เพียงชั่วก้านธูป[1] ผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลังทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับออกมา ภาพที่เฉินเทียนอี้เห็นในสายพระเนตรคือ ภาพของเหล่าสนม นางกำนัลนั่งคุกเข่ากันเรียงรายเป็นทิวแถวท่ามกลางหิมะตกหนัก ทุกคนหน้าซีดปากสั่นมีหิมะเกาะเต็มศีรษะสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง
“ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทเพคะ”
เสียงร้องน่าเวทนาดังระงมดุจจักจั่นในฤดูร้อน ทำเอาเฉินเทียนอี้มุมปากกระตุก คิ้วคมเข้มขมวดฉับ ตวัดสายเย็นเฉียบมองคนต้นเรื่องด้วยความเดือดดาล จิตสังหารแผ่ซ่านจนซูโม่หลันสั่นสะท้านนึกเสียใจภายหลังที่ลงมือโดยพลการเช่นนี้
“หวังกงกง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ถอนรับสั่งของเต๋อเฟยเดี๋ยวนี้! บอกให้นางกำนัลปรนนิบัติเหล่าสนมรักของเราให้ดีอย่าให้จับไข้ลมหนาวได้”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าสนมที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต่างดวงตาเปล่งประกายลุกโชนกับรับสั่งขององค์เหนือหัว ราวกับได้รับโอสถทิพย์จากสรวงสวรรค์จนลืมความหนาวเหน็บไปสิ้น นึกยินดีปรีดาในใจที่พระองค์เป็นห่วงเป็นใยตนมากถึงเพียงนี้ ยิ่งคาดหวังให้พระองค์ปลอบประโลมตนดีๆ โดยการแขวนป้ายที่ตำหนักของตนเองในค่ำคืนนี้ผ่านราตรีวสันต์ไปด้วยกันอย่างสำเริงสำราญใจ ทั้งยังกระหยิ่มยิ้มย่องรอดูสิว่านังสารเลวแซ่ซูจะถูกจัดการอย่างไรด้วยความสาแก่ใจ
“พวกเจ้าได้รับความยากลำบากถึงเพียงนี้ควรพักผ่อนให้ดีๆ รู้หรือไหม”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” สนมชายาทั้งหลายยอบกายรับคำอย่างนอบน้อม แอบเหลือบตามองเงาร่างองค์จักรพรรดิ คาดหวังรอคอยว่าพระองค์จะเรียกขานนามของผู้ใด แต่ก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เมื่อเฉินเทียนอี้ตรัสจบก็นั่งเกี้ยวกลับตำหนักหยางซินทันที โดยไม่ได้ตรัสต่อว่าต่อขานหรือลงโทษเต๋อเฟยแม้แต่น้อย ทำเอาเหล่าพระสนมที่โดนเล่นงานแอบบิดผ้าเช็ดหน้าด้วยความแค้นใจ ลอบจดบัญชีแค้นของเต๋อเฟยไว้จนยาวเป็นหางว่าว
มีเพียงซูโม่หลันเท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงสายตาตักเตือนก่อนจากไปของเฉินเทียนอี้ แววตาอำมหิตน่าหวาดหวั่นจนหญิงสาวเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ลอบเตือนตัวเองในใจว่าอย่าได้ล้ำเส้นมังกรเกรี้ยวกราดตนนั้นอีกเป็นอันขาด
พอเฉินซือหยางกลับถึงตำหนักอี้ชิ่งก็ตรงดิ่งไปยังห้องหนังสือทางปีกขวาของตำหนักทันที ก่อนจะคลี่กระดาษเซวียนจื่อ[2] แผ่นเล็กเท่าฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกดู แต่กลับพบว่าเป็นเพียงกระดาษเปล่าไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย เฉินซือหยางครุ่นคิดเพียงครู่ก็จ่อกระดาษกับเปลวเทียนสีเหลืองนวล ตัวอักษรข่ายซู[3] ลายเส้นงดงามอ่อนช้อยก็ปรากฏขึ้น
งานเลี้ยงฉลองชัย ยาปลุกกำหนัด!
“สาส์นลับเขียนว่าอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินซือหยางไม่ตอบ แต่กลับยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้จางเสี่ยวเหล่ยอ่านแทน
“เสด็จย่าของข้าช่างขยันขันแข็งเสียจริง ฮึ!” เฉินซือหยางแค่นเสียงหัวเราะเยาะในลำคอเหยียดหยัน มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงได้ข่าวว่ามีหลานสาวสายรองสกุลหลี่สองนางมาพำนักที่ตำหนักปีกข้างของฮองเฮา อ้างว่ามาปรนนิบัติไทเฮาสวดมนต์คัดพระคัมภีร์ แท้จริงก็เข้าวังมาเพื่อการนี้นี่เอง ยายเฒ่าสารพัดพิษนั่นคงไม่อยากแก่ตายดีๆ สินะ!
“สั่งการลงไป หากเสด็จพ่อข้าเส้นพระเกศาหลุดแม้แต่เส้นเดียวให้หวังกงกงหิ้วศีรษะมาพบข้า”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงค้อมกายรับคำสั่ง ลอบไว้อาลัยให้หวังกงกงล่วงหน้า คาดว่าฝ่าบาทคงทราบเรื่องจากเต๋อเฟยแล้วเป็นแน่แท้ แน่นอนว่าพระองค์คงยินดีกระโจนลงไปร่วมครึกครื้นกับไทเฮา แต่องค์รัชทายาทกลับแอบป้องกันอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะเอาอย่างไรกันแน่
“แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบล่ะ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“เรื่องนี้องครักษ์เว่ยรออยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินซือหยางนั่งจิบชาอ่านตำราพิชัยยุทธ์รอเพียงครู่ เว่ยอันองครักษ์เงาที่เสด็จพ่อประทานให้เขาไว้ใช้งานก็เข้ามารายงานผลการสืบค้น
“ว่าอย่างไร”
“ทางอู๋กั๋วกงผู้เฒ่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ช่วงนี้คุณชายสามตระกูลหลี่ไปเยือนหอโคมเขียวบ่อยครั้ง ได้ยินว่าแย่งประมูลคืนแรกของยอดบุปผางามแห่งหอผู่เยว่มาได้ แต่เขาไม่ได้ร่วมอภิรมย์กับนางพ่ะย่ะค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นคุณชายสามก็ไถ่ตัวนางจากหอแล้วเลี้ยงดูไว้ในจวน แต่ยังไม่ให้สถานะใดแก่นาง กระหม่อมคิดว่าคุณชายสามคงจะเก็บนางไว้มอบให้แก่ขุนนางท่านอื่นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์”
“ผีเจ้าสำราญอย่างหลี่เหยียนเจ๋อน่ะหรือจะมีความคิดลึกล้ำเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นแผนการของตาเฒ่าหลี่เจียงนั่นแน่นอน ช่วงนี้มีขุนนางคนใดไปติดพันนางคณิกาผู้นั้นบ้าง”
“ต่งเซิน เสนาบดีกรมคลังพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของเฉินซือหยางทอประกายครุ่นคิด ต่งเซินเป็นคนของหลี่เจียง ทำไมหลี่เจียงถึงให้บุตรชายไม่เอาไหนอย่างหลี่เหยียนเจ๋อไปแย่งสิ่งที่ผู้อื่นหมายตาล่ะ ทำเช่นนี้มิเป็นการหักหน้ากันหรอกหรือ หรือว่าจะมีแผนการอื่นซุกซ่อนไว้อยู่กันแน่
“กระหม่อมคาดว่าสองคนนี้คงเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเลยเกิดการแย่งชิงตัวหญิงงามกันเกิดขึ้น”
เฉินซือหยางเคาะนิ้วบนโต๊ะ ครุ่นคิดถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้จนคิ้วขมวดมุ่น สังหรณ์ใจว่ามันจะไม่ใช่แค่การวิวาทกันธรรมดา แต่เหมือนเป็นการวางกับดักให้เขากระโจนลงไปเองเสียมากกว่า หากเขาผลีผลามวางกับดักให้คนพวกนั้นแตกคอกันจริงๆ แล้วกระทบการใหญ่ของเสด็จพ่อเข้า ถึงเขามีสิบหัวก็คงไม่พอให้เสด็จพ่อบั่นเล่น
