ลู่อี่ทราบว่าท่านอ๋องทิ้งอาหลานไว้เฝ้าเชลยศึกเพราะมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวนักโทษจึงทิ้งเจ้าพยัคฆ์ดำไว้ที่ค่าย โดยที่คนงามไม่ทราบความจริงว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของท่านอ๋องที่จะกีดกันเจ้าพยัคฆ์ดำออกจากตนเอง"ข้าขอไปเยี่ยมนักโทษเหล่านั้นได้หรือไม่" คนงามออกปากเผลอใช้แววตาออดอ้อนจนท่านอ๋องใจอ่อน"ก็ได้ แต่หงเจินต้องไปกับเจ้าด้วยห้ามอยู่ห่างจากเขา ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า ห้ามฯลฯ" อ๋องพยัคฆ์สั่งห้ามยาวเหยียดเหมือนฟ่านลู่อี่เป็นเด็กไม่ถึงสิบหนาวกว่าจะสั่งจบก็ผ่านไปสองเค่อ หลังจากส่งท่านอ๋องล่วงหน้าไปที่ค่ายทหารแล้ว คนงามก็รีบไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารจำนวนมากสำหรับไปให้เชลยสงคราม เน้นอาหารที่รับประทานง่ายเช่นซาลาเปาหลากไส้ พร้อมผลไม้ที่พอหาได้ ตัวเขาทำขนมโก๋กลิ่นดอกโมลี่พอเสร็จก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปรอโจวหงเจินที่หน้าจวน โดยมีเสี่ยวถงและบ่าวถืออาหารทั้งหมดเดินตัวเอียงตามมารองแม่ทัพรีบเข้าไปรับตะกร้าอาหารมาถือ พร้อมส่งสองนายบ่าวขึ้นรถม้าตัวเองขึ้นม้าขี่ตีคู่ไปเดินทางเพียงสามเค่อก็ถึงประตูค่าย"เชิญพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินเดินนำสองนายบ่าวไปส่วนลึกของค่าย มีโรงเรือนปลูกสร้างอย่างหยา
อ๋องพยัคฆ์เรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมรอบสุดท้าย ทุกอย่างจะต้องรัดกุมมากที่สุด เพราะเขาเคลื่อนกำลังเกินครึ่งกลับแคว้นเจี๋ย ทิ้งให้กองทัพอินทรีของแม่ทัพติงดูแลรักษาเมือง ซึ่งจะต้องรีดเสบียงจากแคว้นเสิ่งให้มาก เนื่องจากใกล้เข้าฤดูเหมันต์แล้ว หลังเลิกประชุมเขายังคงนั่งจัดการเอกสารต่างๆ ใจย้อนคิดไปถึงสมัยที่เป็นองค์ชายแปด ก่อนที่จะได้นามอ๋องพยัคฆ์มา ชื่อเสียงโหดเหี้ยมยาวนานจนผู้คนพากันลืมชื่อจริงไปหมดสิ้น มารดาของเขาเป็นสนมของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน นางเป็นน้องสาวของฮองเฮา เขาและองค์ชายรองโอรสของฮองเฮาจึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและยังมีองค์ชายห้าอีกผู้หนึ่งที่เสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก มารดาของเขาจึงรับมาเลี้ยงดูคู่กับเขาเพราะอายุไล่เลี่ยกัน พระบิดานิยมสะสมหญิงงามไว้ในวังหลังเหมือนท่านปู่ทำให้มีโอรสธิดามากมาย ระดับอ๋องที่เป็นพี่น้องกับพระบิดาก็มีหลายคนทำให้เกิดหลายขั้วอำนาจในวังหลวง เมื่ออายุได้สิบเอ็ดปีพระบิดาล้มป่วยลงโดยที่หมอหลวงหาสาเหตุไม่ได้ พระองค์อ่อนแอลงจึงมีการประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งตกเป็นขององค์ชายรองที่ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปีตามคาด เนื่องจากโอรสองค์แรกเป็นบุตรที่กำเนิดจากนางกำนัลต่อใ
ฟ่านลู่อี่เดินหน้านิ่งมาขึ้นรถม้า เมื่อคืนนอนเขาไม่สบายตัวอย่างยิ่งด้วยถูกเจ้าแมวหื่นกอดรัดไว้ทั้งคืนจะพลิกตัวก็ไม่ได้ทำเอาหงุดหงิด ส่วนตัวต้นเหตุหาได้รู้สึกไม่ร่าเริงออกไปตรวจกองทัพตั้งแต่เช้ามืด พอกลับมาก็อ้อนให้หวีผมให้บ้างละ คีบอาหารให้บ้างละ เขายอมรับว่ารู้สึกดีอยู่บ้างแต่ตนต้องการนอน หวังว่าเมื่อออกเดินทางแล้วเขาจะได้ใช้เวลาสงบๆ อยู่บนรถม้าเสียที จื่อเฉิงถูกปล่อยออกมาจากคุกแล้ว เนื่องจากแม่ทัพติงต้องการคนช่วยดูแลเมืองจึงได้มายืนเข้าแถวรอส่งฟ่านลู่อี่ ส่วนอดีตแม่ทัพซินและลูกน้องทั้งสี่คนถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของฟ่านลู่อี่ นับว่าอ๋องพยัคฆ์ใจกว้างมิใช่น้อย ทั้งสี่คนได้ม้าคนละตัวพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าของแคว้นเจี๋ยแต่มิใช่เครื่องแบบทหาร ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งโจวหงเจินก็มาเชิญฟ่านลู่อี่ไปขึ้นรถม้าบอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกเขาจึงร่ำลาจื่อเฉิง อาหลานโดดขึ้นยืนบนหลังคารถม้า องครักษ์ทั้งสี่ขึ้นม้าแยกประกบรถม้าของฟ่านลู่อี่จากนั้นโจวหงเจินก็ให้สัญญาณออกเดินทาง อ๋องพยัคฆ์ก็ได้ตรึกตรองไว้แล้วว่าต้องให้รองแม่ทัพทั้งสองดูแลกองทัพ การได้อดีตแม่ทัพซินและพวกมาคอยดูแลพระชา
พวกเขาเดินทางมาสิบวันได้ครึ่งทางไปเมืองหลวงของแคว้นเจี๋ยแล้ว ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปอากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางมีกลุ่มนักฆ่าไม่กลัวตายบุกมาพยายามเอาชีวิตฟ่านลู่อี่อยู่ตลอดจนเจ้าตัวเห็นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว "ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ข้ามียังไม่พอจ่ายให้บรรดานักฆ่าเลย ถ้าเขาเอาเงินมาให้ข้าเสียก็หมดเรื่อง" เรื่องคงจบแค่นี้ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องได้ยินเข้าฟ่านลู่อี่จึงถูกทำโทษจนปากบวมเจ่อ ซินเกาเล่อจึงตัดสินใจให้ฟ่านลู่อี่ฝึกการต่อสู้เผื่อยามจวนตัวจะได้เอาตัวรอดได้ ท่านอ๋องแม้เป็นห่วงแต่จำต้องยอมจำนนกับเหตุผลจึงได้แต่ไปยืนตีหน้าเหี้ยมยามฟ่านลู่อี่ซ้อม ผู้ใดจึงอยากให้มือน้อยนั้นมีรอยช้ำกันเล่า "บิดาเจ้าสอนได้อะไรบ้างหรือไม่ ไยเจ้าจึงปวกเปียกเช่นนี้" ซินเกาเล่อกอดอกถาม ฟ่านลู่อี่ที่ใช้กระบี่ไม้ฟาดลมอยู่ยิ้มแหย "ท่านก็ทราบว่าตระกูลข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านพ่อไม่เห็นความสำคัญของการต่อสู้" "ข้าจะฝึกเจ้าจนสังหารอ๋องพยัคฆ์ได้เลย" ซินเกาเล่อประชด "ถ้าข้าสามารถตายคาอกลู่อี่ได้ข้าย่อมยินดี" อ๋องพยัคฆ์พูดหน้าตายแต่คนถูกเอ่ยถึงหน้าแดงก่ำฟาดลมผิดๆ ถูกๆ อ๋องพยัคฆ์คนโหดหายไปไหนแค่ไม่กี่วันเป
"ทำไมข้าจึงต้องรีบกลับวัง" อ๋องพยัคฆ์ถามเสียงเยือกเย็น เป็นที่รู้กันว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่พอใจหมอผู้นี้คงถูกหามออกไปแบบไร้ลมหายใจเป็นแน่ "เนื่องจากพิษนิทราเหมันต์เป็นพิษเย็น ท่านต้องอาศัยตัวยาร้อนผนวกกับความร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนพ่ะย่ะค่ะ" "บ่อน้ำพุร้อนที่อื่นใช้ไม่ได้หรือ" โจวหงเจินแย่งถาม "บ่อที่ร้อนมากหน่อยย่อมใช้ได้ แต่ส่วนผสมของยาแก้จำเป็นต้องใช้ผลมังกรอัคคีพ่ะย่ะค่ะ" คนจากแคว้นเจี๋ยได้ฟังก็ถอนหายใจ แต่ชาวแคว้นเสิ่งย่อมไม่รู้จักผลมังกรอัคคี ฟ่านลู่อี่มองท่านอ๋องเป็นเชิงถาม "ผลมังกรอัคคีขึ้นอยู่ในน้ำพุร้อนลำธารเดือดอยู่ในวังหลวง นับว่าเป็นของหาไม่ได้ง่ายแต่ไม่ยากสำหรับข้า วางใจเถอะ" อ๋องพยัคฆ์จูบหน้าผากมนเนิ่นนานแล้วประคองฟ่านลู่อี่ขึ้นไปพักบนรถม้า ห่มผ้าให้จนคนงามกลายเป็นขนมจ้างลูกใหญ่แล้ว จึงวางใจปล่อยให้พักออกมาหารือกับคนอื่นๆ "เจ้าเขียนจดหมายบอกอาการของลู่อี่ให้อี้หานส่งนกพิราบไปยังวังหลวง ให้เขาปรุงยาไว้รอ ข้าจะพาลู่อี่กลับไปให้เร็วที่สุด" อ๋องพยัคฆ์สั่ง จ้าวอี้หานรับคำแล้วพาหมอแยกไป "ลู่อี่ต้องโดนพิษก่อนที่ข้าจะไปรับมา เสี่ยวถงเจ้าสงสัยใครหรือไม่" "อาหารของคุณชายถูกส่งม
ขบวนของอ๋องพยัคฆ์เร่งเดินทาง โชคดีที่ตอนนี้เดินทางเข้ามาเกินกึ่งกลางของแคว้นเจี๋ยแล้ว ทำให้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทั่วไป แต่ยังต้องแข่งกับเวลาอยู่ดี วันหนึ่งพยายามเดินทางให้ไกลที่สุดเท่าที่กำลังของม้าจะไปได้ อ๋องพยัคฆ์ถึงกับให้เปลี่ยนม้าในบางเมืองที่มีค่ายทหาร โดยฝากม้าศึกไว้ให้กลับกับขบวนกองทัพที่จะตามมา ผ่านมาสามวันพวกเขาก็เข้าใกล้เมืองหลวงแล้ว และควรจะถึงเมืองหลวงก่อนค่ำวันรุ่งขึ้น ด้วยปราณของอ๋องพยัคฆ์ที่ถ่ายทอดสู่ฟ่านลู่อี่ทุกวันไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ พระชายานอนนานขึ้นทุกที อ๋องพยัคฆ์ถึงกับตื่นมาตรวจดูอาการของของเขาทุกครึ่งชั่วยาม จนตนเองตาแดงก่ำใบหน้าซูบตอบ "เทียนเฉิน นี่มิใช่ความผิดของท่าน อย่าได้ทรมานตัวเองเช่นนี้" ฟ่านลู่อี่นอนอยู่ในวงแขนของท่านอ๋อง มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงสัมผัสใบหน้าของเขา ไม่กล้าบอกว่าตอนนี้มองอะไรแทบไม่เห็น กลัวเหลือเกินที่จะไม่ได้อยู่กับคนตรงหน้าอีก "ข้ามิได้ทรมานเลยสักนิด เจ้าอดทนอีกคืนเดียว พรุ่งนี้เราจะถึงวังหลวงแล้ว เจ้าจะหายดีแล้วเราจะเข้าพิธีสยุมพรกัน" น้ำตาลูกผู้ชายหล่นโดนแก้มไร้สีเลือดของฟ่านลู่อี่ "ท่านเปิดลิ้นชักล่างให้ข้าหน่อย" ฟ่านลู่
แคว้นเสิ่ง"มีพระราชสาสน์มาจากฮ่องเต้แคว้นเจี๋ยพ่ะย่ะค่ะ" หานกงกงประคองสาส์นในถาดทองคำถวายให้ฮ่องเต้ถางจงฮ่วน ฮ่องเต้มองสาส์นประดุจเผือกร้อนกองหนึ่งแต่มิอ่านก็มิได้ พระองค์ไม่เข้าใจแคว้นเจี๋ยแม้แต่น้อย สงครามพิพาทระหว่างชายแดนของสองแคว้นยืดเยื้อมาได้ห้าปี จนมาถึงฤดูใบไม้ผลิแคว้นเสิ่งกำลังจะเพลี่ยงพล้ำแต่กองทัพแคว้นเจี๋ยกลับมิได้ตามมาบดขยี้ เพียงเข้ายึดเมืองชายแดนแล้วอยู่เฉยๆ มิได้รุกคืบ สร้างความกดดันให้กับทางเมืองหลวงยิ่ง พระองค์เพียรส่งพระราชสาส์นไปหลายครั้งแต่มิได้รับสาส์นตอบแต่อย่างใด ขุนนางก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการสงบศึกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งกองทัพไปบดขยี้ เฮอะ เจ้าพวกไร้สมอง มีแต่ทางเราจะถูกบดขยี้สิไม่ว่า แถมนี่ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว พระองค์ไม่สามารถรีดภาษีหรือหาเสบียงได้ทันการเคลื่อนทัพเป็นแน่ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะหนักๆแต่สาส์นยังคงต้องอ่าน เมื่อกวาดสายตาอ่านจนจบ หานกงกงที่คอยมองสีหน้าอยู่ยังมิสามารถอ่านสีหน้าของฮ่องเต้ยามนี้ได้"มิทราบว่าทางแคว้นเจี๋ยยื่นข้อเสนอใดมาหรือพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามิเข้าใจ เหตุใดทางแคว้นเจี๋ยจึงยื่นข้อเสนอที่เสียเปรียบนี้มา""ข้อเสนออันใดหรือพ่ะ
"ท่านอ๋อง เสด็จล่วงหน้าขบวนมาแบบนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมถามขึ้น แต่เสียงกลับทุ้มหล่อขัดกับหน้าตา"ข้าอยากดูหน้าเจ้าสาวจนทนไม่ไหวไงล่ะ ข่าวว่าเป็นคุณหนูที่มีดีแค่ความงามมิใช่รึ" คนพูดเป็นชายหนุ่มหนวดเครารกครึ้มในชุดผ้าเนื้อหยาบแต่มิอาจปกปิดเค้าหน้างามสง่าและบุคลิกสูงส่งได้"มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นคุณชายคนน้องพ่ะย่ะค่ะ""แคว้นเสิ่งหาสตรีมิได้แล้วหรือถึงส่งบุรุษมาแต่งงาน" คนพูดเสียงเยาะหยัน"ก็อาจเป็นได้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็มีแต่องค์ชาย มีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวชันษาสี่ขวบ""ข้ามิใช่คนวิปริตที่จะแต่งงานกับทารกหรอกนะ" คนทำหน้านิ่ง"จึงมีการแต่งตั้งองค์ชายจากบุตรขุนนางไงพ่ะย่ะค่ะ เพราะบุตรีมีน้อยและต่างมีพันธะหมั้นหมายกันหมดแล้ว""หึ" คนแค่นเสียงคำหนึ่งก่อนที่จะกระตุ้นม้าวิ่งเต็มฝีเท้า ทิ้งให้ผู้ติดตามกระตุ้นม้าตามทางจวนเจ้ากรมคลัง"ฟ่านลู่อี่รับราชโองการ" ทหารประกาศดังก้องจวนคนทั้งจวนฟ่านคุกเข่าที่ลานด้านหน้า"สงครามชายแดนยืดเยื้อมาหลายปี ทางแคว้นเจี๋ยต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีขอแต่งตั้งฟ่านลู่อี่เป็นองค์ชายสันติสุขไปแต่งงานกับอ๋องพยัคฆ์ยังแคว้นเจี๋ย พ
ขบวนของอ๋องพยัคฆ์เร่งเดินทาง โชคดีที่ตอนนี้เดินทางเข้ามาเกินกึ่งกลางของแคว้นเจี๋ยแล้ว ทำให้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทั่วไป แต่ยังต้องแข่งกับเวลาอยู่ดี วันหนึ่งพยายามเดินทางให้ไกลที่สุดเท่าที่กำลังของม้าจะไปได้ อ๋องพยัคฆ์ถึงกับให้เปลี่ยนม้าในบางเมืองที่มีค่ายทหาร โดยฝากม้าศึกไว้ให้กลับกับขบวนกองทัพที่จะตามมา ผ่านมาสามวันพวกเขาก็เข้าใกล้เมืองหลวงแล้ว และควรจะถึงเมืองหลวงก่อนค่ำวันรุ่งขึ้น ด้วยปราณของอ๋องพยัคฆ์ที่ถ่ายทอดสู่ฟ่านลู่อี่ทุกวันไม่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ พระชายานอนนานขึ้นทุกที อ๋องพยัคฆ์ถึงกับตื่นมาตรวจดูอาการของของเขาทุกครึ่งชั่วยาม จนตนเองตาแดงก่ำใบหน้าซูบตอบ "เทียนเฉิน นี่มิใช่ความผิดของท่าน อย่าได้ทรมานตัวเองเช่นนี้" ฟ่านลู่อี่นอนอยู่ในวงแขนของท่านอ๋อง มือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงสัมผัสใบหน้าของเขา ไม่กล้าบอกว่าตอนนี้มองอะไรแทบไม่เห็น กลัวเหลือเกินที่จะไม่ได้อยู่กับคนตรงหน้าอีก "ข้ามิได้ทรมานเลยสักนิด เจ้าอดทนอีกคืนเดียว พรุ่งนี้เราจะถึงวังหลวงแล้ว เจ้าจะหายดีแล้วเราจะเข้าพิธีสยุมพรกัน" น้ำตาลูกผู้ชายหล่นโดนแก้มไร้สีเลือดของฟ่านลู่อี่ "ท่านเปิดลิ้นชักล่างให้ข้าหน่อย" ฟ่านลู่
"ทำไมข้าจึงต้องรีบกลับวัง" อ๋องพยัคฆ์ถามเสียงเยือกเย็น เป็นที่รู้กันว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่พอใจหมอผู้นี้คงถูกหามออกไปแบบไร้ลมหายใจเป็นแน่ "เนื่องจากพิษนิทราเหมันต์เป็นพิษเย็น ท่านต้องอาศัยตัวยาร้อนผนวกกับความร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนพ่ะย่ะค่ะ" "บ่อน้ำพุร้อนที่อื่นใช้ไม่ได้หรือ" โจวหงเจินแย่งถาม "บ่อที่ร้อนมากหน่อยย่อมใช้ได้ แต่ส่วนผสมของยาแก้จำเป็นต้องใช้ผลมังกรอัคคีพ่ะย่ะค่ะ" คนจากแคว้นเจี๋ยได้ฟังก็ถอนหายใจ แต่ชาวแคว้นเสิ่งย่อมไม่รู้จักผลมังกรอัคคี ฟ่านลู่อี่มองท่านอ๋องเป็นเชิงถาม "ผลมังกรอัคคีขึ้นอยู่ในน้ำพุร้อนลำธารเดือดอยู่ในวังหลวง นับว่าเป็นของหาไม่ได้ง่ายแต่ไม่ยากสำหรับข้า วางใจเถอะ" อ๋องพยัคฆ์จูบหน้าผากมนเนิ่นนานแล้วประคองฟ่านลู่อี่ขึ้นไปพักบนรถม้า ห่มผ้าให้จนคนงามกลายเป็นขนมจ้างลูกใหญ่แล้ว จึงวางใจปล่อยให้พักออกมาหารือกับคนอื่นๆ "เจ้าเขียนจดหมายบอกอาการของลู่อี่ให้อี้หานส่งนกพิราบไปยังวังหลวง ให้เขาปรุงยาไว้รอ ข้าจะพาลู่อี่กลับไปให้เร็วที่สุด" อ๋องพยัคฆ์สั่ง จ้าวอี้หานรับคำแล้วพาหมอแยกไป "ลู่อี่ต้องโดนพิษก่อนที่ข้าจะไปรับมา เสี่ยวถงเจ้าสงสัยใครหรือไม่" "อาหารของคุณชายถูกส่งม
พวกเขาเดินทางมาสิบวันได้ครึ่งทางไปเมืองหลวงของแคว้นเจี๋ยแล้ว ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปอากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางมีกลุ่มนักฆ่าไม่กลัวตายบุกมาพยายามเอาชีวิตฟ่านลู่อี่อยู่ตลอดจนเจ้าตัวเห็นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว "ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ข้ามียังไม่พอจ่ายให้บรรดานักฆ่าเลย ถ้าเขาเอาเงินมาให้ข้าเสียก็หมดเรื่อง" เรื่องคงจบแค่นี้ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องได้ยินเข้าฟ่านลู่อี่จึงถูกทำโทษจนปากบวมเจ่อ ซินเกาเล่อจึงตัดสินใจให้ฟ่านลู่อี่ฝึกการต่อสู้เผื่อยามจวนตัวจะได้เอาตัวรอดได้ ท่านอ๋องแม้เป็นห่วงแต่จำต้องยอมจำนนกับเหตุผลจึงได้แต่ไปยืนตีหน้าเหี้ยมยามฟ่านลู่อี่ซ้อม ผู้ใดจึงอยากให้มือน้อยนั้นมีรอยช้ำกันเล่า "บิดาเจ้าสอนได้อะไรบ้างหรือไม่ ไยเจ้าจึงปวกเปียกเช่นนี้" ซินเกาเล่อกอดอกถาม ฟ่านลู่อี่ที่ใช้กระบี่ไม้ฟาดลมอยู่ยิ้มแหย "ท่านก็ทราบว่าตระกูลข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ท่านพ่อไม่เห็นความสำคัญของการต่อสู้" "ข้าจะฝึกเจ้าจนสังหารอ๋องพยัคฆ์ได้เลย" ซินเกาเล่อประชด "ถ้าข้าสามารถตายคาอกลู่อี่ได้ข้าย่อมยินดี" อ๋องพยัคฆ์พูดหน้าตายแต่คนถูกเอ่ยถึงหน้าแดงก่ำฟาดลมผิดๆ ถูกๆ อ๋องพยัคฆ์คนโหดหายไปไหนแค่ไม่กี่วันเป
ฟ่านลู่อี่เดินหน้านิ่งมาขึ้นรถม้า เมื่อคืนนอนเขาไม่สบายตัวอย่างยิ่งด้วยถูกเจ้าแมวหื่นกอดรัดไว้ทั้งคืนจะพลิกตัวก็ไม่ได้ทำเอาหงุดหงิด ส่วนตัวต้นเหตุหาได้รู้สึกไม่ร่าเริงออกไปตรวจกองทัพตั้งแต่เช้ามืด พอกลับมาก็อ้อนให้หวีผมให้บ้างละ คีบอาหารให้บ้างละ เขายอมรับว่ารู้สึกดีอยู่บ้างแต่ตนต้องการนอน หวังว่าเมื่อออกเดินทางแล้วเขาจะได้ใช้เวลาสงบๆ อยู่บนรถม้าเสียที จื่อเฉิงถูกปล่อยออกมาจากคุกแล้ว เนื่องจากแม่ทัพติงต้องการคนช่วยดูแลเมืองจึงได้มายืนเข้าแถวรอส่งฟ่านลู่อี่ ส่วนอดีตแม่ทัพซินและลูกน้องทั้งสี่คนถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของฟ่านลู่อี่ นับว่าอ๋องพยัคฆ์ใจกว้างมิใช่น้อย ทั้งสี่คนได้ม้าคนละตัวพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าของแคว้นเจี๋ยแต่มิใช่เครื่องแบบทหาร ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งโจวหงเจินก็มาเชิญฟ่านลู่อี่ไปขึ้นรถม้าบอกว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว พวกเขาจึงร่ำลาจื่อเฉิง อาหลานโดดขึ้นยืนบนหลังคารถม้า องครักษ์ทั้งสี่ขึ้นม้าแยกประกบรถม้าของฟ่านลู่อี่จากนั้นโจวหงเจินก็ให้สัญญาณออกเดินทาง อ๋องพยัคฆ์ก็ได้ตรึกตรองไว้แล้วว่าต้องให้รองแม่ทัพทั้งสองดูแลกองทัพ การได้อดีตแม่ทัพซินและพวกมาคอยดูแลพระชา
อ๋องพยัคฆ์เรียกแม่ทัพนายกองมาประชุมรอบสุดท้าย ทุกอย่างจะต้องรัดกุมมากที่สุด เพราะเขาเคลื่อนกำลังเกินครึ่งกลับแคว้นเจี๋ย ทิ้งให้กองทัพอินทรีของแม่ทัพติงดูแลรักษาเมือง ซึ่งจะต้องรีดเสบียงจากแคว้นเสิ่งให้มาก เนื่องจากใกล้เข้าฤดูเหมันต์แล้ว หลังเลิกประชุมเขายังคงนั่งจัดการเอกสารต่างๆ ใจย้อนคิดไปถึงสมัยที่เป็นองค์ชายแปด ก่อนที่จะได้นามอ๋องพยัคฆ์มา ชื่อเสียงโหดเหี้ยมยาวนานจนผู้คนพากันลืมชื่อจริงไปหมดสิ้น มารดาของเขาเป็นสนมของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน นางเป็นน้องสาวของฮองเฮา เขาและองค์ชายรองโอรสของฮองเฮาจึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและยังมีองค์ชายห้าอีกผู้หนึ่งที่เสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก มารดาของเขาจึงรับมาเลี้ยงดูคู่กับเขาเพราะอายุไล่เลี่ยกัน พระบิดานิยมสะสมหญิงงามไว้ในวังหลังเหมือนท่านปู่ทำให้มีโอรสธิดามากมาย ระดับอ๋องที่เป็นพี่น้องกับพระบิดาก็มีหลายคนทำให้เกิดหลายขั้วอำนาจในวังหลวง เมื่ออายุได้สิบเอ็ดปีพระบิดาล้มป่วยลงโดยที่หมอหลวงหาสาเหตุไม่ได้ พระองค์อ่อนแอลงจึงมีการประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งตกเป็นขององค์ชายรองที่ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปีตามคาด เนื่องจากโอรสองค์แรกเป็นบุตรที่กำเนิดจากนางกำนัลต่อใ
ลู่อี่ทราบว่าท่านอ๋องทิ้งอาหลานไว้เฝ้าเชลยศึกเพราะมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวนักโทษจึงทิ้งเจ้าพยัคฆ์ดำไว้ที่ค่าย โดยที่คนงามไม่ทราบความจริงว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างของท่านอ๋องที่จะกีดกันเจ้าพยัคฆ์ดำออกจากตนเอง"ข้าขอไปเยี่ยมนักโทษเหล่านั้นได้หรือไม่" คนงามออกปากเผลอใช้แววตาออดอ้อนจนท่านอ๋องใจอ่อน"ก็ได้ แต่หงเจินต้องไปกับเจ้าด้วยห้ามอยู่ห่างจากเขา ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า ห้ามฯลฯ" อ๋องพยัคฆ์สั่งห้ามยาวเหยียดเหมือนฟ่านลู่อี่เป็นเด็กไม่ถึงสิบหนาวกว่าจะสั่งจบก็ผ่านไปสองเค่อ หลังจากส่งท่านอ๋องล่วงหน้าไปที่ค่ายทหารแล้ว คนงามก็รีบไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารจำนวนมากสำหรับไปให้เชลยสงคราม เน้นอาหารที่รับประทานง่ายเช่นซาลาเปาหลากไส้ พร้อมผลไม้ที่พอหาได้ ตัวเขาทำขนมโก๋กลิ่นดอกโมลี่พอเสร็จก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปรอโจวหงเจินที่หน้าจวน โดยมีเสี่ยวถงและบ่าวถืออาหารทั้งหมดเดินตัวเอียงตามมารองแม่ทัพรีบเข้าไปรับตะกร้าอาหารมาถือ พร้อมส่งสองนายบ่าวขึ้นรถม้าตัวเองขึ้นม้าขี่ตีคู่ไปเดินทางเพียงสามเค่อก็ถึงประตูค่าย"เชิญพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินเดินนำสองนายบ่าวไปส่วนลึกของค่าย มีโรงเรือนปลูกสร้างอย่างหยา
ฟ่านลู่อี่ตื่นมาก็ไม่เห็นอาหลานแล้ว นอกจากที่นอนที่ยังอุ่นอยู่บ่งบอกว่ามันนอนกับเขาตลอดคืน หารู้ไม่ว่าเมื่อคืนมีเหตุใดเกิดขึ้นบ้างเมื่อคืน"จับมุสิกได้กี่ตัว" อ๋องพยัคฆ์เดินช้าๆมาดูคนชุดดำที่ถูกจับมัดดังสุกรกลิ้งอยู่ที่พื้น"ห้าพ่ะย่ะค่ะ ช่างมีขวัญเทียมฟ้ากล้าบุกจวนทั้งที่รู้ว่าอยู่ในความดูแลของเรา" จ้าวอี้หานเตะนักฆ่าผู้หนึ่งกระเด็นไปอัดต้นไม้แน่นิ่ง เพราะเห็นมันทำท่าจะสลัดอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในรองเท้า"เจ้าจงรีดความจริงว่าใครส่งมันมา ข้าคาดว่าพวกมันคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พระชายาเจ้าจงวางกำลังให้รัดกุม" อ๋องพยัคฆ์สั่งแล้วหมุนกายกลับไปหาลู่อี่ไปถึงก็เขี่ยอาหลานลงจากเตียง มันส่งเสียงหงุดหงิดแต่ยอมกระโดดลงจากเตียงไปนอนที่พรมกลางห้องฟ่านลู่อี่ขดกายเข้าหากันเพราะเริ่มหนาว อ๋องพยัคฆ์รีบเข้าไปนอนแทนที่อาหลานกอดคนงามเข้ามาในวงแขน เมื่อความอบอุ่นกลับมาลู่อี่ก็ขยับกายหาที่เหมาะๆ แล้วหลับอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้างดงามยิ้มน้อยๆ"ข้าจะทนจนถึงพิธีสยุมพรไม่ไหวถ้าเจ้ายั่วกันแบบนี้" คนจูบหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนิ่นนานก่อนจะหลับตามไปอ๋องพยัคฆ์ตื่นก่อนฟ่านลู่อี่แล้วออกไปฝึกซ้อมตอนเช้า เขารู้ดีว่าถ้าคนงามตื่น
ฟ่านลู่อี่หมดอารมณ์จะชมเมืองเขานั่งนิ่งอยู่บนรถม้าโดยไม่เอ่ยคำใดแม้แต่เสี่ยวถงยังมิกล้าเปิดปาก อาหลานพยายามเอาหัวมาดุนมือคนงามแบบที่เคยใช้ได้ผลแต่ยังไม่ได้รับความสนใจจากฟ่านลู่อี่ รถม้าหยุดยั้งลงประตูถูกเปิดออกโดยอ๋องพยัคฆ์ ฟ่านลู่อี่มีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวลงมาจากรถม้าโดยไม่รับมือของท่านอ๋องที่ส่งมาให้ "คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา" ทหารและชาวเมืองที่ออกมาต้อนรับส่งเสียงดังกระหึ่มพร้อมกันทุกคนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนว่าท่านอ๋องได้รับองค์ชายสันติสุขเป็นพระชายาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีและสงบศึกเหล่าชาวเมืองที่เผชิญสงครามมาหลายปีย่อมยินดียิ่งถึงแม้ทางแคว้นเสิ่งจะแพ้สงครามแต่นอกจากส่งทหารมาควบคุมความเรียบร้อยแล้วก็มิได้มีการทารุณชาวเมืองแต่อย่างใดคนจึงไม่ต่อต้านมากนักแถมทหารที่มาส่งข่าวเฝ้าโม้ถึงความงามของพระชายาฟ่านลู่อี่จนเลิศเลอจึงมีคนมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ฟ่านลู่อี่คลี่ยิ้มไปรอบๆ ผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายทำเอาหลายคนตะลึง บ้างถูกความงามมอมเมาจนเผลอจส่งสายตาเคลิ้มฝันมาให้ "เชิญท่านอ๋องกับพระชายาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ" จ้าวอี้หานรีบเชิญเสด็จก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นเมื่อดูจา
ฟ่านลู่อี่เรียกโจวหงเจินมาถามถึงเส้นทางข้างหน้าได้ความว่าจากนี้จะเร่งเดินทาง โดยปกติแล้วระยะทางระหว่างเมืองหลวงของแคว้นเสิ่งไปถึงชายแดนแคว้นเจี๋ยต้องใช้เวลาเดินทางถึง 1 เดือน แต่ขบวนของพวกเขาจะเดินทางออกจากทางหลวงเป็นบางช่วงเพื่อตัดตรงทะลุป่าเขาบ้างจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น ทำให้จากนี้ไปอาจจะต้องนอนกลางป่ากันบ้างเป็นบางคืน"ท่านอ๋องอยากให้พระชายาเดินทางถึงแคว้นเจี๋ยให้เร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" ซือเย่าบอก "เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือ" ฟ่านลู่อี่ถาม"ฤดูเหมันต์ของแคว้นเจี๋ยจะมาถึงก่อนแคว้นเสิ่งหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะและกินระยะเวลายาวนานถึงหกเดือน โหรหลวงทำนายว่าปีนี้จะหนาวรุนแรงที่สุดในรอบยี่สิบปีและอาจยาวนานถึงแปดเดือน ท่านอ๋องเป็นห่วงสุขภาพของพระชายาจึงอยากให้เร่งเดินทาง" ซือเย่าลอบร้องย่ำแย่ในใจ พระชายาเอ่ยปากก็ถามได้ตรงจุด แคว้นเสิ่งช่างโง่จริงๆที่ปล่อยเพชรเม็ดนี้มาให้แคว้นเจี๋ย"งั้นหรือ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไปทุกคนย่อมมีครอบครัวรออยู่" ฟ่านลู่อี่บอก เขาไม่ใส่ใจว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าใดทั้งสี่คนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันบนรถม้าจากนั้นโจวหงเจินและซือเย่าก็ออกไปขี่ม้านำขบวนเหมือนเดิมยา