นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ
บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม
เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ
เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง
ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสาของเจ้าตัว
เฮนรี่คิดว่าเมื่อตนก้าวเท้าเข้าสู่โรงเรียนครั้งแรกทุกคนต้องพากันมารุมล้อมเทความสนใจให้เขาแน่
เด็กชายมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมจนกระทั่งญาติห่าง ๆ ของเพื่อนสนิทตนปรากฏตัวขึ้นที่โรงเรียน พร้อมเดินเคียงข้างมากับอีกคนซึ่งเขาไม่รู้จัก
เด็กจิ้มลิ้มจากที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นดาวเด่นก็ต้องตกอับไปเพราะว่าทุกคนเอาแต่ให้ความสนใจไปที่สองคนนั้น
เด็กชายคิดว่าเพราะอีเลนอยู่กับเคียร์นเลยทำให้ได้รับอิทธิพลไปด้วย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายดูดีกว่าตัวเองมากมายอะไร
เขามั่นใจในความน่ารักเหมือนเทวดาตัวน้อย ๆ ของตน ไม่ว่าใครเห็นต่างก็ต้องรู้สึกเอ็นดู ถ้าแย่งที่อีเลนไปยืนเคียงข้างเคียร์นได้ ทุกคนต้องหันมาให้ความสนใจเขามากกว่าเดิมแน่ ๆ รวมถึงตัวญาติเพื่อนเองด้วย
ก่อนสอบเข้าโรงเรียนนี้เด็กจิ้มลิ้มเคยเจอกับเคียร์นในวันรวมญาติของบ้านเพื่อนสนิทเมื่อปีที่แล้ว เจ้าตัวถูกเซนชวนมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเพราะรู้สึกเบื่อหน่ายที่ญาติเอาแต่คุยเรื่อง มรดก กัน จนต้องหาเพื่อนมานั่งคุยฆ่าเวลา
เฮนรี่มองไปที่เด็กชายดวงตาสีแซฟไฟร์ เขามีเส้นผมสีดำขลับ ใบหน้าดูหล่อเหลาดั่งรูปสลัก ผิวสีแทนรับกับดวงตาสีน้ำทะเลลึกทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์จนยากจะละสายตา
เด็กจิ้มลิ้มพบว่าเหล่าญาติของเพื่อนตนเอาแต่รุมล้อมประจบประแจงเด็กคนหนึ่งอย่างออกหน้าออกตา
เขานึกสงสัยว่าเคียร์นมีอะไรพิเศษถึงต้องคอยเอาอกเอาใจขนาดนั้น นอกจากหน้าตาที่เด่นเป็นสง่าแล้วอีกฝ่ายก็เป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเหมือนอย่างพวกเขา
“เซน ทำไมญาตินายถึงเอาแต่ไปรุมเด็กนั่นกันจังเลยอะ” เฮนรี่ถามขึ้นอย่างสงสัย แต่สายตาก็ไม่ได้ละไปจากใบหน้าของเด็กชายตาสีน้ำเงิน
“เหอะ! จะอะไรซะอีก ก็มันเป็นบ่อเงินบ่อทองไม่ว่าใครก็อยากได้มาไว้ในกำมือทั้งนั้นแหละ” เซนพูดประชดประชัน น้ำเสียงเสียดสีคนซึ่งยืนอยู่กลางวงสนทนาอย่างโจ่งแจ้ง
“หมายความว่าไง”
เฮนรี่ถามด้วยความงุนงง จากนั้นเขาก็ได้รู้ว่านอกจากหน้าตาของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้สึกสนใจแล้ว เรื่องราวชีวิตของเคียร์นยิ่งทำให้สนใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ยิ่งเคียร์นกลายเป็นคนดังของโรงเรียน ถูกพูดถึงในเพจเยอะเท่าไหร่ เฮนรี่ก็ยิ่งอยากได้มาไว้ในครอบครอง
ถึงแม้จะมีเด็กแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาเอี่ยวด้วยแต่อีเลนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเฮนรี่เลย เขาคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้คนที่หมายปองมาเป็นของตัวเองมากกว่า
เฮนรี่เคยคิดขอความร่วมมือกับเซนเพราะเขารู้ว่าเพื่อนสนิทไม่ชอบและเกลียดขี้หน้าญาติตัวเองมากแค่ไหน
เขาจงใจลองยื่นโทรศัพท์ที่มีภาพเคียร์นให้เซนดูเพื่อขอความช่วยเหลือในแผนการแย่งตัวเคียร์นออกจากอีเลน หวังว่าเซนจะเกิดความสนใจ “อยากรู้จัง ว่าใสซื่อจริงไหมอะ” เฮนรี่ถามลองเชิงเซนพลางลอบสังเกตท่าทีว่าเพื่อนสนิทตนจะเอายังไงต่ออย่างคาดหวัง
“รอไปก่อน ตอนนี้ญาติกูประคบประหงมมันอยู่ รอได้โอกาสเถอะกูเล่นมันแน่” เซนหัวเราะเยือกเย็นส่วนเฮนรี่ก็แสร้งหัวเราะตามโดยซ่อนความผิดหวังของตนเอาไว้
เมื่อวันเรียนปรับพื้นฐานสิ้นสุดลงจนเปิดภาคเรียนแรก เฮนรี่อาสาตัวเป็นหัวหน้าห้องเพราะอยากเพิ่มภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดี โดยงานทั้งหมดจะส่งต่อให้รองหัวหน้าห้องซึ่งก็คือเด็กทุนรับไปทำทั้งหมด ส่วนตนเองนั่งเรียนชิว ๆ รอรับหน้าอย่างเดียวพอ
ขณะกำลังเดินออกจากห้องพักครู เด็กจิ้มลิ้มที่เลิกเสแสร้งเป็นคนดีแล้ว สายตาเหลือบไปเห็นคนที่ตนสนใจช่วงนี้กำลังเดินมาทางนี้พอดี เขารีบทำการคว้าหนังสือกว่าสามสิบเล่มพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
“โอ๊ย!! ผมเจ็บข้อเท้าครับคุณครู เหมือนจะพลิกเลย”
หนังสือมากมายตกกระจายลงพื้นระเนระนาด ครูอันตกใจแรงเขารีบบอกให้เด็กนักเรียนเข้ามาช่วยเพื่อน
“มาช่วยพยุงเพื่อนกันเร็วเด็ก ๆ พวกเราต้องรีบพาเพื่อนไปห้องพยาบาลนะ!!”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับครู แค่ให้เพื่อนคนหนึ่งอุ้มขึ้นมาก็ได้แล้ว” พูดไปส่งสายตาอ้อนวอนไป คิดว่าถ้าเคียร์นเป็นเด็กใสซื่อเหมือนที่เซนพูดจริง ๆ ย่อมต้องหลงกลไปกับการแสดงของตนแน่!!
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แสยะยิ้มเย็นจนแทบมองไม่เห็น ในใจคิดว่าเด็กคนนี้ช่างมารยาเสียจริง แสดงความต้องการของตัวเองออกมาโดยไม่เก็บซ่อนมันไว้เลยสักนิด มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ดูไม่ออกว่าเด็กนี่คิดอะไร
เด็กตาน้ำเงินปรับสีหน้าทำเป็นตกอกตกใจแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายอย่างสมจริง อีเลนซึ่งยืนมองอยู่ข้าง ๆ เขารู้ได้ในทันทีว่าเคียร์นเสแสร้งและสัมผัสได้อีกด้วยว่าเด็กตรงหน้าเขาเองก็เช่นกัน
‘นี่ฉันกำลังยืนดูอะไรอยู่’ นึกลอบขำกับตัวเองในใจ
เฮนรี่เมื่อเห็นท่าทางเคียร์นเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายติดกับตัวเอง! คนซื่อมักเป็นเหยื่อของคนฉลาดเขารีบทำสายตาออดอ้อนหนักกว่าเก่า เริ่มพูดเสียงเล็กเสียงน้อยทำให้ดูน่ารักน่าเห็นอกเห็นใจมากยิ่งขึ้น!!
“นายช่วยอุ้มฉันหน่อยได้ไหม ฉันลุกเองไม่ไหวเลย น่า ๆ”
“จริงเหรอครับ ทำไงดี ฉันกลัวนายเจ็บมากเลย เดี๋ยวฉันขอตรวจดูข้อเท้านายให้ก่อนแล้วกัน”
เคียร์นพูดพร้อมแสดงท่าทีร้อนรนเป็นห่วงสุดขีด ก่อนจะก้มตัวลงไปจับข้อเท้าใช้นิ้วกดตรงจุดเส้นเลือดของอีกฝ่ายไว้แน่น จนเจ้าตัวร้องโอดครวญอย่างโหยหวน
“โอ๊ยยยย”
อีเลนมองฝ่ามือเคียร์นที่จับข้อเท้าของเฮนรี่ไว้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเด็กเจ้าเล่ห์ของตนกำลังแกล้งทำ แต่ไม่รู้ทำไมข้างในลึก ๆ ถึงกลับรู้สึกไม่ชอบใจอย่างน่าประหลาด
“อ๊ะ!! ขอโทษนะ ฉันเป็นห่วงนายมากเกินไป จนเผลอไปจับตรงที่นายเจ็บน่ะ ขอโทษจริง ๆ นะ!!”
เคียร์นตีบทแตกแสดงสีหน้าเศร้ารู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง นัยน์ตาสีแซฟไฟร์สั่นระริก อีเลนซึ่งสับสนกับความรู้สึกของตนเอง มองการแสดงเด็กตรงหน้าพลางคิด ‘รางวัลนักแสดงดีเด่นออสการ์ ต้องเข้าแล้วไหม!!’
เฮนรี่ฝืนยิ้มออกมา ที่จริงตอนล้มเขาก็รู้สึกเหมือนข้อเท้าจะแพลงนิดหน่อยแต่ดันมาโดนเคียร์นบีบเต็มแรงตรงจุดเน้น ๆ อีก จึงอดทำสีหน้าเหยเกไม่ได้ น้ำเสียงออดอ้อนพยายามขั้นสุดเปล่งออกมา พร้อมสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ตอนนี้นายแค่ช่วยอุ้มฉันก็พอแล้วนะ ไม่ต้องไปตรวจดูตรงข้อเท้าแล้ว”
เคียร์นนึกขำแสยะยิ้มในใจก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหน้าไปหาครูอัน ผู้ซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดไม่รู้จะจัดการช่วยเหลือเด็กนักเรียนยังไงดี
“ผมว่าเราเรียกครูห้องพยาบาลให้มาพาตัวเพื่อนไปเถอะครับ ผมกลัวว่าถ้าเราด่วนช่วยพากันไปเองจะยิ่งทำให้อาการหนักกว่าเดิม”
ดวงตาสีแซฟไฟร์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางทำสายตาละห้อย มองไปยังเฮนรี่ซึ่งกำลังนั่งยิ้มค้างอยู่
ครูอันเมื่อได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วยเร็วไว เขากลัวว่าถ้าไปเคลื่อนย้ายสุ่มสี่สุ่มห้าเองจะทำให้อาการหนักกว่าเก่า!
สุดท้ายแม้เฮนรี่จะร้องท้วงว่าตนไม่ได้เป็นอะไรมาก ขอแค่ให้เพื่อนพาไปห้องพยาบาลมากแค่ไหน ครูอันผู้มีความห่วงใยนักเรียนเกินเบอร์ย่อมไม่รับฟัง เขาสั่งให้เด็กทุนไปตามครูห้องพยาบาลมาช่วยเคลื่อนย้ายเพื่อน
เด็กจิ้มลิ้มกัดฟันกรอดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เขาโดนครูอันและครูห้องพยาบาลทั้งสองท่านช่วยกันหามไปรักษาตัวแทนคนที่หมายปองเอาไว้แต่แรก
เด็กทุนเมื่อหายตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ทุกอย่าง เจ้าตัวรีบตั้งสติพลางย่อตัวลงเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น อีเลนเห็นก็เข้าไปช่วยเก็บพร้อมกับอาสาจะช่วยยกไปที่ห้อง S ให้แต่โดนเด็กทุนปฏิเสธ เขาซาบซึ้งใจกับความมีน้ำใจ แต่ถ้าพวกเด็กบ้านมีฐานะเห็นเขาอยู่กับเพื่อนคนนี้พาลผู้มีน้ำใจจะซวยโดนเล่นงานไปด้วย
เคียร์นรู้สึกได้ถึงเจตนาเป็นห่วงของอีกฝ่าย จึงอาสาช่วยยกหนังสือไปส่งให้แทน “ไม่เป็นไร บ้านฉันมีฐานะเหมือนกัน”
