม่ทัพซินและพวกมาคอยดูแลพระชา
พวกเขาเดินทางมาสิบวันได้ครึ่งทางไปเมืองหลวงของแคว้นเจี๋ยแล้ว ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปอากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางมีกลุ่มนักฆ่าไม่กลัวตายบุกมาพยายามเอาชีวิตฟ่านลู่อี่อยู่ตลอดจนเจ้าตัวเห็นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว "ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ข้ามียังไม่พอจ่ายให้บรรดานักฆ่าเลย ถ้าเขาเอาเงินมาให้ข้าเสียก็หมดเรื่อง" เรื่องคงจบแค่นี้ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องได้ยินเข้าฟ่านลู่อี่จึงถูกทำโทษจนปากบวมเจ่อ ซินเกาเล่อจึงตัดสินใจให้ฟ่านลู่อี่ฝึกการต่อสู้เผื่อยามจวนตัวจะได้เอาตัวรอดได้ ท่านอ๋องแม้เป็นห่วงแต่จำต้องยอมจำนนกับเหตุผลจึงได้แต่ไปยืนตีหน้าเหี้ยมยามฟ่านลู่อี่ซ้อม ผู้ใดจึงอยากให้มือน้อยนั้นมีรอยช้ำกันเล่า "บิดาเจ้าสอนได้อะไรบ้างหรือไม่ ไยเจ้าจึงปวกเปียกเช่นนี้" ซินเกาเล่อกอดอกถาม ฟ่านลู่อี่ที่ใช้กระบี่ไม้ฟาดลมอยู่ยิ้มแหย "ท่านก็ทราบว่าตระกูลข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านพ่อไม่เห็นความสำคัญของการต่อสู้" "ข้าจะฝึกเจ้าจนสังหารอ๋องพยัคฆ์ได้เลย" ซินเกาเล่อประชด "ถ้าข้าสามารถตายคาอกลู่อี่ได้ข้าย่อมยินดี" อ๋องพยัคฆ์พูดหน้าตายแต่คนถูกเอ่ยถึงหน้าแดงก่ำฟาดลมผิดๆ ถูกๆ อ๋องพยัคฆ์คนโหดหายไปไหนแค่ไม่กี่วันเป
ขบวนของอ๋องพยัคฆ์เร่งเดินทาง โชคดีที่ตอนนี้เดินทางเข้ามาเกินกึ่งกลางของแคว้นเจี๋ยแล้ว ทำให้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทั่วไป แต่ยังต้องแข่งกับเวลาอยู่ดี วันหนึ่งพยายามเดินทางให้ไกลที่สุดเท่าที่กำลังของม้าจะไปได้ อ๋องพยัคฆ์ถึงกับให้เปลี่ยนม้าในบางเมืองที่มีค่ายทหาร โดยฝากม้าศึกไว้ให้กลับกับขบวนกองทัพที่จะตามมา ผ่านมาสามวันพวกเขาก็เข้าใกล้เมืองหลวงแล้ว และควรจะถึงเมืองหลวงก่อนค่ำวันรุ่งขึ้น ด้วยปราณของอ๋องพยัคฆ์ที่ถ่ายทอดสู่ฟ่านลู่อี่ทุกวันไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ พระชายานอนนานขึ้นทุกที อ๋องพยัคฆ์ถึงกับตื่นมาตรวจดูอาการของของเขาทุกครึ่งชั่วยาม จนตนเองตาแดงก่ำใบหน้าซูบตอบ "เทียนเฉิน นี่มิใช่ความผิดของท่าน อย่าได้ทรมานตัวเองเช่นนี้" ฟ่านลู่อี่นอนอยู่ในวงแขนของท่านอ๋อง มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงสัมผัสใบหน้าของเขา ไม่กล้าบอกว่าตอนนี้มองอะไรแทบไม่เห็น กลัวเหลือเกินที่จะไม่ได้อยู่กับคนตรงหน้าอีก "ข้ามิได้ทรมานเลยสักนิด เจ้าอดทนอีกคืนเดียว พรุ่งนี้เราจะถึงวังหลวงแล้ว เจ้าจะหายดีแล้วเราจะเข้าพิธีสยุมพรกัน" น้ำตาลูกผู้ชายหล่นโดนแก้มไร้สีเลือดของฟ่านลู่อี่ "ท่านเปิดลิ้นชักล่างให้ข้าหน่อย" ฟ่านลู่
"ทำไมข้าจึงต้องรีบกลับวัง" อ๋องพยัคฆ์ถามเสียงเยือกเย็น เป็นที่รู้กันว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่พอใจหมอผู้นี้คงถูกหามออกไปแบบไร้ลมหายใจเป็นแน่ "เนื่องจากพิษนิทราเหมันต์เป็นพิษเย็น ท่านต้องอาศัยตัวยาร้อนผนวกกับความร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนพ่ะย่ะค่ะ" "บ่อน้ำพุร้อนที่อื่นใช้ไม่ได้หรือ" โจวหงเจินแย่งถาม "บ่อที่ร้อนมากหน่อยย่อมใช้ได้ แต่ส่วนผสมของยาแก้จำเป็นต้องใช้ผลมังกรอัคคีพ่ะย่ะค่ะ" คนจากแคว้นเจี๋ยได้ฟังก็ถอนหายใจ แต่ชาวแคว้นเสิ่งย่อมไม่รู้จักผลมังกรอัคคี ฟ่านลู่อี่มองท่านอ๋องเป็นเชิงถาม "ผลมังกรอัคคีขึ้นอยู่ในน้ำพุร้อนลำธารเดือดอยู่ในวังหลวง นับว่าเป็นของหาไม่ได้ง่ายแต่ไม่ยากสำหรับข้า วางใจเถอะ" อ๋องพยัคฆ์จูบหน้าผากมนเนิ่นนานแล้วประคองฟ่านลู่อี่ขึ้นไปพักบนรถม้า ห่มผ้าให้จนคนงามกลายเป็นขนมจ้างลูกใหญ่แล้ว จึงวางใจปล่อยให้พักออกมาหารือกับคนอื่นๆ "เจ้าเขียนจดหมายบอกอาการของลู่อี่ให้อี้หานส่งนกพิราบไปยังวังหลวง ให้เขาปรุงยาไว้รอ ข้าจะพาลู่อี่กลับไปให้เร็วที่สุด" อ๋องพยัคฆ์สั่ง จ้าวอี้หานรับคำแล้วพาหมอแยกไป "ลู่อี่ต้องโดนพิษก่อนที่ข้าจะไปรับมา เสี่ยวถงเจ้าสงสัยใครหรือไม่" "อาหารของคุณชายถูกส่งม
พวกเขาเดินทางมาสิบวันได้ครึ่งทางไปเมืองหลวงของแคว้นเจี๋ยแล้ว ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปอากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางมีกลุ่มนักฆ่าไม่กลัวตายบุกมาพยายามเอาชีวิตฟ่านลู่อี่อยู่ตลอดจนเจ้าตัวเห็นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว "ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ข้ามียังไม่พอจ่ายให้บรรดานักฆ่าเลย ถ้าเขาเอาเงินมาให้ข้าเสียก็หมดเรื่อง" เรื่องคงจบแค่นี้ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องได้ยินเข้าฟ่านลู่อี่จึงถูกทำโทษจนปากบวมเจ่อ ซินเกาเล่อจึงตัดสินใจให้ฟ่านลู่อี่ฝึกการต่อสู้เผื่อยามจวนตัวจะได้เอาตัวรอดได้ ท่านอ๋องแม้เป็นห่วงแต่จำต้องยอมจำนนกับเหตุผลจึงได้แต่ไปยืนตีหน้าเหี้ยมยามฟ่านลู่อี่ซ้อม ผู้ใดจึงอยากให้มือน้อยนั้นมีรอยช้ำกันเล่า "บิดาเจ้าสอนได้อะไรบ้างหรือไม่ ไยเจ้าจึงปวกเปียกเช่นนี้" ซินเกาเล่อกอดอกถาม ฟ่านลู่อี่ที่ใช้กระบี่ไม้ฟาดลมอยู่ยิ้มแหย "ท่านก็ทราบว่าตระกูลข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านพ่อไม่เห็นความสำคัญของการต่อสู้" "ข้าจะฝึกเจ้าจนสังหารอ๋องพยัคฆ์ได้เลย" ซินเกาเล่อประชด "ถ้าข้าสามารถตายคาอกลู่อี่ได้ข้าย่อมยินดี" อ๋องพยัคฆ์พูดหน้าตายแต่คนถูกเอ่ยถึงหน้าแดงก่ำฟาดลมผิดๆ ถูกๆ อ๋องพยัคฆ์คนโหดหายไปไหนแค่ไม่กี่วันเป
ฟ่านลู่อี่เดินหน้านิ่งมาขึ้นรถม้า เมื่อคืนนอนเขาไม่สบายตัวอย่างยิ่งด้วยถูกเจ้าแมวหื่นกอดรัดไว้ทั้งคืนจะพลิกตัวก็ไม่ได้ทำเอาหงุดหงิด ส่วนตัวต้นเหตุหาได้รู้สึกไม่ร่าเริงออกไปตรวจกองทัพตั้งแต่เช้ามืด พอกลับมาก็อ้อนให้หวีผมให้บ้างละ คีบอาหารให้บ้างละ เขายอมรับว่ารู้สึกดีอยู่บ้างแต่ตนต้องการนอน หวังว่าเมื่อออกเดินทางแล้วเขาจะได้ใช้เวลาสงบๆ อยู่บนรถม้าเสียที จื่อเฉิงถูกปล่อยออกมาจากคุกแล้ว เนื่องจากแม่ทัพติงต้องการคนช่วยดูแลเมืองจึงได้มายืนเข้าแถวรอส่งฟ่านลู่อี่ ส่วนอดีตแม่ทัพซินและลูกน้องทั้งสี่คนถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของฟ่านลู่อี่ นับว่าอ๋องพยัคฆ์ใจกว้างมิใช่น้อย ทั้งสี่คนได้ม้าคนละตัวพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าของแคว้นเจี๋ยแต่มิใช่เครื่องแบบทหาร ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งโจวหงเจินก็มาเชิญฟ่านลู่อี่ไปขึ้นรถม้าบอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกเขาจึงร่ำลาจื่อเฉิง อาหลานโดดขึ้นยืนบนหลังคารถม้า องครักษ์ทั้งสี่ขึ้นม้าแยกประกบรถม้าของฟ่านลู่อี่จากนั้นโจวหงเจินก็ให้สัญญาณออกเดินทาง อ๋องพยัคฆ์ก็ได้ตรึกตรองไว้แล้วว่าต้องให้รองแม่ทัพทั้งสองดูแลกองทัพ การได้อดีตแม่ทัพซินและพวกมาคอยดูแลพระชา
อ๋องพยัคฆ์เรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมรอบสุดท้าย ทุกอย่างจะต้องรัดกุมมากที่สุด เพราะเขาเคลื่อนกำลังเกินครึ่งกลับแคว้นเจี๋ย ทิ้งให้กองทัพอินทรีของแม่ทัพติงดูแลรักษาเมือง ซึ่งจะต้องรีดเสบียงจากแคว้นเสิ่งให้มาก เนื่องจากใกล้เข้าฤดูเหมันต์แล้ว หลังเลิกประชุมเขายังคงนั่งจัดการเอกสารต่างๆ ใจย้อนคิดไปถึงสมัยที่เป็นองค์ชายแปด ก่อนที่จะได้นามอ๋องพยัคฆ์มา ชื่อเสียงโหดเหี้ยมยาวนานจนผู้คนพากันลืมชื่อจริงไปหมดสิ้น มารดาของเขาเป็นสนมของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน นางเป็นน้องสาวของฮองเฮา เขาและองค์ชายรองโอรสของฮองเฮาจึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและยังมีองค์ชายห้าอีกผู้หนึ่งที่เสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก มารดาของเขาจึงรับมาเลี้ยงดูคู่กับเขาเพราะอายุไล่เลี่ยกัน พระบิดานิยมสะสมหญิงงามไว้ในวังหลังเหมือนท่านปู่ทำให้มีโอรสธิดามากมาย ระดับอ๋องที่เป็นพี่น้องกับพระบิดาก็มีหลายคนทำให้เกิดหลายขั้วอำนาจในวังหลวง เมื่ออายุได้สิบเอ็ดปีพระบิดาล้มป่วยลงโดยที่หมอหลวงหาสาเหตุไม่ได้ พระองค์อ่อนแอลงจึงมีการประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งตกเป็นขององค์ชายรองที่ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปีตามคาด เนื่องจากโอรสองค์แรกเป็นบุตรที่กำเนิดจากนางกำนัลต่อใ
ลู่อี่ทราบว่าท่านอ๋องทิ้งอาหลานไว้เฝ้าเชลยศึกเพราะมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวนักโทษจึงทิ้งเจ้าพยัคฆ์ดำไว้ที่ค่าย โดยที่คนงามไม่ทราบความจริงว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของท่านอ๋องที่จะกีดกันเจ้าพยัคฆ์ดำออกจากตนเอง"ข้าขอไปเยี่ยมนักโทษเหล่านั้นได้หรือไม่" คนงามออกปากเผลอใช้แววตาออดอ้อนจนท่านอ๋องใจอ่อน"ก็ได้ แต่หงเจินต้องไปกับเจ้าด้วยห้ามอยู่ห่างจากเขา ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า ห้ามฯลฯ" อ๋องพยัคฆ์สั่งห้ามยาวเหยียดเหมือนฟ่านลู่อี่เป็นเด็กไม่ถึงสิบหนาวกว่าจะสั่งจบก็ผ่านไปสองเค่อ หลังจากส่งท่านอ๋องล่วงหน้าไปที่ค่ายทหารแล้ว คนงามก็รีบไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารจำนวนมากสำหรับไปให้เชลยสงคราม เน้นอาหารที่รับประทานง่ายเช่นซาลาเปาหลากไส้ พร้อมผลไม้ที่พอหาได้ ตัวเขาทำขนมโก๋กลิ่นดอกโมลี่พอเสร็จก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปรอโจวหงเจินที่หน้าจวน โดยมีเสี่ยวถงและบ่าวถืออาหารทั้งหมดเดินตัวเอียงตามมารองแม่ทัพรีบเข้าไปรับตะกร้าอาหารมาถือ พร้อมส่งสองนายบ่าวขึ้นรถม้าตัวเองขึ้นม้าขี่ตีคู่ไปเดินทางเพียงสามเค่อก็ถึงประตูค่าย"เชิญพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินเดินนำสองนายบ่าวไปส่วนลึกของค่าย มีโรงเรือนปลูกสร้างอย่างหยา
ฟ่านลู่อี่ตื่นมาก็ไม่เห็นอาหลานแล้ว นอกจากที่นอนที่ยังอุ่นอยู่บ่งบอกว่ามันนอนกับเขาตลอดคืน หารู้ไม่ว่าเมื่อคืนมีเหตุใดเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืน"จับมุสิกได้กี่ตัว" อ๋องพยัคฆ์เดินช้าๆมาดูคนชุดดำที่ถูกจับมัดดังสุกรกลิ้งอยู่ที่พื้น"ห้าพ่ะย่ะค่ะ ช่างมีขวัญเทียมฟ้ากล้าบุกจวนทั้งที่รู้ว่าอยู่ในความดูแลของเรา" จ้าวอี้หานเตะนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปอัดต้นไม้แน่นิ่ง เพราะเห็นมันทำท่าจะสลัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า"เจ้าจงรีดความจริงว่าใครส่งมันมา ข้าคาดว่าพวกมันคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พระชายาเจ้าจงวางกำลังให้รัดกุม" อ๋องพยัคฆ์สั่งแล้วหมุนกายกลับไปหาลู่อี่ไปถึงก็เขี่ยอาหลานลงจากเตียง มันส่งเสียงหงุดหงิดแต่ยอมกระโดดลงจากเตียงไปนอนที่พรมกลางห้องฟ่านลู่อี่ขดกายเข้าหากันเพราะเริ่มหนาว อ๋องพยัคฆ์รีบเข้าไปนอนแทนที่อาหลานกอดคนงามเข้ามาในวงแขน เมื่อความอบอุ่นกลับมาลู่อี่ก็ขยับกายหาที่เหมาะๆ แล้วหลับอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้างดงามยิ้มน้อยๆ"ข้าจะทนจนถึงพิธีสยุมพรไม่ไหวถ้าเจ้ายั่วกันแบบนี้" คนจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนิ่นนานก่อนจะหลับตามไปอ๋องพยัคฆ์ตื่นก่อนฟ่านลู่อี่แล้วออกไปฝึกซ้อมตอนเช้า เขารู้ดีว่าถ้าคนงามตื่น
ฟ่านลู่อี่หมดอารมณ์จะชมเมืองเขานั่งนิ่งอยู่บนรถม้าโดยไม่เอ่ยคำใดแม้แต่เสี่ยวถงยังมิกล้าเปิดปาก อาหลานพยายามเอาหัวมาดุนมือคนงามแบบที่เคยใช้ได้ผลแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากฟ่านลู่อี่ รถม้าหยุดยั้งลงประตูถูกเปิดออกโดยอ๋องพยัคฆ์ ฟ่านลู่อี่มีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวลงมาจากรถม้าโดยไม่รับมือของท่านอ๋องที่ส่งมาให้ "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา" ทหารและชาวเมืองที่ออกมาต้อนรับส่งเสียงดังกระหึ่มพร้อมกันทุกคนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนว่าท่านอ๋องได้รับองค์ชายสันติสุขเป็นพระชายาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีและสงบศึกเหล่าชาวเมืองที่เผชิญสงครามมาหลายปีย่อมยินดียิ่งถึงแม้ทางแคว้นเสิ่งจะแพ้สงครามแต่นอกจากส่งทหารมาควบคุมความเรียบร้อยแล้วก็มิได้มีการทารุณชาวเมืองแต่อย่างใดคนจึงไม่ต่อต้านมากนักแถมทหารที่มาส่งข่าวเฝ้าโม้ถึงความงามของพระชายาฟ่านลู่อี่จนเลิศเลอจึงมีคนมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ฟ่านลู่อี่คลี่ยิ้มไปรอบๆ ผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายทำเอาหลายคนตะลึง บ้างถูกความงามมอมเมาจนเผลอจส่งสายตาเคลิ้มฝันมาให้ "เชิญท่านอ๋องกับพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" จ้าวอี้หานรีบเชิญเสด็จก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นเมื่อดูจา
ฟ่านลู่อี่เรียกโจวหงเจินมาถามถึงเส้นทางข้างหน้าได้ความว่าจากนี้จะเร่งเดินทาง โดยปกติแล้วระยะทางระหว่างเมืองหลวงของแคว้นเสิ่งไปถึงชายแดนแคว้นเจี๋ยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 1 เดือน แต่ขบวนของพวกเขาจะเดินทางออกจากทางหลวงเป็นบางช่วงเพื่อตัดตรงทะลุป่าเขาบ้างจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ทำให้จากนี้ไปอาจจะต้องนอนกลางป่ากันบ้างเป็นบางคืน"ท่านอ๋องอยากให้พระชายาเดินทางถึงแคว้นเจี๋ยให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" ซือเย่าบอก "เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือ" ฟ่านลู่อี่ถาม"ฤดูเหมันต์ของแคว้นเจี๋ยจะมาถึงก่อนแคว้นเสิ่งหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะและกินระยะเวลายาวนานถึงหกเดือน โหรหลวงทำนายว่าปีนี้จะหนาวรุนแรงที่สุดในรอบยี่สิบปีและอาจยาวนานถึงแปดเดือน ท่านอ๋องเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาจึงอยากให้เร่งเดินทาง" ซือเย่าลอบร้องย่ำแย่ในใจ พระชายาเอ่ยปากก็ถามได้ตรงจุด แคว้นเสิ่งช่างโง่จริงๆที่ปล่อยเพชรเม็ดนี้มาให้แคว้นเจี๋ย"งั้นหรือ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไปทุกคนย่อมมีครอบครัวรออยู่" ฟ่านลู่อี่บอก เขาไม่ใส่ใจว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าใดทั้งสี่คนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันบนรถม้าจากนั้นโจวหงเจินและซือเย่าก็ออกไปขี่ม้านำขบวนเหมือนเดิมยา