“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน
“เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย
“พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง
“เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก”
“เป็นข่าวดีดังเจ้าว่า เมื่อครู่พ่อเพิ่งออกราชโองการเรียกตัวเจิ้งกั๋วกงเข้าวัง คาดว่าการยกทัพกลับเมืองหลวงในครานี้เจิ้งกั๋วกงน่าจะพาบุตรชายอายุยังไม่ถึงขวบปีอันเกิดจากจ้าวฮูหยินกลับมาด้วย เจ้าคิดเห็นเช่นไร” เฉินเทียนอี้บอกเป็นนัยแก่บุตรชาย สายตาคมเข้มจับจ้องปฏิกิริยาของเฉินซือหยางไม่วางตา เห็นบุตรชายมีท่าทีครุ่นคิดใคร่ครวญ เขาก็ไม่ได้ชี้แนะอะไรเพิ่มเติม เพียงให้เวลาบุตรชายคิดไปเรื่อยๆ โดยที่ตนเองหันไปใส่ใจราชกิจอื่นต่อในระหว่างรอคำตอบ
“ถ้าลูกจำไม่ผิด นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวที่เจิ้งกั๋วกงเพิ่งให้กำเนิดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง”
“บุตรชายคนเดียวย่อมจะได้รับความสำคัญมากเป็นพิเศษ ยิ่งความรักใคร่เอาใจใส่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คาดว่าบุตรชายผู้นี้ที่เจิ้งกั๋วกงผู้เฒ่ามีตอนอายุมากแล้วคงรักดุจแก้วตาดวงใจ ไม่เช่นนั้นอายุแค่ไม่กี่เดือนคงไม่พาติดตามทัพหน้ากลับมาเมืองหลวงด้วยเช่นนี้”
“เจ้าคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่ง” เฉินเทียนอี้ผงกศีรษะตรัสชมบุตรชาย มุมปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้ ทำเอาตาขวาของเฉินซือหยางกระตุกยิกๆ เห็นเสด็จพ่อยิ้มเช่นนี้ทีไรคงไม่ใช่เรื่องดีแน่แล้ว
“เสด็จพ่อทรงอยากให้ลูกไปตีสนิทกับเด็กคนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางหยั่งเชิง เห็นเสด็จพ่อพยักหน้าทั้งส่ายหน้าไปด้วยหัวคิ้วของเด็กน้อยก็ขมวดฉับ ตกลงใช่หรือไม่ใช่กันแน่เล่า
“พ่ออยากให้เจ้าสนิทกับเด็กคนนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ส่วนสำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรเราถึงจะดึงเจิ้งกั๋วกงมาเป็นฝ่ายเราได้ต่างหาก และไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายเราด้วยความเต็มใจเท่านั้น แต่ยังต้องจงรักภักดีจนยอมสละได้แม้ชีพของตน เจ้าว่าควรใช้วิธีใดเล่า” เฉินเทียนอี้วางฎีกาลง โบกมือให้กงกงคนสนิทมาจัดเก็บฎีกาออกไป ซึ่งหวังกงกงก็รู้หน้าที่ดียิ่งไม่เพียงเก็บกองฎีกาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ยังยกกระดานหมากล้อมขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างรู้งาน จัดวางเครื่องว่างหลายชนิดที่ห้องเครื่องส่งมาให้ขึ้นโต๊ะเสวยแล้วชงชาปี้หลัวชุน[2] จนกลิ่นชาหอมฟุ้งไปทั่วห้อง หลังจากรินชาให้ทั้งสองพระองค์เสร็จก็ถอยกลับไปยืนเงียบๆ ตรงมุมตำหนักดังเดิม โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ได้รบกวนเฉินซือหยางเลยแม้แต่น้อย
เฉินเทียนอี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมอย่างสบายอารมณ์ จิบชาไปด้วยเริ่มเดินหมากไปด้วย โดยหยิบหมากสีดำวางบนกึ่งกลางจุดตัดของกระดานหมากตรงตำแหน่งดาว[3] เฉินเทียนอี้เล่นหมากล้อมคนเดียวไปเรื่อยๆ ในระหว่างรอคำตอบจากบุตรชาย นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องพลิกเม็ดหมากสีดำไปมาระหว่างข้อนิ้วเกิดเป็นภาพขาวดำตัดกันอย่างงดงามลงตัว ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามฉายแววครุ่นคิดเฉกเช่นเดียวกับเฉินซือหยาง จนใบหน้าของทั้งคู่เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว
สายตาของเฉินซือหยางจับจ้องกระดานหมากตรงหน้าเงียบๆ มองดูเสด็จพ่อเดินหมากไปด้วยในใจก็ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถดึงเอาขุมกำลังของเจิ้งกั๋วกงมาเป็นของตนดี
กึก!
“คิดออกหรือยัง” เฉินเทียนอี้วางหมากลงบนกระดานเสียงดัง ดึงภวังค์ความคิดที่กระจัดกระจายของเฉินซือหยางให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“ใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกว่าวิธีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะลูกไม่มีน้องหญิงเสียด้วย นอกจากเสด็จพ่อจะเผลอไปไข่ทิ้งไว้ที่ใดโดยที่ลูกไม่รู้” เฉินซือหยางหรี่ตามองเสด็จพ่อของตนเป็นนัยล้อเลียน เลยได้รับพระราชทานฝ่าพระหัตถ์จากองค์เหนือหัวเป็นรางวัล ทำเอาคนหาเรื่องเจ็บตัวถึงกับต้องคลำศีรษะตนเองปรอยๆ ดูว่ามีส่วนใดปูดนูนหรือไม่
“หาเรื่องให้เสด็จแม่เจ้ามาแหกอกข้าในฝันหรือไรไอ้เจ้าลูกคนนี้ แล้วการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จำเป็นต้องใช้แต่น้องสาวเจ้าอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่”
“เสด็จพ่อหมายความว่า… เสด็จพ่อจะทรงสมรสใหม่หรือพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะกลับไปจุดธูปฟ้องเสด็จแม่ว่าเสด็จพ่อได้ใหม่ลืมเก่า โธ่! เสด็จแม่ของลูกช่างน่าสงสารยิ่งนัก” เฉินซือหยางตัดพ้อต่อว่าแสร้งบีบน้ำตาให้ไหลรินแต่ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด ริมฝีปากบูดบู้จนแก้มอวบพองลมเป็นก้อนแป้ง ดวงตาแดงระเรื่อฉ่ำวาว ท่าทางเสียอกเสียใจจนเกินจริงนั่น ทำเอาเฉินเทียนอี้อดหมั่นไส้ความเล่นใหญ่ของบุตรชายไม่ได้
“พอเลย! ใครบอกเจ้าว่าพ่อจะรับสนม บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงมีแต่แม่เสือนางพยัคฆ์ทั้งนั้นหรือเจ้าอยากมีแม่ใหม่เป็นนางเสือกัน”
เฉินซือหยางกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก คิดถึงจ้าวลี่จิ่นแม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งแผ่นดินต้าเฉินแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกบริเวณแผ่นหลังแปลกๆ ดาบปราบพยัคฆ์ที่แม่ทัพจ้าวมักสะพายไว้บนหลังนั้นใหญ่พอจะฟันศีรษะเขาขาดกระเด็นในฉับเดียวเลยล่ะมั้งนั่น
“ยะ…อย่าดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ลูกยังรักเสด็จแม่กุ้ยเฟยของลูกม๊ากมาก ยังไม่อยากได้แม่ใหม่ในตอนนี้ ลูกว่าเราลองคิดหาวิธีอื่นดูดีหรือไม่”
“วิธีนี้แหละดีแล้ว เพียงแต่ผู้เสียสละคงจะต้องเป็นเจ้าแล้วล่ะลูกรัก” เฉินเทียนอี้ตบบ่าให้กำลังใจบุตรชาย ฝ่ายเฉินซือหยางนั้นเหวอไปแล้วเรียบร้อย ไม่รับรู้กำลังใจใดๆ จากเสด็จพ่อทั้งสิ้น
“หะ… หา! จะให้ลูกเป็นคนแต่ง...” เฉินซือหยางตกตะลึงชี้นิ้วใส่ตนเองเป็นเชิงถามเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้หูฟาด สมองน้อยๆ คิดวนเวียนอยู่กับการแต่งงานกับแม่เสือ นางพยัคฆ์ และดาบเล่มใหญ่วาววับที่กำลังจะสับลงมาบนศีรษะเขาแทน วะ… ว๊ากกกก!
“เสด็จพ่อจะให้ลูกแต่งงานกับหนึ่งในบุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ! มะ… ไม่เอา!! ลูกไม่เอาด้วยเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรลูกก็ไม่แต่ง!!!” เด็กน้อยโวยวายเสียงดังจนหวังกงกงที่แอบเงี่ยหูฟังสองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่เกือบหลุดขำออกมา ดีที่เอามืออุดปากไว้ทันไม่งั้นหัวคงได้หลุดจากบ่าก็คราวนี้
“ลูกโง่!! ใครจะให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวกัน บุตรชายต่างหากเล่าบุตรชาย”
“ลูกไม่… หะ… หา! ไม่ใช่บุตรสาวแต่เป็นบุตรชายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วบุตรชายของเจิ้งกั๋วกง 'จ้าวลี่หมิง' อย่างไรล่ะ”
“แบบนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จากแม่เสือกลายเป็นพ่อเสือ! นี่มันหายนะชัดๆ เสด็จพ่อทรงคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ให้ลูกแต่งกับผู้ชายนี่นะ คนอื่นเขาไม่ครหาลูกแย่หรือ ไหนจะต้องถูกตาแก่หงำเหงือกหัวโบราณคร่ำครึในราชสำนักพวกนั้นกล่าวหาว่าลูกกลายเป็นต้วนซิ่ว[4] อีก แถมบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงยังออกไข่[5] ไม่ได้ด้วย แล้วลูกจะมีทายาทไว้สืบเชื้อสายสกุลเฉินของเราได้อย่างไรกัน นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” เฉินซือหยางโวยวายเสียงดัง แต่เฉินเทียนอี้กลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อนไปกับบุตรชายเลยแม้แต่น้อย
“เอาน่าเจ้ายังพอมีหวัง เพราะพ่อเสือยังตัวเท่าศอกของเจ้า เจ้าอยากได้พ่อเสือหรือพ่อแมวก็ไปอบรมกันเอาเองก็แล้วกัน”
“ลูกขอไม่ทำตามแผนการนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางร้องขอเสียงอ่อย เสด็จพ่อยังจำได้หรือไม่ว่าเขายังอายุแค่ 9 ขวบเองนะ! ทำไมถึงมอบภารกิจอันหนักหนาสาหัสเช่นนี้ให้เขากันเล่า
“ไม่ได้! ภารกิจนี้สำคัญยิ่ง เจ้าอย่าลืมสิว่าเป้าหมายที่เราทำอยู่นี้เพื่อสิ่งใด” เฉินเทียนอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกะทันหัน เม็ดหมากสีดำแตกละเอียดเป็นผุยผงคามือตามแรงอารมณ์ เฉินซือหยางที่ก่อนหน้านี้เอนหลังพิงอกกว้างอย่างผ่อนคลายอารมณ์ยืดตัวตรงทันที รับรู้ได้ว่าเสด็จพ่อมีโทสะแล้ว ส่วนเหตุผลก็น่าจะมาจากคนน่าชิงชังพวกนั้นเป็นแน่แท้
“แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลกก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หากไม่เข้าถ้ำเสือมีหรือจะได้ลูกเสือ อย่าลืมว่าจ้าวลี่หมิงคือหมากสำคัญที่จะทำให้เจิ้งกั๋วกงยอมภักดีต่อเราด้วยใจจริง และยังเป็นตัวประกันชั้นยอดที่จะทำให้เจิ้งกั๋วกงไม่กล้าคิดคดทรยศต่อเราด้วย เพราะฉะนั้นเบี้ยดีๆ เช่นนี้เราต้องเก็บไว้ใช้นานๆ ถึงจะถูก” เฉินเทียนอี้ปัดเศษซากของเม็ดหมากสีดำออกอย่างเฉยชา มองหมากสีดำรุกกินพื้นที่ของหมากเม็ดขาวจนเหี้ยนด้วยสีหน้าพึงพอใจ เป้าหมายที่เขาวางไว้ใกล้เข้ามาทีละนิดแล้ว
เฉินซือหยางเห็นพระอารมณ์ของเสด็จพ่อเริ่มดีขึ้นก็ได้แต่ถอนหายใจยอมรับในชะตากรรม “เฮ้อ! หากข้าไม่ลงนรกแล้วไซร้ผู้ใดจะลง[6] รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อประสงค์สิ่งใดลูกยินดีน้อมรับ”
“ดี! งานเลี้ยงครบรอบขวบปีของจ้าวลี่หมิงคือเป้าหมายต่อไปของเรา”
ปึง!
หมากตัวใหม่บนกระดานเริ่มเคลื่อนไหว เส้นใยเริ่มถักทอแค่รอให้เหยื่อของพวกเขาเข้ามาติดกับเองเท่านั้น
[1] เป็นบรรดาศักดิ์ของขุนนางในสมัยโบราณ มี 5 ขั้น รองจากชั้นอ๋อง คือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน โดยแต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยที่แตกต่างกัน ซึ่ง ‘กั๋วกง’ เป็นลำดับสูงสุดในขั้นกงและเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของขุนนาง
[2] ชาปี้หลัวชุน (碧螺春) มีแหล่งกำเนิดในแถบภูเขา ‘ต้งถิง’ ติดทะเลสาบไท่หู ในมณฑลเจียงซู เป็น 1 ใน 10 สุดยอดชาจีน มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ และมีรสชาติหวานหอม
[3] ตำแหน่งดาว คือ จุดสีดำบนกระดานหมากล้อม ซึ่งมีทั้งหมด 9 จุดด้วยกัน เป็นศัพท์เฉพาะของการเล่นหมากล้อม
[4] เปรียบเปรยถึงคนรักร่วมเพศ เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตก ฮั่นอายตี้ฮ่องเต้ตกหลุมรักชายหนุ่มนามว่าต่งเสียน วันหนึ่งอายตี้ตื่นบรรทมหลังจากนอนกลางวัน มองเห็นต่งเสียนนอนทับแขนเสื้ออยู่ ครั้นจะดึงออกก็กลัวชายคนรักจะตื่น พระองค์เลยเอามีดมาตัดแขนเสื้อของพระองค์ให้ต่งเสียนได้นอนต่อ จึงเป็นที่มาของคำว่า 'ตัดแขนเสื้อหรือต้วนซิ่ว' นั่นเอง
[5] ออกไข่ไม่ได้ หมายถึง ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้
[6] มาจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่ต้องการช่วยสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์เข็น หากสัตว์นรกในนรกภูมิยังไม่หมดสิ้นก็ไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า ‘หากเราไม่เข้าสู่นรกภูมิแล้วไซร้ ผู้ใดเล่าจะเข้าสู่นรกภูมิ’ หมายความว่า หากกระทำการไม่สำเร็จก็จะไม่ละทิ้งไปโดยเด็ดขาด
หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ
“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...”ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “เกอเกอ!” เฮือก!! เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน ‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’ เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า
แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่อ