“ทะเลที่สงบเงียบไร้คลื่นลมมักก่อพายุโหมกระหน่ำเสมอ จับตาดูคนพวกนั้นต่อไปหากมีความเคลื่อนไหวรีบแจ้งให้ข้ารู้ทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท”
[1] ก้านธูป คือหน่วยนับเวลาของจีนแบบโบราณ ชั่วก้านธูปประมาณ 15 นาที หรือ 30 นาที
[2] กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษที่ถูกผลิตขึ้นในสมัยราชวังถัง เป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูง เนื้อกระดาษมีความนุ่ม ขาวสะอาด กระจายหมึกได้สม่ำเสมอ เก็บรักษาได้นาน และไม่เปื่อยยุ่ยหรือแห้งกรอบง่าย
[3] อักษรข่ายซู เป็นแบบอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เริ่มพัฒนามาตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ลักษณะเส้นออกแบบให้สมดุลอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยม ลายเส้นบรรจง หลุดพ้นจากอักษรภาพในยุคโบราณอย่างสมบูรณ์
แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยัง
งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่า
“ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่ “ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี” “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก  
เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการและพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่ เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใ
วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก
ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs
ผู้คนต่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนนั้นที่ 'หลานซือเยว่' ไต่เต้าจากนางกำนัลข้างกายองค์ชายเก้าหรือเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ จนได้เป็นถึงกุ้ยเฟย ทั้งที่พระนางมีพระชนมายุมากกว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ถึง 7 ชันษา กลับกุมหทัยองค์จักรพรรดิไว้อย่างเหนียวแน่น หากไม่เพราะคนงามอายุสั้น เสียชีวิตหลังคลอดบุตรแล้วละก็คงไม่มีหลี่ฮองเฮาในวันนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยก็ถูกปล่อยให้ว่างไว้ ไม่มีพระสนมนางใดปีนป่ายถึงตำแหน่งนี้สักคน แม้แต่ซูโม่หลันพระสนมคนโปรดที่หน้าตาเหมือนกับหลานกุ้ยเฟยราวกับแกะยังได้ดำรงตำแหน่งแค่เต๋อเฟย เห็นได้ชัดถึงความรักใคร่ที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้มีให้กับหลานซือเยว่ “สวรรค์กลั่นแกล้งโฉมสะคราญโดยแท้” ขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งเปรยขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเออออคล้อยตาม ทอดถอนใจกับชะตาชีวิตอันแสนรัดทนของหญิงงาม ผิดกับเจิ้งกั๋วกงที่มุมปากกระตุกตั้งแต่เฉินซือหยางหยิบปิ่นหงส์ออกมาแล้ว ปิ่นปักผมของหญิงสาวจะเหมาะกับบุตรชายของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี? (ประสงค์ร้าย) เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งบ่าย วันนั้นเกิดเรื่องราวมากมาย แน่นอนว่าเรื่องใหญ่ล้วนไม่พ้นเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงจนถึงขั้นมอบของแทนใจให้อีกไม่นานคงมีราชโองการพระราชทานสมรสตามมา แน่นอนว่าเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นี้ล้วนถูกบิดเบือนจากการเล่าลือในหมู่ชาวบ้าน เรื่องราวลุกลามถึงขั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงรูปโฉมของคุณชายตระกูลจ้าวว่างดงามดุจเทพเซียน งามสะท้านสะเทือนถึงสามภพ รูปงามเสียจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมภาดา มวลผกาละอายชาย?[1] เรื่องเหล่านี้เราจะไม่กล่าวถึงเป็นการชั่วคราว เพราะมีเรื่องราวเล็กๆ ที่น่าสนใจหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่นอนว่าเรื่องแรกคงหนีไม่พ้นจ้าวลี่จ้งที่ก่อนหน้านี้ออกตามหาน้องชายให้วุ่น ในระหว่างตามหาน้องชายอยู่นั้น บังเอิญพบกับจินซานปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่นางเคยช่วยไว้เมื่อคราวก่อน ตอนแรกนางจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จิตใจจดจ่ออยู่กับการตามหาน้องชายด้วยความห่วงใย แต่บุรุษรูปงามดุจหยกยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณแข่งกันอวดโฉ
หลานซือเยว่อุ้มสิงโตตัวน้อยเข้ามาในห้องบรรทม ใช้ผ้าที่อบจนอุ่นบรรจงเช็ดขนให้เจ้าตัวน้อยอย่างใส่ใจ สวีเฟยหลงถูกภรรยาปรนนิบัติรู้สึกอุ่นสบายไปทั้งตัว นอนหมอบอยู่บนตัก อ้าปากหาวหวอด ซุกไซ้ศีรษะกับต้นขานุ่มหาที่นอน ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งในสายตาของหลานซือเยว่ “จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ ระวังจะอดกินเนื้อในมื้อค่ำนะเจ้าตัวเล็ก” หลานซือเยว่แกล้งเขี่ยใบหูนิ่มของลูกสิงโตทองเล่น เห็นใบหูเล็กๆ นั่นกระดุกกระดิกหลบหลีกนิ้วมือเรียวไปมา ไหนจะเสียงครางประท้วงคล้ายถูกก่อกวนอย่างหนัก ทำเอาหลานซือเยว่หัวเราะคิกคักชอบใจ “อืมมม เรียกแต่เจ้าตัวเล็กๆ ลืมไปว่าเจ้ายังไม่มีชื่อนี่น่า ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม เอาชื่ออะไรดีนะ” หลานซือเยว่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เก็บมันมาเลี้ยงยังไม่เคยตั้งชื่อให้มันเลย ดวงหน้าหวานซึ้งฉายแววครุ่นคิด ละมือจากใบหูนิ่มไม่ก่อกวนเจ้าสิงโตตัวน้อยอีก สวีเฟยหลงผงกศีรษะมองภรรยาอย่างคาดหวัง ส่งกระแสแห่งรักให้หลินเสวี่ยเฟิ่งไม่ขาดสายด้วยหวังว่าภรรยาจะเรียกชื่อเขาถูก เพราะว่าคะนึงหาเขาอยู่เสมอ ‘อาหลง เสวี่ยเอ๋อร์เรียกข้าว่า อาหลงสิ’ เฉินเทียนอี้ออกมาจ
ตำหนักข้างฝั่งตะวันออกของตำหนักเยว่ชุนตกอยู่ในวสันตฤดูอันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ช่างแตกต่างกับตำหนักหลักที่ตอนนี้ร้อนระอุราวตกอยู่ในวันที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน เฉินเทียนอี้ปรายตามองภรรยาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสิงโตตัวน้อยมาตลอดทาง ถ้ามันเป็นลูกสิงโตจริงๆ มีหรือที่เขาจะถือสา แต่สิงโตตัวนี้จ้องแต่จะคอยออดอ้อนภรรยาเขาอยู่ตลอดเวลา และยังกีดกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ภรรยามันเสียทุกทาง แถมไม่ยอมห่างจากหลานซือเยว่แม้เพียงเสี้ยววินาที แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากจับเจ้าสิงโตจอมเสแสร้งนี่ย่างกินเสียหลายครั้งได้อย่างไร และตอนนี้มันทำอะไรอยู่นะหรือ ก็นั่งแทะโลมนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกของภรรยาเขาอยู่น่ะสิ! ‘เจ้าอยากโดนโยนออกไปนอกห้องนักใช่ไหม’ สวีเฟยหลงนั่งอยู่บนตักหลินเสวี่ยเฟิ่งกำลังไล้เลียนิ้วมือเรียบเนียนของภรรยาเล่นอย่างเพลิดเพลินใจหยุดชะ
ขบวนเสด็จออกเดินทางกันมาหกวันหกคืน เดินๆ หยุดๆ กว่าจะถึงตำหนักเยว่ชุนก็เป็นช่วงบ่ายคล้อยของวันที่เจ็ด จากปกติหากเดินทางโดยรถม้าจะถึงภายในสองวัน ม้าเร็วใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันแท้ๆ แต่เพราะบรรดานายท่านทั้งหลายต่างพากันยิงนกตกปลากันไปตลอดทาง ค่ำไหนนอนนั้น แวะมันทุกอำเภอ เส้นทางจากพระราชวังถึงตำหนักเยว่ชุนต้องผ่านทั้งสิ้นห้าอำเภอ สิบสองตำบล ยี่สิบเจ็ดหมู่บ้าน ดีที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทไม่ได้ตามพระทัยว่าที่พระชายาและคุณชายหลินมากจนเกินขอบเขต หากตามใจกันขึ้นมาจริงๆ โดยการแวะมันทุกหมู่บ้านตามคำเสนอแนะของว่าที่พระชายาแล้วละก็ คาดว่าคงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนกว่าจะถึงจุดหมาย หลังจากต้องนั่งรถม้าวนรอบภูเขาสูงหลายสิบรอบจนเวียนหัวตาลายในที่สุดยอดอาชาทั้งแปดตัวที่ใช้ลากรถม้าก็นำพาบรรดาเจ้านายของมันมาถึงตำหนักเยว่ชุน “ว้าว! สวยสุดๆ ไปเลย” จ้าวลี่หมิงอุทาน ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตำหนักหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูงชันเปล่งประกายสีขาวนวลเจิดจรัสท
ม่านหมอกหนาทึบอัดแน่นไปด้วยไอวิเศษยังคงปกคลุมดินแดนเร้นลับในทุกอณูพื้นที่ กดดันให้ผู้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้หายใจอย่างยากลำบาก เพราะหากสูดรับเอาไอปราณเข้มข้นเหล่านี้มากเกินไปร่างกายอาจระเบิดเอาได้ง่ายๆ เงาร่างในอาภรณ์สวรรค์สีขาวพิสุทธิ์ดุจหยกยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองมหานทีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชืด สวีหนิงหลงพยายามกำหนดลมหายใจไม่ให้ตนเองสูดรับไอวิเศษเข้าไปมากเกินไป หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากเทียนตี้ให้ออกมาตามหาร่องรอยของสวีเฟยหลง เขาก็นำกำลังพลตรงดิ่งมายังดินแดนเร้นลับโดยไม่รอช้า หลังจากค้นหากันอยู่นาน พวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางดินแดนเร้นลับ นั่นก็คือ ทะเลมหาธาตุแห่งจินหลิงในหุบเขาเร้นเมฆา ริ้วคลื่นในมหานทีเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบงันอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้กระนั้น หรือมีบางอย่างทำให้พวกมันหวาดกลัวจนต้องหลบลี้จากที่แห่งนี้กันแน่
จ้าวลี่หมิงมองสิงโตทองตัวน้อยตาละห้อย อิจฉาหลินเสวี่ยเฟิ่งขั้นสุดจนลำไส้เขียว อยากเป็นเจ้าของสิงโตทองตัวนี้แทบขาดใจ นี่มันสิงโตทองเชียวนะ สิงโตทอง! สิงโตขาวว่าหาได้ยากแล้วยังสามารถพบเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งคราว แต่สิงโตทองตัวนี้คงหายากระดับตำนาน ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีตัวที่สองโผล่มาให้เห็นอีกหรือไม่ จ้าวลี่หมิงเช็ดไม้เช็ดมือที่มีเหงื่อผุดซึมกับชายผ้าด้วยความตื่นเต้น แอบเอื้อมอุ้งมือมารมาลูบหัวสิงโตตัวน้อยที่นั่งยืดอกเชิดหน้าราวกับพญาราชสีห์บนฝ่ามือของหลินเสวี่ยเฟิ่ง แต่กลับถูกเฉินเทียนอี้หิ้วแผงคอเจ้าตัวเล็กตัดหน้าไปเสียก่อน เฉินเทียนอี้พิจารณาลูกสิงโตตรงหน้าอย่างละเอียด ยามนัยน์ตาคมเข้มสบเข้ากับดวงตาสีนิลคมวาวแฝงแววท้าทายอย่างเปิดเผยนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้ฉุนกึก สวีเฟยหลงส่งรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้เหนือกว่าให้เฉินเทียนอี้ ชายหนุ่มแสร้งเลียอุ้งเท้าน้อยๆ ของตัวเองอย่างสบายอกส
ขบวนเสด็จเดินทางมาถึงศาลาสิบลี้ ในบรรดาขุนนางจากสามฝ่ายหกกรมมีทั้งเสนาบดี รองเสนาบดีจากทุกฝ่าย หานจางหมิ่นเองก็มาร่วมส่งเสด็จด้วย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้อื่นมองข้ามไปล้วนไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ รวมถึงผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านภายในรถม้าพระที่นั่งผู้นั้นตลอดทางเขาคอยสังเกตบุคคลปริศนาตลอดเวลาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นชัดว่าตอนที่เฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ลงจากรถม้ามากล่าวลาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับหานจางหมิ่น ผู้ใดกันที่มีความสำคัญต่อเฉินเทียนอี้ถึงเพียงนี้ ขนาดให้เท้าลงมาสัมผัสพื้นดินยังไม่ยินยอม หานจางหมิ่นได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ รอจนพิธีส่งเสด็จเป็นที่เรียบร้อยค่อยสั่งความคนสนิทข้างกายเสียงขรึม “ไปสืบความเป็นมาของผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมาให้ละเอียด” &nbs
จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห
แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม
สายลมยามดึกพัดผ่าน เปลวเทียนในตำหนักหยางซินพลิ้วไหวทำให้ภายในห้องบรรทมสลัวราง มือเรียวบิดผ้าหมาดชื้นเช็ดไปตามโครงหน้าคมเข้มด้วยความห่วงใย ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เช้าบัดนี้กลับมีการขยับไหว แม้เพียงนิดแต่หลานซือเยว่ซึ่งดูแลมาหลายชั่วยามย่อมจับสังเกตได้ เฉินเทียนอี้รู้สึกถึงความเปียกชื้นลืมตาตื่นในที่สุด ดวงตาลอยคว้างไร้จุดหมายเพียงครู่รูม่านตาก็หดแคบภาพดวงหน้างดงามคล้ายภรรยาของหลินเสวี่ยเฟิ่งลอยอยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินเทียนอี้ที่ยังมึนงงอยู่ได้สติกลับมา “เสี่ยวเทียน ท่านฟื้นแล้ว!” หลานซือเยว่เรียกชายหนุ่มอย่างดีใจ รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวเฉินเทียนอี้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะรินน้ำชาอุ่นๆ ให้ชายหนุ่มจิบแก้กระหาย “มา ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เฉินเทียนอี้มองหลานซือเยว่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน สายตาลึกล้ำหนักอึ้งราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนจมหายลงไปในความมืดมิดนั้นหลับลง