อ๋องอำมหิต!...ไป๋หยงร่ำร้องอย่างหวาดกลัวอยู่ในใจ
ดวงตาคมกริบของฉินอ๋องหลี่อี้จ้องมองดวงหน้าของไป๋หยง
"ไม่ใช่ไป๋มู่ตาน"
"เอ้อ...คือว่า...ซือไถ้ (แม่ชี) ที่อารามเมฆา ทำนายว่าดวงชะตาของมู่ตานระยะนี้มิใคร่ดีนัก จะต้องให้นางไปพำนักอยู่ที่อารามเมฆา ไหว้พระ ถือศีล กินเจ เป็นเวลาสามเดือนเป็นอย่างน้อยขอรับ" อำมาตย์ไป๋หลงแถ
"อ้อ..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงว่ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงขรึมว่า "ข้าว่าสามเดือนน้อยเกินไป ให้นางอยู่ถือศีลกินเจที่อารามสักสามปีกำลังดี"
คำกล่าวของฉินอ๋อง...แม้มิได้ศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าพระราชโองการ แต่ก็ทำให้อำมาตย์ไป๋หลงหน้าซีดเผือด เพราะนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจจะละเลยไม่ปฏิบัติตามได้!
ฉินอ๋องหลี่อี้จัดการคลุมผ้าแพรมงคลให้แก่ไป๋หยง แล้วจูงเขาไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว
ที่ตำหนักใหญ่ในจวนฉินอ๋อง...ทุกที่ทางถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงาม
ไป๋หยงเข้าพิธีแต่งงานกับฉินอ๋องหลี่อี้อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามประเพณีทุกประการ...จากนั้นสาวใช้สองนางก็ประคองเขาเข้าไปนั่งรอบนเตียงในห้องนอนใหญ่ แล้วพวกนางก็ยืนเฝ้าเงียบๆ
หนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ให้หลัง...ฉินอ๋องหลี่อี้ก็เข้ามาในห้อง
สองสาวใช้ยอบกายคารวะ แล้วรีบออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่
"ฟูเหริน...เหนื่อยมากหรือไม่?" เสียงฉินอ๋องถามเรียบๆ
แต่ทว่าไป๋หยงสะดุ้งโหยง...เขารีบดึงผ้าแพรสีแดงที่คลุมอยู่ออก แล้วลุกจากเตียงนอนหนานุ่มกว้างใหญ่มาคุกเข่าตรงหน้าฉินอ๋อง
"ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต...ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต..."
กล่าวเสียงเครือพร้อมกับน้อมคำนับหน้าผากจรดพื้น แล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ฉินอ๋องนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา พลางเอานิ้วแข็งแรงเคาะโต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ
ไป๋หยงฟังเสียงนิ้วกระทบโต๊ะ จนประสาทผวาขนพองสยองเกล้า
"ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?"
เสียงเรียบๆ ของฉินอ๋องนั้นน่ากลัวกว่าเสียงตวาดของอำมาตย์ไป๋หลงเป็นร้อยเท่าพันทวี...ไป๋หยงคิดในใจ
"ถ้าเจ้าสารภาพความจริงออกมา ข้าอาจจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้า"
ไป๋หยงปากคอสั่น...ถ้าเขาสารภาพความจริง ท่านอ๋องจะโมโหจนลุกขึ้นชักดาบฟันคอของเขาขาดหรือไม่?
แต่ถ้าไม่สารภาพความจริง...อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องสั่งให้เขาเปลื้องผ้า ท่านอ๋องก็รู้ความจริงอยู่ดี!
ไป๋หยงจึงกัดฟันสารภาพความจริง "ข้าน้อยเป็นบุรุษขอรับ"
ดวงตาคมกริบในหน้ากากทองคำหรี่ลง
"เจ้าเป็นบุรุษ?"
"ขอรับ"
"แล้วเจ้าต้องการให้ข้าไว้ชีวิตของเจ้า?"
"ขอรับ"
"เจ้าลุกขึ้นมา และนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วบอกเหตุผลมาสิว่า เพราะเหตุใดข้าจึงสมควรจะไว้ชีวิตเจ้า"
"ขะ ขอรับ" ไป๋หยงรีบทำตามคำสั่ง แล้วเอ่ยขอความเห็นใจ "ข้าน้อยมีท่านย่าชรา มีมารดาและน้องชายที่ต้องดูแล...หากขาดข้าน้อย พวกเขาจะไร้ที่พึ่งขอรับ"
สายตาคมกริบตวัดมองดวงหน้าละอ่อนด้วยความหมายว่า...น้ำหน้าอย่างเจ้านะรึ จะเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่น เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ!
ไป๋หยงเห็นสายตาดูถูกอย่างชนิดไม่ปิดบังของฉินอ๋องแล้ว อดรู้สึกหายใจไม่ทั่วทัองไม่ได้
แต่ก็ยังฝืนใจ เอ่ยคุณสมบัติของตนเองว่า
"ข้าน้อยเป็นผู้ช่วยพ่อครัวได้ ล้างถ้วยล้างจานได้ ซักผ้าถูบ้านได้..."
"ทำบ่อยหรือ?" ฉินอ๋องเอ่ยแทรกขึ้น
"ขอรับ" ตาคู่สวยฉายประกายแห่งความหวัง
"มิน่า มือเล็กๆ ของเจ้าจึงได้สากนัก" ฉินอ๋องกล่าว "พอจับมือเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่า เจ้ามิใช่ไป๋มู่ตาน"
#####
ชายา ตอน 4
"ข้าน้อยยังปลูกผักได้..." ไป๋หยงยังคงนำเสนอ
"พอ..." ฉินอ๋องหลี่อี้โบกมือห้าม "งานที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมด ข้ามีคนรับใช้คอยทำอยู่แล้ว เจ้ามีประโยชน์อะไรอีก?"
"ข้าน้อย..." ไป๋หยงก้มหน้าลง ขบริมฝีปากครุ่นคิด แล้วเงยหน้าขึ้น "ข้าน้อยนวดได้ขอรับ"
หน้ากากทองคำลวดลายสวยงามของฉินอ๋องนั้นปกปิดเพียงดวงหน้าช่วงบนเท่านั้น มิได้ปิดดวงหน้าช่วงล่าง...ปากได้รูปและคางแข็งแรงจึงปรากฏให้เห็น!
ปากได้รูปยกมุมหนึ่งขึ้น
"อันนี้น่าสนใจอยู่...ไหนลองมานวดข้าดูหน่อยซิ"
หากไป๋หยงเป็นผู้เคยฝึกวรวรยุทธ์ ฉินอ๋องจะมิยอมให้เข้าใกล้เด็ดขาด แต่เพราะว่าเวลาที่ฉินอ๋องกุมมือไป๋หยงนั้น เขาได้ลอบสำรวจเด็กหนุ่มดูแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีพลังวรยุทธ์แม้แต่น้อย
ดวงหน้างดงามอ่อนเยาว์ฉายประกายยินดีทันที...หากฉินอ๋องพอใจฝีมือการนวดของเขา เขาก็มีหวังรอดชีวิตแล้ว!
ไป๋หยงรีบกุลีกุจอมายืนด้านหลังฉินอ๋อง และลงมือนวดไหล่แกร่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
"อืมม์..." ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ "พอใช้ได้"
ไป๋หยงยิ้มแก้มแทบปริ "ท่านย่าบอกว่า ข้าน้อยนวดเก่งที่สุด"
ฉินอ๋องนึกหมั่นไส้คนขี้อวด ซ้ำยังเอาเขาไปเปรียบกับหญิงชรา
"มีแรงแค่นี้เองหรือ?"
"หา..." ไป๋หยงอุทาน "ข้าน้อยนวดสุดแรงแล้วนะขอรับ"
"เอาเถอะ...มีแรงแค่นี้ก็แค่นี้"
ไป๋หยงลอบถอนหายใจ แล้วอ้อมๆ แอ้มๆ ขอร้อง "ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยนะขอรับ"
"อืมม์...ได้..."
ไป๋หยงดีใจจนแทบจะโห่ร้องออกมา
แต่...ถ้อยคำต่อมาของฉินอ๋อง
"สามปี"
"หา...สะ สามปี"
"หรืออยากตายเดี๋ยวนี้?"
"ไม่...ขอรับ ขอมีเวลาหายใจอีกสามปีดีกว่าขอรับ"
สามปี...เขายังพอมีเวลาไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้กับท่านย่า ท่านแม่และน้องชาย
"ไปนวดต่อบนเตียงนอนกันดีกว่า" ฉินอ๋องกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน ถอดชุดชั้นนอกออก เดินนำไปยังเตียง ถอดรองเท้าออกก่อนจะขึ้นไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงนอนกว้างใหญ่หนานุ่ม
ไป๋หยงนั้นละล้าละลัง ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรดี
"มานวดต่อเร็วเข้า อย่าชักช้า" ฉินอ๋องเร่งเสียงดุๆ
ไป๋หยงจึงจำใจต้องเดินไปที่เตียง ถอดรองเท้าออก แล้วขึ้นเตียงไปนวดร่างแกร่งที่นอนคว่ำอยู่
นวดไปแค่อึดใจเดียว...ฉินอ๋องก็พลิกตัวนอนหงาย แล้วใช้นิ้วมือจี๋เอวไป๋หยง
ไป๋หยงสะดุ้งโหยง หัวเราะคิกคัก
ดวงตาคมกริบเป็นประกายวาววับ มือแข็งแกร่งจับร่างบอบบางให้นอนลง แล้วจัดการจักจี้ จนเด็กหนุ่มดิ้นพล่าน ตึงตังโครมคราม ปากก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ อย่างลืมตัว
"ยอมไหม?"
"ยอมแล้ว...ยอมแล้ว...ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต"
ไป๋หยงดิ้นไป หัวเราะไป อ้อนวอนไป
ฉินอ๋องจักจี้เด็กหนุ่มครู่หนึ่ง ก็หยุดมือ
ไป๋หยงหอบหายใจจนหน้าแดงก่ำ
"เรามาเล่นนับเลขกัน" ฉินอ๋องกล่าว "เจ้าหลับตา ห้ามลืมตาเด็ดขาด นอนนิ่งๆ สบายๆ แล้วนับเลขช้าๆ จากหนึ่งถึงร้อย"
ไป๋หยงทำตาม...นับไปได้แค่ห้าสิบกว่า ก็หลับสนิทเพราะความอ่อนเพลีย เนื่องจากเมื่อคืน แต่งตัวเจ้าสาว เขาก็ไม่ได้นอน วันนี้ทั้งวันต้องเข้าพิธีต่างๆ เขาก็ไม่ได้นอน
ฉินอ๋องเห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิท ก็จัดการดึงปิ่นปักผมและมงกุฎออกอย่างเบามือ เพื่อให้อีกฝ่ายได้นอนสบายๆ...
เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น... ไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เห็นบุรุษร่างสูงสีหน้าเข้มขรึมสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงินยืนอยู่ข้างเตียง บุรุษร่างสูงพอเห็นไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เปิดยิ้มกว้าง แล้วทักทายว่า "พระชายาตื่นนอนแล้วหรือ? ขอรับ" วูบแรก...ไป๋หยงงุนงง ผู้ใดคือพระชายา? ทักคนผิดเปล่า...พี่ชาย แต่อึดใจต่อมาก็นึกได้...เขาเองคือพระชายา! "นอนหลับสบายหรือไม่ขอรับ?" บุรุษร่างสูงถามอีก "อือ ๆ " ไป๋หยงพยักหน้าหงึกๆ แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงหล่นลงมากองบนตัก...ความเย็นปะทะร่างกายวูบ ไป๋หยงจึงรู้ตัวว่า มิได้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่...เขารีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว "แหะ ๆ ๆ ข้าโป๊" "แหะ ๆ ๆ เป็นเรื่องธรรมดาขอรับ" บุรุษร่างสูงรับลูก แล้วกล่าวต่อว่า "บ่าวชื่อ ฟางหยวน เป็นขันทีประจำตัวพระชายาขอรับ" ไป๋หยงอดลอบมองฟางหยวนอีกครั้งไม่ได้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับขันทีมาบ้าง แต่ไม่มากนัก ไม่นึกไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ ต่อหน้าเช่นนี้ ขันทีในความคิดของไป๋หยงนั้น จะต้องนุ่มนิ่มราวอิสตรี กิริยากระตุ้งกระติ้ง น้ำเสียงแหลมเล็กเพราะถูกตอน แต่ทว่า...ฟางหยวนตรงหน้า เป็นบุรุษ
