แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: ตงเฟินไป่หลิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-14 20:35:21

           

            “มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน

            “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย

            “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง

            “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก”

            “เป็นข่าวดีดังเจ้าว่า เมื่อครู่พ่อเพิ่งออกราชโองการเรียกตัวเจิ้งกั๋วกงเข้าวัง คาดว่าการยกทัพกลับเมืองหลวงในครานี้เจิ้งกั๋วกงน่าจะพาบุตรชายอายุยังไม่ถึงขวบปีอันเกิดจากจ้าวฮูหยินกลับมาด้วย เจ้าคิดเห็นเช่นไร” เฉินเทียนอี้บอกเป็นนัยแก่บุตรชาย สายตาคมเข้มจับจ้องปฏิกิริยาของเฉินซือหยางไม่วางตา เห็นบุตรชายมีท่าทีครุ่นคิดใคร่ครวญ เขาก็ไม่ได้ชี้แนะอะไรเพิ่มเติม เพียงให้เวลาบุตรชายคิดไปเรื่อยๆ โดยที่ตนเองหันไปใส่ใจราชกิจอื่นต่อในระหว่างรอคำตอบ

            “ถ้าลูกจำไม่ผิด นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวที่เจิ้งกั๋วกงเพิ่งให้กำเนิดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

            “ถูกต้อง”

            “บุตรชายคนเดียวย่อมจะได้รับความสำคัญมากเป็นพิเศษ ยิ่งความรักใคร่เอาใจใส่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คาดว่าบุตรชายผู้นี้ที่เจิ้งกั๋วกงผู้เฒ่ามีตอนอายุมากแล้วคงรักดุจแก้วตาดวงใจ ไม่เช่นนั้นอายุแค่ไม่กี่เดือนคงไม่พาติดตามทัพหน้ากลับมาเมืองหลวงด้วยเช่นนี้”

            “เจ้าคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่ง” เฉินเทียนอี้ผงกศีรษะตรัสชมบุตรชาย มุมปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้ ทำเอาตาขวาของเฉินซือหยางกระตุกยิกๆ เห็นเสด็จพ่อยิ้มเช่นนี้ทีไรคงไม่ใช่เรื่องดีแน่แล้ว

            “เสด็จพ่อทรงอยากให้ลูกไปตีสนิทกับเด็กคนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางหยั่งเชิง เห็นเสด็จพ่อพยักหน้าทั้งส่ายหน้าไปด้วยหัวคิ้วของเด็กน้อยก็ขมวดฉับ ตกลงใช่หรือไม่ใช่กันแน่เล่า

            “พ่ออยากให้เจ้าสนิทกับเด็กคนนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ส่วนสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรเราถึงจะดึงเจิ้งกั๋วกงมาเป็นฝ่ายเราได้ต่างหาก และไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายเราด้วยความเต็มใจเท่านั้น แต่ยังต้องจงรักภักดีจนยอมสละได้แม้ชีพของตน เจ้าว่าควรใช้วิธีใดเล่า” เฉินเทียนอี้วางฎีกาลง โบกมือให้กงกงคนสนิทมาจัดเก็บฎีกาออกไป ซึ่งหวังกงกงก็รู้หน้าที่ดียิ่งไม่เพียงเก็บกองฎีกาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ยังยกกระดานหมากล้อมขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างรู้งาน จัดวางเครื่องว่างหลายชนิดที่ห้องเครื่องส่งมาให้ขึ้นโต๊ะเสวยแล้วชงชาปี้หลัวชุน[2] จนกลิ่นชาหอมฟุ้งไปทั่วห้อง หลังจากรินชาให้ทั้งสองพระองค์เสร็จก็ถอยกลับไปยืนเงียบๆ ตรงมุมตำหนักดังเดิม โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้รบกวนเฉินซือหยางเลยแม้แต่น้อย

            เฉินเทียนอี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมอย่างสบายอารมณ์ จิบชาไปด้วยเริ่มเดินหมากไปด้วย โดยหยิบหมากสีดำวางบนกึ่งกลางจุดตัดของกระดานหมากตรงตำแหน่งดาว[3] เฉินเทียนอี้เล่นหมากล้อมคนเดียวไปเรื่อยๆ ในระหว่างรอคำตอบจากบุตรชาย นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องพลิกเม็ดหมากสีดำไปมาระหว่างข้อนิ้วเกิดเป็นภาพขาวดำตัดกันอย่างงดงามลงตัว ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามฉายแววครุ่นคิดเฉกเช่นเดียวกับเฉินซือหยาง จนใบหน้าของทั้งคู่เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว

            สายตาของเฉินซือหยางจับจ้องกระดานหมากตรงหน้าเงียบๆ มองดูเสด็จพ่อเดินหมากไปด้วยในใจก็ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถดึงเอาขุมกำลังของเจิ้งกั๋วกงมาเป็นของตนดี

            กึก!

            “คิดออกหรือยัง” เฉินเทียนอี้วางหมากลงบนกระดานเสียงดัง ดึงภวังค์ความคิดที่กระจัดกระจายของเฉินซือหยางให้กลับเข้าที่เข้าทาง

            “ใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกว่าวิธีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะลูกไม่มีน้องหญิงเสียด้วย นอกจากเสด็จพ่อจะเผลอไปไข่ทิ้งไว้ที่ใดโดยที่ลูกไม่รู้” เฉินซือหยางหรี่ตามองเสด็จพ่อของตนเป็นนัยล้อเลียน เลยได้รับพระราชทานฝ่าพระหัตถ์จากองค์เหนือหัวเป็นรางวัล ทำเอาคนหาเรื่องเจ็บตัวถึงกับต้องคลำศีรษะตนเองปรอยๆ ดูว่ามีส่วนใดปูดนูนหรือไม่

            “หาเรื่องให้เสด็จแม่เจ้ามาแหกอกข้าในฝันหรือไรไอ้เจ้าลูกคนนี้ แล้วการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จำเป็นต้องใช้แต่น้องสาวเจ้าอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่”

            “เสด็จพ่อหมายความว่า… เสด็จพ่อจะทรงสมรสใหม่หรือพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะกลับไปจุดธูปฟ้องเสด็จแม่ว่าเสด็จพ่อได้ใหม่ลืมเก่า โธ่! เสด็จแม่ของลูกช่างน่าสงสารยิ่งนัก” เฉินซือหยางตัดพ้อต่อว่าแสร้งบีบน้ำตาให้ไหลรินแต่ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด ริมฝีปากบูดบู้จนแก้มอวบพองลมเป็นก้อนแป้ง ดวงตาแดงระเรื่อฉ่ำวาว ท่าทางเสียอกเสียใจจนเกินจริงนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้อดหมั่นไส้ความเล่นใหญ่ของบุตรชายไม่ได้

            “พอเลย! ใครบอกเจ้าว่าพ่อจะรับสนม บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงมีแต่แม่เสือนางพยัคฆ์ทั้งนั้นหรือเจ้าอยากมีแม่ใหม่เป็นนางเสือกัน”

            เฉินซือหยางกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก คิดถึงจ้าวลี่จิ่นแม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งแผ่นดินต้าเฉินแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกบริเวณแผ่นหลังแปลกๆ ดาบปราบพยัคฆ์ที่แม่ทัพจ้าวมักสะพายไว้บนหลังนั้นใหญ่พอจะฟันศีรษะเขาขาดกระเด็นในฉับเดียวเลยล่ะมั้งนั่น

            “ยะ…อย่าดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ลูกยังรักเสด็จแม่กุ้ยเฟยของลูกม๊ากมาก ยังไม่อยากได้แม่ใหม่ในตอนนี้ ลูกว่าเราลองคิดหาวิธีอื่นดูดีหรือไม่”

            “วิธีนี้แหละดีแล้ว เพียงแต่ผู้เสียสละคงจะต้องเป็นเจ้าแล้วล่ะลูกรัก” เฉินเทียนอี้ตบบ่าให้กำลังใจบุตรชาย ฝ่ายเฉินซือหยางนั้นเหวอไปแล้วเรียบร้อย ไม่รับรู้กำลังใจใดๆ จากเสด็จพ่อทั้งสิ้น

            “หะ… หา! จะให้ลูกเป็นคนแต่ง...” เฉินซือหยางตกตะลึงชี้นิ้วใส่ตนเองเป็นเชิงถามเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฟาด สมองน้อยๆ คิดวนเวียนอยู่กับการแต่งงานกับแม่เสือ นางพยัคฆ์ และดาบเล่มใหญ่วาววับที่กำลังจะสับลงมาบนศีรษะเขาแทน วะ… ว๊ากกกก!

            “เสด็จพ่อจะให้ลูกแต่งงานกับหนึ่งในบุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ! มะ… ไม่เอา!! ลูกไม่เอาด้วยเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรลูกก็ไม่แต่ง!!!” เด็กน้อยโวยวายเสียงดังจนหวังกงกงที่แอบเงี่ยหูฟังสองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่เกือบหลุดขำออกมา ดีที่เอามืออุดปากไว้ทันไม่งั้นหัวคงได้หลุดจากบ่าก็คราวนี้

            “ลูกโง่!! ใครจะให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวกัน บุตรชายต่างหากเล่าบุตรชาย”

            “ลูกไม่… หะ… หา! ไม่ใช่บุตรสาวแต่เป็นบุตรชายหรือพ่ะย่ะค่ะ”

            “ใช่แล้วบุตรชายของเจิ้งกั๋วกง 'จ้าวลี่หมิง' อย่างไรล่ะ”

            “แบบนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จากแม่เสือกลายเป็นพ่อเสือ! นี่มันหายนะชัดๆ เสด็จพ่อทรงคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ให้ลูกแต่งกับผู้ชายนี่นะ คนอื่นเขาไม่ครหาลูกแย่หรือ ไหนจะต้องถูกตาแก่หงำเหงือกหัวโบราณคร่ำครึในราชสำนักพวกนั้นกล่าวหาว่าลูกกลายเป็นต้วนซิ่ว[4] อีก แถมบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงยังออกไข่[5] ไม่ได้ด้วย แล้วลูกจะมีทายาทไว้สืบเชื้อสายสกุลเฉินของเราได้อย่างไรกัน นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” เฉินซือหยางโวยวายเสียงดัง แต่เฉินเทียนอี้กลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อนไปกับบุตรชายเลยแม้แต่น้อย

            “เอาน่าเจ้ายังพอมีหวัง เพราะพ่อเสือยังตัวเท่าศอกของเจ้า เจ้าอยากได้พ่อเสือหรือพ่อแมวก็ไปอบรมกันเอาเองก็แล้วกัน”

            “ลูกขอไม่ทำตามแผนการนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางร้องขอเสียงอ่อย เสด็จพ่อยังจำได้หรือไม่ว่าเขายังอายุแค่ 9 ขวบเองนะ! ทำไมถึงมอบภารกิจอันหนักหนาสาหัสเช่นนี้ให้เขากันเล่า

            “ไม่ได้! ภารกิจนี้สำคัญยิ่ง เจ้าอย่าลืมสิว่าเป้าหมายที่เราทำอยู่นี้เพื่อสิ่งใด” เฉินเทียนอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกะทันหัน เม็ดหมากสีดำแตกละเอียดเป็นผุยผงคามือตามแรงอารมณ์ เฉินซือหยางที่ก่อนหน้านี้เอนหลังพิงอกกว้างอย่างผ่อนคลายอารมณ์ยืดตัวตรงทันที รับรู้ได้ว่าเสด็จพ่อมีโทสะแล้ว ส่วนเหตุผลก็น่าจะมาจากคนน่าชิงชังพวกนั้นเป็นแน่แท้

            “แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ”

            “หากไม่เข้าถ้ำเสือมีหรือจะได้ลูกเสือ อย่าลืมว่าจ้าวลี่หมิงคือหมากสำคัญที่จะทำให้เจิ้งกั๋วกงยอมภักดีต่อเราด้วยใจจริง และยังเป็นตัวประกันชั้นยอดที่จะทำให้เจิ้งกั๋วกงไม่กล้าคิดคดทรยศต่อเราด้วย เพราะฉะนั้นเบี้ยดีๆ เช่นนี้เราต้องเก็บไว้ใช้นานๆ ถึงจะถูก” เฉินเทียนอี้ปัดเศษซากของเม็ดหมากสีดำออกอย่างเฉยชา มองหมากสีดำรุกกินพื้นที่ของหมากเม็ดขาวจนเหี้ยนด้วยสีหน้าพึงพอใจ เป้าหมายที่เขาวางไว้ใกล้เข้ามาทีละนิดแล้ว

            เฉินซือหยางเห็นพระอารมณ์ของเสด็จพ่อเริ่มดีขึ้นก็ได้แต่ถอนหายใจยอมรับในชะตากรรม “เฮ้อ! หากข้าไม่ลงนรกแล้วไซร้ผู้ใดจะลง[6]  รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อประสงค์สิ่งใดลูกยินดีน้อมรับ”

            “ดี! งานเลี้ยงครบรอบขวบปีของจ้าวลี่หมิงคือเป้าหมายต่อไปของเรา”

            ปึง!

            หมากตัวใหม่บนกระดานเริ่มเคลื่อนไหว เส้นใยเริ่มถักทอแค่รอให้เหยื่อของพวกเขาเข้ามาติดกับเองเท่านั้น

[1] เป็นบรรดาศักดิ์ของขุนนางในสมัยโบราณ มี 5 ขั้น รองจากชั้นอ๋อง คือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน โดยแต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยที่แตกต่างกัน ซึ่ง ‘กั๋วกง’ เป็นลำดับสูงสุดในขั้นกงและเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนาง

[2] ชาปี้หลัวชุน (碧螺春) มีแหล่งกำเนิดในแถบภูเขา ‘ต้งถิง’ ติดทะเลสาบไท่หู ในมณฑลเจียงซู เป็น 1 ใน 10 สุดยอดชาจีน มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ และมีรสชาติหวานหอม

[3] ตำแหน่งดาว คือ จุดสีดำบนกระดานหมากล้อม ซึ่งมีทั้งหมด 9 จุดด้วยกัน เป็นศัพท์เฉพาะของการเล่นหมากล้อม

[4] เปรียบเปรยถึงคนรักร่วมเพศ เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตก ฮั่นอายตี้ฮ่องเต้ตกหลุมรักชายหนุ่มนามว่าต่งเสียน วันหนึ่งอายตี้ตื่นบรรทมหลังจากนอนกลางวัน มองเห็นต่งเสียนนอนทับแขนเสื้ออยู่ ครั้นจะดึงออกก็กลัวชายคนรักจะตื่น พระองค์เลยเอามีดมาตัดแขนเสื้อของพระองค์ให้ต่งเสียนได้นอนต่อ จึงเป็นที่มาของคำว่า 'ตัดแขนเสื้อหรือต้วนซิ่ว' นั่นเอง

[5] ออกไข่ไม่ได้ หมายถึง ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้

[6] มาจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่ต้องการช่วยสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์เข็น หากสัตว์นรกในนรกภูมิยังไม่หมดสิ้นก็ไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า ‘หากเราไม่เข้าสู่นรกภูมิแล้วไซร้ ผู้ใดเล่าจะเข้าสู่นรกภูมิ’ หมายความว่า หากกระทำการไม่สำเร็จก็จะไม่ละทิ้งไปโดยเด็ดขาด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 4

    หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-15
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 5

    เพียงชั่วก้านธูป[1] ผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลังทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับออกมา ภาพที่เฉินเทียนอี้เห็นในสายพระเนตรคือ ภาพของเหล่าสนม นางกำนัลนั่งคุกเข่ากันเรียงรายเป็นทิวแถวท่ามกลางหิมะตกหนัก ทุกคนหน้าซีดปากสั่นมีหิมะเกาะเต็มศีรษะสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง “ฝ่าบาท” “ฝ่าบาทเพคะ” เสียงร้องน่าเวทนาดังระงมดุจจักจั่นในฤดูร้อน ทำเอาเฉินเทียนอี้มุมปากกระตุก คิ้วคมเข้มขมวดฉับ ตวัดสายเย็นเฉียบมองคนต้นเรื่องด้วยความเดือดดาล จิตสังหารแผ่ซ่านจนซูโม่หลันสั่นสะท้านนึกเสียใจภายหลังที่ลงมือโดยพลการเช่นนี้ “หวังกงกง” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “ถอนรับสั่งของเต๋อเฟยเดี๋ยวนี้! บอกให้นางกำนัลปรนนิบัติเหล่าสนมรักของเราให้ดีอย่าให้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-18
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 6

    แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยัง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-19
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 7

    งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-20
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 8

    “ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่ “ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี” “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก  

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-21
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 9

    เหตุการณ์ลอบสังหารในงานเลี้ยงฉลองชัยราชสำนักสูญเสียขุนนางไปครึ่งค่อน โอรสสวรรค์พิโรธหนักเรียกขุนนางใหญ่ทั้ง 3 กรมเข้าเฝ้าเพื่อสืบคดีให้ถึงที่สุด ลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ออกมาสำเร็จโทษ หลังการสอบสวนเสนาบดีกรมพิธีการและพรรคพวกถูกลากไปตัดหัวที่ประตูอู่เหมินเซ่นดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย เหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตูถูกโบยแปดสิบไม้ และปลดออกจากตำแหน่งโทษฐานเพิกเฉยต่อหน้าที่ เฉินเทียนอี้ถือโอกาสนี้ปรับขั้วอำนาจในราชสำนักครั้งใหญ่ จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวาฝ่ายบุ๋น[1] ในปีนี้โชคดีราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากฟ้า ล้วนแล้วแต่เข้ารับตำแหน่งสำคัญทั้งสิ้น 'หานจางหมิ่น' จ้วงหยวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชครูในองค์รัชทายาท จินซานปั๋งเหยี่ยนเลื่อนจากขุนนางในกรมอารักษ์เล็กๆ ขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนทั่นฮวาผู้ไม่ถูกเอ่ยนามได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ในกรมโยธา แน่นอนว่าไทเฮาย่อมเป็นฝ่ายเสียหายหนัก เพราะขุนนางที่ถูกสังหารล้วนแล้วแต่เป็นคนของหลี่ย่าเสียงไทเฮาทั้งสิ้น ตระกูลหลี่ทั้งบนล่างร้อนใ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-22
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 10

    วันคืนผ่านพ้น หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ มีคนโศกเศร้าเสียใจ ย่อมมีคนดีอกดีใจ มีคนกลุ้มอกกลุ้มใจ ย่อมมีคนวางเฉย มีคนบินสูงสู่ยอดไม้ ย่อมมีบางคนตกต่ำไม่อาจผงาดขึ้นมาได้อีก พอเรื่องร้ายผ่านพ้นไป เรื่องดีๆ ก็เข้ามาพร้อมๆ กัน วันนี้จวนไท่เว่ยคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากทางจวนจัดงานเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งของเจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบขวบปีของคุณชายเจ็ดจ้าวลี่หมิง จวนไท่เว่ยจึงจัดพิธีจวาโจว[1] พร้อมกันเสียเลย เรียกว่าเป็นงานมงคลคู่ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้คนในจวนทั้งบนล่างต่างวิ่งวุ่นจัดงานแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แน่นอนว่าคนที่ว่างแสนว่างจนไม่มีอะไรให้ทำอย่างพวกสามแฝดตระกูลจ้าวก็มีเรื่องให้ทำเช่นกัน หลังจากสามแสบวุ่นวายอยู่ในห้องครัวอยู่พักใหญ่ ทำเอาห้องครัวของจวนไท่เว่ยอลหม่านจนไก่บินสุนัขกระโดดกำแพง[2] กันไปยกหนึ่ง จึงถูกกู้ฟางเหนียงโยนเข้าห้องไล่ให้ไปเลี้ยงน้องมันเสียเลย “ลี่จูๆ ลี่จิน... ลี่หลินเบื่ออ่ะ” จ้าวลี่หลินกระตุกชายแขนเสื้อของฝาแฝด ใบหน้าเริ่มมีเค้าความงามงอง้ำ บุ้ยปาก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-23
  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 11

    ในขณะที่ทางฝั่งเด็กๆ กำลังเล่นจับนกกันอย่างสนุกสนาน ทางด้านเรือนใหญ่เองก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับขุนนางผู้มาร่วมแสดงความยินดีกับเจิ้งกั๋วกงที่ได้เลื่อนตำแหน่ง กู้ฟางเหนียงในฐานะฮูหยินตราตั้งจึงต้องออกมาช่วยสามี และแม่สามีต้อนรับแขกเหรื่อ แน่นอนว่าจ้าวลี่จ้ง และจ้าวลี่เจียเองก็ถูกลากให้มาต้อนรับบรรดาคุณหนู บุตรีผู้สูงศักดิ์ที่มาร่วมงานกับครอบครัวเช่นเดียวกัน “ใกล้จะได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จ้งเอ๋อร์ไปดูสิว่าแม่นมหลิ่วแต่งตัวให้เสี่ยวชีเสร็จหรือยัง” “เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งรับคำ ผละกายจากไปได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขานนามดังก้อง “องค์รัชทายาทเสด็จ” เฉินซือหยางมาร่วมงานอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างแตกตื่นตกใจ รีบค้อมกายทำความเคารพ พลางรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ประจบเอาใจจ้าวมู่แล้วยังได้ประจบเอาใจรัชทายาทอีกทาง ซึ่งเป็นผลดีกับตำแหน่งหน้าที่ของตนเองในอนาคต&nbs

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-24

บทล่าสุด

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 57

    นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 56

    “แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 55 สู่ปัจจุบัน

    ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 54

    สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 53

    เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 52

    ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 51

    กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 50

    เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 49 ความหลังของหลานซือเยว่

    16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status