ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ
คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว
“คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!”
หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด
วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก
เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!!
ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรคครั้งสุดท้ายแล้วจริง ๆ
ถึงตัวเองจะเคยเอ่ยปากอยากไปต่างโลกแต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าถ้าเกิดตายจริงแล้วจะได้ไปแน่ ๆ เสียหน่อย
หลังกระโดดวัดดวงแทบเป็นแทบตาย ตัวเขาลอยเคว้งอยู่กลางอากาศจากการฟรีคิกเพียงไม่กี่วิ ก่อนทั้งร่างร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว หัวกระแทกเข้ากับขอบหนังสือนิยายที่วางไว้ไม่เป็นระเบียบน็อคเอ้าท์คาที่
"อ่า ให้ตายสิ!"
วินาทีนั้นชายหนุ่มปลงกับทุกสิ่ง ถ้าจะพยายามทำขนาดนี้เอาเลยจะพาไปไหนก็ไปเลย
ชายในร่างเด็กเผลอนั่งกอดเข่าตนเองแสดงอาการสั่นกลัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตัวเขาหน้าซีด ไร้สี ลมหายใจติดขัดจนผู้เป็นแม่สังเกตได้ หญิงมีอายุเห็นดังนั้นก็ปวดใจ วางสายจากคุณหมอเดินเข้ามาหย่อนกายลงข้างลูกรักหวังปลอบใจ
มือหนึ่งเอื้อมไปสัมผัสศีรษะลูกน้อยให้ค่อย ๆ ซบไหล่ตนเบา ๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเอ่ยท่องคาถาแสนอ่อนโยนที่ทำให้อบอุ่นไปทั้งหัวใจ
“โอ๋ ๆ ความเจ็บปวดจงหายไป ความเศร้าเอ๊ยจงหายไป”
หลังร่ายคาถาเสร็จ เธอเอนหัวมาพิงกับศีรษะเล็กเบา ๆ มือบางยกลูบไล้เส้นผมลูกชายอย่างปลอบประโลม
น้ำเสียงอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรักพูดวนซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แก้วตาดวงใจหายกลัว
ชายผู้ได้ชื่อว่าอีเลนตอนนี้เงยหน้ามองหญิงแปลกหน้าดวงตาปริบ ๆ ในใจท่วมท้นเต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก เขาทั้งรู้สึกเศร้าและอบอุ่นหัวใจในเวลาเดียวกัน หยาดน้ำตาสีใสเอ่อล้นจนคลอเบ้า
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสองปียังไม่เคยมีใครมอบความรักความอบอุ่นแบบนี้ให้เขาเลย เกิดมาตัวคนเดียวใช้ชีวิตเพียงลำพังจนเคยชิน มีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งไม่หวังพึ่งพาใคร
ถ้าวันไหนรู้สึกทนไม่ไหวต้องการใครสักคนขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นคงเป็นวันที่แสนเจ็บปวดมากสำหรับเขา
ทุกวันได้แต่บอกกับตัวเองว่าอยู่คนเดียวได้ไม่เป็นไรเราเข้มแข็งจะตาย ไม่ต้องการให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตหรอกไม่ต้องการเลย ทั้งที่จริงข้างในลึก ๆ ขัดแย้งกับความต้องการ
ริมฝีปากเล็กเม้มชิดกันจนเป็นเส้นตรง แม้ใจจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่หยดน้ำตากลับสวนทางจนร่วงหล่นอาบแก้ม คนเป็นแม่ตกใจไม่เคยเห็นลูกชายตนเป็นอย่างนี้มาก่อน เสียงนุ่มเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยของเธอด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“ลูกรัก ร้องไห้ทำไมหืม….”
สิ้นสุดเสียงหญิงตรงหน้า ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองปีในร่างเด็กอายุสิบสองขวบ ปล่อยโฮออกมาเหมือนคนที่ไม่เคยร้องไห้ทั้งชีวิต
‘ฟืด ฟาด’ ชายในร่างเด็กนั่งสูดน้ำมูกตนเองอยู่ปลายเตียงบนห้องนอนสไตล์เรียบ ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นห้องของเด็กอายุสิบสองขวบ
ทุกอย่างธรรมดาไปหมดไม่มีแม้แต่ของเล่น มีก็แต่หนังสือเรียนเกี่ยวกับกายวิภาคหลายเล่มวางอยู่บนชั้นเท่านั้น ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องของเด็กนักเรียนเตรียมสอบเข้ามหาลัยมากกว่าชั้นประถมปลาย
หลังจากที่ร้องไห้ขึ้นมายกใหญ่ คุณหมอประจำตัวเจ้าของร่างก็มาถึงพอดี หญิงชุดขาวตรงเข้ามาตรวจร่างกายดูอาการให้เสร็จสรรพก่อนจ่ายยาบรรเทาอาการให้แล้วจากไป
คุณแม่พาเขาเข้ามานอนพักในห้องหลังตรวจเรียบร้อย ทำให้เจ้าตัวมีเวลาทบทวนเรื่องราวทั้งหมดพร้อมเรียกคืนสติตนเอง
“ให้ตายสิ นี่เราเข้ามาอยู่ในนิยายที่พึ่งอ่านจบจริงสินะ”
คิดพลางมองรูปร่างในกระจกที่ติดกับผนังใกล้ตู้เสื้อผ้า เด็กชายตาสีส้มอมเหลือง ผมสีขาวปอยเหลืองเล็กน้อย สะท้อนภาพในกระจกใส สันจมูกคมยาว ใบหน้าแผ่ออร่าหล่อเหลาแม้จะยังเด็ก
โดยรวมลักษณะภายนอกของเด็กคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนพระอาทิตย์เคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูสว่างจ้าจนแสบตาไปหมด
“หน้าสมกับเป็นตัวเอกมาก!”
ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งกับใบหน้าของเด็กชาย คิดว่าคนอะไรจะหล่อได้ขนาดนี้พลันหันซ้ายทีขวาทีก่อนจะลองเก๊กทำท่าหล่ออย่างลืมตัว
“อ๊ะ!” พอรู้ตัวก็เขินอายกับการกระทำของตัวเอง ก่อนจะค่อยเอนตัวล้มนอนบนเตียงใหญ่พลางนึกถึงเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้ไปด้วย
รักสุดซาดิสม์ เป็นนิยายที่เขาพึ่งอ่านจบไปเมื่อวาน เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระเอกชื่อ อีเลน
ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชตัวละครนี้มักชอบทำหน้านิ่งมีปัญหาในการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ สิ่งที่เจ้าตัวชอบคือการเห็นเลือดของสิ่งมีชีวิตยิ่งตายแล้วจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กชายรู้สึกตื่นเต้น
วัยเด็กของอีเลนมักชอบเล่นซนไปเก็บศพสัตว์ตัวเล็กแถวบ้านมาฝากแม่ตัวเองเสมอ ตอนแรกคนเป็นแม่นึกว่าเป็นการกลั่นแกล้งของเด็กไม่รู้ประสีประสาวัยนี้
จนอีเลนได้รับบาดเจ็บทางรถยนต์เลือดออกหนัก ข้อเท้าซ้ายได้รับความเสียหายแต่กลับไม่ร้องไห้เลยสักนิด ทั้งยังมองบาดแผลของตนและเผยรอยยิ้มอันน่าขนลุกอย่างพึงพอใจ
แม่ของเด็กชายขนลุกซู่ สีหน้าพลันซีดเผือดมองการกระทำของลูกน้อยอย่างสับสน ก่อนตัดสินใจพาตัวส่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวตั้งแต่แปดขวบ
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะพรรณนาถึงการฆาตกรรมอันเลือดเย็นของพระเอก กักขังหน่วงเหนี่ยวนางเอกแย่งชิงปะทะฝีมือกับตัวร้ายสุดเก่งของเรื่อง พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วใจเขารู้สึกหวาดหวั่น มองมือเล็ก ๆ ของเจ้าของร่างตัวน้อยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
‘มือนี้ฆ่าไปไม่รู้กี่คนแล้ว เราจะไม่ติดโรคทางจิตของพระเอกมาด้วยใช่ไหม’
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกวูบโหวงในใจ เขากลัวเลือดเขาไม่อยากเป็นฆาตกร!!“ อีเลน ลงมากินข้าวไหวไหมลูก”
น้ำเสียงหญิงที่เรียกเขาว่าลูกดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดอันฟุ้งซ่านให้เลือนหายไปในพริบตา
หนุ่มมหาลัยภายในร่างเด็กน้อยรู้สึกอบอุ่นวาบภายในหัวใจ นี่เป็นหนึ่งในความฝันของเขา ความฝันที่อยากให้ใครสักคนเรียกมากินข้าวด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยน
ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มบางก่อนจะหยัดยืนขึ้นพร้อมเกิดประกายแรงมุ่งมั่นตั้งเป้ากับตัวเองไว้ในใจ
'ถึงร่างกายนี้จะเป็นของอีเลน แต่เนื้อแท้เราไม่ใช่อีเลน ไหน ๆ ก็พามาแล้วจะขอใช้ชีวิตตัวเอกตามใจชอบละนะ!!"
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบห
ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่ หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ “ดีละ!!” คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่
เสียงร้องไห้ของเด็กอ้วนดังไปทั่วสนามเด็กเล่น อีเลนกะพริบตาสองสามที เขามองคนที่นั่งฟันหลุด ใจจริงไม่ได้กะต่อยแรงขนาดนั้นแค่เผลอออกแรงมากเกินไปเพราะเห็นภาพซ้อนทับกับเด็กเกเรที่ชอบแกล้งเหล่าน้อง ๆ ในอดีตของตนจนบาดเจ็บเป็นประจำ อีเลนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการเด็กน้ำมูกน้ำตาไหลที่ดูแทบไม่ได้ มือหนึ่งยื่นไปให้จับหวังช่วยพยุงตัวขึ้น “เป็นไรไหม” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ตนทำเกินกว่าเหตุ แม้ภายในลึก ๆ จะอยากให้เด็กคนนี้จำฝังใจว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครแบบนี้อีก “แงงงงงง แม่จ๋า” เด็กน้อยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด เอาแต่นั่งร้องไห้ โหวกเหวกท่าเดียวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ด้วย “เฮ้ย!! มึงทำเพื่อนกูแล้วอย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะเว้ย พ่อกูเป็นตำรวจ จะสั่งให้จับพวกมึงให้หมดเลย พวกมึงไม่รอดแน่ พ่อแม่มึงต้องถูกจับ บ้านมึงต้องถูกยึด โทษฐานมาหาเรื่องกับกู ไอ้เชี่ย!!" เด็กหัวโจกหน้าดำหน้าแดงควันออกหู โกรธจัดที่มีคนกล้าท้าทายอำนาจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าขัดใจเขาเลยสักครั้ง แค่มีพ่อเป็นตำรวจไม่ว
เรื่องราวในนิยายเล่าถึงช่วงเวลาสมัยเด็กของพระเอกและนางเอกไว้ไม่กี่บท ทั้งคู่ได้เจอกัน เกิดมาจากโรคจิตเวชของอีเลนคนเก่ากำเริบ วันหนึ่งคุณแม่ของเด็กชายออกไปรับของทางไปรษณีย์ข้างนอกโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอกลับมาพัสดุยังไม่ทันวางพลันร่วงหลุดมือ เมื่อเธอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนถือมีดปอกผลไม้ ที่แขนเล็กตรงข้อพับมีรอยกรีดลึกยาว เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาทีละหยดสองหยด ผู้เป็นแม่แข้งขาอ่อนแรง ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที หญิงวัยกลางคนมีอาการตัวสั่นหน้าซีดเผือด ตกตะลึงกับการกระทำของลูกน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทะเลาะปนสะอื้นไห้ดังแซดไปทั่วบ้าน เธอต่อสายถกเถียงกับสามีเรื่องลูกชายของตน กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ กล่าวว่าสามีที่ไม่มีเวลาให้ลูกบ้างก็ดี กล่าวว่าตัวเองที่ดูแลลูกไม่ดีบ้างก็ดี ผู้เป็นสามีเคร่งเครียดถอนหายใจดังลั่นจนปลายสายได้ยินเสียง ‘เฮ้อ’ “งั้นเอางี้ คุณย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงซะ ที่นั่นมีหมอเก่งด้านจิตเวช เดี๋ยวผมส่งเขาไปเป็นหมอประจำตัวอีเลนให้” พูดจบก็วางสายไป คนเป็นแม่สะอื้นไห้โผเข้า
หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!! ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา 'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่' เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไ
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก