ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ
แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า
ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น
“ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง
‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’
อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น
เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ
ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก็ต่อต้านไม่ไหวอยู่ดี แบบนี้เองเขาจึงตัดสินใจ ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อใกล้วันลงสนามจริงแทน
อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้รอดพ้นจากเส้นตายมาได้หวุดหวิด พอเรียนจบออกมาทำงานใช้ชีวิตเป็นเด็กมหาลัยพึ่งตัวเองเต็มรูปแบบคนเดียว ความรู้ตอนมัธยมก็ส่งคืนคุณครูทุกท่านไปหมดแล้ว
“หึ”
ดวงตาสีแซฟไฟร์มองคนทำหน้าปั้นยากอย่างเอ็นดู เปล่งเสียงหัวเราะแผ่วในลำคอดูทรงเสน่ห์ เคียร์นยื่นมือไปลูบหัวคนชอบงอแง มือหนาไล่ไปตามเส้นผมสีขาวนุ่มอย่างละเมียดละไม
อีเลนเงยหน้าจ้องเด็กตาน้ำเงินก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ ให้อีกฝ่ายลูบหัวตนเองได้ถนัดขึ้น
‘ก็ไม่อยากจะยอมรับอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่เหมือนเราจะติดสกินชิพกับเจ้าเด็กนี่ซะแล้ว’
เขานึกกับตัวเอง ที่ผ่านมาตลอดหลายเดือนเคียร์นมักจะชอบตีเนียน เข้ามาจับนู้นแตะนี่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ติดสกินชิพกับคนที่มักตัวติดกันไปโดยปริยาย
“ฉันช่วยสอนให้เอาไหม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร มันไม่ได้ยากขนาดนั้น” อีเลนเสียหน้าไม่ได้ เขาไม่ยอมให้เด็กมาสอนหนังสือตัวเองหรอก!! อีกอย่างถ้าเรียนหรือทบทวนดี ๆ
วิชาเลข ของพวกเด็กมอต้นก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ยังไงซะเขาเป็นคนความจำดี ใช้เวลาเรียนรู้แค่ไม่นานคงพอทำข้อสอบได้!!
คนดื้อรั้นยืดหลังตรง ทำหน้าตาจริงจังก่อนจะจับดินสอลองทำแบบฝึกหัดต่อ ดวงตาสีแซฟไฟร์มองการกระทำน่าเอ็นดู มุมปากกดรอยยิ้มลึกบางเบา รู้สึกขบขันปนชอบใจกับความไม่ยอมของอีกฝ่าย
สาเหตุที่อีเลนต้องมานั่งทำแบบฝึกหัดนี้เป็นเพราะเขาต้องเตรียมสอบเข้าชั้นมัธยมต้นของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ถ้าให้อิงตามเนื้อเรื่องในนิยาย ตอนที่อีเลนหลุดเข้ามาเป็นเดือนแรกของการปิดเทอมหลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีสุดท้าย
แม้เขาจะเรียนโดยครูสอนพิเศษชื่อดังที่บ้านเพราะโรคจิตเวชแต่ก็เรียนจบหลักสูตรทุกอย่างเหมือนเด็กทั่วไปราวกับว่าได้ไปโรงเรียนจริง ๆ จึงไม่มีปัญหาในการไปเรียนร่วมกับคนอื่น
กลับมาสถานการณ์ปัจจุบัน หลายเดือนมานี้คุณแม่เห็นอาการเขาดีขึ้นจึงปรึกษากับคุณหมอเรื่องให้ไปเรียนที่โรงเรียนได้แล้ว ทุกอย่างคล้ายจะราบรื่นเป็นไปด้วยดีถ้าไม่ใช่คุณพ่อผู้ห่วงในชื่อเสียงและลูกชายตัวเองมากกว่าใครคัดค้าน
ทนายความมีชื่อยังอยากให้ลูกชายเรียนและรักษาตัวอยู่บ้านไปอีกสักสองสามปีเพื่อให้แน่ใจว่าโรคจะหายขาด
แม่อีเลนไม่ยอมถึงแม้เธอจะห่วงและอยากดูแลลูกต่อเหมือนกัน แต่ก็อยากให้ลูกรักได้ออกไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นบ้าง
ยิ่งหลายเดือนมานี้เห็นลูกตัวเองสนิทสนมกับเด็กชายหน้าตาหล่อเหลา พลันรู้สึกว่าลูกน้อยดูสนุกสนานกับการใช้ชีวิตและออกไปเล่นข้างนอก นั่นยิ่งทำให้เธออยากให้ลูกได้เรียนรู้และใช้ชีวิตให้สมกับเด็กวัยนี้
หลังจากต่อสายโทรศัพท์ยืนเถียงกันไปมาสักพัก พ่ออีเลนจึงยื่นเงื่อนไขให้เขาสอบผ่านโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดให้ได้แล้วจะยอมให้เข้าเรียน เป็นผลทำให้ตอนนี้อีเลนตั้งใจเรียนรู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกว่าเรียนแทนชีวิตในชาติที่แล้วซึ่งหลับทุกคาบตอนมัธยมเลยก็ยังได้
“ไปหาไรกินกันไหม”
ดวงตาสีแซฟไฟร์มองคนมุ่งมั่นพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยวนปอยผมเพื่อนตัวน้อยเล่น
“นายหิวแล้วเหรอ” อีเลนถามขณะที่สายตาจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ
“อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
เคียร์นพูดเพราะอยากให้อีเลนออกไปเดินผ่อนคลายบ้าง หลังจากที่นั่งเรียนติด ๆ กันมาหลายชั่วโมง
อีเลนวางดินสอลงเขารู้สึกปวดตุบ ๆ ตรงขมับข้างขวามาสักพักแล้วจึงตัดสินใจตอบตกลง
ทั้งสองคนเดินขนาบข้างกันไปตามทางเดินในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ลมเย็นตอนบ่ายพัดโชยลูบไล้ใบหน้าทำให้รู้สึกดีขึ้น
อาการปวดหน่วงบริเวณศีรษะคล้ายเบาบางลงอย่างน่าประหลาดเพียงแค่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
“เด็กพวกนั้นเป็นไงบ้างนะ”
อีเลนถามขึ้นเพราะนึกถึงเด็กหัวโจกตอนเดินผ่านสนามเด็กเล่น ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยพบเจอเด็กสามคนที่ไหนในเมืองอีกเลย
“นั่นสิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
มุมปากสีแซฟไฟร์เผยยิ้มเย็นชั่วขณะ ก่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นพลางจับมือคนใกล้ตัว
อีเลนเมื่อถูกสัมผัสจากฝ่ามืออีกฝ่าย เขาจับตอบโดยอัตโนมัติเรียกว่าเป็นความเคยชินของร่างกายไปแล้ว
“วันนี้พ่อหนุ่มฮีโร่ไม่ไปช่วยผู้คนเหรอจ๊ะ”
คนถูกทักคิ้วกระตุก เมื่อยายแก่ผมขาวคนหนึ่งเดินตรงมาหาพวกเขาพร้อมฉีกรอยยิ้มเป็นมิตร ทักทายด้วยฉายาที่ไม่อยากได้ยินมัน
“สวัสดีครับคุณยาย อาการหลังยอกเป็นยังไงบ้างครับ”
เคียร์นยิ้มตอบอย่างสุภาพอ่อนโยน คุณยายเมื่อได้เห็นใบหน้าเด็กอายุสิบสองย่างเข้าสิบสามแล้วขนาดตัวโตขึ้นกว่าเดิมใบหน้าเริ่มเห็นสันคมต่าง ๆ เล็กน้อย พลันรู้สึกเหมือนมีเทวดาตัวน้อย ๆ มาปรากฏตัวตรงหน้า
“โอ้ วันนี้คุณนักบุญก็อยู่กับพ่อหนุ่มฮีโร่อีกแล้วเหรอจ๊ะ”
“ครับ” เคียร์นตอบกลับเสียงใส ส่วนอีเลนได้แต่คิ้วขมวดยิ้มเจื่อน
การที่คุณยายมาเรียกพวกเขาแบบนี้เหตุเกิดมาจากอีเลนโดยเฉพาะ ตั้งแต่ครั้งกลับจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่กี่วันต่อมาเขาก็ลากเคียร์นไปทำจิตอาสาให้ทั่วเมือง
ทำมาทุกอย่างแล้วทั้งบริจาค ช่วยยกของ ช่วยดูแลคุณยาย อ่านหนังสือนิทานให้เด็ก ๆ ฟัง เก็บขยะตามแม่น้ำของเมือง เรียกว่าที่ไหนมีจิตอาสาที่นั่นมีสองคู่หูอยู่
อีกทั้งรูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลาเบ้าหน้าฟ้าประทานของเด็กทั้งสอง ทำให้ทุกคนในเมืองต่างพากันนึกว่าเป็นเทวดาตัวน้อยจิตใจดีคอยช่วยเหลือชาวบ้าน พวกเขาจึงร่วมใจพากันตั้งสมญานามให้
ตอนนี้ในเมืองไม่มีใครไม่รู้จัก เวลาเดินไปไหนทีมีแต่คนทักแถมเรียกด้วยฉายาที่มอบให้อีกด้วย นั่นทำให้อีเลนแทบอยากจะขุดพื้น เอาหน้ามุดลงใต้ดินให้รู้แล้วรู้รอด
แล้วสิ่งที่อีเลนสงสัยคือทำไมชื่อของเขากับเคียร์นถึงต่างกันมากนักล่ะ เขาได้ชื่อฮีโร่ เคียร์นเองก็ต้องได้ชื่อเหมือนกันสิ ทำไมได้ฉายานักบุญไปเฉยเลย อีเลนฉงนใจคิดนู่นนี่อยู่ในหัว ดวงตาสีแซฟไฟร์ฉายแววขบขันให้กับปฏิกิริยาคนข้างกาย
“เดี๋ยวนี้ไม่ไปทำจิตอาสากันแล้วเหรอจ๊ะ มีแต่คนรออยากเจอพวกเราให้เพียบเลยนะ”
“ช่วงนี้ผมต้องเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนครับ เลยไม่ค่อยมีเวลาไปช่วยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” อีเลนหลุดจากภวังค์ตอบหญิงแก่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“งั้นหรือ น่าเสียดายจริง ๆ พวกเขาชอบหนูกันมากเลยนะ ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยเล่นกันบ้างละ”
“ครับ” อีเลนตอบพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นยายไปก่อนนะ ยายขอให้พวกหนูอายุมั่นขวัญยืน มีความสุขกันมาก ๆ พ่อหนุ่มนักบุญกับฮีโร่ตัวน้อย”
หญิงแก่เดินหลังค่อมถือไม้เท้าเตาะแตะจากไป อีเลนมองไล่หลังก่อนได้ยินเสียงเล็กแหลมของเด็กชาย อายุประมาณหกขวบดังขึ้นใกล้ ๆ
“แม่ฮับ ยายกงนั้นเรียกพิชายว่าฮีโร่”
เด็กน้อยไม่ว่าเปล่าพลางชี้นิ้วมาทางอีเลนที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความอับอาย เคียร์นซึ่งอยู่ในสถานการณ์ ถึงกับหลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
อีเลนหน้าขึ้นสีแดงเถือก คนเป็นแม่เด็กยกยิ้มบางเล็กน้อยก่อนจะอุ้มลูกชายตนขึ้นพร้อมห้ามปราม
“เดี๋ยวเถอะ!! อย่าไปชี้พี่เขาแบบนั้นสิลูก”
“ฮีโร่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” เด็กตัวเล็กเอาแต่พูดวนซ้ำ ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย แม่ของเด็กชายรีบพาลูกน้อยเดินออกจากตรงนี้ทันที
อีเลนมองไล่หลังผู้เป็นแม่ที่อุ้มลูกน้อยของเธอหนีไป
“ฮีโร่ ๆ ๆ ๆ ๆ”
เด็กตัวจ้อยยังคงร้องตะโกนพร้อมชูกำปั้นยกขึ้นยกลงจนลับสายตา ผู้คนในสวนสาธารณะพลันแย้มยิ้มให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนพากันจ้องมองอีเลนซึ่งยืนหน้าแดงแปร๊ดกันเป็นตาเดียว
“เป็นอะไรไปครับ คุณฮีโร่”
น้ำเสียงแหบเสน่ห์กระซิบเสียงเบาข้างใบหู อีเลนสะดุ้งเฮือก!! ก่อนจะผละตัวออกวิ่งหน้าตั้งพร้อมตะโกนตอบสุดเสียง
“ไม่ได้เป็นไร!!! ฉันจะไปซื้อน้ำเดี๋ยวกลับมา!!!”
เขาไม่รอให้อีกฝ่ายรั้งตัวไว้ ดวงตาสีแซฟไฟร์มองตามหลังคนหน้าแดงแสดงอากาศเลิ่กลั่กพลันรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอย่างพึงพอใจ
‘แฮ่ก ๆ ๆ’
อีเลนวิ่งหนีมาจนเหนื่อยหอบ เขายืนพิงตัวกับเสาไฟใกล้ห้องน้ำในสวนสาธารณะพักหายใจหายคอ
คิดอยากย้อนเวลากลับไปทำความดีแต่พอดี ไม่ก็ปล่อยให้เคียร์นไปทำคนเดียวแล้วตนคอยยืนดูแลอยู่ห่าง ๆ
นึกตัดพ้อกับตัวเองสักพักก่อนจะพาร่างกายอันเหนื่อยล้าเดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำชายเพื่อล้างหน้าล้างตาให้น้ำเย็นช่วยเรียกสติคืนมา
“เอาเลยครับ ตีเลย!! ตีอีก ตีผมแรง ๆ เลยสิ!!”
ในขณะกำลังเปิดก๊อกน้ำรองมือล้างหน้า อีเลนชะงักกับเสียงร้องของผู้ชายอายุน่าจะประมาณรุ่นราวคราวเดียวกันดังลั่นอยู่หลังห้องน้ำชาย
“นั่นแหละครับ ฟาดอีกสิ ฟาด!! ตีผมที ตีผมแรง ๆ เลย!!!”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินอะไรพิสดารเข้า สัญชาตญาณบอกให้เมินเฉยอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้
แต่ทำไงได้สมองคิดกายขยับ ตอนนี้เจ้าตัวเดินมาหยุดยืนอยู่หลังห้องน้ำมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
“พะ พะ พี่ชายเขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ ฮือ”
เด็กน้อยอายุวัยสิบขวบถือท่อนไม้ไว้ในกำมือแน่นพลางน้ำตาคลอเบ้า ยืนประจันหน้ากับคนผมหยิกสีบลอนด์หน้าสวยออกแนวลูกครึ่ง
บนหัวมีรอยเลือดไหลจาง ๆ คล้ายถูกใครฟาด ร้องเรียกให้เด็กตรงหน้าตีแล้วตีอีกพร้อมหอบหายใจแรง อย่างตื่นเต้นอยู่แบบนั้น
“เกิดอะไรขึ้น”
อีเลนเหงื่อตก เดินเข้าไปถามเด็กชายหน้าซีดด้วยสีหน้าสับสนสุดขีด เด็กน้อยคล้ายจะร้องไห้เต็มทนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ผะ ผมยืนเล่นเหวี่ยงไม้เป็นมีดดาบอยู่ดี ๆ แล้วพี่ชายคนนี้ก็ออกมา แล้วผมก็เผลอทำไม้หลุดมือไปโดนหัวพี่เขาครับ พะ พี่เขาจะไม่เป็นบ้าเพราะผมใช่ไหมครับ ฮรึก”
เด็กน้อยน้ำตารื้น รู้สึกผิดที่ตนเผลอไปทำให้พี่หน้าสวยคนนี้กลายเป็นบ้าไปแล้ว อีเลนลอบสังเกตอีกฝ่ายที่หน้าแดงทำเสียงหอบหายใจมีอาการตื่นเต้นไม่หาย เขาคิดว่าไอ้หมอนี่มันโรคจิตสิ้นดี ก่อนจะรู้สึกคุ้นเคยกับคาแรคเตอร์นี้แปลก ๆ
รู้สึกว่าในหนังสือนิยายเคยเขียนบรรยายลักษณะตัวละครหนึ่งเอาไว้ว่า 'คนหน้าสวยเป็นลูกครึ่ง ผิวสีขาวราวน้ำนม ผมลอนสีบลอนด์พร้อมทั้งอาการตื่นเต้นต่อความรุงแรง…………
“……….”
ชายหนุ่มเบิกตากว้างพร้อมอุทานในใจกับตัวเองเสียงดัง
"Shit!! หมอนี่มันเชาว์ ชายหนุ่มสายเอ็มนี่หว่า!!!"
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก