ฉินอ๋องหลี่อี้ ท่านอ๋องปราบตะวันตกผู้เก่งกาจ กลับมีอีกฉายาหนึ่งที่ชาวบ้านชาวเมืองเรียกขานอย่างหวาดกลัวว่า...อ๋องอำมหิต ร่ำลือกระฉ่อนว่า ท่านอ๋องฆ่าคนราวหั่นผักฆ่าปลา อำมหิตผิดมนุษย์มนา ทำให้คุณหนูไป๋มู่ตาน ผู้เป็นคู่หมายไม่ยอมเข้าพิธีสมรสด้วย ความซวยจึงมาตกที่ 'ไป๋หยง' ญาติผู้น้องที่ถูกบังคับให้เข้าพิธีสมรสแทน ไป๋หยงรู้ตัวดีว่า ชีวิตของตนเองกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่อยู่ในกำมือของอ๋องอำมหิต แต่เขายังไม่อยากตาย เขายังมีห่วง... มีย่าชรา มีแม่และน้องที่ต้องดูแล เขาต้องรักษาตัวและหัวให้อยู่ครบ และไม่บุบสลายให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้!
View Moreองครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน
"ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว...ฮือ ๆ ๆ"ไป๋หยงส่งเสียงขอร้องเพราะไม่อาจทนดูไป๋หยูน้องชายวัยเจ็ดขวบถูกเฆี่ยนด้วยหวายจนตายต่อหน้าต่อตาได้ จางอี๋เหนียงซึ่งเป็นย่าและนางหลิวซื่อซึ่งเป็นมารดา ได้แต่กอดกันร้องไห้ เพราะถูกบ่าวชายสองคนยืนกันเอาไว้ ไม่ให้พวกนางเข้าไปช่วยไป๋หยูส่วนไป๋หยงนั้นถูกบ่าวชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น...เขาเป็นคนถูกบังคับให้เข้าพิธีสมรสแทนไป๋มู่ตาน ญาติผู้พี่ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของท่านลุงไป๋หลง ท่านลุงเป็นขุนนางใหญ่ยศอำมาตย์เอก เป็นรองเจ้ากรมพิธีการ มีบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายสองคน บุตรสาวชื่อไป๋มู่ตาน นางสวยสมชื่อดอกโบตั๋นขาว และกิตติศัพท์ความงามของนางก็ได้ยินไปถึงพระกรรณของพระนางหยางฮองเฮาพระนางหยางฮองเฮาจึงประทานสมรสพระราชทานให้ตระกูลไป๋สมรสกับฉินอ๋องหลี่อี้ ฉินอ๋องหลี่อี้เป็นโอรสอันดับสี่ เกิดแต่สีกุ้ยเฟยพระสนมเอก เป็นบุคคลลึกลับ ชอบสวมใส่หน้ากากทองคำ น้อยคนนักที่จะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ทำให้เกิดกิตติศัพท์คำล่ำลือว่าเขาอัปลักษณ์ยิ่งนัก และมีอุปนิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต ฆ่าคนราวผักปลา และชมชอบทำทารุณกรรมผู้คน เพราะสมรสพระราชทาน...คุณหนูใหญ่ไป๋ม...
Comments