หลังจากฉินอ๋องหลี่อี้และพระชายาไป๋หยงทำพิธีบูชาป้ายสถิตวิญญาณของบรรพกษัตริย์เสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมพิธีการที่ยืนรออยู่หน้าหอบรรพกษัตริย์ ก็เชิญทั้งสองไปยังห้องเอกสารของพระราชวังหลวง แล้วให้อาลักษณ์ลงจารึกชื่อของไป๋หยงลงในบันทึกราชวงศ์ในฐานะพระชายาเอกของฉินอ๋องต่อหน้าสักขีพยาน
แล้วฉินอ๋องก็พาไป๋หยงขึ้นรถม้ากลับจวน...
"พรุ่งนี้...ข้าจะพาเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นขณะที่รถม้ากำลังแล่น
ไป๋หยงอึ้ง...ไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหรือ?
ถึงขั้นตอนนี้ก็แปลว่าพิธีแต่งงานครบถ้วนบริบูรณ์
ทำไม? ฉินอ๋องจึงยอมรับเขาเป็นพระชายาง่ายดายเช่นนี้...จะว่าฉินอ๋องนิยมบุรุษ ก็ไม่น่าจะใช่ ...หรือว่า ฉินอ๋องไม่มีความสามารถทางเพศ...หรือว่า ฉินอ๋องมีร่างกายบกพร่อง...หรือว่า...!? !? !?
"ไป๋หยง!" เสียงฉินอ๋องเรียก ดังจนไป๋หยงสะดุ้ง
"ขะ ขอรับ" เด็กหนุ่มรีบขานรับ
"เจ้าเหม่ออันใด? ข้าเรียกตั้งหลายครั้งจึงรู้สึกตัว ซ้ำสีหน้ายังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่"
"ไม่มีอะไรขอรับ"
"ไม่มีก็ดีแล้ว" ฉินอ๋องกล่าว "อย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้าแอบนินทาข้าในใจเชียวนะ มิเช่นนั้นข้าแล้วจะลงโทษเจ้าให้จงหนัก"
ทำเอาไป๋หยงยิ่งหวาดกลัวกว่าเก่า...ก็ใครๆ ว่าเขาเป็นอ๋องอำมหิตนี่นา!
คืนนั้น...
ขณะที่ไป๋หยงกำลังนวดไหล่ให้ฉินอ๋องอยู่บนเตียงนอน ท่านอ๋องก็เอ่ยขึ้นว่า "เสี่ยวหยง..."
"ขอรับ" ไป๋หยงขานรับ
"เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังซิ"
"ขอรับ" เด็กหนุ่มรับคำ แล้วเล่าว่า "ข้าน้อยเป็นบุตรชายคนโตของน้องชายของท่านอำมาตย์ไป๋หลง แต่บิดาของข้าน้อยเป็นบุตรอนุ ครอบครัวของพวกเราจึงเป็นสายรองขอรับ
หลังจากท่านปู่เสียชีวิต ท่านพ่อก็พาท่านย่าแยกออกจากบ้านใหญ่ของตระกูลไป๋ ไปทำมาค้าขายของตนเอง และแต่งงานกับท่านแม่ของข้าน้อย ข้าน้อยเกิดหลังจากท่านพ่อแยกออกจากบ้านใหญ่ตระกูลไป๋สี่ปี
พอข้าน้อยอายุได้เจ็ดขวบ ท่านพ่อก็ตัดสินใจเดินทางไปค้าขายแดนไกลกับขบวนพ่อค้า โดยไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังตั้งครรภ์น้องเล็กอยู่
ต่อมาอีกหนึ่งปี...พ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายในขบวนเดียวกันกับท่านพ่อ ก็กลับมาเมืองหลวง