ดวงตาสีแซฟไฟร์พูดกระซิบเสียงเบา ทำให้เด็กทุนเสียวสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนอ่านใจได้ว่าคิดอะไรอยู่
เมื่อเด็กทุนไม่มีท่าทีปัดป้องพร้อมทั้งยังแสดงความเกรงอกเกรงใจ เคียร์นจึงได้อาสาถือหนังสือไปวางไว้ที่ห้อง S ด้วยกัน
ส่วนอีเลนโดนเด็กตาน้ำเงินบอกให้แยกกันไปคนละทาง ให้ไปดูที่ห้องพักครูเผื่อต้องเอาหนังสือเรียนหรืออะไรไหม เพราะเขาไม่อยากให้เพื่อนตัวน้อยไปเจอหน้าญาติห่าง ๆ ของตนเองด้วย
ที่เคียร์นรับอาสาช่วยครั้งนี้เป็นเพราะอยากไปส่องหน้าผู้เป็นญาติแล้วดูสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อเฉย ๆ เขาคิดว่าตอนนี้ทางเครือญาติคงยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวอะไรหรอก
โดยเฉพาะเซน ถึงแม้เจ้าตัวจะอยากหาเรื่องเขามากแค่ไหนแต่ถ้าโดนทางบ้านกดดันไว้อยู่ก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไรมาก
ส่วนเฮนรี่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าหาเพราะสนใจตน แต่ยังฟันธงไม่ได้ว่าเป็นแค่เหตุผลนั้นจริง ๆ รึเปล่า เพราะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนสนิทกับญาติที่จ้องจะเล่นงานตัวเองต้องคอยจับตาดูทั้งสองคนต่อไป
ช่วงเช้าผ่านไปอย่ารวดเร็ว ไม่ช้าก็เป็นเวลาเลิกเรียนบ่ายสามโมงแล้ว โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดไม่ค่อยเคร่งเรื่องเวลาเรียนมากนัก วันไหนครูผู้สอนคาบวิชาสุดท้ายจบเนื้อหาไวก็ปล่อยกลับบ้านก่อนเวลาได้เลย
อีเลนเอ่ยชวนเพื่อนของตัวเองไปเที่ยว หลังจากเขาได้ยินว่าเชาว์เคยเห็นเพิร์ซที่ร้านเกมเมื่อตอนเรียนปรับพื้นฐาน ก็เกิดความสนใจจึงอยากลองไปนั่งเล่นร้านเกมกับเพื่อนดูสักครั้งมานานแล้ว
ชีวิตในชาติก่อนของเด็กชายเอาแต่เรียนกับทำพาร์ทไทม์ทำให้ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ในเมื่อตอนนี้มีเวลาใช้ชีวิตวัยเด็กให้เต็มที่ก็ต้องทำในสิ่งที่ฝันไว้สักหน่อย!
เมื่อทั้งคู่ตอบตกลงจะไปร้านเกมด้วย อีเลนจึงเอ่ยชวนคนที่นั่งด้านข้างว่าจะไปด้วยกันไหม ซึ่งคำตอบก็แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าอีเลนจะชวนเคียร์นไปที่ไหน แม้ไม่ต้องร้องขออีกฝ่ายก็พร้อมไปกับเขาได้ทุกที่
เพิร์ซพาแก๊งเพื่อนมาร้านเกมที่ตั้งอยู่ในซอยแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับโรงเรียน โชคดีที่วันนี้ห้องเขาเลิกเร็ว ไม่งั้นได้ติดสปีคเท้าไฟวิ่งมาแย่งที่นั่งกับเด็กห้องอื่นเป็นแน่ เพราะร้านนี้ยิ่งเป็นขาประจำของพวกเกรียนเกมเมอร์อยู่ อีเลนมองรอบด้านอย่างตื่นเต้น
เขาอยากเล่นเกมยิงปืนจับทีมกับเพื่อนไว ๆ เคียร์นซึ่งยืนมองคนยิ้มแฉ่งอยู่ไม่ไกล ดวงตาสีแซฟไฟร์หลุบต่ำลงพลางกดรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างเอ็นดู
ทั้งสี่คนเลือกนั่งโซนมุมในสุดของร้าน เคียร์นั่งอยู่ข้างอีเลนส่วนเพิร์ซกับเชาว์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยกัน ที่นั่งเป็นแบบหันหน้าชนกันมีแค่เครื่องคอมของใครของมันเป็นตัวกั้นกลาง
“ลูกพี่อยากเล่นเกมอะไรไหมครับ!”
เด็กแว่นซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตรงหน้าอีเลนเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เข้าร้านเกมมาเล่นกับคนอื่นนอกจากพี่ชายของตัวเองตอนสมัยยังเด็ก
เมื่อพี่ชายเสียไปเจ้าตัวก็ไม่ได้เข้ามาที่ร้านเกมอีกเลยมีแค่บางวันเท่านั้นจะแวะมาเล่นเพื่อรำลึกถึงพี่ชายตน
“ฉันอยากเล่นเกมยิงปืน!!” อีเลนตอบกลับด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่า เขาอยากเริ่มเล่นเกมไว ๆ แล้ว!
“แล้วไอ้เจ้าคนโรคจิตกับท่านเคียร์น จะเล่นเกมแนวนี้ด้วยไหมครับ” เพิร์ซหันไปถามทั้งสองคนอย่างต้องการความคิดเห็น
“คนข้างฉันเล่นอะไร ฉันก็เล่นด้วยหมดแหละ”
เคียร์นตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกพลางมองหน้าเพื่อนข้างกาย ส่งสายตาดูมีอะไรจนทำให้คนถูกมองเริ่มทำตัวไม่ถูก
“คนอย่างผมไม่เหมาะกับคำว่าโรคจิตหรอกนะ ต้องเหมาะกับคำว่ากุหลาบแดงผู้ถูกย้ำยีมากกว่า!! อ๊ะ แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่ชอบให้นายเรียกว่าไอ้โรคจิตหรอกนะ!”
เพิร์ซมองเชาว์อย่างเอือมระอา สายตาว่างเปล่าหันกลับมาวางบนหน้าจอคอมก่อนจะเริ่มกดค้นหาเกมยิงปืนที่จะเล่นกัน
เกมที่เด็กแว่นนำมาเสนอคือเกมยิงปืนท้าด่วนแบบสี่ต่อสี่โดยทั้งสองทีมจะมีข้างละสี่คน แข่งกันฆ่าทีมอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ยิงกันจนหมดเวลา ฝ่ายไหนฆ่าได้คะแนนมากที่สุดฝั่งนั้นเป็นผู้ชนะ
อีเลนพยักหน้าตอบรับเกมนี้ในทันทีเพราะมันดูเล่นง่ายและกติกาไม่ซับซ้อนมาก แค่ต้องใช้ฝีมือและไหวพริบในการต่อสู้กับศัตรู
เกมนี้น่าจะเหมาะกับคนพึ่งเคยเล่นเกมอย่างเคียร์นและเชาว์พอดี เขาคิดอย่างนั้นเพราะดูเหมือนทั้งสองคนคงไม่เคยเล่นเกมมาก่อนแน่นอน
“ลูกพี่ครับ มันจะบุกฝ่ากันมาทางขวามือแล้วครับลูกพี่!!”
“เชาว์ นายทำอะไรอยู่ ฉันบอกให้นายขึ้นมาฆ่าพวกมันข้างบนไงเจ้าโรคจิตนี่!!” เพิร์ซจริงจังกับการเล่นเกมเต็มที่ จนทำให้อีเลนรู้สึกกดดันเหมือนว่าเขาต้องพยายามเล่นให้ดี ๆ ไม่เอาตัวเองไปแจกกับฝ่ายตรงข้าม แต่มันก็ทำได้ยากเพราะเขาไม่ได้เป็นคนเล่นเกมเก่ง
ชีวิตชาติก่อนก็ไม่ค่อยแตะเกมด้วย ส่วนมากกลับบ้านมาจากการเรียนหรือทำงานจะดูอนิเมะไม่ก็อ่านนิยายพักสมองเสียมากกว่า
“ม่ายยยน่าาา ตัวผมโดนยิงอีกแล้ว พวกบ้านั่นมันยิงผมอีกแล้วแต่จะยิงอีกก็ได้น่าาม่ายยยย”
เพิร์ซมองเชาว์ด้วยสายตามีคำถาม 'สรุปจะให้อีกฝ่ายยิงหรือไม่ยิงกันแน่' นึกในใจพลางจริงจังมีสมาธิกับการเล่นเกมต่ออย่างมือโปร
หลอดเลือดอีเลนเริ่มเหลือน้อยลงเต็มที เขายังไม่อยากเสียแต้มให้ฝั่งตรงข้ามมากกว่านี้ ในขณะที่กำลังบังคับตัวละครให้วิ่งหนีฝั่งศัตรูที่วิ่งไล่กวดอยู่สองคน ตัวละครเคียร์นโผล่เข้ามาปกป้องไล่เก็บศัตรูทุกคนที่จะเข้ามาไล่สังหารอีเลน
เพิร์ซเมื่อเห็นว่าฝั่งตนเองเริ่มนำแต้มได้ก็แสดงอาการดีใจโดยการโห่ร้องออกมาเสียงดังไม่เหลือเค้าเดิมความเป็นเด็กเรียนมาดนิ่งซึนเดเระ ในที่สุดฝั่งพวกเขาก็ชนะด้วยแต้มที่ได้มากกว่าฝั่งตรงข้ามไปถึงสองเท่า!!
“เยี่ยม!!! พวกเราชนะเพราะท่านเคียร์นเลย แต่....ลูกพี่ก็เก่งเหมือนกันนะครับ!” อีเลนยิ้มเจื่อนเขาแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยไม่ต้องหันมาชมกันก็ได้
“จะว่าไปพวกลูกพี่หิวน้ำกันไหมครับ ข้างล่างมีตู้กดน้ำเดี๋ยวผมลงไปซื้อมาให้เอง”
“ให้ฉันไปด้วยไหม” อีเลนถามเผื่อต้องการคนช่วย
“ไม่ต้องก็ได้ครับลูกพี่ แค่นี้เอง”
“อืม……. งั้นฉันฝากซื้อน้ำโคล่าแล้วกัน” อีเลนลังเลนิดหน่อยเพราะกลัวอีกฝ่ายถือไม่ไหวแต่ก็บอกออกไป
“ท่านเคียร์นล่ะครับ”
เคียร์นยิ้มให้เด็กแว่นพลางส่ายหัวปฏิเสธเล็กน้อย เขาคิดว่าจะดื่มน้ำขวดเดียวร่วมกับอีเลนไม่จำเป็นต้องเอามาอีกขวด
“อ่า ๆ ส่วนผมเอาชากุหล…..” ยังไม่ทันได้พูดจบคำเพิร์ซก็ชิงตัดหน้าโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“นายลงไปเอาเอง!”
"แม่ง!! ไอ้เด็กกลุ่มไหนมันมาเล่นเกมแถวนี้เปล่าวะเก่งฉิบหาย!!"แก๊งนักเรียนมัธยมต้นปีสามพูดคำสบถหลังเล่นเกมในมือถือแพ้ เกมยิงปืนของค่ายนี้เป็นเกมที่เล่นได้ทั้งบนคอมและโทรศัพท์มีฟังก์ชันในการจับคู่แมทช์กับทีมระยะใกล้มากที่สุด
พวกอันธพาลต่างโรงเรียนยืนสูบบุหรี่จัดอยู่ข้างร้านเกม พวกเขาเข้าไปข้างในไม่ได้เพราะเจ้าของร้านไม่ยอมให้คนมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวย่างกรายเข้าไปเด็ดขาด เหล่าแก๊งอันธพาลจึงพากันหาอะไรเล่นฆ่าเวลา รอจนกว่ากลิ่นตัวเจือจางลง
“กะจะตบพวกกากสักหน่อย อย่าให้รู้นะแม่งคนไหนมาเล่นเกมแถวนี้แล้วทำให้กูอารมณ์เสีย กูจะตบให้คว่ำเลย”
เด็กผู้ชายอีกสามคนพยักหน้าเห็นด้วยตามชายหน้าโหด แม้จะรู้สึกว่าลูกพี่ของตนเล่นเกมแพ้เองแล้วพาลชัด ๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดขัดอะไร
“แหม ฉันไม่คิดเล่นนะว่านายจะเล่นเกมเก่งได้ขนาดนั้นอะ ยิงสอยพวกมันซะร่วงเรียงตัวเลยฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
เชาว์เดินออกมานอกร้านพร้อมกับเพิร์ซที่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย จะชินก็ไม่ชินสักทีกับท่าทางเล่นใหญ่ของคนบ้า คงเป็นเพราะในส่วนลึกเขายังไม่อยากยอมรับเสียมากกว่า
เด็กแว่นทำหูทวนลมเดินมาหยอดเงินลงในตู้กดน้ำ ก่อนจะกดน้ำผึ้งมะนาวให้ตนเองหนึ่งขวดและโคล่าขวดหนึ่งของลูกพี่ตน ส่วนของเพื่อนโรคจิตให้เจ้าตัวกดเอง เขาไม่อยากมีน้ำใจกับคนบ้า
“ลูกพี่ ๆ ไม่ใช่ว่าไอ้เด็กพวกนั้นมันเป็นคนทำให้ลูกพี่แพ้เกมเหรอ”
ลูกน้องคนหนึ่งกระซิบใส่หัวหน้าแก๊ง จนทำให้คนพึ่งแพ้เกมมาเริ่มมีอาการหงุดหงิดมากขึ้น
จากที่รำคาญใจกับเจ้าของร้านที่ไม่ให้ตนเข้าอยู่แล้ว บวกกับอากาศของวันนี้ที่โคตรจะร้อน แถมยังมาแพ้เกมให้เด็กอ่อนกว่าอีก
คนหน้าโหดไม่รู้ไม่สนใจแล้วว่าไอ้พวกเด็กมายืนกดน้ำเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ตนแพ้หรือเปล่า รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาเป็นอันธพาลและอยากจับใครสักคนมาอัดระบายอารมณ์ที่อัดอั้นให้หนำใจ!!!
“วันนี้อยากอัดเด็กสองคนว่ะ มันดูจะใช้ชีวิตลันล๊าเกินหน้าเกินตาไปแล้ว” เมื่อลูกพี่จอมโหดพูดขึ้น พวกลูกน้องอีกสามคนต่างพากันหัวเราะ
ชอบใจ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าพากันเข้าไปหาคนยืนตรงตู้น้ำ
“ไง ไอ้พวกตัวกะเปี๊ยก วันนี้อากาศมันร้อนเนอะ อยากหาอะไรมาทำให้เย็นสดชื่นกันหน่อยไหม”
หัวหน้าแก๊งเดินเข้าไปใกล้เพิร์ซ มือหยาบแย่งขวดน้ำมาจากเจ้าตัวก่อนทำการเปิดฝาขวดยกขึ้นสูง ให้น้ำโคล่าสีเข้มไหลผ่านลงมากระทบกับศีรษะของคนตัวเล็กกว่าหน่อยจนผมเปียกชุ่ม
“เฮ้ย!! พวกนายทำไรอะ มาทำเพื่อนฉันแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย!!” เชาว์แสดงสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้เข้ามาหาเรื่องเพื่อนตนเอง
“เฮ้อ พวกขยะก็งี้ ขี้แพ้แล้วยังพาลไปทั่ว” คนโดนหาเรื่องบ่นเสียงเบื่อหน่ายปนขยาด เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
แน่นอนว่าเพิร์ซเป็นโรคสัมผัสตัวกับผู้อื่นไม่ได้ อาการค่อนข้างรุงแรงจนทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่เด็กหลายครั้ง แม้จะอาการดีขึ้นไปเรียนได้มากแค่ไหนก็ยังสัมผัสคนอื่นโดยตรงไม่ได้อยู่ดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามักโดนกลั่นแกล้งมาตั้งแต่สมัยละอ่อน
พี่ชายซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวขอให้พ่อแม่ส่งน้องชายไปเรียนต่อสู้ซึ่งแน่นอนคนเป็นพี่ย่อมเรียนเป็นเพื่อนด้วย ถึงพี่ชายจะเสียไปแล้วแต่คำที่พี่มักบอกกับเขาเสมอคือการปกป้องตัวเองให้ได้
เพิร์ซจำคำเหล่านั้นไว้ขึ้นใจ เรียนการต่อสู้โดยไม่สัมผัสตัวโดยตรงกับครูฝึก ถึงแม้มันจะยากลำบากมากแค่ไหนแต่เขาก็พยายามจนสุดใจ จนเก่งกว่าเด็กคนอื่นหลายเท่า
เด็กชายทำการถอดแว่นตาออก เผยใบหน้าหล่อเหลาซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กขึ้นมาห่อแว่นตาของตนก่อนจะนำไปฝากไว้ที่เพื่อนโรคจิตอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถือไว้ให้ดีละ เดี๋ยวเชื้อโรคติด”
เชาว์อ้าปากค้างให้กับใบหน้าราวฟ้าประทานของเพิร์ซ ฝ่ามือขาวเก้กัง รับของมาถือไว้อย่างไม่ค่อยมีสติ
“เป็นเด็กเป็นเล็กแต่กล้าเมินคนอายุมากกว่าเหรอวะ!!” หนุ่มหน้าโหดพูดอย่างเดือดดาล เพิร์ซไม่สนใจเขาหยักไหล่ขึ้นก่อนทำการเสยผมเปียกชื้นของตนเองไว้ข้างหลังแล้วหยิบถุงมือผ้าสีดำสองอันจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาใส่ไว้เพื่อกันรอยเปื้อน (เลือด) และเชื้อโรค
เด็กชายทำการปลดกระดุมปกคอเสื้อสองสามเม็ด ทำให้แผงคอขาวซีดถูกเผยออก ดวงตากลมโตมองตวัดพวกคนโตกว่าอย่างกดดัน
“อยากตายก็เข้ามา ถ้าคิดว่าสู้กับว่าที่คาราเต้สายดำได้อะนะ”
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบห
ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่ หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ “ดีละ!!” คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่
เสียงร้องไห้ของเด็กอ้วนดังไปทั่วสนามเด็กเล่น อีเลนกะพริบตาสองสามที เขามองคนที่นั่งฟันหลุด ใจจริงไม่ได้กะต่อยแรงขนาดนั้นแค่เผลอออกแรงมากเกินไปเพราะเห็นภาพซ้อนทับกับเด็กเกเรที่ชอบแกล้งเหล่าน้อง ๆ ในอดีตของตนจนบาดเจ็บเป็นประจำ อีเลนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการเด็กน้ำมูกน้ำตาไหลที่ดูแทบไม่ได้ มือหนึ่งยื่นไปให้จับหวังช่วยพยุงตัวขึ้น “เป็นไรไหม” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ตนทำเกินกว่าเหตุ แม้ภายในลึก ๆ จะอยากให้เด็กคนนี้จำฝังใจว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครแบบนี้อีก “แงงงงงง แม่จ๋า” เด็กน้อยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด เอาแต่นั่งร้องไห้ โหวกเหวกท่าเดียวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ด้วย “เฮ้ย!! มึงทำเพื่อนกูแล้วอย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะเว้ย พ่อกูเป็นตำรวจ จะสั่งให้จับพวกมึงให้หมดเลย พวกมึงไม่รอดแน่ พ่อแม่มึงต้องถูกจับ บ้านมึงต้องถูกยึด โทษฐานมาหาเรื่องกับกู ไอ้เชี่ย!!" เด็กหัวโจกหน้าดำหน้าแดงควันออกหู โกรธจัดที่มีคนกล้าท้าทายอำนาจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าขัดใจเขาเลยสักครั้ง แค่มีพ่อเป็นตำรวจไม่ว
เรื่องราวในนิยายเล่าถึงช่วงเวลาสมัยเด็กของพระเอกและนางเอกไว้ไม่กี่บท ทั้งคู่ได้เจอกัน เกิดมาจากโรคจิตเวชของอีเลนคนเก่ากำเริบ วันหนึ่งคุณแม่ของเด็กชายออกไปรับของทางไปรษณีย์ข้างนอกโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอกลับมาพัสดุยังไม่ทันวางพลันร่วงหลุดมือ เมื่อเธอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนถือมีดปอกผลไม้ ที่แขนเล็กตรงข้อพับมีรอยกรีดลึกยาว เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาทีละหยดสองหยด ผู้เป็นแม่แข้งขาอ่อนแรง ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที หญิงวัยกลางคนมีอาการตัวสั่นหน้าซีดเผือด ตกตะลึงกับการกระทำของลูกน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทะเลาะปนสะอื้นไห้ดังแซดไปทั่วบ้าน เธอต่อสายถกเถียงกับสามีเรื่องลูกชายของตน กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ กล่าวว่าสามีที่ไม่มีเวลาให้ลูกบ้างก็ดี กล่าวว่าตัวเองที่ดูแลลูกไม่ดีบ้างก็ดี ผู้เป็นสามีเคร่งเครียดถอนหายใจดังลั่นจนปลายสายได้ยินเสียง ‘เฮ้อ’ “งั้นเอางี้ คุณย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงซะ ที่นั่นมีหมอเก่งด้านจิตเวช เดี๋ยวผมส่งเขาไปเป็นหมอประจำตัวอีเลนให้” พูดจบก็วางสายไป คนเป็นแม่สะอื้นไห้โผเข้า
หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!! ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา 'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่' เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไ
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก