แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ
ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่องฟู สืบทอดเชื้อสายเรื่อยมาจนถึงสมัยของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ
ในสมัยของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ พระองค์ไม่ได้สร้างคุณูปการโดดเด่นในด้านใด เพราะลุ่มหลงกับการเสาะหายาอายุวัฒนะ ใฝ่ฝันถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ จึงไม่ยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาท และไม่ได้ตรัสว่าผู้ใดเหมาะสมกับการขึ้นครองราชย์ ทำให้เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่องค์ชายอย่างดุเดือด ราชสำนักเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นอีกครา องค์ชายผู้เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ในครั้งนั้น หากไม่สิ้นพระชนม์ก็ถูกลอบทำร้ายจนกลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ เหลือเพียงองค์ชายใหญ่เฉินเทียนมิ่งกับองค์ชายสามเฉินเทียนคงที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด
ด้วยความที่องค์ชายสามเฉินเทียนคงเป็นบุตรอันเกิดจากหลี่ฮองเฮา ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายฝ่ายให้การยอมรับ จึงเป็นผู้ที่คู่ควรกับบัลลังก์มังกรมากที่สุด
องค์ชายใหญ่เฉินเทียนมิ่งเจ็บแค้นที่ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุนตนจึงกรีธาทัพบุกวังหลวงหมายช่วงชิงบัลลังก์ในวันสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิเฉินหย่งเล่อ องค์ชายใหญ่อาศัยช่วงชุลมุนในระหว่างการจัดพิธีบรมศพของอดีตจักรพรรดิ ลอบบุกเข้าพระราชวังชั้นในสังหารองค์ชายสามที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่จนสิ้นชีพ
ขณะที่องค์ชายใหญ่กระจายกำลังทหารเข้าควบคุมบรรดาขุนนางทั้งหลายในวังหลวง 'หลี่เหยียนเจี๋ย' พระเชษฐาของ 'หลี่ย่าเสียง' ฮองเฮา ได้ยกกองกำลังทหารรักษาพระองค์เข้าโอบล้อมโจมตีกลับ ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือดสามวันสามคืนจนกำแพงเมืองหลวงแทบพังครืนลงมา หลี่เหยียนเจี๋ยสบโอกาสช่วงที่กองทัพฝ่ายตรงข้ามเพลี่ยงพล้ำยิงเกาทัณฑ์สำเร็จโทษโจรกบฏชิงบัลลังก์อย่างเฉินเทียนมิ่งจนสิ้นชีพ ณ ประตูเสวียนอู่ แล้วตามกวาดล้างสมัครพรรคพวกที่เข้าร่วมการก่อกบฏในครั้งนั้นจนสิ้น
หลังเหตุการณ์วุ่นวายสิ้นสุดลง แผ่นดินไม่อาจขาดผู้นำแม้เพียงวันเดียว หลี่ย่าเสียงฮองเฮาจำต้องแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งโชคก็ไปหล่นทับองค์ชายเก้า 'เฉินเทียนอี้' ซึ่งตอนนั้นมีพระชนมายุเพียง 10 ชันษา
องค์ชายเก้าผู้นี้เดิมทีเกิดจากนางสนมตำแหน่งไฉหนี่ว์[2] เล็กๆ คนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ชีวิตในวังหลังขององค์ชายไร้คนเหลียวแลจึงไม่ใคร่สุขสบายนัก ในศึกชิงบัลลังก์ระหว่างพี่น้อง เขาที่เป็นองค์ชายปลายแถวก็ถูกผู้คนลืมเลือนไปสิ้น แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ผู้ใดเล่าจะคิดว่าองค์ชายอ่อนแอไร้ผู้คนสนใจกลับมีวาสนาสูงส่งได้เป็นถึงผู้ครองบัลลังก์มังกรแห่งแผ่นดินต้าเฉิน
ในตอนนั้นหลี่ย่าเสียงฮองเฮาเล็งเห็นแล้วว่าไม่อาจมีผู้ใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงแต่งตั้งเฉินเทียนอี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยมีบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นผู้ให้การรับรอง และอัญเชิญหลี่ย่าเสียงผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งไทเฮาขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
หลังจากเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ก็ไม่ได้ประกอบราชกิจของผู้เป็นฮ่องเต้ จนเวลาล่วงเลยผ่านไป 4 ปี ถึงได้มีโอกาสสร้างคุณงามความดี โดยการเป็นผู้นำทัพออกศึกกำราบเผ่าซยงหนู[3] ที่เข้ามารุกรานแถบชายแดนแคว้นเฉิน หลังจากเสร็จศึกในครั้งนั้นเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้นำทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะเหนืออริราชศัตรูอย่างยิ่งใหญ่ ว่ากันว่าฮ่องเต้น้อยผู้ปรีชาสามารถตั้งแต่วัยเยาว์ผู้นี้จะนำพาแคว้นต้าเฉินให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่าฮ่องเต้พระองค์ใด แต่ชาวประชากลับต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะหลังจากนั้นฮ่องเต้น้อยกลับเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี จัดงานเลี้ยง บรรเลงสังคีต ละครงิ้วทุกวี่วัน ผลาญเงินท้องพระคลังเป็นว่าเล่นจนเหล่าขุนนางต่างเอือมระอา ซึ่งฮ่องเต้ที่ทุกคนต่างก่นด่าสาปแช่งอยู่นั้น ก็คือผู้ที่กำลังนั่งอ่านฎีกาอย่างคร่ำเคร่งอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
เฉินเทียนอี้ในฉลองพระองค์สีนิลลายมังกรห้าเล็บ นั่งสะสางราชกิจอยู่บนโต๊ะไม้หนานมู่[4] ขนาดใหญ่ในตำหนักเฉียนชิง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักเย็นชาแลดูเคร่งขรึมเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา สบเข้ากับร่างกลมป้อมสูงไม่ถึงโต๊ะทรงงานของบุตรชาย ประกายอ่อนโยนผุดวาบขึ้นในดวงตาคู่คม ความเย็นชาแทบจะแช่แข็งคนให้ตายได้กลายเป็นความอบอุ่นดุจลมวสันต์ หลอมละลายให้บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรอุ่นร้อนขึ้นมาทันใด
[1] แม่ทัพฝูกั๋ว (福国) หรือแม่ทัพสงบแผ่นดิน เป็นตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ขุนนางฝ่ายบู๊ลำดับหลักขั้นสอง
[2] ตำแหน่งสตรีฝ่ายในของวังหลังมีทั้งหมด 8 ขั้น 19 ตำแหน่ง รองจากฮองเฮา ได้แก่ หวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย เฟย ผิน กุ้ยเหริน ฉางจ้าย และต๋าอิ้ง โดยไฉหนี่ว์เป็นตำแหน่งพระสนมระดับล่างขั้น 8 (ต๋าอิ้ง) ชั้นเอกในองค์จักรพรรดิ แต่งตั้งได้ 27 คน ทั้งนี้ตำแหน่งสตรีฝ่ายในอาจเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ยุคสมัย
[3] หนึ่งในชนเผ่าเร่ร่อนที่เป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของจีนประกอบด้วย เผ่าซยงหนู เผ่าเซียนเป่ย เผ่าตี เผ่าเจี๋ย และเผ่าเซียง รวมเป็นห้าเผ่าคนเถื่อน
[4] ไม้หนานมู่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phoebe zhennan S. Lee เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ เนื้อไม้มีสีทอง เป็นไม้มงคลของชาวจีน นิยมนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปหรือสร้างพระราชวังในสมัยก่อน
“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” “เป็นข่าว
หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ
“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...”ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “เกอเกอ!” เฮือก!! เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน ‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’ เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า