“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...”
ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เกอเกอ!”
เฮือก!!
เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน
‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’
เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า
“เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระสุบินร้ายอีกแล้วหรือ” จางกงกงห่วงใย เห็นองค์รัชทายาทน้อยคลึงขมับเล็กๆ ไม่หยุด เหงื่อยังผุดซึมเต็มดวงหน้า จึงกวักมือเรียกขันทีให้เอาผ้ามาซับเหงื่อให้นายเหนือหัว
เฉินซือหยางส่ายศีรษะให้หายมึน ปล่อยให้ข้ารับใช้คนสนิทเช็ดหน้าเช็ดมือให้จนรู้สึกสบายตัวขึ้นเล็กน้อย
“อืม ตอนนี้ยามใดแล้ว”
“ยามอิ๋นสามเค่อ[1] แล้ว จะทรงบรรทมต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินซือหยางโบกมือปฏิเสธกงกงคนสนิท “ไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าอยากอาบน้ำเสียหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงออกไปสั่งการให้ขันทีจัดเตรียมห้องสรงน้ำเพียงครู่ แล้วกลับเข้ามาปรนนิบัติองค์รัชทายาทเช็ดหน้าบ้วนปาก ถอดฉลองพระองค์ให้แล้วพาองค์รัชทายาทตัวน้อยไปสรงน้ำ แต่เฉินซือหยางกลับโบกมือไล่ข้ารับใช้เหล่านั้นออกไป เหล่านางกำนัลขันทีต่างค้อมกายรับคำสั่ง ถอยห่างจากตำหนักหลักเงียบๆ เหลือเพียงจางกงกงที่ยืนรออยู่หลังฉากบังลมไม้หวงฮวาหลี[2] ฉลุลายกิเลนทองเหยียบเมฆมงคล
“วันนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้าหลังเลิกเรียนนะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงแจ้งพระประสงค์ของฝ่าบาทซึ่งกำชับเขาเมื่อคืนหลังจากทรงกล่อมองค์รัชทายาทเข้าบรรทมแล้ว
“เสด็จพ่อได้ตรัสหรือไม่ว่าเรื่องใด”
“ไม่ได้ทรงตรัสไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซือหยางแช่น้ำอีกครู่ พอน้ำเริ่มเย็นจึงลุกออกจากถังน้ำ จางกงกงรอท่าอยู่แล้วถือผ้ามาช่วยซับหยดน้ำจากร่างเล็กนุ่มนิ่ม ขันทีคอยเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวในตำหนักต่างรีบเข้ามาปรนนิบัติองค์รัชทายาทแต่งกายอย่างรู้หน้าที่ เหล่านางกำนัลเองก็ยกเครื่องเสวยร้อนๆ จากห้องเครื่องตั้งสำรับไว้พร้อมสรรพ
เฉินซือหยางยืนนิ่งปล่อยให้เหล่าข้ารับใช้ปรนนิบัติด้วยสีหน้าเรียบเฉย คันฉ่องทองแดงสะท้อนภาพใบหน้าอวบอิ่มของเขา คิ้วคมเข้มปาดเฉียงรับกับดวงตาสีดำดุจรัตติกาลลึกล้ำเกินหยั่งถึงเป็นประกายกล้า ริมฝีปากบางเม้มแน่นปราศจากรอยยิ้มดูเคร่งขรึมเกินวัย ไม่เข้ากับวัยเพียง 9 ชันษาของเขาเอาเสียเลย แต่เฉินซือหยางหาได้สนใจสายตาของผู้ใด เขายังคงปฏิบัติราชกิจประจำวันของตนเองด้วยอาการเฉยชา ร่างเล็กสาวเท้าออกจากตำหนักอี้ชิ่งท่ามกลางหิมะแรกที่โปรยปรายในฤดูเหมันต์
[1] เป็นนับโมงยามของจีน ยามอิ๋นคือเวลา 3.00 น. ถึง 05.00 น. หนึ่งเค่อประมาณ 15 นาที ฉะนั้น ‘ยามอิ๋นสามเค่อ’ คือเวลา 03.45 น.
[2] หวงฮวาหลี ( 黄花梨 ) เป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าบนเกาะไหหลำ เนื้อไม้แน่น มีลวดลายสวยงาม นิยมนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน มีราคาสูง
แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่อ
“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” “เป็นข่าว
หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า
ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน “ไป!” ‘ไป่ชิ