ยอดเขาซีเทียนเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นเมฆาในดินแดนฮุ่นตุ้น[1] พระอาทิตย์ยามอัสดงเคลื่อนคล้อยผ่านทิวเมฆสาดแสงตกต้องป่าเฟิงผืนใหญ่แผ่คลุมเหนือยอดเขา เกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตาหาใดเปรียบ ท่ามกลางทิวทัศน์ซึ่งหาชมได้ยากนี้มีเรือนไม้หลังน้อยซุกซ่อนอยู่ ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต โต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐแลดูสว่างไสว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยว หากในยามปกติคงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่นงดงาม แต่ทัศนียภาพดังกล่าวกลับถูกเปลวเพลิงจากเวทอัคคีมรณะกลืนกินจนแทบไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ชื่นชม เปลวเพลิงเตโชกสิณสีดำทมิฬถาโถมโหมกระหน่ำร้อนแรงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้ราพณาสูร
ท่ามกลางเปลวเพลิงมรณะลุกโชติช่วงปรากฏเงาร่างของบุรุษในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามกวัดแกว่งกระบี่ยาวคมกริบต้านรับดาบโค้งที่ฟาดฟันอย่างดุดันหมายปลิดชีพเขา แรงปะทะกันของอาวุธวิเศษสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งภูผาทลาย ทำให้ทั้งสองฝ่ายถูกกระแทกไปไกลหลายจั้ง[2] สบโอกาสให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวฉวยร่างของเด็กหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้มากอดแนบอก หมุนตัวหลบธนูเพลิงอัคคีมรณะที่กราดยิงดุจห่าฝน
“ไป!” ‘ไป่ชิงถง’ ตะโกนเสียงดังเหินกายพาเด็กหนุ่มในอ้อมแขนหลบหลีกอย่างว่องไว ทั้งยังตวัดกระบี่ชุนอู่เป็นกงจักรพายุ คมกระบี่นับพันสาดประกายต้านรับลูกธนูที่พุ่งเข้าหาจนเกิดเสียงปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว เหล่าชายปริศนาชุดดำหรือจะยอมปล่อยให้ทั้งสองคนหนีไปได้โดยง่าย ต่างพากันง้างธนูเพลิงดอกแล้วดอกเล่านับพันนับหมื่นดอกยิงใส่คนทั้งคู่ ไป่ชิงถงปัดป้องลูกธนูเหล่านั้นเต็มกำลัง แต่ไม่ว่าจะพยายามหลบเลี่ยงมากเพียงไรก็ไม่อาจรอดพ้นพายุเกาทัณฑ์ของอีกฝ่ายไปได้
ฮึก!
หัวไหล่ของไป่ชิงถงสั่นสะท้าน เมื่อปลายศรสีดำทะมึนดอกหนึ่งปักทะลุไหล่ซ้ายแผดเผาเลือดเนื้อบริเวณหัวไหล่ของเขาจนมอดไหม้เป็นสีดำเกรียม ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง เลือดสดๆ ไหลทะลักเปรอะใบหน้าเด็กหนุ่มในอ้อมแขน
‘สวีจิ้งเฟิ่ง’ ปรือตาบวมช้ำห้อเลือดมองบริเวณไหล่ซ้ายที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมของชายหนุ่มด้วยความห่วงใยจนนัยน์ตาแดงก่ำ เสียงแหบเครือของเด็กหนุ่มเอื้อนเอ่ยด้วยความร้อนใจดุจไฟลน อยากจะดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่ง ไม่อยากเป็นตัวถ่วงในการหลบหนี แต่ก็กลัวว่าหากขยับตัวมากจะกระทบกระเทือนบาดแผลที่เพิ่งได้รับมาของไป่ชิงถงเข้า
“เกอเกอ[3] ท่านได้รับบาดเจ็บ ปล่อยข้าลงเถอะ ข้า…”
“หุบปาก!” ไป่ชิงถงกอดกระชับร่างสูงโปร่งของสวีจิ้งเฟิ่งแน่น ป้องกันไม่ให้โดนลูกธนูที่พุ่งเข้ามาดั่งสายฝน กัดฟันข่มความเจ็บปวดเหินกายหลบหนีสุดชีวิต เห็นเพียงเงาแสงเล็กๆ ไกลลิบตา แต่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นกลับเหินกายเข้ามาโอบล้อมขวางทางพวกเขา
ไป่ชิงถงเบี่ยงตัวหลบประกายดาบซึ่งสะท้อนเข้าที่ปลายหางตาได้อย่างเฉียดฉิว วาดกระบี่ชุนอู่สกัดรับ ตวัดเท้าเตะชายชุดดำอีกคนที่พุ่งเข้าหาจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นเฟิงที่ถูกเผาไหม้หักโคนเป็นทางยาว พร้อมทั้งฟาดฝ่ามือใส่มือเกาทัณฑ์ผู้กำลังขึ้นสายธนูจนอีกฝ่ายกระเด็นไปไกล แล้วพลิกกระบี่ชุนอู่ตั้งรับดาบโค้งที่ฟันลงมาทางด้านหน้า ก่อนจะปัดออกแล้วแทงทะลุลำคอชายชุดดำเจ้าของดาบโค้ง ร่างหนากระตุกวูบสิ้นชีพในกระบี่เดียว นอกจากนี้ปลายกระบี่คมกริบยังตวัดเฉือนลำคอของชายชุดดำด้านข้างอีกสองคนรอบตัวเขา แต่ไป่ชิงถงกลับหลบไม่พ้นดาบโค้งทางด้านหลังที่ฟันลงมาเต็มแรงหมายเอาชีวิต
“อ่ะ!!”
ไป่ชิงถงกระตุกเกร็ง สายเลือดอุ่นร้อนไหลทะลักจากบาดแผลฉกรรจ์บริเวณแผ่นหลังกว้างอาบย้อมอาภรณ์สีฟ้าครามให้กลายเป็นสีแดงฉาน ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปเล่นงานคนลอบกัด ไป่ชิงถงก็โดนฝ่ามือหนาหนักซัดเข้ากลางแผ่นหลังจนร่างกระเด็น ชายหนุ่มฝืนพลิกร่างของเด็กหนุ่มหลบ เป็นฝ่ายกระแทกเข้ากับต้นเฟิงขนาดใหญ่เสียเองเสียงดังสนั่นจนต้นไม้ใหญ่หักโค่น
“พรูดดด”
“เกอเกอ!”
ไป่ชิงถงกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ทำเอาสวีจิ้งเฟิ่งหน้าเสีย นิ้วมือเรียวยาวเอื้อมไปเช็ดเลือดให้ด้วยความห่วงใย กลับถูกมือหนาของชายหนุ่มปัดออก ก่อนจะผลักร่างสูงโปร่งของสวีจิ้งเฟิ่งออกจากอ้อมอก
“ไป! รีบหนีไป”
“ไม่!! ข้าไม่มีทางทิ้งท่านไป ข้าขอสู้ตายพร้อมท่าน” สวีจิ้งเฟิ่งคว้ากระบี่ชุนอู่จากมือหนา ขวางอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ไป่ชิงถงหรือจะยอมให้เด็กหนุ่มทำเช่นนั้น ร่างสูงผลักเด็กน้อยออกห่างทำเอาสวีจิ้งเฟิ่งล้มลงด้านข้าง กระบี่ถูกแย่งชิงไปตกอยู่ในมือของผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าน่ะหรือจะมาสู้ตายพร้อมข้า รักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดีก่อนเถอะ” ไป่ชิงถงดีดหน้าผากมนของเด็กหนุ่มอย่างที่เคยทำเป็นประจำด้วยความเอื้อเอ็นดู รอยยิ้มอ่อนโยนกระจายทั่วดวงหน้างาม จนเด็กหนุ่มเหม่อมองอย่างเผลอไผล
ไป่ชิงถงวาดฝ่ามือรวบรวมพลังปราณทั่วร่าง ก่อเกิดเป็นใบมีดคมกริบนับหมื่นพันรายล้อมรอบกายแกร่งดั่งพายุคลั่ง สาดซัดใส่เหล่าชายชุดดำที่พุ่งตัวเข้ามารนหาที่ตายดุจพายุใบไม้ปลิดปลิวยามลมวสันต์หวนคืน แต่กลุ่มชายชุดดำกลับตั้งค่ายกลเพลิงสกัดไว้ได้ทันท่วงที ทำให้ใบมีดที่พุ่งออกไปถูกทำลายด้วยเวทอัคคีมรณะจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน สวีจิ้งเฟิ่งเห็นดังนั้นก็ยิ่งร้อนใจรีบประกบมือรวบรวมพลังปราณสร้างเป็นกระบี่เกล็ดเหมันต์ส่องประกายแวววาวเต็มไปด้วยไอสังหารหลายเล่มพุ่งเข้าถล่มกลุ่มคนชั่วเหล่านั้นอีกแรง
อนิจจาน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด กระบี่เกล็ดเหมันต์อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณเยือกเย็นซึ่งฝืนเค้นออกมาก็เปราะบางไม่อาจหาญต่อกรกับเวทอัคคีมรณะที่เผาผลาญได้แม้กระทั่งตะวันจันทราฉันนั้น ด้วยความวู่วามฝืนรวบรวมพลังวิญญาณทั้งที่ตนเองเจ็บหนัก ทำให้เด็กหนุ่มกระอักโลหิตออกมาคำโต พลังปราณในร่างกายปั่นป่วนแทบฉีกทึ้งเส้นชีพจรทั่วร่างของเขาให้ขาดสะบั้น
“เสี่ยวจิ้งเจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ไป่ชิงถงผวารับร่างเซถลาของสวีจิ้งเฟิ่งเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง เหงื่อกาฬแตกพลั่กโหมพลังสร้างเถาอสรพิษเป็นเกราะคุ้มกายห่อหุ้มร่างของคนทั้งคู่ไว้ ต้านรับเปลวอัคคีร้อนแรงที่กำลังโหมกระหน่ำ
“ข้าไม่เป็นไร” สวีจิ้งเฟิ่งฝืนใช้พลังสร้างม่านน้ำแข็งขึ้นมาโอบล้อมพวกเขาไว้อีกชั้น พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงจนระเบิดออกตูมใหญ่ กระแทกทั้งสองฝ่ายกระเด็นไปไกลหลายจั้ง แรงปะทะของพลังอันหนักหน่วงทำเอาทั้งคู่บาดเจ็บหนักจนแทบยืนหยัดสู้ต่อไปไม่ไหว แม้จะหลบพ้นจากการโจมตีของตรงข้ามได้อีกครา หากปะทะกันครั้งหน้าเกรงว่าคงต้านรับไม่ไหวแล้ว
ไป่ชิงถงมองสภาพสะบักสะบอมของสวีจิ้งเฟิ่งก็รู้สึกปวดใจเจียนคลั่ง ถ้าทำได้เขาอยากรับความเจ็บปวดของเสี่ยวจิ้งเอาไว้เสียเอง เขาเลี้ยงดูจิ้งเอ๋อร์มาเป็นอย่างดีแล้วจะทำใจให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ยิ่งต้องทนเห็นคนที่เขารักเหมือนน้องชายแท้ๆ ตายจากไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
“นี่เสี่ยวจิ้ง เจ้ายังจำคำถามที่ข้าเคยถามเจ้าเมื่อตอนนั้นได้หรือไม่”
“แค่กๆ ตะ… ตอนไหนหรือขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่งปิดปากกระอักกระไอ เลือดสดๆ ไหลทะลักตรงมุมปากไม่ขาดสาย ไป่ชิงถงจึงเอื้อมมือไปช่วยเช็ดออกให้ด้วยความห่วงใย
“ที่เคยถามเจ้าว่า หากไม่มีข้า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่”
“เกอเกอนี่ท่าน…” สวีจิ้งเฟิ่งมองใบหน้างามสง่าดุจจันทราสาดแสงผ่านม่านเมฆของไป่ชิงถงด้วยดวงตาไหวระริก แสงโชติช่วงจากเปลวเพลิงยิ่งขับเน้นให้ดวงหน้าคมคายราวกับหยกสลักเนื้อดีที่บรรจงสลักเสลาออกมางดงามหาใดเปรียบ ดวงตาดอกท้อสีเขียวมรกตทอประกายบางอย่างวาบผ่านนัยน์ตาคู่งามเพียงวูบก่อนจะสลายไป จนเด็กหนุ่มจับคว้าความนัยเอาไว้ไม่ทัน
“ข้าจะอยู่โดยไม่มีท่านได้อย่างไร ท่านคือทั้งหมดในชีวิตข้า หากไม่มีท่านแล้ว ข้าอยู่ไปจะมีความหมายอะไร ท่านเคยบอกว่าพวกเราเกิดวันเดียวกันไม่ได้ แต่ตายวันเดียวกันได้ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ” สวีจิ้งเฟิ่งถามกลับเสียงสั่นเครือ สีหน้าฉายแววอ้อนวอนปนคาดหวังเต็มเปี่ยม ทำให้ไป่ชิงถงไพล่นึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธภพในแดนมนุษย์ที่จิ้งเอ๋อร์มักรบเร้าให้เขาเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืนด้วยสีหน้าเช่นนี้ ใบหน้าไร้เดียงสาจดจ้องเขาจนดวงตาเปล่งประกาย ตั้งอกตั้งใจฟังเขาเล่าด้วยความสนุกสนาน ภาพอันอบอุ่นงดงามยังติดตรึงในห้วงคำนึงของไป่ชิงถงอยู่ไม่วางวาย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
“ดี! คำนี้พูดได้ดียิ่ง มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า…” ไป่ชิงถงหัวเราะครึกครื้นถูกอกถูกใจกับคำพูดของเด็กหนุ่มยิ่งนัก ก่อนที่เสียงหัวเราะอันแสนเบิกบานใจจะเงียบหายไปเสียเฉยๆ “...แต่ว่านะจิ้งเอ๋อร์ ข้าเลี้ยงเจ้าโตมาจนป่านนี้แล้วจะเห็นเจ้ามีทุกข์แม้เพียงน้อยนิดได้อย่างไร เจ้าจงมีแต่ความสุขเถอะนะ ส่วนความทุกข์ยากทั้งหลายนั้น ข้าจะแบกรับมันแทนเจ้าเอง อนาคตของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก จงอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็งเถอะนะเสี่ยวจิ้งของข้า” ไป่ชิงถงเผยยิ้มให้เด็กหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่เขามักมีให้กับสวีจิ้งเฟิ่งเสมอยามทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่วันนี้เด็กหนุ่มกลับจ้องมองรอยยิ้มอันแสนงดงามเต็มไปด้วยความรักใคร่อ่อนโยนนั้นผ่านม่านน้ำตา เสียงแหบพร่าเปล่งเสียงร้องห้ามออกมาสุดเสียง แต่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเรือนร่างสูงใหญ่เอาไว้ได้
“ไม่นะ!!!”
สวีจิ้งเฟิ่งทุบกรงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมาปกป้องเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าในชุดอาภรณ์สีฟ้าครามเหินกายตรงไปยังกลุ่มชายชุดดำ เปิดฉากฆ่าฟันกับยอดฝีมือหลายสิบคน สวีจิ้งเฟิ่งเห็นเงาร่างสูงเพรียวหยิ่งทะนงราวกับต้นสนบนยอดเขาสูงของไป่ชิงถงวูบไหวไปมา กวัดแกว่งกระบี่ฆ่าฟันศัตรูอย่างห้าวหาญ อาภรณ์สีฟ้าครามสะบัดพลิ้วราวกับชายหนุ่มกำลังร่ายรำท่ามกลางป่าเฟิงในฤดูใบไม้ร่วง เด็กหนุ่มจิกมือแน่นจนซีกไม้ทิ่มเข้าไปในเนื้อเลือดไหลซิบ เมื่อเห็นชายหนุ่มพลาดท่าเสียทีถูกฟันไปหลายแผล ทั้งถูกพลังปราณของฝ่ายตรงข้ามกระแทกร่าง จนเรือนกายสูงโปร่งอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานเหมือนผุดขึ้นมาจากสระโลหิต
สวีจิ้งเฟิ่งได้แต่เบิกตามองภาพการต่อสู้ดังกล่าว ดวงตาแดงก่ำด้วยความคั่งแค้น เขาจะจดจำความแค้นนี้ไว้ให้ขึ้นใจ มันผู้ใดที่บังอาจทำร้ายเกอเกอของเขา เขาจะตามล่าตามผลาญมัน แม้แต่ดวงวิญญาณก็อย่าหวังว่าจะได้ไปผุดไปเกิด!
ไป่ชิงถงควงกระบี่ต่อกรกับเหล่าชายชุดดำอย่างเหี้ยมหาญ ฆ่าได้หนึ่งแต่ก็เสริมเข้ามาอีกหนึ่งไม่จบไม่สิ้นราวกับดอกเห็ดที่ผุดขึ้นมายามวสันตฤดู เขาทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อรับมือกับคนชั่วเหล่านี้ แต่กลับมีคนสลัดหลุดจากวงต่อสู้จะเข้าไปทำร้ายจิ้งเอ๋อร์ของเขา ไป่ชิงถงไม่รอช้าตัดสินใจระเบิดปราณทิพย์ในกายโดยไม่เสียดายชีวิต เขาจะลากพวกที่มันคิดสังหารจิ้งเอ๋อร์ของเขาให้ตายตกไปตามกันเสียให้หมด!
“ระวัง! มันจะระเบิดพลังปราณแล้ว” หัวหน้ากลุ่มชายชุดดำตะโกนเตือนพวกพ้องเสียงดัง เมื่อพลังปราณโดยรอบถูกไป่ชิงถงดูดกลืนจนสายลมรอบกายโหมกระหน่ำราวกับทะเลคลั่ง มวลเมฆปั่นป่วนหมุนวนเป็นเกลียวคลื่น ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน อสนีบาตคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ฝ่าฟาดลงมาบนยอดเขาซีเทียนเฟิงจากทุกทิศทุกทาง จู่โจมเข้าใส่กลุ่มชายชุดดำจนแตกพ่ายไม่เป็นขบวน
“รีบจัดการมันเร็วเข้า!!” หัวหน้าชายชุดดำตวาดสั่งเสียงดังลั่น ร่างกายถูกสายฟ้าฟาดใส่จนแหลกเละ ลมหายใจดับดิ้นไปพร้อมกับคำสั่งสุดท้าย แต่พลังปราณที่อัดแน่นในกายไป่ชิงถงระเบิดออกอย่างรุนแรงเสียก่อน แสงสีทองเปล่งรัศมีเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างกายของชายหนุ่มจากทุกทิศทุกทาง ส่งผลให้ยอดเขาซีเทียนเฟิงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าแตกร้าวร่วงกราวตกลงสู่พื้นพิภพเบื้องล่างราวกับหิมะสีนิลที่กำลังร่วงโรย แรงสะท้อนของพลังอันมหาศาลกวาดล้างเหล่าชายชุดดำทั้งหมดที่ล้อมวงสังหารเขาจนร่างแหลกสลายโลหิตไหลนองดั่งสายธาร
“เกอเกอ!” สวีจิ้งเฟิ่งตะโกนเรียกไป่ชิงถงสุดเสียง ถลาเข้าไปรับร่างสูงโปร่งไว้ในอ้อมกอดได้ทันท่วงที มือสั่นเทาสัมผัสใบหน้าหยิ่งทะนงด้วยความหวาดหวั่นสุดขั้วหัวใจ
“เกอเกอท่านตอบข้าสิ ท่านอย่าเป็นอะไรนะ เกอเกอท่านได้ยินข้าหรือไม่ เกอเกอ!!” เด็กหนุ่มพร่ำเรียกเสียงพร่า เห็นดวงตาสีเขียวมรกตงดงามคู่นั้นจ้องมองมาที่ตนก็ดีใจจนระงับตัวเองไว้ไม่อยู่ เผลอรวบร่างสูงของชายหนุ่มเข้ามากอดแนบอกแน่น
“สะ… เสี่ยวจิ้ง”
“ข้าอยู่นี่ ท่านอดทนอีกนิดนะ อีกนิดเดียว ข้าจะรักษาท่านเดี๋ยวนี้แหละ” สวีจิ้งเฟิ่งถ่ายพลังให้ไป่ชิงถง กลับถูกชายหนุ่มรวบมือเอาไว้แน่น
“สะ… เสี่ยวจิ้ง ข้าไม่ไหวแล้ว จะ… เจ้ารีบหนีไปซะ อะ… อาจมีพวกมันตามมาอีก จะ… เจ้ารีบหนี… ฮึก” ไป่ชิงถงกระอักเลือดออกมากองใหญ่ โลหิตไหลออกทวารทั้งเจ็ดไม่หยุด เขารู้ดีว่าตนเองไม่รอดแน่แล้ว ชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้เสียดาย เพียงแต่ห่วงเดียวที่ยังเหลืออยู่ช่วยต่อลมหายใจเขาได้อีกครู่ หากไม่เห็นคนตรงหน้าปลอดภัยไร้กังวลแล้วเขาจะตายตาหลับได้อย่างไรกัน
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อีกเดี๋ยวท่านก็หายดีนะ เชื่อข้า…” สวีจิ้งเฟิ่งละล่ำละลักบอก เช็ดเลือดให้ชายหนุ่มไม่หยุด พยายามอุ้มร่างที่ใหญ่โตกว่าตัวเองขึ้น พาเกอเกอของเขากลับไปรักษา แต่มือหนาเปื้อนเลือดของไป่ชิงถงกลับฉุดรั้งแขนเล็กของเขาไว้ไม่ให้ทำเช่นนั้น
“มะ…ไม่ จิ้งเอ๋อร์ จะ.. เจ้าฟังข้า พวกมันจะส่งคนมาฆ่าเจ้าอีก จะตามฆ่าเจ้า รีบไป ซะ… ซ่อนตัวอย่าให้ผู้ใดพบเห็น ตามหาหลินเสวี่ย ฟะ.. อ๊อก” ไป่ชิงถงกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายทรมานราวกับถูกไฟนรกแผดเผา เจ็บปวดยากจะทานทน ลมหายใจขาดห้วง พยายามบอกความจริงให้สวีจิ้งเฟิ่งได้รู้ก่อนตาย แต่กลับไม่อาจพูดออกมาได้ สุดท้ายร่างสูงในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มก็ตัวอ่อนยวบ ลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิว ร่างกายค่อยๆ สลายหายไปกับสายลมในยามราตรีกาลดุจดั่งแสงหิ่งห้อยในฤดูร้อน
“เกอเกอ ไม่นะ! ท่านฟื้นสิ อย่าล้อข้าเล่นแบบนี้" สวีจิ้งเฟิ่งพยายามไขว่คว้ากลุ่มแสงอบอุ่นอ่อนโยนที่โอบล้อมอยู่รอบกาย กลับได้เพียงความว่างเปล่า "ท่านจากข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ ฮือๆ ท่านไปแล้วข้าจะอยู่กับใคร" เด็กหนุ่มพร่ำเพ้อหาเงาร่างอันคุ้นเคย หยาดน้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสายราวกับไข่มุกหล่นกระทบจานกระเบื้องเคลือบ ในอกเจ็บปวดรวดร้าวเจียนตายราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา ได้แต่เบิกตามองร่างกายของผู้เป็นที่รักค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตาอย่างทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องเรียกหาชายหนุ่มสุดเสียง แต่เขาก็ไม่อาจหวนกลับคืนมาอีกแล้ว
“เกอเกอ!!!!!!”
[1] ดินแดนฮุ่นตุ้น คือดินแดนแห่งความว่างเปล่าที่ล่องลอยอยู่ระหว่างแดนสวรรค์ แดนมาร และโลกมนุษย์
[2] เป็นหน่วยวัดของจีน 1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร
[3] เกอเกอ แปลว่า พี่ชาย
“เกอเกอ... ท่านอย่าตายนะ... เกอเกอ...” ภายในตำหนักอี้ชิ่งอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางผ้าม่านสีขาวโปร่งบางเป็นชั้นๆ ปลิวล้อสายลมยามย่ำรุ่ง ปรากฏเงาร่างกลมป้อมของ 'เฉินซือหยาง' นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาบนแท่นบรรทม มือเล็กกำผ้าห่มแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไหลโทรมกายเปียกชุ่มฟูกนอน เสียงละเมอของเด็กน้อยครางเครือในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาจางเสี่ยวเหล่ยหรือจางกงกงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตื่นตระหนกตกใจจนต้องรีบเข้าไปดู “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “เกอเกอ!” เฮือก!! เฉินซือหยางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นนั่งหายใจหอบหนัก ในห้วงความคิดภาพเหตุการณ์ในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มันชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน ‘แล้วมันคือที่ใดกันเล่า เกอเกอที่ข้าเรียกหานั้นคือผู้ใดกัน’ เฉินซือหยางยิ่งคิดยิ่งสับสนมึนงง ใบหน้างามสง่าในห้วงฝันเริ่มเลือนรางห่างไกลราวกับคนผู้นี้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดทุกครั้งที่เขาลืมตาตื่นพอนึกถึงภาพใบหน้าของคนผู้นั้นทีไรถึงนึกไม่ออกเล่า “เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระสุบินร้ายอีกแ
แคว้นต้าเฉินสถาปนาขึ้นหลังจากพระเจ้าเฉินไท่จูซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝูกั๋ว[1] จับดาบต่อต้านจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนที่ไม่สนใจบริหารราชกิจบ้านเมือง มัวเมาสุรานารี ปล่อยให้เหล่าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แบ่งพรรคแบ่งพวกกันรีดนาทาเร้นประชาชนจนราชสำนักฟอนเฟะ ราษฎรอดอยากยากแค้น ชนเผ่าต่างแคว้นรุกราน เกิดภัยแล้งและภัยสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านเหล่าขุนนางกังฉินจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ ตอนนั้นพระเจ้าเฉินไท่จูได้รับคำสั่งให้ไปปราบจลาจลชาวบ้าน เพราะทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวจึงรวบรวมไพร่พลใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมกับชาวบ้านร่วมกันต่อต้านราชวงศ์ มุ่งหน้าทำศึกยึดเมืองต่างๆ จับกุมขุนนางกังฉินทั่วแผ่นดินตัดศีรษะแขวนศพประจานไว้หน้าประตูเมืองให้เป็นเยี่ยงอย่าง รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมุ่งหน้ากรำศึกสุดท้ายที่ผิงอานเมืองหลวงของแคว้น จับจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้นสังหาร แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งแคว้นต้าเฉิน เริ่มรัชสมัยอันรุ่งเรืองเฟื่อ
“มาแล้วหรือ มานั่งนี่สิ” เฉินเทียนอี้ตบตักตนเองเบาๆ เรียกให้บุตรชายไปนั่งด้วย เฉินซือหยางเห็นดังนั้นก็ไม่อิดเอื้อนปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเสด็จพ่ออย่างคุ้นชิน “เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เฉินซือหยางชะโงกหน้ามองฎีกาที่เสด็จพ่อทรงอ่านค้างไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาเล็กน้อยจนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดูดีๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอ่านฎีกา ทำเอาผู้เป็นพ่อแย้มเยือนเอ็นดูในความใคร่รู้ของบุตรชาย “พ่อกำลังอ่านฎีกาที่เจิ้งกั๋วกง[1] ให้ม้าเร็วส่งมาให้” เฉินเทียนอี้บอกบุตรชายทั้งยังกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อเจ้าตัวชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โต๊ะมากเกินไป จนผู้เป็นบิดากลัวว่าบุตรชายจะหล่นจากพระที่นั่ง “เจิ้งกั๋วกงรบชนะเซียนเป่ยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” “เป็นข่าว
หลังจากเฉินซือหยางหารือข้อราชกิจกับเสด็จพ่อจนถึงยามโหย่ว[1] พอเดินออกจากตำหนักเฉียนชิงก็พบกับเหล่านางสนมที่มารอเข้าเฝ้า ทุกคนต่างผัดหน้าทาชาดกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มยังกับจะมาเล่นละครงิ้วกันเสียเอง กลิ่นเครื่องหอมกำยานอบร่ำกันมาทั้งเนื้อทั้งตัวต่างคนก็ต่างกลิ่น คนนี้อบกลิ่นโม่ลี่ฮวา[2]คนนั้นอบกลิ่นอิงฮวา[3]คนโน้นเองก็อบกลิ่นเหมยกุ้ยฮวา[4]มีสารพัดกลิ่นราวกับยกหมู่มวลดอกไม้มาทั้งอุทยานหลวง กลิ่นเหม็นฉุนปะทะกันสารพัดกลิ่นแทบจะรมคนให้ตายได้ เฉินซือหยางได้กลิ่นคราแรกถึงกับหน้ามืดตาลาย เริ่มรู้สึกนับถือเสด็จพ่อจากก้นบึ้งของหัวใจที่พระองค์สามารถทนประทับอยู่กับสารพัดกลิ่นฉุนเหล่านี้ได้หลายปีดีดัก “ถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ” บรรดาสนมนางกำนัล และขันทีแต่ละตำหนัก ซึ่งตอนแรกพูดจาเสียดสีกันต่า
เพียงชั่วก้านธูป[1] ผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลังทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับออกมา ภาพที่เฉินเทียนอี้เห็นในสายพระเนตรคือ ภาพของเหล่าสนม นางกำนัลนั่งคุกเข่ากันเรียงรายเป็นทิวแถวท่ามกลางหิมะตกหนัก ทุกคนหน้าซีดปากสั่นมีหิมะเกาะเต็มศีรษะสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง “ฝ่าบาท” “ฝ่าบาทเพคะ” เสียงร้องน่าเวทนาดังระงมดุจจักจั่นในฤดูร้อน ทำเอาเฉินเทียนอี้มุมปากกระตุก คิ้วคมเข้มขมวดฉับ ตวัดสายเย็นเฉียบมองคนต้นเรื่องด้วยความเดือดดาล จิตสังหารแผ่ซ่านจนซูโม่หลันสั่นสะท้านนึกเสียใจภายหลังที่ลงมือโดยพลการเช่นนี้ “หวังกงกง” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “ถอนรับสั่งของเต๋อเฟยเดี๋ยวนี้! บอกให้นางกำนัลปรนนิบัติเหล่าสนมรักของเราให้ดีอย่าให้
แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยัง
งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่า
“ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่ “ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี” “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” “สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก  
นาวาลำน้อยล่องลอยกลางธารากว้างใหญ่ แสงจากโคมไฟสว่างไสวทั่วลำเรือ ดวงจันทราสาดแสงส่องสะท้อนผืนน้ำดำมืดตกกระทบเงาคลื่นเปล่งประกายสีเงินพราวระยับ สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยนำพาความเย็นชื้นมาสู่ผู้ที่นั่งชมจันทร์ในคืนเดือนฉายจนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่บ้าง “หนาวหรือ” “อืม” จ้าวลี่หมิงพยักหน้ารับ เฉินซือหยางกอดกระชับคนร่างเล็กแนบอก เดินลมปราณส่งผ่านความอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บให้คนในอ้อมแขน จ้าวลี่หมิงครางอืออา รู้สึกอุ่นสบายราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน อดบดเบียดเนื้อตัวเข้าไปในอ้อมแขนกว้างกว่าเดิมไม่ได้ เพื่อซึมซับความอบอุ่นอันแสนคุ้นเคยนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย “คราวนี้หยางหยางหายโกรธแล้วใช่หรือไม่” เห็นเฉินซื
“แล้วจะให้จูบตรงไหนเล่า” “เจ้าก็ลองเดาดูสิ” จ้าวลี่หมิงมองหน้าเฉินซือหยางด้วยสีหน้าครุ่นคิด สายตายั่วเย้าสบเข้ากับดวงตากลมโตทำเอาจ้าวลี่หมิงเผลอไผล ยื่นหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มเบาๆ ราวกับต้องมนต์สะกด “ตรงนี้ใช่หรือไม่” “หึ” เฉินซือหยางส่ายหน้าตอบยิ้มๆ จ้าวลี่หมิงเลยหันไปหอมแก้มอีกข้างของเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าตอบจ้าวลี่หมิงอยู่ดี “เช่นนั้น...” สายตาของจ้าวลี่หมิงเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากหนา จู่ๆ ใบหน้างามก็ขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกร้อนที่หน้าแปลกๆ จนต้องหลบสายตา ไม่กล้ามองริมฝีปากหนานานๆเพราะริมฝีปากของเฉินซือหยางแลดูเย้ายวนเกินไป หากมองนานกว่านี้คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยของตนเท่าไหร่ “เป็นอะไรไป ในเมื่อเดาได้แล้วเหตุใดไม่ลงมือเสียเล่า” เฉินซือหยางเชยคางเรียวขึ้น สายต
ร่างสูงตระหง่านดุจต้นสนสาวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกดยิ้มมุมปากน้อยๆ แลดูสุภาพอ่อนโยนน่าเข้าหาขัดกับประกายตาเข้มลึกซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้เข้มข้น แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เนื่องจากกิริยาสง่างามเหนือสามัญดึงดูดสายตาของผู้คนในบริเวณนั้นไปจนหมดสิ้น ทุกย่างก้าวที่เฉินซือหยางย่ำผ่านแผ่อำนาจกดข่มผู้คน จนบัณฑิตที่ยืนอยู่หน้าสถานศึกษาต่างพากันขยับเท้าเปิดทางให้องค์รัชทายาทหนุ่มเสด็จผ่านเป็นทางยาว ดูยิ่งใหญ่ตระการตา เฉินซือหยางเดินเข้าใกล้จ้าวลี่หมิงทุกขณะ สายตามองตรงไปยังสองคนเบื้องหน้า ได้ยินบุรุษผู้นั้นชื่นชมชีชีของเขาแว่วๆ น้ำเสียงฟังดูขัดหูเกินทน “ท่าทางยามที่ท่านง้างธนูแลดูห้าวหาญยิ่ง ยิงเข้าเป้าทุกดอกไม่มีพลาด นับถือๆ” “ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก หากท่านสนใจศาสตร์นี้สามารถไปเยือนที่จวนของข้าได้ทุกเมื่อเพื่อขอ
สายลมพลิ้วไหว เมฆาไหลเอื่อย แสงอาทิตย์สาดส่องตกต้องตำหนักหลังงามที่รังสรรค์จากผลึกวิญญาณหลิวหลีสีมรกตเปล่งแสงเรืองรองโดดเด่นเป็นสง่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในตำหนักวิจิตรงดงามเต็มไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์เข้มข้นกลับร้างไร้ผู้คน มีเพียงร่างสูงใหญ่ในภูษาสวรรค์สีขาวราวแพรไหมนั่งเท้าคางอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงหลักด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงไม่นานร่างบอบบางในอาภรณ์สีเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ” หญิงสาวยอบกายทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย ดวงตาหงส์หลุบต่ำไม่กล้ามองตรงเพราะมีชนักปักหลัง “รู้ความผิดของตนเองหรือไม่” “ความผิด? ช่านเอ๋อร์หาทราบไม่” เพี๊ยะ!!! เพียงคำพูดไขสือนี้หลุดออกจากริมฝีปากบาง มือหนาของ
เมืองหยางโจวตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทุกที่ที่หลินเสวี่ยเฟิ่งย่างกรายเกิดเป็นชั้นน้ำแข็งจับตัวหนา แต่ถ้าไม่มีใครแตะต้องหรือพยายามจะจับตัวเขา ก็ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หลินเสวี่ยเฟิ่งตรงไปยังคุกที่ใช้คุมขังสองสามีภรรยาแซ่เกา ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าห้องขังท่ามกลางเหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่คุมเชิงอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลยสักคน เพราะกลัวปีศาจร้ายจะหันมาเล่นงานตนเข้า “อาต๋า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่” ซานเหนียงละล่ำละลักถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกสามีรั้งไว้ไม่ให้เข้าใกล้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อย่า! ซานเหนียงนั่นไม่ใช่ลูกของเรา” เกาซวงห้ามเสียงสั่น มองเรือนผมสีเงินพลิ้วไหว กลิ่นอายเย็นเฉียบที่แช่แข็งคนให้ตายได้ยิ่งทำให้หวาดผวา มิน่าเล่าอยู่ด้วยกันมานานปีถึงเพียงนี้ รูปลักษณ์ของบุตรชายถึงไม
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงออกเดินทางไปเจียงโจว เกาซวงและซานเหนียงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยมีกงชุนออกหน้าจัดการให้ทุกอย่าง เกาซวงเองก็จัดว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง พอได้เรียนรู้การค้าขายกับกงชุนก็สามารถเปิดร้านขายพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างราบรื่น ทั้งสองเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยกันทำมาค้าขายจนมั่งคั่งร่ำรวยเป็นคหบดีอันดับหนึ่งสองในเมืองเจียงโจว พอเกาซวงมีเงินมากขึ้นก็ประกาศหาหมอมากฝีมือมารักษาบุตรบุญธรรมไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการคล้ายคนสติไม่สมประกอบของหลินเสวี่ยเฟิ่งได้ นานวันเข้าสองสามีภรรยาต่างก็พากันถอดใจ “พวกท่านอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าได้ยินมาว่าหากได้เป็นวาณิชหลวงก็จะสามารถเชิญหมอหลวงมารักษาอาต๋าได้ ท่านสนใจหรือไม่” กงชุนนำข่าวดีมาบอกเกาซวงและภรรยาในวันหนึ่ง ซึ่ง ‘อาต๋า’ หรือ ‘เกาต๋า’ ที่อีกฝ่ายเรียกคือชื่อที่เกาซวงตั้งให้หลินเสวี่ยเฟิ่ง “อาชุน เจ้าพูดจริงหรือ” “เป็นเพื่อนกันมานานปีถึงเพียงนี้
กำไลหยกโลหิตวงนี้หลินเสวี่ยเฟิ่งใส่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดมันคืออาวุธเทพซึ่งเกิดจากการหลวมรวมพลังของราชาและราชินีเผ่าหงส์หรือก็คือบิดามารดาของหลินเสวี่ยเฟิ่งนั่นเอง ถือเป็นสุดยอดศาสตราวุธด้านการป้องกัน แรงระเบิดจึงรุนแรงยิ่ง กระแทกสองสามีภรรยาปลิวหายไปคนละทิศคนละทางไกลนับพันหมื่นลี้ กำไลหยกแตกละเอียดเป็นผุยผง ละอองสีแดงฟุ้งกระจายเปล่งแสงระยิบระยับงามจับตาก่อนจะสลายหายไปพร้อมๆ กับร่างกายของหลินเสวี่ยเฟิ่งเปลี่ยนจากสตรีกลายเป็นบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำนิลดุจท้องฟ้ายามราตรีในชั่วพริบตา ร่างสูงโปร่งหล่นลงจากฟากฟ้ากระแทกภูเขาลูกหนึ่งในโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่พร้อมๆ กับดวงจิตหลุดลอยหายไป ร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งหลับใหลไม่รู้คืนวัน ผ่านสารทวสันต์จากวันนานเป็นเดือนเคลื่อนเป็นปี ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก หรือพายุหิมะโหมกระหน่ำ เนิ่นนานจนร่างกายถูกฝังอยู่ใต้หุบเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน  
เสิ่นอวิ๋นไม่ได้ปิดด่านกักตนอย่างที่ได้บอกกับเฉินเทียนอี้ แต่กลับมาปรากฏตัวบนเส้นทางหวงเฉวียน[1]ทุ่งดอกปี่อั้น[2] สีแดงเพลิงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงต่างมุ่งสู่แม่น้ำลืมเลือน เพื่อข้ามสะพานไน่เหอรอการกลับไปเกิดใหม่ แต่พอใช้จิตเพ่งพิศดูกลับไม่พบดวงวิญญาณของหลานซือเยว่ที่เขากำลังตามหา ยมทูตเฮ่ยไป่อู่ฉาง[3] สัมผัสได้ถึงพลังปราณอันยิ่งใหญ่ต่างปรากฏขึ้นข้างกายเสิ่นอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเซียนท่านนี้มาเยือนปรภพด้วยเหตุอันใดหรือ” เฮ่ยอู่ฉางหรือยมทูตหน้าดำเห็นพลังที่ซ่อนเร้นของชายชราตรงหน้าก็ไม่กล้าดูแคลน ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียร แต่กลิ่นอายเทพเซียนบางเบาซึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างของคนตรงหน้า ทำให้เฮ่ยอู่ฉางและไป่อู่ฉางยำเกรงอยู่ค่อนข้างมาก “ข้ามาตามหาดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”
16 ปีก่อน ท้องฟ้าขมุกขมัวเมฆหมอกดำทะมึนหนักอึ้งฟ้าแลบแปล๊บๆส่งเสียงดังครั่นครื้น เพียงไม่นานหยาดพิรุณก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ม่านสีขาวขุ่นมัวปกคลุมไปทั่วเมืองผิงอาน นำพาความชุ่มฉ่ำและความอุดมสมบูรณ์มาสู่แคว้นต้าเฉิน ภายในตำหนักซูเซียว นางกำนัลและขันทีประจำตำหนักต่างวิ่งวุ่น อ่างน้ำผสมเลือดสีแดงฉานอ่างแล้วอ่างเล่าถูกยกออกมาจากห้องบรรทม เมื่อมองลึกเข้าไปภายในห้องจะเห็นเงาร่างแบบบางของสตรีนางหนึ่งนอนร้องครวญครางเสียงดังปานจะขาดใจ “ออกแรงอีกเพคะเหนียงเหนียง หนึ่ง สอง” “อื้ออออ” หลานซือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกออกแรงเบ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ตลอดสี่ชั่วยามที่ผ่านมาร่างกายท่อนล่างของนางเจ็บปวดรุนแรง ทุกครั้งที่ออกแรงแทบจะ