"ผมไม่อยากเป็นฆาตกรนะ" ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปีดันถูกส่งตัวเข้ามาเป็นพระเอกในนิยายคลั่งรักซาดิสม์ซะได้ ไม่รู้แหละส่งเขามาอย่างไม่เต็มใจใครจะไปยอมทำตามเนื้อเรื่อง!!!
View Moreหนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ
“เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!”
หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย
นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด
“เฮ้อ อยากจะร้องไห้”
คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน
แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ
“เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ”
ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะออกมาพร้อมฉีกถุงทิ้งลงถังขยะหน้าร้าน สองเท้าเดินเอื่อยเฉื่อยกัดแท่งนมรสโปรดเข้าปาก ความหวานฉ่ำทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
การมีชีวิตเป็นเด็กกำพร้านั้นไม่ง่ายเลย พออายุสิบแปดต้องออกมาจากสถานรับเลี้ยงพึ่งตัวเองทุกอย่าง ทั้งทำงานส่งตัวเองเรียนไหนจะผ่อนค่าเช่าบ้านอีก มันหนักหนาเกินไปไหมนะสำหรับเด็กวัยนี้
‘เฮ้อ’ อยากลองมีประสบการณ์ครอบครัวแสนสุขสันต์ มีเพื่อนสนิทที่พร้อมเคียงข้างไปด้วยกัน มีความรักชั่วนิรันดร์เหมือนฝันดั่งในนิยาย
ตั้งแต่เกิดมาก็อยากได้รับความรัก ความอบอุ่นมาโดยตลอด จะเป็นใครก็ได้ อยากให้ช่วยมอบสิ่งเหล่านี้ให้ที ให้เหมือนกับเหล่าตัวเอกในนิยายพวกนั้น
ชายหนุ่มคิดเรื่อยเปื่อยพลางกัดไอติมคำสุดท้ายเข้าปาก กลิ่นหอมของรสนมวานิลลาหวานแผ่ซ่านติดปลายลิ้นคล้ายปลอบประโลมใจ
ถ้าทะลุเข้าไปในนิยายได้บ้างก็คงดี จะเป็นเรื่องไหนก็ได้ เรื่องที่พึ่งอ่านจบไปแล้วก็ได้ อย่างน้อยคงดีกว่าชีวิตในตอนนี้
นึกตัดพ้อกับชีวิตตัวเองพลางขว้างไม้ไอติมทิ้งลงถังขยะข้างทาง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงรีบสาวเท้ากลับบ้าน ระหว่างมุ่งหน้าผ่านเส้นทางเงียบสงัด ลมเย็นค่อย ๆ เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ท้องฟ้าส่งเสียงร้องคำรามลั่นเปรี้ยงปร้าง ฝนปรอยเม็ดทีละหยดสองหยด
‘อะไรเนี่ย บรรยากาศชวนไปต่างโลกมาก’
หนุ่มมหาลัยนึกขบขันกับความคิดไร้สาระของตัวเองเบา ๆ ก่อนยกเท้าซ้ายเตรียมจะก้าวไปต่อ ทันใดนั้นแสงสีขาวเป็นเส้นตรงส่งเสียงร้องคำรามสนั่นผ่าลงตรงหน้าดังเปรี้ยง!!
ภาพทุกอย่างในสายตาพลันหยุดนิ่ง จิตคล้ายหลุดลอยออกไปชั่วขณะ ขนทั้งตัวลุกชันยืนเหม่อไม่ขยับอยู่เป็นนาทีก่อนจะค่อยตั้งสติได้
"เอาจริงดิ ไม่น่าได้ไปต่างโลกนะ คงได้ ไปสวรรค์ก่อนมากกว่า!!"
หัวใจยังคงเต้นรัวจากเหตุการณ์เฉียดตายไม่หาย เรียวขายาวรีบวิ่งไปตามท้องถนนด้วยสีหน้าซีดเผือดราวคนตาย หวังกลับห้องให้เร็วที่สุด ทันใดนั้นด้านหน้ามีแสงสว่างจ้าพร้อมเสียงบีบแตร รถลากเป็นทางยาว
‘ปี๊นนนนนนนนนน’
‘เอาจริงดิ!!!’
ฝ่ามือหนาคว้าจับที่กั้นราวเหล็กข้างทางได้พอดิบพอดี รีบหมุนตัวบิดพลิ้วหลบรถบรรทุกอย่างฉิวเฉียด
ชายหนุ่มถึงกับสบถหลุดคำหยาบที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิต คิดกับตัวเองในใจว่าเหตุการณ์ได้ไปต่างโลกนี่มันอะไรกัน
ความรู้สึกช็อกปนอึ้งยังคงไม่จางหาย ก่อนเริ่มรู้สึกตัวว่านี่มันไม่ปกติ เหมือนทั้งโลกจงใจพยายามจะฆ่าเขา!!
'พึ่งเกิดมาอายุยี่สิบสองปีเอง ยังไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก!!’
นัยน์ตาทอแสงความมุ่งมั่น ฝืนลากเท้าแข็งเปรอะคราบดินตรงดิ่งกลับบ้านท่ามกลางฝนห่าใหญ่ พร้อมหลบสายฟ้ารถยนต์ ที่แล่นเข้าหาอย่างจงใจ ในที่สุดก็เห็นบันไดตึกเช่าน้ำใสเจิ่งนองของตนเองเสียที
ร่างกายอันเหนื่อยล้ารีบเร่งก้าวขึ้นไปยังสถานที่ปลอดภัย เมื่อใกล้จะถึงบานประตูเขาพลันลื่นล้ม!! ยัง!!ยังจับราวไว้ได้อยู่!!
ฝ่ามือขาวซีดพยายามออกแรงใช้แขนดึงตนเองในที่สุดก็มาถึงหน้าห้องเช่าเขรอะสนิม หนุ่มมหาลัยมองปลายนิ้วอันสั่นเทาเล็กน้อยก่อนลงมือจับลูกบิดทรงกลมหมุนออกคล้ายผู้ชนะ
รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้า คิดว่าตนเองเก่งมากที่ผ่านเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้งแล้วยังรอดมาได้
ร่างสูงรีบเดินเข้าไปข้างใน ใบหน้าเปื้อนยิ้มยังไม่ทันหุบลงก็ต้องแข็งค้าง เมื่อพบกับคนแปลกหน้ายืนถือมีดใส่ไอ้โม่งสีดำอยู่กลางห้อง
‘อ่า จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม’
วินาทีนั้นเขาตัดสินใจเดิมพันทุกสิ่งราวกับคนเสียสติ ถอดรองเท้าหยิบอีแตะวิ่งใส่โจรพร้อมส่งเสียงร้องลั่นคล้ายประชดประชันอย่างไม่คิดชีวิต…………
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกก"
เสียงร้องดังไปทั่วบ้านหลังหนึ่งไม่คุ้นตา ตามด้วยเสียงของผู้หญิงแปลกหน้าดูมีอายุทับซ้อนขึ้นอย่างตกอกตกใจพลางรีบถลาตัวเข้ามาดูด้วยท่าทางกระวนกระวาย
“อีเลน!! เป็นอะไรไหมลูก!!”
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งบนโซฟา เขามองไปรอบห้องสไตล์มินิมอลอย่างแปลกใจ ร่างกายมีเหงื่อแตกพลั่ก สีหน้าไร้เลือดฝาด
ใจยังคงเต้นแรงตุ๊บ ๆ ไม่หาย มองหญิงไม่คุ้นหน้าดวงตาเบิกกว้างก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกช็อกกับประโยคสักครู่
“เมื่อกี้คุณป้าเรียกผมว่าอะไรนะครับ”
คนถูกถามทำสีหน้าไม่สู้ดี มองลูกน้อยด้วยสายตามีคำถาม ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างสับสน
“นี่แกล้งอะไรแม่อีกเนี่ย อีเลน ”
‘อีเลน…..เชี่ย! ที่ฆ่ากันจะเป็นจะตายเพราะแบบนี้เนี่ยนะ!!'
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
Comments