แชร์

บทที่ 2

            แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ

            ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่องฟู สืบทอดเชื้อสายเรื่อยมาจนถึงสมัยของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ

            ในสมัยของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ พระองค์ไม่ได้สร้างคุณูปการโดดเด่นในด้านใด เพราะลุ่มหลงกับการเสาะหายาอายุวัฒนะ ใฝ่ฝันถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ จึงไม่ยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาท และไม่ได้ตรัสว่าผู้ใดเหมาะสมกับการขึ้นครองราชย์ ทำให้เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่องค์ชายอย่างดุเดือด ราชสำนักเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นอีกครา องค์ชายผู้เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ในครั้งนั้น หากไม่สิ้นพระชนม์ก็ถูกลอบทำร้ายจนกลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ เหลือเพียงองค์ชายใหญ่เฉินเทียนมิ่งกับองค์ชายสามเฉินเทียนคงที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด

            ด้วยความที่องค์ชายสามเฉินเทียนคงเป็นบุตรอันเกิดจากหลี่ฮองเฮา ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายฝ่ายให้การยอมรับ จึงเป็นผู้ที่คู่ควรกับบัลลังก์มังกรมากที่สุด 

            องค์ชายใหญ่เฉินเทียนมิ่งเจ็บแค้นที่ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุนตนจึงกรีธาทัพบุกวังหลวงหมายช่วงชิงบัลลังก์ในวันสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ องค์ชายใหญ่อาศัยช่วงชุลมุนในระหว่างการจัดพิธีบรมศพของอดีตจักรพรรดิ ลอบบุกเข้าพระราชวังชั้นในสังหารองค์ชายสามที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่จนสิ้นชีพ 

            ขณะที่องค์ชายใหญ่กระจายกำลังทหารเข้าควบคุมบรรดาขุนนางทั้งหลายในวังหลวง 'หลี่เหยียนเจี๋ย' พระเชษฐาของ 'หลี่ย่าเสียง' ฮองเฮา ได้ยกกองกำลังทหารรักษาพระองค์เข้าโอบล้อมโจมตีกลับ ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือดสามวันสามคืนจนกำแพงเมืองหลวงแทบพังครืนลงมา หลี่เหยียนเจี๋ยสบโอกาสช่วงที่กองทัพฝ่ายตรงข้ามเพลี่ยงพล้ำยิงเกาทัณฑ์สำเร็จโทษโจรกบฏชิงบัลลังก์อย่างเฉินเทียนมิ่งจนสิ้นชีพ ณ ประตูเสวียนอู่ แล้วตามกวาดล้างสมัครพรรคพวกที่เข้าร่วมการก่อกบฏในครั้งนั้นจนสิ้น

            หลังเหตุการณ์วุ่นวายสิ้นสุดลง แผ่นดินไม่อาจขาดผู้นำแม้เพียงวันเดียว หลี่ย่าเสียงฮองเฮาจำต้องแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งโชคก็ไปหล่นทับองค์ชายเก้า 'เฉินเทียนอี้' ซึ่งตอนนั้นมีพระชนมายุเพียง 10 ชันษา

            องค์ชายเก้าผู้นี้เดิมทีเกิดจากนางสนมตำแหน่งไฉหนี่ว์[2] เล็กๆ คนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ชีวิตในวังหลังขององค์ชายไร้คนเหลียวแลจึงไม่ใคร่สุขสบายนัก ในศึกชิงบัลลังก์ระหว่างพี่น้อง เขาที่เป็นองค์ชายปลายแถวก็ถูกผู้คนลืมเลือนไปสิ้น แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ผู้ใดเล่าจะคิดว่าองค์ชายอ่อนแอไร้ผู้คนสนใจกลับมีวาสนาสูงส่งได้เป็นถึงผู้ครองบัลลังก์มังกรแห่งแผ่นดินต้าเฉิน

            ในตอนนั้นหลี่ย่าเสียงฮองเฮาเล็งเห็นแล้วว่าไม่อาจมีผู้ใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงแต่งตั้งเฉินเทียนอี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยมีบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นผู้ให้การรับรอง และอัญเชิญหลี่ย่าเสียงผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งไทเฮาขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน

            หลังจากเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ไม่ได้ประกอบราชกิจของผู้เป็นฮ่องเต้ จนเวลาล่วงเลยผ่านไป 4 ปี ถึงได้มีโอกาสสร้างคุณงามความดี โดยการเป็นผู้นำทัพออกศึกกำราบเผ่าซยงหนู[3] ที่เข้ามารุกรานแถบชายแดนแคว้นเฉิน หลังจากเสร็จศึกในครั้งนั้นเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้นำทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะเหนืออริราชศัตรูอย่างยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าฮ่องเต้น้อยผู้ปรีชาสามารถตั้งแต่วัยเยาว์ผู้นี้จะนำพาแคว้นต้าเฉินให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่าฮ่องเต้พระองค์ใด แต่ชาวประชากลับต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะหลังจากนั้นฮ่องเต้น้อยกลับเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี จัดงานเลี้ยง บรรเลงสังคีต ละครงิ้วทุกวี่วัน ผลาญเงินท้องพระคลังเป็นว่าเล่นจนเหล่าขุนนางต่างเอือมระอา ซึ่งฮ่องเต้ที่ทุกคนต่างก่นด่าสาปแช่งอยู่นั้น ก็คือผู้ที่กำลังนั่งอ่านฎีกาอย่างคร่ำเคร่งอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้

            “ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

            เฉินเทียนอี้ในฉลองพระองค์สีนิลลายมังกรห้าเล็บ นั่งสะสางราชกิจอยู่บนโต๊ะไม้หนานมู่[4] ขนาดใหญ่ในตำหนักเฉียนชิง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักเย็นชาแลดูเคร่งขรึมเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา สบเข้ากับร่างกลมป้อมสูงไม่ถึงโต๊ะทรงงานของบุตรชาย ประกายอ่อนโยนผุดวาบขึ้นในดวงตาคู่คม ความเย็นชาแทบจะแช่แข็งคนให้ตายได้กลายเป็นความอบอุ่นดุจลมวสันต์ หลอมละลายให้บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรอุ่นร้อนขึ้นมาทันใด

[1] แม่ทัพฝูกั๋ว (福国) หรือแม่ทัพสงบแผ่นดิน เป็นตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ขุนนางฝ่ายบู๊ลำดับหลักขั้นสอง

[2] ตำแหน่งสตรีฝ่ายในของวังหลังมีทั้งหมด 8 ขั้น 19 ตำแหน่ง รองจากฮองเฮา ได้แก่ หวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย เฟย ผิน กุ้ยเหริน ฉางจ้าย และต๋าอิ้ง โดยไฉหนี่ว์เป็นตำแหน่งพระสนมระดับล่างขั้น 8 (ต๋าอิ้ง) ชั้นเอกในองค์จักรพรรดิ แต่งตั้งได้ 27 คน ทั้งนี้ตำแหน่งสตรีฝ่ายในอาจเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ยุคสมัย

[3] หนึ่งในชนเผ่าเร่ร่อนที่เป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของจีนประกอบด้วย เผ่าซยงหนู เผ่าเซียนเป่ย เผ่าตี เผ่าเจี๋ย และเผ่าเซียง รวมเป็นห้าเผ่าคนเถื่อน

[4] ไม้หนานมู่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phoebe zhennan S. Lee เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ เนื้อไม้มีสีทอง เป็นไม้มงคลของชาวจีน นิยมนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปหรือสร้างพระราชวังในสมัยก่อน

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status