เขาบอกข่าวว่า...ขบวนพ่อค้าถูกโจรปล้นฆ่าตายหมด มีเขาเหลือรอดคนเดียว
พอข่าวท่านพ่อถูกโจรฆ่าตายแพร่สะพัดออกไป พ่อค้าที่ค้าขายกับร้านอยู่ ก็มาทวงหนี้ ซึ่งมีทั้งหนี้จริงและหนี้ปลอม เพราะเห็นว่าท่านย่าและท่านแม่ต่างเป็นสตรี ส่วนข้าน้อยก็ยังเด็ก ท่านย่าจึงขอร้องให้ท่านลุงช่วยเหลือ
ท่านลุงจึงมาจัดการเรื่องราวให้ และให้พวกเราเข้ามาอยู่ในตระกูลไป๋อีกครั้ง ส่วนทรัพย์สินของท่านพ่อ ท่านลุงก็ช่วยดูแลให้ขอรับ" ไป๋หยงเล่า
"ทรัพย์สินของบิดาเจ้ามีอะไรบ้าง?" ฉินอ๋องถามเสียงเรียบๆ
"ข้าน้อยไม่แน่ใจขอรับ เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ข้าน้อยกำลังเช็ดถูเรือนใหญ่ ได้ยินท่านแม่จะมาขอเบิกเงินส่วนนี้จากท่านป้าร้อยตำลึงเงิน แต่ท่านป้าไม่ให้ นางบอกว่าทรัพย์สินของท่านพ่อเหลือไม่มากนัก และนางต้องการจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ข้าน้อยเป็นทุนตั้งตัวขอรับ"
"แปลกๆ...เหมือนนางจะหวังดี แต่ฟังดูแล้วไม่น่าจะใช่!" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ไป๋หยงขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย
"นางไม่หวังดีหรือขอรับ?"
"อืมม์..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงในลำคอ ก่อนจะกล่าวต่อว่า "ปกติ...ทรัพย์สินของสามี ย่อมตกเป็นของภรรยาหม้าย การที่ท่านแม่ยายจำเป็นจะต้องใช้เงิน ก็สมควรคืนให้นาง ไม่ใช่มาอ้างว่าเก็บไว้ให้เจ้าเป็นทุน และท่านแม่ยายกล้าขอเบิกเงินจำนวนนั้น แสดงว่าทรัพย์สินที่ท่านพ่อตาเหลือไว้ต้องมากกว่านั้น"
"ใช่ขอรับ...ได้ยินท่านแม่กล่าวว่า ขอเบิกเพียงส่วนหนึ่งไปใช้ในเรื่องสำคัญขอรับ"
"เรื่องสำคัญหรือ?"
"ขอรับ...ทางบ้านท่านแม่ของข้าน้อยมีท่านลุงคนหนึ่งและท่านน้าคนหนึ่ง พอท่านตาเสียชีวิต ทรัพย์สินทั้งหมดล้วนตกเป็นของท่านลุง ท่านลุงมิได้แบ่งให้ท่านน้า พอท่านน้าจะไปทำงานที่ว่าการอำเภอ จะต้องใช้เงินค้ำประกัน จึงมาปรึกษาท่านแม่ ท่านแม่จึงมาขอเบิกทรัพย์สินที่ท่านป้าทางตระกูลไป๋เก็บรักษาไว้ขอรับ"
"ท่านแม่ยายบอกความจำเป็นนี้ต่อไป๋ฟูเหรินหรือไม่?"
"บอกขอรับ...แต่ท่านป้ากล่าวว่า ท่านแม่แต่งเข้าตระกูลไป๋แล้ว ก็ต้องเป็นคนของตระกูลไป๋ มิใช่คนของตระกูลหลี่อีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปช่วยเหลือท่านน้าที่เป็นคนของตระกูลหลี่ แล้วอีกอย่างทำไมท่านน้าไม่ไปขอเงินจากพี่ชาย?"
"แล้วท่านแม่ยายว่าอย่างไร?"
"ท่านแม่ว่า...ตอนท่านพ่อออกไปสร้างตัว ก็ได้สินเดิมของท่านแม่ในการก่อร่างสร้างตัวด้วย ดังนั้นทรัพย์สินที่เหลือจึงมาจากตระกูลหลี่ส่วนหนึ่ง การใช้ทรัพย์สินในการช่วยเหลือท่านน้านับว่าสมควรอย่างยิ่ง...แต่ท่านป้ากลับแย้งว่า ท่านแม่จะเห็นแก่น้องมากกว่าลูกในไส้หรือ? อีกปีสองปีอาหยงก็จะอายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลานั้นอาหยงก็ต้องใช้เงินทำทุนเพราะบรรลุนิติภาวะ ท่านป้าต้องการเก็บทรัพย์สินไว้ให้ข้าน้อยในตอนนั้นขอรับ"
"เจ้าคิดกับเรื่องนี้อย่างไร?"
"ข้าน้อยคิดว่า...โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ก็อาจจะไม่ได้พบโอกาสเป็นครั้งที่สอง ข้าน้อยก็เห็นด้วยกับท่านแม่ว่าสมควรช่วยเหลือท่านน้าขอรับ"
"ถ้าช่วยไปแล้วเงินสูญล่ะ?"
"เรื่องนี้ข้าน้อยก็เคยกังวลขอรับ...แต่ท่านย่าบอกว่า คนทุกคนมีวาสนาเป็นของตนเอง เรื่องราวในชีวิตไม่ใช่เหตุบังเอิญ ถ้าวาสนาของเราเป็นคนไร้ทรัพย์ จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถร่ำรวยขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากวาสนาของเราเป็นคนมีทรัพย์ ขยันหมั่นเพียรทำงานก็ร่ำรวยขึ้นมาได้ขอรับ"
"แล้วเรื่องนี้สรุปอย่างไร?"
"ท่านป้าไม่ยอมให้ท่านแม่เอาเงินไปช่วยท่านน้าขอรับ"
"อ้อ..."
ฉินอ๋องพยักหน้า แล้วหันมองเด็กหนุ่มซึ่งบัดนี้ไม่ได้นวดไหล่ให้เขาแล้ว แต่นั่งเคียงข้างพิงไหล่ของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"เสี่ยวหยงเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?" เสียงเข้มๆ ถาม
"ข้าน้อยคิดว่า..." เอ่ยถึงตรงนี้ ไป๋หยงก็รู้สึกสะดุดหู หันมองฉินอ๋องแล้วยิ้มเก้อๆ
"อู้งานหรือ?...มานี่ต้องถูกลงโทษ"
ฉินอ๋องจับไป๋หยงมาจั๊กจี้ จนเด็กหนุ่มทั้งหัวเราะทั้งดิ้นร้องขอชีวิต...
"ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว...ฮือ ๆ ๆ"ไป๋หยงส่งเสียงขอร้องเพราะไม่อาจทนดูไป๋หยูน้องชายวัยเจ็ดขวบถูกเฆี่ยนด้วยหวายจนตายต่อหน้าต่อตาได้ จางอี๋เหนียงซึ่งเป็นย่าและนางหลิวซื่อซึ่งเป็นมารดา ได้แต่กอดกันร้องไห้ เพราะถูกบ่าวชายสองคนยืนกันเอาไว้ ไม่ให้พวกนางเข้าไปช่วยไป๋หยูส่วนไป๋หยงนั้นถูกบ่าวชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น...เขาเป็นคนถูกบังคับให้เข้าพิธีสมรสแทนไป๋มู่ตาน ญาติผู้พี่ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของท่านลุงไป๋หลง ท่านลุงเป็นขุนนางใหญ่ยศอำมาตย์เอก เป็นรองเจ้ากรมพิธีการ มีบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายสองคน บุตรสาวชื่อไป๋มู่ตาน นางสวยสมชื่อดอกโบตั๋นขาว และกิตติศัพท์ความงามของนางก็ได้ยินไปถึงพระกรรณของพระนางหยางฮองเฮาพระนางหยางฮองเฮาจึงประทานสมรสพระราชทานให้ตระกูลไป๋สมรสกับฉินอ๋องหลี่อี้ ฉินอ๋องหลี่อี้เป็นโอรสอันดับสี่ เกิดแต่สีกุ้ยเฟยพระสนมเอก เป็นบุคคลลึกลับ ชอบสวมใส่หน้ากากทองคำ น้อยคนนักที่จะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ทำให้เกิดกิตติศัพท์คำล่ำลือว่าเขาอัปลักษณ์ยิ่งนัก และมีอุปนิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต ฆ่าคนราวผักปลา และชมชอบทำทารุณกรรมผู้คน เพราะสมรสพระราชทาน...คุณหนูใหญ่ไป๋ม
อ๋องอำมหิต!...ไป๋หยงร่ำร้องอย่างหวาดกลัวอยู่ในใจ ดวงตาคมกริบของฉินอ๋องหลี่อี้จ้องมองดวงหน้าของไป๋หยง "ไม่ใช่ไป๋มู่ตาน" "เอ้อ...คือว่า...ซือไถ้ (แม่ชี) ที่อารามเมฆา ทำนายว่าดวงชะตาของมู่ตานระยะนี้มิใคร่ดีนัก จะต้องให้นางไปพำนักอยู่ที่อารามเมฆา ไหว้พระ ถือศีล กินเจ เป็นเวลาสามเดือนเป็นอย่างน้อยขอรับ" อำมาตย์ไป๋หลงแถ "อ้อ..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงว่ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงขรึมว่า "ข้าว่าสามเดือนน้อยเกินไป ให้นางอยู่ถือศีลกินเจที่อารามสักสามปีกำลังดี" คำกล่าวของฉินอ๋อง...แม้มิได้ศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าพระราชโองการ แต่ก็ทำให้อำมาตย์ไป๋หลงหน้าซีดเผือด เพราะนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจจะละเลยไม่ปฏิบัติตามได้! ฉินอ๋องหลี่อี้จัดการคลุมผ้าแพรมงคลให้แก่ไป๋หยง แล้วจูงเขาไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ที่ตำหนักใหญ่ในจวนฉินอ๋อง...ทุกที่ทางถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงามไป๋หยงเข้าพิธีแต่งงานกับฉินอ๋องหลี่อี้อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามประเพณีทุกประการ...จากนั้นสาวใช้สองนางก็ประคองเขาเข้าไปนั่งรอบนเตียงในห้องนอนใหญ่ แล้วพวกนางก็ยืนเฝ้าเงียบๆ หนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ให้หลัง...ฉินอ๋องหลี
เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น... ไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เห็นบุรุษร่างสูงสีหน้าเข้มขรึมสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงินยืนอยู่ข้างเตียง บุรุษร่างสูงพอเห็นไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เปิดยิ้มกว้าง แล้วทักทายว่า "พระชายาตื่นนอนแล้วหรือ? ขอรับ" วูบแรก...ไป๋หยงงุนงง ผู้ใดคือพระชายา? ทักคนผิดเปล่า...พี่ชาย แต่อึดใจต่อมาก็นึกได้...เขาเองคือพระชายา! "นอนหลับสบายหรือไม่ขอรับ?" บุรุษร่างสูงถามอีก "อือ ๆ " ไป๋หยงพยักหน้าหงึกๆ แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงหล่นลงมากองบนตัก...ความเย็นปะทะร่างกายวูบ ไป๋หยงจึงรู้ตัวว่า มิได้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่...เขารีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว "แหะ ๆ ๆ ข้าโป๊" "แหะ ๆ ๆ เป็นเรื่องธรรมดาขอรับ" บุรุษร่างสูงรับลูก แล้วกล่าวต่อว่า "บ่าวชื่อ ฟางหยวน เป็นขันทีประจำตัวพระชายาขอรับ" ไป๋หยงอดลอบมองฟางหยวนอีกครั้งไม่ได้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับขันทีมาบ้าง แต่ไม่มากนัก ไม่นึกไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ ต่อหน้าเช่นนี้ ขันทีในความคิดของไป๋หยงนั้น จะต้องนุ่มนิ่มราวอิสตรี กิริยากระตุ้งกระติ้ง น้ำเสียงแหลมเล็กเพราะถูกตอน แต่ทว่า...ฟางหยวนตรงหน้า เป็นบุรุษ
"อย่างนี้แหละที่เรียกว่า วีรบุรุษยากผ่านด่านสาวงาม" หยางเซียงฮองเฮาตรัสแล้วสรวลเบาๆ "เพียงแต่เราเข้าใจผิดมานาน คิดว่าฉินอ๋องยังไม่พบพานสตรีที่ถูกใจ แต่ที่แท้แล้วฉินอ๋องยังไม่พบพานบุรุษที่ถูกใจต่างหาก...ฮ่าๆๆๆๆ" "ถ้าเป็นอย่างที่เหนียงเหนียงตรัสมา" เกาซ่งขันทีคนสนิทเอ่ยอย่างครุ่นคิด "กระหม่อมเกรงว่า ชายาเกาเหม่ยกุ้ยหลานสาวของกระหม่อมจะลำบาก" "ทำไมจึงคิดว่า...เหม่ยกุ้ยจะลำบาก?" ฮองเฮาย้อนถาม "เพราะว่า...สู้รบกับสตรีด้วยกัน ยังพอจะหาสาวใช้หน้าตารูปร่างงดงามมาเป็นพวกได้พ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาเป็นบุรุษ..." ฮองเฮาตรัสแทรกขึ้นกลางคัน "ก็หาบุรุษวัยเยาว์ที่มีรูปงามมาเป็นบ่าวรับใช้คอยสนับสนุนสิ" ขันทีเกาซ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจเดียว ก็ทูลตอบว่า "เหนียงเหนียง (พระนาง) ความคิดของพระองค์เฉียบคมยิ่งนัก แต่ทว่ายังมีช่องโหว่ ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นโอกาสให้ฝ่ายศัตรูใช้เล่นงานพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ" "อืมม์..." ฮองเฮาทำเสียงรับรู้ "ช่องโหว่ที่ว่าคืออะไร?" "ชายาเกาเป็นสตรี...ถ้าหากนำสตรีรูปงามเข้าไปเป็นสาวใช้ ย่อมไม่ถูกครหา แต่หากเปลี่ยนเป็นบุรุษรูปงามมารับใช้ใกล้ชิดก็จะถ
หลังจากฉินอ๋องหลี่อี้และพระชายาไป๋หยงทำพิธีบูชาป้ายสถิตวิญญาณของบรรพกษัตริย์เสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมพิธีการที่ยืนรออยู่หน้าหอบรรพกษัตริย์ ก็เชิญทั้งสองไปยังห้องเอกสารของพระราชวังหลวง แล้วให้อาลักษณ์ลงจารึกชื่อของไป๋หยงลงในบันทึกราชวงศ์ในฐานะพระชายาเอกของฉินอ๋องต่อหน้าสักขีพยาน แล้วฉินอ๋องก็พาไป๋หยงขึ้นรถม้ากลับจวน... "พรุ่งนี้...ข้าจะพาเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นขณะที่รถม้ากำลังแล่น ไป๋หยงอึ้ง...ไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหรือ? ถึงขั้นตอนนี้ก็แปลว่าพิธีแต่งงานครบถ้วนบริบูรณ์ ทำไม? ฉินอ๋องจึงยอมรับเขาเป็นพระชายาง่ายดายเช่นนี้...จะว่าฉินอ๋องนิยมบุรุษ ก็ไม่น่าจะใช่ ...หรือว่า ฉินอ๋องไม่มีความสามารถทางเพศ...หรือว่า ฉินอ๋องมีร่างกายบกพร่อง...หรือว่า...!? !? !? "ไป๋หยง!" เสียงฉินอ๋องเรียก ดังจนไป๋หยงสะดุ้ง "ขะ ขอรับ" เด็กหนุ่มรีบขานรับ "เจ้าเหม่ออันใด? ข้าเรียกตั้งหลายครั้งจึงรู้สึกตัว ซ้ำสีหน้ายังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่" "ไม่มีอะไรขอรับ" "ไม่มีก็ดีแล้ว" ฉินอ๋องกล่าว "อย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้าแอบนินทาข้าในใจเชียวนะ มิเช่นนั้นข
"อย่างนี้แหละที่เรียกว่า วีรบุรุษยากผ่านด่านสาวงาม" หยางเซียงฮองเฮาตรัสแล้วสรวลเบาๆ "เพียงแต่เราเข้าใจผิดมานาน คิดว่าฉินอ๋องยังไม่พบพานสตรีที่ถูกใจ แต่ที่แท้แล้วฉินอ๋องยังไม่พบพานบุรุษที่ถูกใจต่างหาก...ฮ่าๆๆๆๆ" "ถ้าเป็นอย่างที่เหนียงเหนียงตรัสมา" เกาซ่งขันทีคนสนิทเอ่ยอย่างครุ่นคิด "กระหม่อมเกรงว่า ชายาเกาเหม่ยกุ้ยหลานสาวของกระหม่อมจะลำบาก" "ทำไมจึงคิดว่า...เหม่ยกุ้ยจะลำบาก?" ฮองเฮาย้อนถาม "เพราะว่า...สู้รบกับสตรีด้วยกัน ยังพอจะหาสาวใช้หน้าตารูปร่างงดงามมาเป็นพวกได้พ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาเป็นบุรุษ..." ฮองเฮาตรัสแทรกขึ้นกลางคัน "ก็หาบุรุษวัยเยาว์ที่มีรูปงามมาเป็นบ่าวรับใช้คอยสนับสนุนสิ" ขันทีเกาซ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจเดียว ก็ทูลตอบว่า "เหนียงเหนียง (พระนาง) ความคิดของพระองค์เฉียบคมยิ่งนัก แต่ทว่ายังมีช่องโหว่ ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นโอกาสให้ฝ่ายศัตรูใช้เล่นงานพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ" "อืมม์..." ฮองเฮาทำเสียงรับรู้ "ช่องโหว่ที่ว่าคืออะไร?" "ชายาเกาเป็นสตรี...ถ้าหากนำสตรีรูปงามเข้าไปเป็นสาวใช้ ย่อมไม่ถูกครหา แต่หากเปลี่ยนเป็นบุรุษรูปงามมารับใช้ใกล้ชิดก็จะถ
เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น... ไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เห็นบุรุษร่างสูงสีหน้าเข้มขรึมสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงินยืนอยู่ข้างเตียง บุรุษร่างสูงพอเห็นไป๋หยงลืมตาขึ้น ก็เปิดยิ้มกว้าง แล้วทักทายว่า "พระชายาตื่นนอนแล้วหรือ? ขอรับ" วูบแรก...ไป๋หยงงุนงง ผู้ใดคือพระชายา? ทักคนผิดเปล่า...พี่ชาย แต่อึดใจต่อมาก็นึกได้...เขาเองคือพระชายา! "นอนหลับสบายหรือไม่ขอรับ?" บุรุษร่างสูงถามอีก "อือ ๆ " ไป๋หยงพยักหน้าหงึกๆ แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงหล่นลงมากองบนตัก...ความเย็นปะทะร่างกายวูบ ไป๋หยงจึงรู้ตัวว่า มิได้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่...เขารีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว "แหะ ๆ ๆ ข้าโป๊" "แหะ ๆ ๆ เป็นเรื่องธรรมดาขอรับ" บุรุษร่างสูงรับลูก แล้วกล่าวต่อว่า "บ่าวชื่อ ฟางหยวน เป็นขันทีประจำตัวพระชายาขอรับ" ไป๋หยงอดลอบมองฟางหยวนอีกครั้งไม่ได้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับขันทีมาบ้าง แต่ไม่มากนัก ไม่นึกไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ ต่อหน้าเช่นนี้ ขันทีในความคิดของไป๋หยงนั้น จะต้องนุ่มนิ่มราวอิสตรี กิริยากระตุ้งกระติ้ง น้ำเสียงแหลมเล็กเพราะถูกตอน แต่ทว่า...ฟางหยวนตรงหน้า เป็นบุรุษ
อ๋องอำมหิต!...ไป๋หยงร่ำร้องอย่างหวาดกลัวอยู่ในใจ ดวงตาคมกริบของฉินอ๋องหลี่อี้จ้องมองดวงหน้าของไป๋หยง "ไม่ใช่ไป๋มู่ตาน" "เอ้อ...คือว่า...ซือไถ้ (แม่ชี) ที่อารามเมฆา ทำนายว่าดวงชะตาของมู่ตานระยะนี้มิใคร่ดีนัก จะต้องให้นางไปพำนักอยู่ที่อารามเมฆา ไหว้พระ ถือศีล กินเจ เป็นเวลาสามเดือนเป็นอย่างน้อยขอรับ" อำมาตย์ไป๋หลงแถ "อ้อ..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงว่ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงขรึมว่า "ข้าว่าสามเดือนน้อยเกินไป ให้นางอยู่ถือศีลกินเจที่อารามสักสามปีกำลังดี" คำกล่าวของฉินอ๋อง...แม้มิได้ศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าพระราชโองการ แต่ก็ทำให้อำมาตย์ไป๋หลงหน้าซีดเผือด เพราะนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจจะละเลยไม่ปฏิบัติตามได้! ฉินอ๋องหลี่อี้จัดการคลุมผ้าแพรมงคลให้แก่ไป๋หยง แล้วจูงเขาไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว ที่ตำหนักใหญ่ในจวนฉินอ๋อง...ทุกที่ทางถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงามไป๋หยงเข้าพิธีแต่งงานกับฉินอ๋องหลี่อี้อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามประเพณีทุกประการ...จากนั้นสาวใช้สองนางก็ประคองเขาเข้าไปนั่งรอบนเตียงในห้องนอนใหญ่ แล้วพวกนางก็ยืนเฝ้าเงียบๆ หนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ให้หลัง...ฉินอ๋องหลี
"ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว...ฮือ ๆ ๆ"ไป๋หยงส่งเสียงขอร้องเพราะไม่อาจทนดูไป๋หยูน้องชายวัยเจ็ดขวบถูกเฆี่ยนด้วยหวายจนตายต่อหน้าต่อตาได้ จางอี๋เหนียงซึ่งเป็นย่าและนางหลิวซื่อซึ่งเป็นมารดา ได้แต่กอดกันร้องไห้ เพราะถูกบ่าวชายสองคนยืนกันเอาไว้ ไม่ให้พวกนางเข้าไปช่วยไป๋หยูส่วนไป๋หยงนั้นถูกบ่าวชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น...เขาเป็นคนถูกบังคับให้เข้าพิธีสมรสแทนไป๋มู่ตาน ญาติผู้พี่ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของท่านลุงไป๋หลง ท่านลุงเป็นขุนนางใหญ่ยศอำมาตย์เอก เป็นรองเจ้ากรมพิธีการ มีบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายสองคน บุตรสาวชื่อไป๋มู่ตาน นางสวยสมชื่อดอกโบตั๋นขาว และกิตติศัพท์ความงามของนางก็ได้ยินไปถึงพระกรรณของพระนางหยางฮองเฮาพระนางหยางฮองเฮาจึงประทานสมรสพระราชทานให้ตระกูลไป๋สมรสกับฉินอ๋องหลี่อี้ ฉินอ๋องหลี่อี้เป็นโอรสอันดับสี่ เกิดแต่สีกุ้ยเฟยพระสนมเอก เป็นบุคคลลึกลับ ชอบสวมใส่หน้ากากทองคำ น้อยคนนักที่จะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ทำให้เกิดกิตติศัพท์คำล่ำลือว่าเขาอัปลักษณ์ยิ่งนัก และมีอุปนิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต ฆ่าคนราวผักปลา และชมชอบทำทารุณกรรมผู้คน เพราะสมรสพระราชทาน...คุณหนูใหญ่ไป๋ม