วันรุ่งขึ้น...
ฉินอ๋องหลี่อี้พาพระชายาไป๋หยงกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี แต่เพียงแค่ใช้ขันทีมาแจ้งล่วงหน้าให้อำมาตย์ไป๋รู้ก่อนเวลามาถึงจวนแค่หนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) เพราะต้องการดูสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของไป๋หยง จึงสั่งให้สาวใช้จัดชุดที่ไม่หรูหราให้แก่ไป๋หยง แล้วเขายังนำปิ่นทองคำที่ฮองเฮาพระราชทานมาปักบนผมของเด็กหนุ่ม
"ท่านอ๋องขอรับ ข้าน้อยมิใช่สตรี ปักปิ่นระย้าเช่นนี้จะดีหรือขอรับ?" ไป๋หยงถามอย่างสงสัย
"ดีสิ" ฉินอ๋องตอบ ก่อนจะเอื้อมมือดึงหยกม่วงมังกรเหินที่ไป๋หยงห้อยเอวออก "อันนี้ล้ำค่าเกินไปอย่าเพิ่งใช้"
ไป๋หยงสงสัย...ฉินอ๋องให้เขาแต่งกายเรียบๆ ธรรมดาๆ เนื้อผ้าไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร ให้ปักปิ่นที่ดูไม่สูงค่านัก และไม่ให้เขาใช้หยกแขวนเอวล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทาน เพื่ออะไร?
แต่สงสัยส่วนสงสัย...ทว่าเด็กหนุ่มเรียนรู้ว่า อยู่ใกล้คนมากอำนาจอย่างฉินอ๋องต้องสงบปากสงบคำเอาไว้...
ที่จวนอำมาตย์ไป๋หลงนั้นชุมนุมวุ่นวายกันมาก เพราะอยู่ๆ ขันทีของจวนฉินอ๋องก็มาส่งข่าวว่าอีกสักครู่...ฉินอ๋องจะพาพระชายาไป๋หยงกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี
ดังนั้น...อำมาตย์ไป๋หลงจึงมีเวลาเตรียมตัวต้อนรับน้อยมาก
พอขบวนกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวของฉินอ๋องกับพระชายามาถึง...อำมาตย์ไป๋หลง ฟูเหรินผู้เฒ่า ฟูเหรินใหญ่ ฟูเหรินรอง บุตรธิดา และบ่าวไพร่ ต่างออกมาคุกเข่าต้อนรับ
"น้อมคารวะฉินอ๋องๆๆ..."
"น้อมคารวะพระชายาๆๆ..."
"ลุกขึ้นได้" ฉินอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"ขอบพระคุณท่านอ๋องขอรับ/ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ" ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียงและลุกขึ้นยืนอย่างสงบเรียบร้อย
ไป๋มู่ตานที่ยืนอยู่ด้านหลังมารดาลอบมองฉินอ๋อง แล้วอดจินตนาการไม่ได้ว่าหลังหน้ากากทองคำนั้นซ่อนดวงหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน!
และพอมองเห็นสภาพการแต่งกายที่แสนจะสามัญธรรมดาของไป๋หยง นางก็คิดในใจว่า...เด็กหนุ่มคงมิได้รับความโปรดปรานเป็นแน่ คงแค่ถูกใช้เป็นที่ระบายความใคร่ที่ไร้ความรัก
ฉินอ๋องเดินนำทุกคนเข้าไปในเรือนใหญ่ และนั่งลงในตำแหน่งประธานซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่ที่สุด แล้วผายมือไปยังตำแหน่งรอง "เชิญท่านอำมาตย์ไป๋นั่ง"
อำมาตย์ไป๋หลงนั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก เขานั่งลงอย่างไม่รอช้า หลังจากเอ่ยคำว่า "ขอบพระคุณท่านอ๋อง"
"ทุกคนนั่งได้"
ทุกคนกล่าวขอบพระคุณแล้วนั่งลง
แต่จากปฏิกิริยาที่ห่างเหินต่อไป๋หยงของฉินอ๋องบวกกับสภาพการแต่งกายที่ไม่หรูหราของเด็กหนุ่ม...ฟูเหรินใหญ่จึงชิงนั่งในตำแหน่งที่สาม ทำให้ไป๋หยงจำต้องนั่งในตำแหน่งถัดไป
เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ จึงไม่ได้ฟังถ้อยคำที่ฉินอ๋องสนทนากับอำมาตย์ไป๋ เพียงได้ยินเสียงหัวเราะของฟูเหรินใหญ่ ตามด้วยถ้อยคำที่ว่า "พระชายาใช้ปิ่นอันนี้ มิดูเล็กน้อยเกินไปหรือ?"
ขณะที่ไป๋หยงไม่รู้ว่าสมควรจะตอบว่าอย่างไรอยู่นั้น...เสียงฉินอ๋องก็ตวาดอย่างดุดันว่า
"บังอาจ!"
ฟูเหรินใหญ่ตกใจจนตาเหลือก ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดตรงไหน
"เจ้าหาว่าข้าไม่มีปัญญาซื้อของดีมีราคาให้พระชายาใช้หรือ?" เสียงฉินอ๋องยิ่งมายิ่งดุดัน
ไป๋หยงลอบมองฉินอ๋องหลี่อี้...เข้าใจแล้วว่าท่านอ๋องจัดละครฉากนี้ขึ้น เพื่อเอาคืนตระกูลไป๋
แต่เอาคืนเรื่องที่ตระกูลไป๋ส่งบุรุษไปเข้าพิธีสมรส หรือเอาคืนเรื่องที่ตระกูลไป๋ไม่ยอมยกคุณหนูไป๋มู่ตานให้?
เพราะท่านอ๋องเสียหน้าที่ถูกตระกูลไป๋เปลี่ยนตัวเจ้าสาวซึ่งเป็นการหมิ่นเกียรติ หรือเพราะชมชอบคุณหนูไป๋มู่ตาน?
ฟูเหรินใหญ่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวรีบคุกเข่าลงกับพื้น ส่ายหน้าปฏิเสธว่า "มิใช่เจ้าค่ะๆ"
"เช่นนั้นเจ้าก็ต้องการจะหมิ่นของพระราชทานจากฮองเฮา!"
ข้อหาหนักหนาสาหัส!!
ทุกคนแม้แต่ฟูเหรินผู้เฒ่าต่างรีบคุกเข่าลง
"ท่านอ๋องโปรดอย่าได้เข้าใจผิด" อำมาตย์ไป๋หลงรีบกล่าวแก้สถานการณ์ "นางเป็นสตรีโง่เขลามิรู้ความ ว่าสิ่งใดสูงค่าสิ่งใดด้อยค่าขอรับ"
ฉินอ๋องไม่แสดงทีท่าว่าอะไร เพียงกล่าวว่า "เรื่องนี้เอาไว้สะสางกันทีหลัง...วันนี้ข้าพาเสี่ยวหยงกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ไหนละครอบครัวของเจ้าสาว?"
"เอ้อออ...ข้าน้อยจะรีบไปเชิญพวกนางมา" อำมาตย์ไป๋หลงกล่าวยังไม่ทันจบประโยคดี
ฉินอ๋องก็เอ่ยขัดขึ้นว่า "ไม่ต้อง" แล้วหันมากล่าวกับไป๋หยงว่า "เสี่ยวหยง...เจ้านำทางข้าไปที"
"ขอรับ" ไป๋หยงรับคำ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ พาฉินอ๋องออกจากเรือนใหญ่
อำมาตย์ไป๋หลงติดตามมา ก็ถูกฉินอ๋องห้ามว่า "ไม่ต้องตาม"
ไป๋หยงพาฉินอ๋องไปยังเรือนหลังเล็กและทรุดโทรมที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกับท่านย่า มารดา และน้องชาย
ทันทีที่เห็นไป๋หยง...ไป๋หยูก็ดีใจ ร้องเรียก "เกอเกอ (พี่ชาย) ข้าคิดว่าท่านถูกฉินอ๋องสับเป็นหมื่นหมื่นชิ้นไปซะแล้ว"
"ข้าดุร้ายปานนั้นเลยหรือ?" พร้อมกับเสียงกล่าว...ฉินอ๋องก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงแห่งนั้น
นางจางซื่อและนางหลิวซื่อรีบคุกเข่าลง กล่าวพร้อมเพรียง "คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ"
ไป๋หยูเห็นย่าและแม่คุกเข่า ก็คุกเข่าตาม
"ลุกขึ้นและเชิญนั่ง"
"ขอบพระคุณท่านอ๋อง"
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อย...ไป๋หยูจ้องมองฉินอ๋องอย่างแปลกใจและทึ่ง
"ท่านอ๋องท่านคือฉินอ๋องจริงๆ หรือ?" เด็กชายถาม
"ใช่"
"ท่านไม่สับพี่ชายของข้าจริงๆ หรือ?"
"อาหยู" คนเป็นแม่เรียกเสียงปรามๆ
"ไม่เป็นไรท่านแม่ยาย ให้เขาถามเถอะ" ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบง่าย กระแสเสียงไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่ดุดัน ก่อนจะตอบเด็กชายว่า "ไม่สับ"
"แล้วท่านจะเฆี่ยนเขาไหม? ถ้าเขาไม่ทำตามที่ท่านสั่ง"
"ปกติไม่นิยมเฆี่ยนพระชายา แต่จะเฆี่ยนคนอื่นแทน"
"อ้อ...ข้าเข้าใจแล้ว" ไป๋หยูพยักหน้าหงึกๆ "เหมือนอย่างท่านลุง"
"เหมือนอย่างไร?" ฉินอ๋องถาม
"เกอเกอกลัวถูกท่านสับเป็นหมื่นหมื่นชิ้น ไม่ยอมแต่งงานกับท่าน ท่านลุงจึงสั่งให้เฆี่ยนข้าจนกว่าเกอเกอจะยอม" ไป๋หยูตอบ
ฉินอ๋องหลี่อี้มองไป๋หยูพร้อมกับถามว่า "เจ้าถูกเฆี่ยน?" "ขอรับ" เด็กชายผงกศีรษะ "เจ็บมากเลย แต่ข้าส่งเสียงร้องดังๆ จะได้เจ็บน้อยลง" "แล้วเจ็บน้อยลงไหม?" "ไม่เลย ข้าเจ็บแผลเป็นไข้ตั้งสองคืน เพิ่งจะหาย" ฉินอ๋องมองนางหลิวซื่อและท่านย่า เห็นทั้งสองขอบตาแดงๆ แต่มิได้หลั่งน้ำตาออกมา จึงถามว่า "ท่านแม่ยาย...อำมาตย์ไป๋เรียกหมอมารักษาหรือ?" สองนางมองสบตากัน แล้วนางหลิวซื่อก็ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า "นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย มิกล้ารบกวนท่านอำมาตย์เจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ซื้อยามาต้มให้อาหยูกินลดไข้เจ้าค่ะ" แสดงว่า...อำมาตย์ไป๋หลงไม่ได้ให้คนตามหมอมาดูหลาน "ยาขมอย่างยิ่ง แต่ข้าก็อดทนกินลงไป...ถ้าหากข้ารู้ว่าท่านอ๋องไม่สับเกอเกอเป็นหมื่นหมื่นชิ้น จะบอกเกอเกอให้รีบๆ ยอม แต่ข้าไม่รู้ก็เลยบอกเกอเกอว่าอย่ายอม แม้ข้าถูกเฆี่ยนจนตายก็ตาม" ไป๋หยูกล่าวขึ้น "เจ้าไม่กลัวตายหรือ?" ฉินอ๋องถาม ไป๋หยูทำแก้มป่อง "กลัว...แต่กลัวเกอเกอถูกสับมากกว่า" "หึๆๆๆๆ" ฉินอ๋องหัวเราะขันในลำคอ แล้วบอกกับไป๋หยงว่า "เสี่ยวหยง มาคารวะนำ้ชาท่านย่าและท่านแม่ยายกันก่อนเถอะ" หลังจากพิธียก
คืนนั้น...ที่ห้องนอนของฉินอ๋องหลี่อี้...ไป๋หยงคุกเข่าลงคำนับฉินอ๋องที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา "ขอบพระคุณท่านอ๋อง ที่เมตตาครอบครัวของข้าน้อยขอรับ" "อืมม์" ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ ก่อนจะกล่าวว่า "ดังนั้น เจ้าจะต้องตอบแทนพระคุณของข้าอย่างตั้งใจ ลุกขึ้นมานวดข้า อย่าอู้งาน" ไป๋หยงจึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปยืนด้านหลังของฉินอ๋อง แล้วลงมือนวดไหล่แกร่งอย่างตั้งอกตั้งใจ "ข้าสั่งให้พ่อบ้านจัดหาคนที่ฉลาดหลักแหลมรอบคอบและซื่อสัตย์คนหนึ่ง ส่งไปเป็นพ่อบ้านของท่านแม่ยาย เขาจะไปทวงคืนทรัพย์สินของท่านแม่ยายที่ถูกครอบครัวลุงเจ้ายึดไปกลับคืน และซื้อหาข้าทาสคนรับใช้ให้ พร้อมทั้งดูแลทุกอย่าง และจัดหาอาจารย์มาสอนหนังสือน้องชายของเจ้า" ฉินอ๋องกล่าว "อาจารย์สอนหนังสือคงไม่ต้องหรอกขอรับ" ไป๋หยงตอบเสียงเบา "เพราะอะไร?" ฉินอ๋องถาม "ท่านแม่รู้หนังสือขอรับ ท่านแม่สอนหนังสือให้ข้าน้อยและน้องหยูขอรับ" "แค่นั้นยังไม่พอ" ฉินอ๋องกล่าว "เป็นน้องพระชายาฉินอ๋องจะมาทำขายหน้าไม่ได้ จะต้องมีความรู้ความสามารถระดับราชบัณฑิต...ไม่เพียงแค่น้องของเจ้า ตัวเจ้าเองก็ด้วย" "ข้าน้อยหรือขอรับ?"
หึ่มมม...ฉินอ๋องหลี่อี้ส่งเสียงคำรามในลำคอ ไป๋หยงในสายตาของเขา แม้จะมิใช่อิสตรี แต่ก็ขาวๆ นุ่มๆ ดูน่ารักมิใช่น้อย ที่สำคัญ...เขายังไม่ได้ขย้ำ แต่เจ้าเด็กโง่จะวิ่งไปให้ใครขย้ำ! "ใคร?" ไป๋หยงส่ายหน้ารัวๆ ทั้งที่ยกสองมือปิดปากอยู่ "ไม่มี...ไม่มี..." ฉินอ๋องหน้าบูดบึ้ง "เจ้าเป็นพระชายา จะไปมีอะไรกับใครอื่นไม่ได้ นอกจากข้า" "ท่านหรือ? ท่านตัวออกโต ข้ากินไม่ไหวหรอก" "ใครให้เจ้ากินข้า เป็นข้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกินเจ้า!" "อ๊าาาา...ท่านอ๋องอย่ากินข้าาาาา" ที่นอกห้องนอนของฉินอ๋อง...ขันทีฟางหยวน และสองสาวใช้ เสี่ยวจู เสี่ยวหง ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง สาวใช้นางหนึ่งก็เดินมาหา และคำนับ "เรียนกงกง (คำเรียกขันทีอย่างยกย่อง) ชายาและอนุชายามาขอคารวะน้ำชาพระชายาเจ้าค่ะ" "บอกพวกนางให้รอก่อน...พระชายากำลังถูกท่านอ๋องจับกินอยู่" ขันทีคนสนิทฟางหยวนตอบ "เจ้าค่ะ" สาวใช้รับคำแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง ดังนั้น...กว่าเหล่าชายาและอนุชายาจำนวนสิบสองนาง จะได้มีโอกาสเข้าพบและคารวะน้ำชาพระชายาไป๋หยงก็เป็นเวลาสายมาก พระชายาไป๋หยงนั่งบนเก้าอี้ด้วยสี
ฉินอ๋องหลี่อี้พยักหน้ารับรู้ จดจำข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ พลางถามบัณฑิตหลิวฮั่วว่า "บัณฑิตหลิว ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?" "ข้าน้อยคิดว่า หากสามารถเข้าทำงานราชการได้ แม้เป็นชั้นผู้น้อยถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าขยันขันแข็งได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้า ข้าน้อยจะไม่เอาเปรียบลูกน้อง เป็นการทำให้วงจรการเอาเปรียบค่อยๆ หมดไปขอรับ" "ท่านอายุสิบเก้าแล้ว ทำไมจึงยังมิได้แยกครอบครัว?" ฉินอ๋องเปลี่ยนเรื่องถาม "คือ...ว่า..." หลิวฮั่วยังไม่ทันตอบ หลิวไฮ่ก็รีบชิงกล่าวว่า "เขาโตจนป่านนี้ยังเกาะข้ากินอยู่เลยขอรับ" "ทั้งบ้านทั้งกิจการล้วนตกทอดจากบิดาของพวกท่านมิใช่หรือ?" "ขอรับ" หลิวไฮ่เอ่ย "แต่ข้าน้อยจัดการทำกิจการของครอบครัวต่อจากบิดามานานถึงสิบปี ข้าน้อยจึงสมควรเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวขอรับ" "ท่านกล่าวยังไม่ถูกนัก ท่านใช้สมบัติที่บิดาสร้างไว้ให้ในการทำธุรกิจ ดังนั้นสมบัติทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นมาได้ ล้วนสมควรเป็นของพวกท่านสามคนพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ท่านแม่ยายแต่งงานออกเรือนและได้รับแบ่งสินเดิมออกมาแล้ว จึงไม่มีส่วนในมรดกของท่านตา แต่บัณฑิตหลิวยังมิไ
"ท่านลุง..." ไป๋หยงกล่าวอย่างไตร่ตรอง "พี่มู่ตานเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง นางได้ปฏิเสธท่านอ๋องและตำแหน่งพระชายาเอกแล้ว ข้าไม่บังอาจฝืนใจนางให้มาเป็นชายา หรือชายารอง หรืออนุชายา ของท่านอ๋องได้อีก เพราะเป็นการไม่สมควร ดังนั้นข้าคิดว่า นางสมควรอยู่อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องทั้งใจและกายตลอดชีวิต...ท่านอ๋องคิดว่าที่ข้าน้อยกล่าวมานี้ถูกต้องหรือไม่ขอรับ?" ท้ายประโยค...ไป๋หยงน้อมถามฉินอ๋อง ท่านโยนเผือกร้อนให้ข้า ข้าก็โยนมันคืนท่าน ฉินอ๋องหลี่อี้คลี่ยิ้ม "เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง สมเหตุสมผลแล้ว" ฉินอ๋องเอ่ยพลางคว้ามือของไป๋หยงไปกุมเอาไว้ หยอดท้ายว่า "เมียรัก!" ทำเอาไป๋หยงแทบสะดุ้งโหยง! อำมาตย์ไป๋หลงผิดหวังจากจวนฉินอ๋อง ก็ให้รถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนราชครูมู่สงบิดาของพระสมนเอกซูเฟยมู่ยวนยาง แต่พอคนรับใช้ไปบอกคนเฝ้าประตูรั้วจวนของราชครูมู่ กลับได้รับคำตอบว่า "ท่านราชครูไม่อยู่ ไม่รับแขก" อำมาตย์ไป๋หลงที่นั่งอยู่ในรถม้าได้ยินชัดเจน เพราะคนเฝ้าประตูรั้วจวนราชครูตอบแบบตะโกน เขาแค้นใจจนกำมือแน่น เขาถูกหลอกใช้...ราชครูสู่สงและพระสนมเอกซูเฟยมู่ยวนยาง วางแผนให้เขาสับเ
หลังจากวันสมรสเก้าวัน... ฉินอ๋องหลี่อี้พาพระชายาไป๋หยงเข้าวังไปทำพิธีถอดหน้ากาก ซึ่งโหราจารย์ที่หอบรรพกษัตริย์จัดให้ พิธีการเริ่มด้วยการบูชาบรรพกษัตริย์ด้วยผลไม้มงคลเจ็ดชนิด เหล้าชั้นเลิศเจ็ดจอก ธูปเทียนและเครื่องบูชาอื่นๆ โหราจารย์วัยห้าสิบ แต่งชุดนักพรตสีขาวสกาว ทำการสวดคาถาพลางสั่นกระดิ่งทองคำดังกรุ๊งกริ๊ง พอสวดเสร็จก็เชิญฉินอ๋องและพระชายาถวายธูป แล้วนักพรตผู้ช่วยในชุดนักพรตสีเขียวสองคนก็เข้ามา คนหนึ่งถือถาดทองคำที่มีเข็มเงินอันใหญ่วางอยู่ อีกคนหนึ่งก็บอกเสียงเบาว่า "พระชายาโปรดเอาเข็มเงินแทงที่นิ้วชี้มือขวา แล้วแต้มเลือดบนหน้ากากทองคำตรงกลางระหว่างคิ้วขอรับ" ไป๋หยงพยักหน้าแล้วทำตาม ในระหว่างนั้น...โหราจารย์ก็สวดคาถาและสั่นกระดิ่งทองคำ ทันทีที่เลือดจากปลายนิ้วของไป๋หยงแตะถูกหน้ากากทองคำของฉินอ๋อง เปรี้ยงงงง...เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง! ไป๋หยงสะดุ้ง อดหน้าเสียไม่ได้ "พระชายาถอดหน้ากากให้ท่านอ๋องขอรับ" นักพรตผู้ช่วยบอก ไป๋หยงทำตาม...ดวงหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของฉินอ๋องปราศจากสิ่งบดบัง พระชายาหนุ่มน้อยรู้สึกดีใจที่ตนเคยเห็นมาก่
งานฉลองเรือนหลังใหม่ของนางหลิวซื่อ ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จและตกแต่งเรียบร้อยไม่นาน ที่โต๊ะกินเลี้ยงของฉินอ๋องหลี่อี้ อนุญาตให้พระชายาไป๋หยง ฟูเหรินหลิวซื่อ (ท่านแม่พระชายา) และฟูเหรินผู้เฒ่าจางซื่อ (ท่านย่าพระชายา) และไป๋หยู (น้องชายพระชายา) เท่านั้นที่ร่วมโต๊ะ มีเด็กชายอายุสิบสาม หน้าตางดงามจิ้มลิ้ม รูปร่างบอบบาง สวมใส่อาภรณ์สวยงามสีเขียวอ่อนด้านในทับด้วยเสื้อสีชมพูด้านนอก กำลังนั่งบรรเลงกู่เจิงสำเนียงไพเราะเสนาะหู เพื่อขับกล่อมฉินอ๋องและบรรดาแขกเหรื่อทรงเกียรติ ไป๋หยงได้ยินเสียงกู่เจิงไพเราะยิ่งนัก ยิ่งฟังยิ่งเคลิบเคลิ้ม จึงหันไปมองคนบรรเลง แล้วหันมาบอกฉินอ๋องเบาๆ "ท่านอ๋อง เด็กชายคนนั้นบรรเลงกู่เจิงได้ไพเราะยิ่งนัก" "เด็กหรือ?" "ขอรับ" "เขาน่าจะมีอายุราวๆ สิบสาม...ส่วนเจ้าสิบสี่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือ?" "เอ้อ..." ไป๋หยงอ้าปากค้าง ฉินอ๋องคีบเนื้อปลาหิมะย่างเกลือชิ้นหนึ่งใส่ปากของไป๋หยง "กินมากๆ จะได้โตไวๆ" ไป๋หยงคัดค้านในใจว่า...ข้าโตแล้วนะ...แต่ไม่กล้าเถียงออกจากปาก ทำได้อย่างมากก็คือเคี้ยวอาหารในปากแล้วกลืน...เพิ่มเติมคือทำปากข
ฉินอ๋องหลี่อี้มองพระชายาไป๋หยงอย่างหมั่นไส้ พลางส่งเสียงกระแอม "อะแฮ่ม!" ไป๋หยงสะดุ้งโหยง รีบเก็บสายตาทันที "นางเป็นหลานสาวของข้าน้อย" อำมาตย์หวงฟงกล่าวกับฉินอ๋องด้วยกิริยาประจบประแจง "อายุเพิ่งจะสิบห้า บิดามารดาก็จากไป ข้าน้อยจึงรับนางมาอุปการะ วันนี้ได้เห็นสง่าราศีของท่านอ๋อง ข้าน้อยจึงอยากจะฝากหลานสาวคนนี้ให้เป็นอนุชายาคอยรับใช้ท่านอ๋องขอรับ" ฉินอ๋องใช้ปลายรองเท้าเตะที่หน้าแข้งไป๋หยงเบาๆ ทีหนึ่ง ไป๋หยงส่งเสียง "เอ๊ะ..." แล้วนึกขึ้นได้ว่าฉินอ๋องสั่งให้เขาเป็นคนปฏิเสธ จึงกล่าวเสียงดังว่า "ไม่ได้" ฉินอ๋องทำสีหน้าแบบว่า...ช่วยไม่ได้ เมียไม่อนุญาต! อำมาตย์หวงฟงหันมายิ้มประจบไป๋หยง "พระชายา มีอาลี่อีกคน จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพระชายานะขอรับ" ไป๋หยงจินตนาการบรรเจิด...ถ้ามีหวงหมิงจูที่งดงามราวเทพธิดามาอยู่ใกล้ แล้วท่านอ๋องเกิดพึงพอใจขึ้นมา ท่านอ๋องจะได้ไปอยู่ห่างๆ เขา ไม่มากลั่นแกล้งเขาก่อนนอนเพื่อความสนุก คงดีไม่น้อย เพราะมัวแต่คิด จึงไม่ได้ฟังที่อำมาตย์หวงฟงกล่าวเกลี้ยกล่อมยืดยาวแทบไม่หยุดหายใจ ไป๋หยงหันไปมองฉินอ๋อง เห็นจ้องมาเขม็ง จึงรีบ
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน