สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น
‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้
เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก
“นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!”
ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา
“คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน”
เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ
เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลมหายใจหอบถี่ด้วยความตื่นเต้นไปด้วย
อีเลนได้จังหวะเขารีบเดินก้มตัวผ่านไปให้ไวที่สุด ในขณะนั้นเด็กแว่นหันตัวมาสะบัดมือเชาว์ออกอย่างไม่กลัวว่าคนจับจะเซล้ม
หุ่นฟิกเกอร์กันดั้มในกระเป๋าสะพายที่เปิดซิปค้างไว้พลันกระเด็นร่วง กลิ้งมาโดนเท้าอีเลนเข้าพอดี
“ก็บอกว่าอย่ามาจับไง!! นายโรคจิตแล้วยังหูหนวกอีกเหรอ!!”
เด็กแว่นส่งสายตารังเกียจ จ้องข่มขู่เด็กหน้าสวยไม่ให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบแอลกอฮอล์ฉีดลงไปที่แขน เช็ดบริเวณที่ถูกสัมผัสซ้ำอีกครั้ง
เชาว์มองท่าทางของคนที่ผลักไสเขาอย่างตกตะลึง เจ้าตัวถูกสะบัดแขนจนล้มแต่ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดเข้ามาช่วยเลยสักนิด แถมซ้ำยังส่งสายตามาตอกย้ำไหนจะทำท่ารังเกียจอีก
‘อ่าไม่ไหวแล้ว ๆ สายตาอันน่าหลงใหลนี่มันคืออะไรกัน!! คนงดงามอย่างผมยังไม่เคยเจอใครที่ส่งสายตาดำมืดสนิทขนาดนี้ให้มาก่อนเลย!!’ เชาว์คิด ในใจเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
'อยากถูกจ้องมองอีกเยอะ ๆ เลย' เด็กแว่นมองคนที่ล้ม นั่งทำหน้ายิ้มปลื้มปริ่มอย่างไม่รู้สึกรู้สา เขาถอนหายใจแรงเบื่อหน่ายปนรังเกียจก่อนจะรีบเดินเพื่อหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด!!
เมื่อเด็กหน้าสวยเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเดินหนีไปเขาจึงรีบลุกขึ้นกะวิ่งตามไปเต็มที่!! แต่ดันถูกคนตัวโตมีกล้ามแน่นปึกรัดคอไว้เสียก่อน
เชาว์เงยหน้ามองก็เห็นเป็นหน้าครูพละกรรมการคุมสอบห้องพิเศษสุดพรีเมี่ยมของตัวเอง
“ถึงเวลาสอบแล้วเธอจะวิ่งไปไหนอีก” ครูพละเอ่ยเสียงเข้ม ทำหน้าโหดเหี้ยม เชาว์เห็นพลันยิ้มแย้มหน้าแดงหอบหายใจถี่
“สีหน้าครูบราโว่ ยอดเยี่ยม ทำให้หัวใจผมสั่นระรัวได้เลยครับครู”
ครูกล้ามบึกถึงกับคิ้วกระตุก เขาถูกไหว้วานจากผู้ปกครองและผู้อำนวยการให้ดูแลเด็กคนนี้เป็นพิเศษ
ตอนแรกก็คิดว่าจะให้มาจับตามองเด็กที่ชอบโอ้อวดหลงตัวเองไปทำไม แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจสาเหตุแล้ว
“เธอมานี่กับครู เธอต้องไปนั่งสอบในห้องคนเดียว!!!”
“ม่ายยยย แต่ผมอยากนั่งอยู่ในห้องกับเพื่อน ๆ ให้พวกเขาได้ชมเชยความงดงามของผมนะครับครู๊ววววว”
ครูพละลากคนแหกปากร้องลั่นไปตามทางเดิน ท่ามกลางสายตาเด็กนักเรียนมากมายที่มองตาเป็นมัน
อีเลนเมื่อเห็นว่าตัวปัญหาถูกลากออกไปแล้วเขาจึงยืนตัวตรงตามเดิม ก่อนมุ่งหน้าเดินตรงไปยังห้องสอบ ระหว่างทางสายตาจ้องหุ่นกันดั้มในมือสีดำตัดทองมีปีกเหมือนรุ่นลิมิเต็ดหายากไปด้วย
ช่วงเวลาหนึ่งเขาเห็นว่ามันหล่นมาจากกระเป๋าของเด็กคนนั้นไม่ผิดแน่ และเด็กนี่ก็เดินตรงไปทางเดียวกับห้องสอบของเขาซึ่งเป็นห้องท้ายสุดพอดี
[ประกาศ ๆ ขณะนี้เหลือเวลาอีกห้านาทีขอให้นักเรียนทุกคนเข้าห้องสอบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำข้อสอบด้วยค่ะ]
[ประกาศ ๆ ขณะ…………….]
เสียงประกาศดังไปทั่วโรงเรียน อีเลนตัดสินใจเก็บหุ่นกันดั้มลงในกระเป๋าสะพายข้าง เขาคิดว่าเข้าไปสอบให้เสร็จก่อนค่อยเอาไปส่งคืนตอนสอบเสร็จก็ยังไม่สาย
คุณครูผู้หญิงคุมสอบในห้องเดินแจกข้อสอบไปตามแถวเรียงหมายเลขแต่ละโต๊ะ อีเลนได้นั่งอยู่หลังเด็กแว่นห่างกันไม่กี่โต๊ะ
เขาเหลือบสายตามองเด็กที่นั่งร้อนรนหลังจากได้รับกระดาษข้อสอบจากครูสาว
เด็กแว่นมีอาการอยู่ไม่สุข เหมือนคนที่อยากจะลุกวิ่งออกจากห้องตลอดเวลา ขาข้างหนึ่งของเขาขยับสั่นแทบตลอด
อีเลนมองก็คาดเดาอาการได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายร้อนรนเพราะทำกันดั้มหายแน่ ๆ ถึงแม้ใจจะอยากลุกขึ้นไปบอกว่าเขาเก็บกันดั้มได้แต่ก็ต้องตัดใจเพราะเสียงสัญญาณเริ่มทำข้อสอบดังขึ้นเสียก่อน
[ประกาศ ขณะนี้เวลาแปดนาฬิกายี่สิบนาทีขอให้นักเรียนทั้งหมดเริ่มลงมือทำข้อสอบได้ค่ะ]
เด็กชายกวาดสายตามองข้อสอบคณิตศาสตร์วิชาแรก เขานั่งติวกับเคียร์นมาทุกวี่ทุกวันมองแป๊บเดียวก็แก้โจทย์ได้แล้ว ก็อย่างที่บอกมันไม่ได้ยากสำหรับคนที่เรียนผ่านมอปลายมาแต่ก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน
คนตั้งใจจับดินสอ ฝนลงกระดาษคำตอบข้อแล้วข้อเล่า ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำจนเสร็จก่อนจะวางเครื่องมือลง นอนเอาหน้าฟุบโต๊ะรอทำวิชาต่อไป
เวลาไหลผ่านไปเรื่อย ๆ จนทุกคนทำวิชาสุดท้ายเสร็จก็หมดเวลาสำหรับทำข้อสอบพอดี ครูคุมสอบเริ่มเดินเก็บกระดาษคำตอบและใบโจทย์คืนไล่เรียงไปทีละโต๊ะ
ทันทีที่ครูสาวเดินเก็บมาจนถึงโต๊ะเด็กแว่น เด็กชายพลันรีบลุกขึ้นยืนพูดขออนุญาตเสียงดัง
“ผมท้องเสียมาก ๆ ขอตัวไปก่อนนะครับคุณครู!!”
คูรสาวยังไม่ทันอนุมัติ เด็กแว่นก็วิ่งหน้าตั้งราวกับพายุหนีไปซะแล้ว ทุกคนในห้องรวมถึงอีเลนต่างนั่งอึ้งกันหมด
คุณครูเมื่อตั้งสติได้เธอเดินมาเก็บกระดาษคำตอบของอีเลนต่อ พอเก็บเสร็จเขาก็รีบลุกขึ้นขออนุญาตออกจากห้องก่อนวิ่งออกไปตาม ๆ กันและเป็นอีกครั้งที่ครูสาวยังไม่ทันพูดอะไร
เด็กนักเรียนก็ชิงวิ่งตัดหน้าเหมือนนักเรียนคนก่อนออกไปเสียแล้ว ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามาก คิดเดือดดาลกับตัวเองอยู่ในใจ
'เจ้าเด็กพวกนี้นี่!!"
อีเลนหยิบกระเป๋าสะพายข้างรีบวิ่งไปตามทางเดินเพื่อหาเด็กแว่น เขากลัวอีกฝ่ายจะกลับบ้านไปก่อนจนไม่ได้คืนกันดั้มให้
ระหว่างทางมองซ้ายมองขวาคาดคะเนว่าเด็กชายจะวิ่งไปทางไหน ประตูห้องหนึ่งก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเจ้าของร่างเด็กชายหน้าสวยดูเจ้าสำอาง ผมสีบลอนด์สะดุดตากำลังยืนมองหน้าเขาอย่างอึ้ง ๆ
“นะ นายคือคนที่กักขังผม!!!”
‘กักขังบ้าไรฟระ เขาเรียกมัดคนบ้า!!’
อีเลนมองอีกฝ่ายกลับหน้าเจื่อนพลางคิดว่าพระเจ้าช่างกลั่นแกล้งเขาเสียเหลือเกิน คนที่อยากเจอกลับไม่ได้เจอ คนที่ไม่อยากเจอกลับเจอซะงั้น
“มาเลย ครั้งนี้นายต้องอยากปู้ยี่ปู้ยำผมแน่!! ผมอุตส่าห์ฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบออกจากบ้านเพื่อวันนี้เลยนะ!!”
‘แล้วน้ำหอมกลิ่นกุหลาบมันเกี่ยวอะไร………'
อีเลนคิดในใจพลันดันเชาว์ให้กลับเข้าไปในห้องสอบเดียวเหมือนเดิม ก่อนจะปิดประตูเบา ๆ แล้วรีบสาวเท้าวิ่งหนีคนตรงหน้าไปให้ไกลที่สุด!!! เชาว์ยัง งง ๆ กับสถานการณ์พลางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะตั้งสติรีบเปิดประตูกะวิ่งตามอีเลนไป
“เฮ้ยย อย่าวิ่งบนทางเดิน!!”
ครูพละซึ่งคลุมสอบเชาว์อยู่ออกมาจากห้อง คว้าตัวเด็กตัวยุ่งไว้ไม่ให้ทำผิดระเบียบห้ามวิ่งบนระเบียง
“ครูปล่อยผมมมม ผมจะไปหาผู้กักขังผมไว้ในกรงทอง!!”
“พูดอะไรของเอง!!”
เชาว์คิดถึงแม้เขาจะชอบสีหน้าโหดเหี้ยมของคุณครูพละมากแค่ไหน แต่ก็อดหน่ายใจไม่ได้อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ขัดขวางเจตนารมณ์โดนเด็ดกลีบทิ้งของเขาอยู่ได้!!
อีเลนวิ่งจนเหนื่อย รีบหนีลงมาจนถึงชั้นล่าง ระหว่างทางก็ไม่ลืมมองหาตัวเจ้าของกันดั้มไปด้วยแต่กลับไร้วี่แวว
'ไม่ใช่กลับบ้านไปแล้วนะ' คิดพลางค่อย ๆ เดินหันซ้ายหันขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่เจอจริง ๆ จึงตัดใจ
‘ค่อยเก็บไว้ให้เผื่อเจอตัวก็ได้ ถึงไม่รู้ว่าจะติดโรงเรียนเดียวกันไหมก็เถอะ’ จิตตั้งมั่นอย่างมีความหวัง เดินตามทางเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่นัดเจอกับเคียร์น ระหว่างทางก็เห็นคนยืนถอดแว่นทรุดตัวกอดกระเป๋าร้องไห้อยู่คนเดียว
“ฮรึก ๆ ฮือออออ ฮือออออ เจ้ากั้มดั้มรุ่นซีโร่ทูนัมเบอร์วันศูนย์ศูยน์ หนึ่งรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นของฉันหาย ฮืออออ”
อีเลนมองเด็กแว่นที่ไม่เหมือนเด็กแว่นนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างน่าสงสาร แม้ว่าเขาจะรู้สึกเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายเพราะเป็นคนชอบอ่านนิยายและติดอนิเมะมากเหมือนกันแต่ไม่ถึงขนาดนี้จึงอดทำสีหน้าแปลกใจไม่ได้ไปแวบหนึ่ง
“นายหานี่อยู่เหรอ”
อีเลนหยิบตัวกันดั้มออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง เด็กแว่นเงยหน้ามองกันดั้มในมือคนตรงหน้าพลันดวงตาเบิกกว้าง
“น่ะ นายมีมันได้ยังไง!!”
“ฉันเห็นมันตกลงมาจากกระเป๋านายเลยเก็บไว้ให้น่ะ” อีเลนส่งกันดั้มในมือให้เด็กชายที่มีเบ้าตาแดงก่ำ เขายื่นมือสั่นเทามารับมันไป
เด็กน้ำมูกน้ำตาไหลกอดมันไว้ในอ้อมแขนอย่างรักไคล้ นี่เป็นกันดั้มตัวแรกที่พี่ชายซื้อให้ก่อนจะเสียชีวิต
พี่ชายให้ไว้เป็นตัวแทนของตัวเองและเพื่อนเล่นที่อยู่กับเขาแทนเด็กคนอื่น เพราะตอนเด็ก ๆ เขาเป็นโรค (mysophobia) โรคกลัวการสัมผัสตัวกับผู้อื่น เหตุเกิดเป็นเพราะวัยเด็กเกือบโดนขืนใจจากคนเป็นคุณครูแต่ก็รอดมาได้
แม้จะไม่บาดเจ็บทางกายแต่ก็บอบช้ำทางใจขั้นรุงแรงทำให้ต้องส่งตัวเข้ารับการบำบัดเป็นระยะเวลานานอยู่หลายครั้ง
เพราะเป็นโรคนี้เขาจึงไม่กล้าสัมผัสตัวผู้อื่นทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าตนรังเกียจเลยพากันตีตัวออกห่าง
พี่ชายแสนดีเห็นแบบนั้น จึงมอบกันดั้มสุดแสนล้ำค่าที่ตนเก็บเงินซื้อให้น้องชายเอาไว้เป็นเพื่อนเล่นก่อนที่จะเสียไปเพราะอุบัติเหตุ
ดังนั้นเขาจึงพกกันดั้มตัวนี้แทนพี่ชายไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา และกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้นักสะสมกันดั้มไปโดยปริยาย
อีเลนเห็นเด็กแว่นกอดตัวกันดั้มอย่างทะนุถนอมไม่เหลือท่าทีเย็นชาส่งสายตารังเกียจเหมือนตอนอยู่กับเชาว์พลันเกิดความรู้สึกเอ็นดู
เขานึกในใจว่าแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นเด็ก ไม่เหมือนกับเด็กตัวร้ายที่ตนอยู่ด้วยตลอดเวลาชอบให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่มากเกินไป
“นายชื่ออะไรเหรอ” คนกอดกันดั้มแน่น เช็ดน้ำตาพลางจ้องหน้าอีเลนดวงตาเป็นประกาย
“ฉันอีเลน…..แล้วนายล่ะ” คนถูกถามรู้สึกสับสนกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ตอบกลับ
“ฉันชื่อ เพิร์ซ จากนี้ไปนายเป็นลูกพี่ฉันแล้ว”
“หะ เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อน!!” อีเลนงงว่าเด็กนี่พูดอะไร
“นายเป็นลูกพี่ฉันแล้วเพราะนายช่วยพี่ชายฉันไว้ ฉันจะทำตามทุกอย่างที่นายสั่งเลย!!”
“ไม่ใช่สิ ที่ฉันช่วยนายคือฉันอยากช่วยไม่ได้อยากให้นายมาเป็นลูกน้อง!!”
“แต่ฉันเต็มใจ ฝากตัวด้วยครับลูกพี่!!”
เพิร์ซโค้งตัวให้อีเลนเป็นการทำความเคารพ เด็กชายเกาหัว เขาคิดว่าเด็กนี่อยู่ในวัยจูนิเบียวหรือยังไง…..
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบห
ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่ หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ “ดีละ!!” คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่
เสียงร้องไห้ของเด็กอ้วนดังไปทั่วสนามเด็กเล่น อีเลนกะพริบตาสองสามที เขามองคนที่นั่งฟันหลุด ใจจริงไม่ได้กะต่อยแรงขนาดนั้นแค่เผลอออกแรงมากเกินไปเพราะเห็นภาพซ้อนทับกับเด็กเกเรที่ชอบแกล้งเหล่าน้อง ๆ ในอดีตของตนจนบาดเจ็บเป็นประจำ อีเลนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการเด็กน้ำมูกน้ำตาไหลที่ดูแทบไม่ได้ มือหนึ่งยื่นไปให้จับหวังช่วยพยุงตัวขึ้น “เป็นไรไหม” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ตนทำเกินกว่าเหตุ แม้ภายในลึก ๆ จะอยากให้เด็กคนนี้จำฝังใจว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครแบบนี้อีก “แงงงงงง แม่จ๋า” เด็กน้อยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด เอาแต่นั่งร้องไห้ โหวกเหวกท่าเดียวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ด้วย “เฮ้ย!! มึงทำเพื่อนกูแล้วอย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะเว้ย พ่อกูเป็นตำรวจ จะสั่งให้จับพวกมึงให้หมดเลย พวกมึงไม่รอดแน่ พ่อแม่มึงต้องถูกจับ บ้านมึงต้องถูกยึด โทษฐานมาหาเรื่องกับกู ไอ้เชี่ย!!" เด็กหัวโจกหน้าดำหน้าแดงควันออกหู โกรธจัดที่มีคนกล้าท้าทายอำนาจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าขัดใจเขาเลยสักครั้ง แค่มีพ่อเป็นตำรวจไม่ว
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก