“พูดจาเย็นชาจังเลยน้าาา ไม่น่ารักเลยสักนิด แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ายอมรับปาก ข้าจะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่จงจำไว้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าข้า อย่าได้พูดชื่อมันให้ข้าได้ยินอีกเด็ดขาด ไม่งั้นหากข้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา คนที่จะต้องเสียใจย่อมเป็นเจ้า” สวีเฟยหลงแกล้งจุ๊บริมฝีปากบาง
หลานซือเยว่กำมือแน่นข่มกลั้นความคลื่นเหียนที่ได้รับจากชายผู้นี้ ซึ่งสวีเฟยหลงก็เห็นอยู่ตำตา แต่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ
'เกลียดได้เกลียดไป อย่ามาตกหลุมรักเขาก็แล้วกัน'
“เอาล่ะไม่แกล้งเจ้าแล้ว สายมากแล้วเจ้าก็กินอะไรหน่อยเถอะ" สวีเฟยหลงหยิบน้ำแกงปลาที่เย็นชืดไปนานออกมาใช้ฝ่ามืออุ่นให้ร้อนค่อยตักป้อนภรรยา "รู้ไหมข้าตั้งใจเคี่ยวตั้งนานเลยนะ น้ำแกงปลาชามนี้มีแต่ของที่มีประโยชน์ต่อเจ้า มา! เจ้าลองชิมดู” สวีเฟยหลงเป่าน้ำแกงให้หายร้อนยื่นช้อนหยกจ่อริมฝีปากบาง
“เอ๋อร์... เสวี่ยเอ๋อร์...” ใคร? ผู้ใดกำลังเรียกเขากัน หลานซือเยว่ครุ่นคิด จู่ๆ ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลานซือเยว่ในร่างของหญิงสาวผู้มีดวงหน้างดงามดั่งแสงจันทรานั่งขัดเขินอยู่หน้าคันฉ่องบานใหญ่ ใบหน้าคล้ายกับตนไม่มีผิดเพี้ยนส่งยิ้มเอียงอายให้หญิงสาวอีกคนผู้มีเค้าโครงหน้าเหมือนกันยืนหวีผมสีเงินงดงามให้ทางด้านหลัง “เสวี่ยเอ๋อร์ พอออกเรือนแล้วต้องปรนนิบัติองค์ไท่จื่อให้ดีรู้หรือไม่” “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลานซือเยว่ตอบรับไปตามสัญชาตญาณ “แล้วก็รีบมีหงส์หรือมังกรน้อยตัวอวบอ้วนให้อุ้มแม่เร็วๆ” “ท่านแม่ละก็” หลินเสวี่ยเฟิ่งเมื่อครั้นยังอยู่ในร่
ไกลออกไปนับพันหมื่นลี้ บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันสุขสงบกลับเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อชั่วอึดใจก่อนเหล่าเทพเซียนได้ยินเสียงร้องคำรามน่าเกรงขามของมังกรบรรพกาลต่างพากันหวาดหวั่นขวัญผวาเร่งเขียนฎีกาถวายเทียนตี้[1] ให้ทรงทราบถึงการปรากฏตัวอีกครั้งของอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลง เรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ ย่อมตกเป็นหัวข้อประชุมเร่งด่วน ทั้งองค์ประชุมต่างมีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งกลุ่มขั้วอำนาจเดิมของอดีตองค์ไท่จื่อ ทั้งขั้วอำนาจใหม่ของไท่จื่อสวีหนิงหลง รวมถึงผู้ที่จงรักษาภักดีต่อเทียนตี้ และพวกที่วางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด ต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายถกเถียงกันอยู่เป็นนานว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี “กระหม่อมเห็นควรว่าเราควรส่งทหารสวรรค์สิบหมื่นนายไปจับกุมอดีตองค์ไท่จื่อมาลงทัณฑ์ รับผิดชอบต่อหายนะที่พระองค์ได้ก่อไว้ในกาลก่อน” เห็นชัดว่าผู้ที่กล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นคนของสวีหนิงหลง คนของสวีเฟยหลงหรือจะยอมให้คนเหล่านั้นเพ
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักเฟิ่งหลวนระหว่างเมิ่งซิ่วหวง และหลินหลิงปรากฏเป็นเงาร่างวูบไหวสะท้อนบนคลื่นน้ำสีฟ้ากระจ่างใสซึ่งบรรจุอยู่ในกรอบโลหะชั้นดีประดับลูกแก้วหลิวหลีหลากสีแลดูงดงามจับตา ล้วนตกอยู่ภายใต้ดวงตาหงส์คู่งามของหลินช่านเฟิ่ง บทสนทนาของทั้งคู่ยังคงดังกังวานอยู่ภายในห้องอันเงียบสงัด อะไรคือรักพี่ของนางยิ่งกว่าสิ่งใด? อะไรคือเสียสละให้? น่าขัน! หลินช่านเฟิ่งเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน มองเงาสะท้อนของเมิ่งซิ่วหวงผู้เป็นมารดาในกระจกวารีพิสดารด้วยความเดือดดาล ดวงตาหงส์แดงก่ำราวกับหยดเลือด “ข้าทุ่มเทมาทั้งชีวิต ดิ้นรนด้วยเลือดเนื้อและหยาดน้ำตากว่าจะปีนป่ายขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวของข้าเอง แล้วเหตุใดข้าต้องหลีกทางให้มัน” หลินช่านเฟิ่งถามเมิ่งซิ่วหวงผ่านกระจกเงาด
“หยางหยาง” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น ประตูห้องหนังสือเปิดกว้างพร้อมกับร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงกระโดดโลดเต้นเข้ามา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก ดวงตาคู่งามดุจเมล็ดซิ่งเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเฉินซือหยางไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง “อ่ะ! พี่ซาน ท่านก็อยู่ด้วยหรอกหรือ ข้านึกว่าขุนนางทุกคนกลับไปแล้วเสียอีก” “อืม มีเรื่องหารือกับรัชทายาทนิดหน่อยน่ะ” เฉินซือหยางส่งสายตาให้ จินซานรีบซ่อนราชโองการไว้ในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วตามพระประสงค์จ้าวลี่หมิงเพิ่งเข้ามาไม่ทันสังเกตเห็นความนัยระหว่างคนทั้งสองเลยไม่ได้เอะใจอะไร “แล้วนี่พวกท่านกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ถ้ายุ่งมากข้าออกไปก่อนดีหรือไม่” “ไม่ต้องหรอก พวกข้าหารือกันเสร็จพอดีใช่หรือไม่ใต้เท้าจิน”&
จ้าวลี่หมิงถูกอุ้มขึ้นรถม้าในสภาพเหนื่อยล้าอ่อนแรง ใบหน้าปรากฏสีแดงระเรื่อแลดูคลุมเครือยิ่งนัก พอเฉินซือหยางวางร่างเล็กลงบนพรมหนานุ่มเท่านั้น จ้าวลี่หมิงก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปงนอนหันหลังให้คนตัวโตอย่างแง่งอน “เป็นอะไรไปอีกเล่า ยังโกรธข้าเรื่องนั้นอยู่หรือ” เฉินซือหยางสะกิดคนตัวเล็กผ่านผ้าห่มผืนหนา กลัวว่าคนตัวเล็กจะขาดอากาศหายใจจึงดึงผ้าบริเวณดวงหน้างามออก จ้าวลี่หมิงจึ๊ปากถลึงตามองคนก่อกวนด้วยความไม่พอใจจนแก้มพอง “รู้ตัวก็ดี คราวนี้ท่านก็อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย ไม่งั้นข้าจะทุบท่านให้ตายไปเลย” จ้าวลี่หมิงชูกำปั้นข่มขู่ท่าทางเช่นนั้นเหมือนกับแมวน้อยแสนงอนไม่มีผิด “โหดร้าย! ข้าปรนนิบัติพระชายาไม่ดีตรงไหน เหตุใดถึงได้ผลักไสไล่ส่งกัน” เฉินซือหยางบีบน้ำตาจระเข้สองหยด แสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาราวกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกสามีทอดทิ้ง ท่าทางเสแสร้งเยี่ยงอิ
สายลมยามดึกพัดผ่าน เปลวเทียนในตำหนักหยางซินพลิ้วไหวทำให้ภายในห้องบรรทมสลัวราง มือเรียวบิดผ้าหมาดชื้นเช็ดไปตามโครงหน้าคมเข้มด้วยความห่วงใย ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เช้าบัดนี้กลับมีการขยับไหว แม้เพียงนิดแต่หลานซือเยว่ซึ่งดูแลมาหลายชั่วยามย่อมจับสังเกตได้ เฉินเทียนอี้รู้สึกถึงความเปียกชื้นลืมตาตื่นในที่สุด ดวงตาลอยคว้างไร้จุดหมายเพียงครู่รูม่านตาก็หดแคบภาพดวงหน้างดงามคล้ายภรรยาของหลินเสวี่ยเฟิ่งลอยอยู่ตรงหน้า ทำให้เฉินเทียนอี้ที่ยังมึนงงอยู่ได้สติกลับมา “เสี่ยวเทียน ท่านฟื้นแล้ว!” หลานซือเยว่เรียกชายหนุ่มอย่างดีใจ รีบเข้าไปช่วยพยุงตัวเฉินเทียนอี้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง ก่อนจะรินน้ำชาอุ่นๆ ให้ชายหนุ่มจิบแก้กระหาย “มา ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เฉินเทียนอี้มองหลานซือเยว่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน สายตาลึกล้ำหนักอึ้งราวกับจะดึงดูดให้ผู้คนจมหายลงไปในความมืดมิดนั้นหลับลง
แสงเทียนภายในห้องหนังสือของตำหนักอี้ชิ่งยังคงสว่างไสว เงาร่างสูงตระหง่านของเฉินซือหยางนั่งคร่ำเคร่งอยู่ท่ามกลางกองฎีกาเหมือนเช่นเคย พอกลับจากจวนไท่เว่ยเขาก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อน แต่มานั่งตรวจฎีกาที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แน่นอนว่าเจ้านายไม่พักแล้วข้ารับใช้จะพักได้อย่างไร ภายในห้องไม่ได้มีเพียงเฉินซือหยางยังมีจางเสี่ยวเหล่ย และขุนนางอีกผู้หนึ่งนั่งทำงานอยู่ด้วย ขณะเปลี่ยนชาให้คนทั้งสอง จางกงกงแอบส่งสายตาให้ราชครูหานหรือ 'หานจางหมิ่น' ราชเลขาธิการควบตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์เป็นนัย หานจางหมิ่นได้รับสายตาขอร้องจากจางกงกงได้แต่พยักหน้ารับคำ “องค์รัชทายาทดึกแล้วทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน รอกลับจากแปรพระราชฐานค่อยทรงทอดพระเนตรอีกครั้งก็ยังไม่สาย” หานจางหมิ่นทูลเตือนด้วยความหวังดี “องค์รัชทายาททรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ย่อมเป็นวาสนาของแผ่นดินต้าเฉินแต่หากพระองค์ทรงล้ม
จ้าวลี่หมิงตื่นรับเช้าอันสดใสด้วยความกระปรี้กระเปร่า แม้จะนอนหลับไม่เต็มอิ่มเพราะมีเวลานอนน้อยแต่ความง่วงงุนก็ไม่อาจฉุดรั้งคนตัวเล็กได้ จ้าวลี่หมิงรีบหอบห่อผ้าที่เตรียมไว้ไปเคาะปลุกทุกคนในเรือนตั้งแต่ยามเหม่า[1] “ตื่นได้แล้วทุกคน วันนี้เราจะออกเดินทางกันแล้วนะตื่นๆๆๆ” จ้าวลี่หมิงมือหนึ่งถือตะหลิวอีกมือถือกระทะใบใหญ่เคาะไปตามห้องต่างๆ เสียงดังไปทั่วเรือน แม้แต่จ้าวมู่และกู้ฟางเหนียง รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการเดินทางในครั้งนี้ยังถูกเสียงร้องดุจฟ้าลั่นของเจ้าตัวเล็กก่อกวนจนแทบสะดุ้งตกเตียงไปตามๆ กัน สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นมายืนส่งบุตรหลานที่หน้าประตูจวนในสภาพที่ยังไม่ตื่นดี “ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ขากลับเสี่ยวชีจะเอาของพื้นเมืองของที่นั่นมาฝากน่า” จ้าวลี่หมิงโบกมือลาไหวๆ อย่างร่าเริง พอขึ้นขี่ม้าได้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงจากหลังม้าอีก ผิดกับจ้าวลี่จิ่นและหานกวางผู้เป็นพี่เขยที่กล่าวลาผู้ห
‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C!!” ถึงกับเลิ่กลั่ก นักข่าวนิรนาม : “คุณแย่งซีนบุตรชายเช่นนี้ รู้สึกผิดหรือไม่ขอรับ” สวีเฟยหลง : “แย่งซีนคืออันใด” ไป่ชิงถง : “กินได้หรือไม่” หลินเสวี่ยเฟิ่ง : “ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ของ
ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนนั้นทีคนนี้ที "เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นมังกรเหมือนข้า" สวีเฟยหลงคีบบุตรชายมาอวดภรรยาด้วยความภาคภูมิใจ "ชีชี เจ้าดูลูกของเราสิ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ" สวีจิ้งเฟิ่งประคองลูกหงส์ขนอุยในมือให้ภรรยาเห็นชัดๆ "พวกท่านเห่อลูกให้น้อยลงหน่อยจะได้หรือไม่" ไป่ชิงถงกับหลินเสวี่ยเฟิ่งเอ็ดคนทั้งคู่ รับบุตรชายตัวน้อยของตนมาดูแลบ้าง "เสด็จพ่อตั้งชื่อน้องชายว่าอะไรหรือ"
กาลเวลาล่วงเลยไปดั่งสายน้ำไหลไม่อาจหวนคืน วันเวลาของเทพเซียนนั้นช่างแสนยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย ไป่ชิงถงจึงหางานอดิเรกทำแก้เซ็ง นั่นก็คือการตระเวนกินของอร่อยไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน "อืม ปลาเก๋าเก้าครีบราดพริกไฟนรกร้านนี้สุดยอดเลย เผ็ดจัดจ้านถึงใจข้ายิ่งนัก" ไป่ชิงถงกินไปปาดเหงื่อไป ถึงจะเผ็ดแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ กินจนริมฝีปากบวมเจ่อก็ยังหยุดกินไม่ได้ "เคยมีอะไรไม่ถูกปากเจ้าด้วยหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มขำนอนตะแคงมองภรรยาเพลินๆ ระหว่างรออีกฝ่ายทานมื้อกลางวัน "ไม่มี ข้ากินได้หมดทุกอย่างแหละ ข้าถือคติคนกินห้ามบ่น ไม่ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องบอกอร่อยไว้ก่อนเพราะเราไม่ได้เป็นคนทำอาหาร หากเจ้าทำกินเองจะบ่นอย่างไรก็ได้ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่ถ้าพ่อครัวทำให้ทานจำไว้แค่ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับอร่อยเท่านั้น นั่นแหละถึงจะเรียกว่านักกิน
หยาดน้ำฝนโปรยปรายผ่านหน้าต่างบานเล็ก บรรยากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงงุน “เราหายมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด ทุกคนจะไม่ตามหาแย่หรือ” ไป่ชิงถงถามเสียงงัวเงีย กระชับผ้าห่มผืนหนาบนร่างคลายความหนาวเย็น "งานเลี้ยงฉลองยังมีอีกหลายวันไม่มีผู้ใดสนใจเราหรอก" ริมฝีปากหนาจุมพิตเคล้าคลอหัวไหล่เปลือยเปล่าขาวผ่องที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม จนปรากฏร่องรอยสีกุหลาบน่าหลงใหล "อย่ากวนน่า ทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง" มือบางปิดปากหนาก่อนจะโฉบเข้ามารังแกเขาอีก "บอกแล้วไงข้าไม่มีวันอิ่มเอมในตัวเจ้า" สวีจิ้งเฟิ่งจูบฝ่ามืองามหนักๆ ลิ้นสากไล้เล็มนิ้วงามดุจลำเทียนเล่น จนไป่ชิงถงรู้สึกชาหน่อยๆ "ให้จริงเถอะ" ไป่ชิงถงชักมือกลับ จู่ๆ กลิ่นหอมติดปลายจมูกก็หายวับไ
คงโหวหัวหงส์เก้าชั้นฟ้า[1] บรรเลงบทเพลงแว่วหวานเคล้าคลอสายลมยามค่ำคืน เสียงสรวลเสเฮฮา และจอกสุรากระทบกันฟังดูครื้นเครงดังแว่วถึงตำหนักแสงดาว เรือนหอที่วิจิตรตระการตาที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดนของไท่จื่อพระองค์ใหม่ งานอภิเษกสมรสขององค์ไท่จื่อ และไท่จื่อจวินจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศครึกครื้นภายในงานไม่รบกวนเจ้าสาวในห้องหอเลยแม้แต่น้อย ไป่ชิงถงในชุดแต่งงานลายหงส์ นั่งหยุกหยิกบนเตียงหยกปูลาดด้วยผ้าห่มยวนยางผืนหนานุ่ม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ไม่สุขเช่นนี้ก็มาจากกลิ่นหอมเตะจมูกลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง จนเขาอดสูดดมเข้าปอดแรงๆ ไม่ได้ ดวงตากลมโตจ้องมองอาหารละลานตาบนโต๊ะเบื้องหน้าตาเป็นมัน ลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ต้องบอกก่อนว่าเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์เขาก็เป็นนักกินตัวยง แม้การคืนร่างเดิมกลายเป็นเทพเซียนจะไม่รู้สึกหิวโหยอีกต่อไป แต่เมื่อมีอาหารน่าทานมายั่วน้ำลายเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะอดใจ
ด้านสวีจิ้งเฟิ่ง หลังจากเขากับไป่ชิงถงแยกตัวออกมา เซียนรับใช้ก็พาทั้งสองเดินชมทิวทัศน์ด้านหลังตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ แต่ที่สะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นดอกอู๋ถงสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อเบ่งบานเต็มผืนป่า “ว้าว! ต้นอู๋ถงเต็มไปหมดเลย” ไป่ชิงถงดวงตาเปล่งประกาย ดีใจมากถึงกับถลาเข้าไปถามไถ่เพื่อนฝูงอย่างสนิทชิดเชื้อ “สวัสดีต้นนี้เป็นลูกของเจ้าหรือ เขาน่ารักยิ่ง ต่อไปต้องเติบโตอย่างแข็งแรงแน่นอน” มือเรียวแตะสัมผัสอู๋ถงต้นน้อยอย่างเบามือ ก้านใบน้อยๆ ส่ายไหวสัมผัสมือบางกลับเหมือนตอบรับคำอวยพรของไป่ชิงถง ต้นอู๋ถงโดยรอบต่างกิ่งก้านส่ายไหว ยินดีที่ราชาของพวกเขามาเยี่ยมเยือน ดอกอู๋ถงโปรยปรายรอบกายคนตัวเล็ก บางส่วนติดตามเรือนผมยาวสลาย ยิ่งขับเน้นให้คนตรงหน้าน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด งดงามจนทัศนียภาพรอบกายจืดชืดไร้
หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นเรื่องน่ายินดีก็บังเกิด ข่าวเรื่องอดีตองค์ไท่จื่อสวีเฟยหลงคือเทพมังกรบรรพกาลแพร่สะพัดไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน และที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นสวีจิ้งเฟิ่ง หงส์ทองเพียงหนึ่งเดียวแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเทพมังกรบรรพกาล ผู้คนยิ่งตื่นเต้นคึกคัก จัดขบวนต้อนรับทั้งสองพระองค์กลับสู่แดนสวรรค์อย่างยิ่งใหญ่ คดีใส่ร้ายอดีตองค์ไท่จื่อว่าเป็นผู้นำกบฏในสงครามเทพมารเมื่อคราก่อนก็ได้รับการคลี่คลาย หลินหลิงจึงประกาศความจริงออกไปให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสลายความเข้าใจผิด และชำระมลทินให้กับสวีเฟยหลง เหล่าผู้คนที่เคยกล่าวร้ายท่านเทพต่างก็แพ้ภัยตนเอง ทั้งสวีหนิงหลงที่ร่างกายแหลกสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณ หรือแม้แต่สวีจวินอดีตเทียนตี้ผู้ปกครองสวรรค์ยังถูกทำลายตบะ ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขัง ณ ห้วงอนธการ จนกว่าอายุขัยของเทพเซียนจะสูญสิ้น หลินหลิงมองส่ง
เหล่าเทพเซียนที่รายล้อมอยู่รอบตัวสวีจวินแตกฮือรีบหนีตาย เมื่อสวีจวินก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เลือกหน้า จนสวีเฟยหลงต้องเข้ามาหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ สวีหนิงหลงอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่ได้สนใจในตัวเขาลอบหลบหนี แต่กลับถูกสวีจิ้งเฟิ่งขวางหน้า “จะหนีไปไหน อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนสิเสด็จอา” สวีจิ้งเฟิ่งยิ้มเย็น หนี้แค้นที่อีกฝ่ายติดค้างบิดา เขาจะเป็นคนทวงคืนให้เอง! กระบี่เกล็ดเหมันต์วูบไหว บินเฉียดลำคอแกร่งของสวีหนิงหลงไปเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดแต่ปราณกระบี่คมกริบกลับกรีดเฉือนผิวหนังหนาๆ ของสวีหนิงหลงจนได้เลือด สวีหนิงหลงเจ็บแปล๊บบริเวณลำคอ คลำดูแล้วเห็นเลือดสีแดงฉานไหลเต็มฝ่ามือ อยู่ห่างเงามัจจุราชเพียงแค่เอื้อมทำให้สวีหนิงหลงโมโหหนัก “แก! รนหาที่ตาย!!” สวีหนิงหลงลงมือหนักหน่วง มวลน้ำวนดุจพายุหมุนห้าสายสูงเสียด
หลินเสวี่ยเฟิ่งร้องห้ามเสียงดังลั่น สวีเฟยหลงลืมตาพรึ่บ พลังแห่งเทพบรรพกาลระเบิดออกอย่างรุนแรง จนภูผาวารีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กระแทกเงาร่างของศัตรูในรัศมีร้อยลี้จนตัวปลิว ผู้ที่มีพลังตบะอ่อนด้อยต่างเลือดออกทั้งเจ็ดทวารตายคาที่ แม้แต่สวีหนิงหลง และจอมมารหลัวเหยียนที่เข้าร่วมสนามรบยังถูกพลังอันมหาศาลจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ มังกรเกล็ดทองอร่าม ลำตัวยาวเหยียดราวกับจะโอบล้อมทั้งสามภพไว้ในอุ้งมือกู่ร้องเสียงดังกึกก้อง ร่างกายใหญ่โตทะยานสู่ฟากฟ้ายามสุริยันกระจ่างแจ้ง เมฆมงคลไหลเรื่อย แสงเงินแสงทองส่องประกายวาววับ ไอมงคลสีทองระยับโปรยปรายดุจสายฝนฉ่ำริน นำพาไอวิเศษอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนโอบล้อมทุกหมู่เหล่า วัชระม่วงครามซึ่งเป็นทัณฑ์สายฟ้าขั้นสูงสุดตอบรับเสียงเรียกร้องแห่งบรรพกาล ผ่าฟาดลงบนแท่นมังกรวัชระ ปลุกจิตวิญญาณของอาวุธเทพให้ตื่นฟื้น อาวุธเทพหลับใหลมานานดั่งได้พานพบนายเก่า ส่งสายฟ้าสีม่วงครามต