"อย่างนี้แหละที่เรียกว่า วีรบุรุษยากผ่านด่านสาวงาม" หยางเซียงฮองเฮาตรัสแล้วสรวลเบาๆ "เพียงแต่เราเข้าใจผิดมานาน คิดว่าฉินอ๋องยังไม่พบพานสตรีที่ถูกใจ แต่ที่แท้แล้วฉินอ๋องยังไม่พบพานบุรุษที่ถูกใจต่างหาก...ฮ่าๆๆๆๆ" "ถ้าเป็นอย่างที่เหนียงเหนียงตรัสมา" เกาซ่งขันทีคนสนิทเอ่ยอย่างครุ่นคิด "กระหม่อมเกรงว่า ชายาเกาเหม่ยกุ้ยหลานสาวของกระหม่อมจะลำบาก" "ทำไมจึงคิดว่า...เหม่ยกุ้ยจะลำบาก?" ฮองเฮาย้อนถาม "เพราะว่า...สู้รบกับสตรีด้วยกัน ยังพอจะหาสาวใช้หน้าตารูปร่างงดงามมาเป็นพวกได้พ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาเป็นบุรุษ..." ฮองเฮาตรัสแทรกขึ้นกลางคัน "ก็หาบุรุษวัยเยาว์ที่มีรูปงามมาเป็นบ่าวรับใช้คอยสนับสนุนสิ" ขันทีเกาซ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจเดียว ก็ทูลตอบว่า "เหนียงเหนียง (พระนาง) ความคิดของพระองค์เฉียบคมยิ่งนัก แต่ทว่ายังมีช่องโหว่ ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นโอกาสให้ฝ่ายศัตรูใช้เล่นงานพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ" "อืมม์..." ฮองเฮาทำเสียงรับรู้ "ช่องโหว่ที่ว่าคืออะไร?" "ชายาเกาเป็นสตรี...ถ้าหากนำสตรีรูปงามเข้าไปเป็นสาวใช้ ย่อมไม่ถูกครหา แต่หากเปลี่ยนเป็นบุรุษรูปงามมารับใช้ใกล้ชิดก็จะถ
หลังจากฉินอ๋องหลี่อี้และพระชายาไป๋หยงทำพิธีบูชาป้ายสถิตวิญญาณของบรรพกษัตริย์เสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมพิธีการที่ยืนรออยู่หน้าหอบรรพกษัตริย์ ก็เชิญทั้งสองไปยังห้องเอกสารของพระราชวังหลวง แล้วให้อาลักษณ์ลงจารึกชื่อของไป๋หยงลงในบันทึกราชวงศ์ในฐานะพระชายาเอกของฉินอ๋องต่อหน้าสักขีพยาน แล้วฉินอ๋องก็พาไป๋หยงขึ้นรถม้ากลับจวน... "พรุ่งนี้...ข้าจะพาเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นขณะที่รถม้ากำลังแล่น ไป๋หยงอึ้ง...ไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหรือ? ถึงขั้นตอนนี้ก็แปลว่าพิธีแต่งงานครบถ้วนบริบูรณ์ ทำไม? ฉินอ๋องจึงยอมรับเขาเป็นพระชายาง่ายดายเช่นนี้...จะว่าฉินอ๋องนิยมบุรุษ ก็ไม่น่าจะใช่ ...หรือว่า ฉินอ๋องไม่มีความสามารถทางเพศ...หรือว่า ฉินอ๋องมีร่างกายบกพร่อง...หรือว่า...!? !? !? "ไป๋หยง!" เสียงฉินอ๋องเรียก ดังจนไป๋หยงสะดุ้ง "ขะ ขอรับ" เด็กหนุ่มรีบขานรับ "เจ้าเหม่ออันใด? ข้าเรียกตั้งหลายครั้งจึงรู้สึกตัว ซ้ำสีหน้ายังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่" "ไม่มีอะไรขอรับ" "ไม่มีก็ดีแล้ว" ฉินอ๋องกล่าว "อย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้าแอบนินทาข้าในใจเชียวนะ มิเช่นนั้นข
วันรุ่งขึ้น... ฉินอ๋องหลี่อี้พาพระชายาไป๋หยงกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี แต่เพียงแค่ใช้ขันทีมาแจ้งล่วงหน้าให้อำมาตย์ไป๋รู้ก่อนเวลามาถึงจวนแค่หนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) เพราะต้องการดูสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของไป๋หยง จึงสั่งให้สาวใช้จัดชุดที่ไม่หรูหราให้แก่ไป๋หยง แล้วเขายังนำปิ่นทองคำที่ฮองเฮาพระราชทานมาปักบนผมของเด็กหนุ่ม "ท่านอ๋องขอรับ ข้าน้อยมิใช่สตรี ปักปิ่นระย้าเช่นนี้จะดีหรือขอรับ?" ไป๋หยงถามอย่างสงสัย "ดีสิ" ฉินอ๋องตอบ ก่อนจะเอื้อมมือดึงหยกม่วงมังกรเหินที่ไป๋หยงห้อยเอวออก "อันนี้ล้ำค่าเกินไปอย่าเพิ่งใช้" ไป๋หยงสงสัย...ฉินอ๋องให้เขาแต่งกายเรียบๆ ธรรมดาๆ เนื้อผ้าไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร ให้ปักปิ่นที่ดูไม่สูงค่านัก และไม่ให้เขาใช้หยกแขวนเอวล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทาน เพื่ออะไร? แต่สงสัยส่วนสงสัย...ทว่าเด็กหนุ่มเรียนรู้ว่า อยู่ใกล้คนมากอำนาจอย่างฉินอ๋องต้องสงบปากสงบคำเอาไว้... ที่จวนอำมาตย์ไป๋หลงนั้นชุมนุมวุ่นวายกันมาก เพราะอยู่ๆ ขันทีของจวนฉินอ๋องก็มาส่งข่าวว่าอีกสักครู่...ฉินอ๋องจะพาพระชายาไป๋หยงกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี ดังนั้น...อ
ฉินอ๋องหลี่อี้มองไป๋หยูพร้อมกับถามว่า "เจ้าถูกเฆี่ยน?" "ขอรับ" เด็กชายผงกศีรษะ "เจ็บมากเลย แต่ข้าส่งเสียงร้องดังๆ จะได้เจ็บน้อยลง" "แล้วเจ็บน้อยลงไหม?" "ไม่เลย ข้าเจ็บแผลเป็นไข้ตั้งสองคืน เพิ่งจะหาย" ฉินอ๋องมองนางหลิวซื่อและท่านย่า เห็นทั้งสองขอบตาแดงๆ แต่มิได้หลั่งน้ำตาออกมา จึงถามว่า "ท่านแม่ยาย...อำมาตย์ไป๋เรียกหมอมารักษาหรือ?" สองนางมองสบตากัน แล้วนางหลิวซื่อก็ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า "นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย มิกล้ารบกวนท่านอำมาตย์เจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ซื้อยามาต้มให้อาหยูกินลดไข้เจ้าค่ะ" แสดงว่า...อำมาตย์ไป๋หลงไม่ได้ให้คนตามหมอมาดูหลาน "ยาขมอย่างยิ่ง แต่ข้าก็อดทนกินลงไป...ถ้าหากข้ารู้ว่าท่านอ๋องไม่สับเกอเกอเป็นหมื่นหมื่นชิ้น จะบอกเกอเกอให้รีบๆ ยอม แต่ข้าไม่รู้ก็เลยบอกเกอเกอว่าอย่ายอม แม้ข้าถูกเฆี่ยนจนตายก็ตาม" ไป๋หยูกล่าวขึ้น "เจ้าไม่กลัวตายหรือ?" ฉินอ๋องถาม ไป๋หยูทำแก้มป่อง "กลัว...แต่กลัวเกอเกอถูกสับมากกว่า" "หึๆๆๆๆ" ฉินอ๋องหัวเราะขันในลำคอ แล้วบอกกับไป๋หยงว่า "เสี่ยวหยง มาคารวะนำ้ชาท่านย่าและท่านแม่ยายกันก่อนเถอะ" หลังจากพิธียก
คืนนั้น...ที่ห้องนอนของฉินอ๋องหลี่อี้...ไป๋หยงคุกเข่าลงคำนับฉินอ๋องที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา "ขอบพระคุณท่านอ๋อง ที่เมตตาครอบครัวของข้าน้อยขอรับ" "อืมม์" ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ ก่อนจะกล่าวว่า "ดังนั้น เจ้าจะต้องตอบแทนพระคุณของข้าอย่างตั้งใจ ลุกขึ้นมานวดข้า อย่าอู้งาน" ไป๋หยงจึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปยืนด้านหลังของฉินอ๋อง แล้วลงมือนวดไหล่แกร่งอย่างตั้งอกตั้งใจ "ข้าสั่งให้พ่อบ้านจัดหาคนที่ฉลาดหลักแหลมรอบคอบและซื่อสัตย์คนหนึ่ง ส่งไปเป็นพ่อบ้านของท่านแม่ยาย เขาจะไปทวงคืนทรัพย์สินของท่านแม่ยายที่ถูกครอบครัวลุงเจ้ายึดไปกลับคืน และซื้อหาข้าทาสคนรับใช้ให้ พร้อมทั้งดูแลทุกอย่าง และจัดหาอาจารย์มาสอนหนังสือน้องชายของเจ้า" ฉินอ๋องกล่าว "อาจารย์สอนหนังสือคงไม่ต้องหรอกขอรับ" ไป๋หยงตอบเสียงเบา "เพราะอะไร?" ฉินอ๋องถาม "ท่านแม่รู้หนังสือขอรับ ท่านแม่สอนหนังสือให้ข้าน้อยและน้องหยูขอรับ" "แค่นั้นยังไม่พอ" ฉินอ๋องกล่าว "เป็นน้องพระชายาฉินอ๋องจะมาทำขายหน้าไม่ได้ จะต้องมีความรู้ความสามารถระดับราชบัณฑิต...ไม่เพียงแค่น้องของเจ้า ตัวเจ้าเองก็ด้วย" "ข้าน้อยหรือขอรับ?"
หึ่มมม...ฉินอ๋องหลี่อี้ส่งเสียงคำรามในลำคอ ไป๋หยงในสายตาของเขา แม้จะมิใช่อิสตรี แต่ก็ขาวๆ นุ่มๆ ดูน่ารักมิใช่น้อย ที่สำคัญ...เขายังไม่ได้ขย้ำ แต่เจ้าเด็กโง่จะวิ่งไปให้ใครขย้ำ! "ใคร?" ไป๋หยงส่ายหน้ารัวๆ ทั้งที่ยกสองมือปิดปากอยู่ "ไม่มี...ไม่มี..." ฉินอ๋องหน้าบูดบึ้ง "เจ้าเป็นพระชายา จะไปมีอะไรกับใครอื่นไม่ได้ นอกจากข้า" "ท่านหรือ? ท่านตัวออกโต ข้ากินไม่ไหวหรอก" "ใครให้เจ้ากินข้า เป็นข้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกินเจ้า!" "อ๊าาาา...ท่านอ๋องอย่ากินข้าาาาา" ที่นอกห้องนอนของฉินอ๋อง...ขันทีฟางหยวน และสองสาวใช้ เสี่ยวจู เสี่ยวหง ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง สาวใช้นางหนึ่งก็เดินมาหา และคำนับ "เรียนกงกง (คำเรียกขันทีอย่างยกย่อง) ชายาและอนุชายามาขอคารวะน้ำชาพระชายาเจ้าค่ะ" "บอกพวกนางให้รอก่อน...พระชายากำลังถูกท่านอ๋องจับกินอยู่" ขันทีคนสนิทฟางหยวนตอบ "เจ้าค่ะ" สาวใช้รับคำแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง ดังนั้น...กว่าเหล่าชายาและอนุชายาจำนวนสิบสองนาง จะได้มีโอกาสเข้าพบและคารวะน้ำชาพระชายาไป๋หยงก็เป็นเวลาสายมาก พระชายาไป๋หยงนั่งบนเก้าอี้ด้วยสี
ฉินอ๋องหลี่อี้พยักหน้ารับรู้ จดจำข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ พลางถามบัณฑิตหลิวฮั่วว่า "บัณฑิตหลิว ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?" "ข้าน้อยคิดว่า หากสามารถเข้าทำงานราชการได้ แม้เป็นชั้นผู้น้อยถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าขยันขันแข็งได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้า ข้าน้อยจะไม่เอาเปรียบลูกน้อง เป็นการทำให้วงจรการเอาเปรียบค่อยๆ หมดไปขอรับ" "ท่านอายุสิบเก้าแล้ว ทำไมจึงยังมิได้แยกครอบครัว?" ฉินอ๋องเปลี่ยนเรื่องถาม "คือ...ว่า..." หลิวฮั่วยังไม่ทันตอบ หลิวไฮ่ก็รีบชิงกล่าวว่า "เขาโตจนป่านนี้ยังเกาะข้ากินอยู่เลยขอรับ" "ทั้งบ้านทั้งกิจการล้วนตกทอดจากบิดาของพวกท่านมิใช่หรือ?" "ขอรับ" หลิวไฮ่เอ่ย "แต่ข้าน้อยจัดการทำกิจการของครอบครัวต่อจากบิดามานานถึงสิบปี ข้าน้อยจึงสมควรเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวขอรับ" "ท่านกล่าวยังไม่ถูกนัก ท่านใช้สมบัติที่บิดาสร้างไว้ให้ในการทำธุรกิจ ดังนั้นสมบัติทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นมาได้ ล้วนสมควรเป็นของพวกท่านสามคนพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ท่านแม่ยายแต่งงานออกเรือนและได้รับแบ่งสินเดิมออกมาแล้ว จึงไม่มีส่วนในมรดกของท่านตา แต่บัณฑิตหลิวยังมิไ
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน