หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2] คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3] คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4] มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาสนม นางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่างๆ นานา รีบสำรวมกิริยาท่าที ยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียบตามตำแหน่งยศศักดิ์ ค้อมกายถวายบังคมกันถ้วนหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดออกมาจากตำหนักเฉียนชิง
เฉินซือหยางเพียงพยักหน้ารับ เขาคร้านจะสนใจพวกชอบปีนป่ายขึ้นที่สูงเหล่านี้ แต่กลับถูกเสียงหวานเลี่ยนของหนึ่งในพวกที่เขาเอือมระอาเอ่ยเรียกเอาไว้เสียก่อน พร้อมๆ กับเงาร่างในชุดพิธีการสีม่วงดอกซวินอีเฉ่า[5] คลุมทับด้วยผ้าคลุมขนเตียวประดับมุกโมราหรูหรางดงามเดินเยื้องย่างมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา
“ช้าก่อนเพคะองค์รัชทายาท”
“เต๋อเฟย เรียกข้าไว้มีอะไรอย่างนั้นหรือ” เฉินซือหยางหรี่ตามองใบหน้างดงามพริ้งเพราราวดอกไห่ถังของ 'ซูโม่หลัน' ผู้ละม้ายคล้ายคลึงกับเสด็จแม่กุ้ยเฟยของเขาถึง 7 ส่วน และเจ้าตัวก็ใช้ใบหน้าที่คล้ายกันนี้ปีนป่ายจากตำแหน่งไฉเหรินเล็กๆ จนได้เป็นถึงเต๋อเฟย หนึ่งในสี่ราชชายาที่เสด็จพ่อโปรดปรานมากที่สุด เป็นรองเพียงแค่ 'หลี่ลู่เหลียน' ฮองเฮาเท่านั้น
“หม่อมฉันเข้าครัวทำขนมดอกกุ้ยมาถวายฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทเพคะ พระองค์ลองชิมดูสิเพคะว่าถูกปากหรือไม่” น้ำเสียงนุ่มนวลของเต๋อเฟยแฝงแววประจบเอาใจคนตัวเล็กตรงหน้าหลายส่วน มือเรียวเล็กราวกับลำเทียนรับกล่องไม้ไผ่สลักลายผีเสื้อเชยบุปผาจากนางกำนัลคนสนิทมายื่นให้องค์รัชทายาทด้วยตนเอง สีหน้าแลดูอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนมารดาผู้อารี
“เต๋อเฟยช่างมีน้ำพระทัย เราทราบซึ้งใจยิ่งนัก” เฉินซือหยางยื่นมือไปรับกล่องไม้ไผ่มาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับไม่ระวังปล่อยให้หลุดมือตกกระแทกพื้น ทำเอาขนมดอกกุ้ยหล่นกระจัดกระจาย “อ่ะ! ขออภัย ช่วงนี้มือเราไม่ค่อยมีแรง ถือของหนักๆ แล้วมือไม้มักอ่อนเปลี้ยอยู่บ่อยครั้ง ขอเต๋อเฟยอย่าได้ถือสา”
“มะ… ไม่เป็นไรเพคะ ไว้หม่อมฉันจะทำมาถวายใหม่” ซูโม่หลันเม้มริมฝีปากแน่นดวงตารื้นคลอด้วยหยาดน้ำราวกับดอกสาลี่ต้องฝน ท่าทางดูอ่อนแอน่าสงสาร ถูกคนตรงหน้ารังแกก็ไม่กล้าแม้แต่จะออกปากตำหนิติเตียน ผิดกับฝ่ามือเรียวที่ลอบกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ เมื่อถูกเด็กเมื่อวานซืนหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล
“ต้องรบกวนเต๋อเฟยแล้ว” เฉินซือหยางรับคำเสียงนิ่ง ฝ่าเท้าเล็กเหยียบย่ำขนมดอกกุ้ยที่น่าสงสารเหล่านั้นจนแหลกเละ ตอนเดินผ่านข้างกายซูโม่หลัน เขายังจงใจใช้น้ำเสียงกดต่ำให้ได้ยินเพียงแค่สองคน แต่ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กลับได้ยินด้วยเช่นกัน “อย่านึกนะว่ามีใบหน้าเหมือนเสด็จแม่แล้วเสด็จพ่อจะทรงโปรดปรานเจ้าด้วยใจจริง เพราะเจ้ามันก็เป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น” เฉินซือหยางแสยะยิ้มมุมปากเย้ยหยัน เดินจากไปเมื่อหมดความสนใจ ปล่อยให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวต่างกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์เต๋อเฟยที่ชอบแส่หาเรื่องยื่นหน้าให้ผู้อื่นเหยียดหยามกันอย่างออกรสออกชาติ
“นึกว่ามีใบหน้าคล้ายมารดาเขา แล้วผู้อื่นจะยอมรับเจ้าเป็นมารดาหรืออย่างไร เฮอะ! ความคิดตื้นเขินเช่นนี้ใครเขาคิดกัน”
“นั่นสิๆ แล้วท่าทางอ่อนแอน่าสงสารเช่นนั้นแสดงให้ผู้ใดชมกันรึ ตัวเองยื่นหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ[6] ของผู้อื่นเองแท้ๆ นึกว่าคนอื่นเขาจะเห็นใจหรืออย่างไร”
“อย่างนี้แหละน่า ทำอะไรสิ้นคิด นึกว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานแล้วจะผยองอย่างไรก็ได้ ถูกคนเขาฉีกหน้ากลับมาก็สมควรแล้ว ทำอะไรไม่รู้จักคิด!”
ซูโม่หลันกำหมัดแน่นโทสะกลุ้มรุมสุมใจ ตวัดสายตาคมกริบจ้องมองพวกปากหอยปากปูที่ชอบนินทาคนอื่นลับหลังจนฝ่ายนั้นต่างพากันหลบสายตาเป็นทิวแถว
“ตัวเองไร้สามารถที่จะปีนป่ายให้ถึงยอดเขาสูง ก็อย่าเห็นว่าผู้อื่นไร้สามารถเหมือนพวกเจ้า โทษฐานที่พวกเจ้าบังอาจพูดจาดูหมิ่นข้าผู้เป็นเต๋อเฟย ข้าขอสั่งให้ทุกคนคุกเข่าสำนึกตนเป็นเวลาสามชั่วยาม หากไม่ถึงยามจื่อ[7] ห้ามผู้ใดไปไหนทั้งสิ้น” ซูโม่หลันสั่งเสียงกร้าวหน้าตาดุดันหยิ่งเผยอผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ เผยอำนาจของผู้เป็นเต๋อเฟยโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด คนพวกนี้เห็นข้าทำตัวเป็นลูกพลับนิ่มปล่อยให้ผู้อื่นบีบเล่นแล้วตนเองคิดจะบีบเล่นบ้างหรือไร หึหึ น่าขัน!
“เต๋อเฟยเจ้ากล้ารึ!” เสียนเฟยหนึ่งในผู้เอ่ยวาจาส่อเสียดชี้หน้าซูโม่หลันตวาดลั่นเสียงดังด้วยความโมโห
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า ข้ามีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าครึ่งขั้น สูงศักดิ์กว่าผู้ใดในที่นี้ ข้ามีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะลงโทษผู้ใดก็ได้ หรือเจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง” ซูโม่หลันยิ้มหยันท้าทาย ยิ่งเสียนเฟยกล้างัดข้อกับนางได้ยิ่งดี ตนจะได้มีข้ออ้างเล่นงานเสียนเฟยหนักๆ รับรองเลยว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะต้องมุดหัวอยู่แต่ในตำหนักไม่มีหน้าออกมาพบหน้าผู้คนอย่างน้อยก็เป็นเดือนแน่นอน
“เจ้า! นี่เจ้า...” เสียนเฟยถลึงตามองเต๋อเฟยอย่างเคียดแค้น ชี้หน้านังสารเลวอยู่เป็นนาน กำลังคิดอยู่ว่าจะเล่นงานซูโม่หลันกลับอย่างไรดี ก็ถูกหวังกงกงเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ถวายบังคมเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้า... แล้วนี่มีเรื่องอันใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าทราบแล้ว อ้อ! เมื่อสักครู่ข้าพึ่งสั่งลงโทษพวกนางไป รบกวนหวังกงกงช่วยจัดการต่อทีนะ”
หวังกงกงเหลือบตามองบรรดาสนมชายาที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เห็นเสียนเฟยบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธายืนหน้าตาเขียวคล้ำสีหน้าขึ้งเคียด ไหนจะหลิวเจาอี๋บุตรสาวรองเสนาบดีกรมขุนนาง ยังมีเหยียนเจี๋ยอวี๋บุตรสาวผู้ว่าการสามมณฑลอีก แต่ละคนเขาล่วงเกินได้ที่ไหนกัน!
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงลอบปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนศีรษะค้อมกายรับคำสั่ง ผายมือเชิญเสด็จเต๋อเฟย ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกองครักษ์ประจำตำหนักให้มาจัดการตามรับสั่ง ค่อยหันกายเดินตามเต๋อเฟยเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
[1] ยามโหย่ว คือเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.
[2] โม่ลี่ฮวา คือ ดอกมะลิ
[3] อิงฮวา คือ ดอกซากุระ
[4] เหมยกุ้ยฮวา คือ ดอกกุหลาบ
[5] ซวินอีเฉ่า คือ ดอกลาเวนเดอร์
[6] เป็นสำนวน หมายถึง คนผู้หนึ่งต้องการเข้าหาอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้นแต่กลับถูกอีกคนกลับเย็นชาใส่
[7] ยามจื่อ คือเวลา 23.00น. ถึง 01.00 น.
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ
“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...”ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “เกอเกอ!” เฮือก!! เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน ‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’ เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า
แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่อ
“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” “เป็นข่าว