“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!”
เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว
“เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!”
เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้
“ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้”
อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว
เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก
เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อีกฝ่ายปานจะกลืนกิน ยกนิ้วชี้ใส่หน้าอย่างอุกอาจ
“แก!! เป็นแกอีกแล้ว!! ชอบเล่นบทฮีโร่มากนักรึไง! อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่าย ๆ เหมือนวันนั้นนะ!!”
อีเลนหัวเราะเย้ยหยันกับคำพูดของเด็กเมื่อวานซืน วันก่อนเจ้าตัวยังนอนร้องไห้ตัวคลุกฝุ่นอยู่เลย มาวันนี้ตัวคนเดียวอีกจะทำอะไรเขาได้
เด็กหัวโจกเห็นศัตรูไม่สะทกสะท้านแถมยังหัวเราะใส่ ไฟโทสะบันดาลพุ่งสูงปรี๊ด วันนี้เขาจะไม่ยอมโดนหยามเหมือนแบบวันนั้นอีกแน่!!
“จอน ถ้ามึงจับมันให้กูได้ กูจะบอกป๊าเพิ่มเงินเดือนให้”
คนเกเรพูดลอย ๆ พลันสีหน้าแสยะยิ้มคล้ายผู้ชนะ บอดี้การ์ดร่างสูงสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวแสดงสีหน้าลำบากใจก่อนจะมายืนอยู่ข้างหลังผู้เป็นนาย
‘หึ ก็ว่าทำไมเด็กตัวแค่นี้ถึงใจกล้านัก ที่แท้มีคนคอยหนุนหลังนี่เอง’ อีเลนคิดพลางมองพวกเศษขยะอย่างเอือมระอาปนขยาด
“ไปสิ ไปจับมันให้อยู่นิ่ง ๆ กูจะได้อัดมันจนเละคามือได้สบาย ๆ”
“แต่คุณท่านไม่ได้จ้างผมมาทำเรื่องแบบนี้นะครับ”
“แล้วไง ทียัยเด็กนั่นมึงยังไม่ห้ามกูเลย แล้วแบบนี้จะมาห้ามกันเนี่ยนะ ถ้ามึงไม่ช่วยกู กูจะไปฟ้องป๊าว่ามึงปล่อยให้มันเข้ามาทำร้ายกู!!”
บอดี้การ์ดถึงขั้นลอบถอนหายใจ ตั้งแต่ลูกชายของผู้เป็นนายร้องไห้หน้าเปื้อนฝุ่นกลับบ้านมาฟ้องพ่อ
เขาก็ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลปกป้องเจ้าเด็กเอาแต่ใจชอบหาเรื่องไปทั่ว พร้อมทั้งยังกำชับให้ดูแลเด็กนี่ให้ดีอย่าปล่อยให้ไปก่อเรื่องที่ไหนอีก แต่ถ้าห้ามไม่อยู่แล้วเผลอสร้างเรื่องใหญ่โตจริงๆ ก็เอาเงินยัดปากคู่กรณีทำให้เรื่องมันจบ ๆ ไป
มาคราวเด็กผู้หญิงที่นายตัวน้อยจะเข้าไปลวนลาม ใจจริงอยากฝืนไปห้ามแต่จะขัดอะไรได้ ถ้าทำให้นายน้อยรู้สึกรำคาญใจ เจ้าตัวได้กลับไปฟ้องพ่อแจ้งตกงานกันพอดี แถมลูกเจ้านายก็แค่จับนิดหน่อย คงไม่เสียหายหรอกมั้ง
“เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า แค่ดูแลเด็กสักคนยังไม่ได้เรื่อง โตแต่ตัวจริง ๆ!!” อีเลนสบถใส่คนสวมชุดสูทสีดำที่ยืนลังเลอยู่อย่างรู้สึกสมเพช
“เฮ้ย!! มัวทำไร รีบไปจับมันให้กูดิ จะปล่อยให้มันยืนด่ามึงเฉย ๆ งี้รึไง” เด็กหัวร้อนเริ่มอารมณ์เสีย
‘เอาก็เอาวะ อย่างน้อยที่นี่ก็มีแต่พวกตัวน้อย รีบทำให้จบก่อนจะมีคนมาดีกว่า’ ชายร่างสูงเดินตรงปรี่เข้าไปหาอีเลน เด็กชายไม่หวั่นเกรง เขากำหมัดแน่นเตรียมชกอีกฝ่ายถ้าจะเข้ามาจับตัวจริง ๆ
ตั้งแต่อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาก็มีเรื่องชกต่อยกับพวกอันธพาลขี้แกล้งมาหลายปีแล้ว พึ่งจะได้พักไม่มีเรื่องต่อยตีจริง ๆ ก็ตอนออกจากสถานรับเลี้ยงมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
บอกเลยแม้ร่างกายจะเล็กแต่ตัวเขายังจำเทคนิคการต่อสู้ที่เอาชนะศัตรูได้ในหัวไม่เสียท่าให้ง่าย ๆ หรอก
“พี่คะ พี่ไม่ต้องห่วงหนู พี่วิ่งหนีไปเลยค่ะหนูจะถ่วงเวลาให้พี่เอง!!”เด็กหญิงอาการตัวสั่น หน้าซีดเผือด แม้เธอจะกลัวมากแค่ไหนแต่ก็ยังเอาตัวเองเข้ามาขวางทางผู้ใหญ่ใจโฉดไว้
เด็กนิสัยไม่ดีหัวเสียรีบเดินไปกระชากแขนเด็กน้อยออกมาจนตัวปลิว อีเลนมองการกระทำแสนหยาบช้าพลันเลือดขึ้นหน้า กะจะพุ่งตัวเข้าไปชกสักหมัดให้รู้แล้วรู้รอด!! คนนิสัยแบบนี้เด็กก็เด็กเถอะเขาจะทำให้มันจำฝังใจไปตลอดชีวิต!!!
*แชะ*
เสียงชัตเตอร์ถ่ายรูปสะกดทุกอย่าง อีเลนยืนนิ่งงันก่อนจะหันตัวไปทางต้นเสียง ดวงตาสีแซฟไฟร์ถูกเงาหลังตึกพาดผ่านในความมืด ยืนถือโทรศัพท์อยู่ทางด้านหลังตน มุมปากกดรอยยิ้มหวานแฝงอาบพิษร้ายกาจ
“มึง!!! มึงมันคนที่เหยียบหน้ากู กูจะทำให้มึงไม่ได้ผุดได้เกิด!!”
“ไหน ใครจะไม่ได้ผุดได้เกิดกันนะ”
เคียร์นเดินมาหยุดอยู่ข้างอีเลน น้ำเสียงยียวนเปล่งยั่วโมโหเด็กเหลือขออย่างเย็นชา
เขาโชว์ภาพมือถือที่ตนถ่ายไว้ให้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดู ในภาพเป็นหัวโจกกำลังกระชากร่างเด็กสาวให้พ้นทางบอดี้การ์ดซึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรื่องเด็กตัวน้อย ดูยังไงในรูปพวกนั้นก็เป็นฝ่ายผิดชัด ๆ
“เหอะ กับอีแค่ภาพถ่ายรูปเดียวมันจะไปทำอะไรได้”
“หึ”
เคียร์นหัวเราะเสียงเยือกเย็นจนอีเลนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับรู้สึกขนลุกซู่ น้ำเสียงไม่แยแสพูดเชิงทีเล่นทีจริงออกจากปากอย่างเชื่องช้า
“ทำไงดีน่า~ ถ้ารูปลูกคนใหญ่คนโตหลุดออกไปได้มีผลกระทบเป็นวงกว้างแน่เลย ข่าวลือเรื่องผู้มีอำนาจในทางไม่ชอบ ปล่อยให้ลูกตัวเองมาทำร้ายเด็กอายุไม่ถึงสิบสองขวบในสถานรับเลี้ยงแบบนี้ คงได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งแน่เลย”
“จอน!!! มึงวิ่งไปเอามันมาดิ จะปล่อยให้พ่อกูเห็นภาพนั้นว่อนเน็ตรึไง!!” คนสวมชุดดำโดนเด็กอวดดีตวาดลั่น
ผู้ใหญ่ร่างโตรีบพุ่งเข้าไปหาเคียร์นเพื่อแย่งโทรศัพท์ แต่เจ้าตัวดันหลบได้แล้วสกัดขาอีกฝ่ายล้มลงในทันที
“วิ่งไม่ระวังทั้งนายทั้งบ่าวเลย เฮ้อ”
ดวงตาสีแซฟไฟร์จ้องมองเด็กแก่แดดอย่างเยือกเย็น จนทำให้อีกฝ่ายหวาดผวาก่อนจะยกเท้าเหยียบมือเน้นหนักคนที่นอนล้มอยู่เบื้องล่าง
อีเลนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสับสน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเกินจนสมองเขาประมวลผลตามไม่ทัน
"ว้ายตายแล้ว!! เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย อยู่ดี ๆ ก็วิ่งหนีกันออกมาป้าตกใจหมด!! แล้วให้ป้าไปตามคนมาทำไมคะเนี่ย"
หลังจากเคียร์นเห็นอีเลนรีบวิ่งออกไปตามเสียงกรี๊ดที่ดังขึ้น เขาหันไปบอกกับป้าเมย์ให้ไปตามผู้ดูแลมาที่นี่เพราะได้ยินเสียงร้องอาจเกิดเรื่องใหญ่ได้ เคียร์นรีบวิ่งไล่ตามหลังอีเลนไป
เขาแอบยืนลอบสังเกตสถานการณ์อยู่ห่างๆ ก่อนจะหาจังหวะดี ๆ ออกมาถ่ายรูปพวกสารเลว
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมรีบวิ่งแตกตื่นออกมากันแบบนี้”
คุณผู้ดูแลสถานที่เป็นชายแก่หน้าตาอ่อนโยนวัยกลางคนวิ่งหอบ มาพร้อมกับพี่เลี้ยงเด็กชายหญิงสองสามคน
“ผมได้ยินเสียงร้องเลยรีบวิ่งมาดู ไม่คิดว่าเพื่อนคนนั้นจะทำร้ายน้องคนนี้ได้ลงคอเลยครับ”
อีเลนมองการแสดงตีสองหน้าใสซื่อของเพื่อนตนเอง เคียร์นพูดพลางทำหน้าหวาดกลัวพลางชี้นิ้วไปด้านหน้า
เด็กหัวโจกสีหน้าพลันไร้เลือดฝาดเขาเหงื่อแตกพลั่ก รีบปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างว่องไว
“ผมไม่ได้ทำครับ หมอนั่นน่าจะเข้าใจผิด!!”เด็กไม่สิ้นฤทธิ์เกิดอาการเลิ่กลั่กแสดงความหวาดระแวงอย่างหยุดไม่อยู่
เคียร์นเห็นปฏิกิริยาอีกฝ่ายมุมปากกดลึกลอบยิ้มเย็นชาก่อนจะทำเสียงสั่นเครือชี้นิ้วไปทางบอดี้การ์ดที่พึ่งลุกขึ้นนั่งจากพื้นด้วยอีกคน
“แล้วเขาก็สั่งให้พี่ชายคนนั้นมาทำร้ายพวกเราด้วยครับ"
นี่เป็นครั้งเเรกที่อีเลนไม่รู้สึกตงิดใจกับการแสดงเสแสร้งของเด็กข้างกาย กลับกันเขารู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ
อีเลนค่อย ๆ เดินย้ำเท้าไปทางเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งตอนนี้ยืนสั่นเทาอยู่ไม่ไกล เขาปล่อยให้เพื่อนรับหน้าที่คุยกับพวกผู้ใหญ่ไปส่วนตนจะไปปลอบใจหญิงตัวเล็กเอง
พอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กตัวนิดเดียว เขาทำการอุ้มเธอขึ้นมาโดยไม่ลืมที่จะกระทุ้งศอกแรงๆ ใส่สีข้างเด็กหัวโจกที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ไม่ไกลสักที!!
“โอ๊ย!!”
คนโดนกระทุ้งถึงกับสำลักกระอักจุกในลำคอ เขาแผดเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวดจนพวกผู้ใหญ่หันมามองกันเป็นตาเดียว
อีเลนอุ้มตัวเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือ ฝ่ามือคอยลูบหลังเด็กอายุประมาณแปดขวบได้พร้อมเดินจากไปอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำเมื่อกี้เลยสักนิด
เคียร์นเปิดภาพในโทรศัพท์ที่ตนถ่ายไว้ให้พวกผู้ใหญ่ดู ไม่นานผู้ดูแลก็เรียกผู้ปกครองของเด็กต้นเรื่องรวมถึงแม่อีเลนเข้ามาคุยด้วย
ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างหารือกันอยู่ภายในห้องประชุมขนาดพอนั่งห้าถึงหกคน พ่อของเด็กหัวโจกพอได้เห็นรูปก็เสนอเงินล้านเป็นค่าปิดปากเหยื่อและสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้แม่อีเลนจะไม่ยอมเห็นด้วยแต่ถ้าคู่กรณีไม่เอาเรื่องก็คงทำอะไรไม่ได้
ผู้ดูแลใจจริงก็อยากฟ้องให้รู้แล้วรู้รอดแต่เขาเป็นห่วงว่าสถานรับเลี้ยงเด็กจะถูกเพ่งเล็งยัดข้อหามั่ว ๆ ปิดสถานที่นี้มากกว่าแล้วพวกเด็กเขาจะไปอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้ากรมตำรวจ จึงจำใจยอมรับเงินแล้วปิดปากเงียบไปพอคุยข้อตกลงกันเสร็จผู้ดูแลเดินออกมาจากห้องประชุม
เขาตรงมาหาอีเลนที่นั่งรออยู่ข้างนอกพร้อมเด็กสาวตัวน้อยเพื่อมาขอโทรศัพท์ให้ทางนั้นนำไปลบรูปทิ้ง
อีเลนรู้สึกโมโหมาก คิดว่าคนพวกนี้ขี้ขลาดสิ้นดียอมปิดปากเงียบไม่เห็นใจเด็กตัวน้อย ๆ เลย ส่วนเคียร์นยังใจเย็นพยักหน้าส่งมือถือให้โดยง่าย
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว อีเลนจึงพาเด็กสาวมานั่งปลอบใจอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านถูกผูกเป็นชิงช้าล้อรถ สนามเด็กเล่นตอนนี้ไร้ผู้คน ที่แห่งนี้จึงมีแค่พวกเขาเพียงสามเท่านั้น
อีเลนจับตัวเด็กหญิงที่มีสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นไปนั่งบนชิงช้าพลางพูดปลอบอย่างอ่อนโยน “น้องไม่เป็นไรแล้วนะ”
ดวงตาสีส้มอมเหลืองยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหญิง ในใจเขายังรู้สึกโกรธเคืองไม่หาย คนพวกนั้นต้องโดนมากกว่านี้!!
เคียร์นซึ่งยืนพิงต้นไม้มองอีเลนกับเด็กน้อยนิ่ง ๆ อยู่ไม่ไกล ดวงตาสีแซฟไฟร์หลุบต่ำลงคล้ายคิดอะไรอยู่
“พี่คะ หนูเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการเหรอคะ ทำไมพวกเขาถึงทิ้งหนูไป” อีเลนเม้มริมฝีปากแน่น เบ้าตาแดงก่ำ ก่อนฉีกยิ้มอ่อนให้คนตัวเล็ก เขาเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยคนนี้ดี
ตอนเด็ก ๆ เขาก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงทิ้งเขาไป เขาเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการจริงเหรอ ถึงจะนั่งคิดไปทั้งวันก็ยังคงไม่ได้คำตอบ ในเมื่อพ่อแม่ทิ้งไปเขาก็ไม่ต้องการอีกฝ่ายเหมือนกัน
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น……..อีเลนครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ
“ไม่มีใครไม่เป็นที่ต้องการหรอกนะ ต้องมีสักคนบนโลกแน่นอนที่รักและต้องการหนู” พูดพลางจับเชือกสีน้ำตาลเข้ม ค่อย ๆ แกว่งชิงช้าไปทีละน้อย สายลมเย็นบางเบาพัดผ่านใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม
น้ำเสียงอ่อนโยนแสนอบอุ่นเอ่ย
“อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีหนึ่งคน คือน้องไงที่รักตัวเอง”
หลังจากนั้นอีเลนเอ่ยชมเด็กหญิงว่าเป็นคนกล้าหาญมาก ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายตัวเองง่าย ๆ เขากล่าวว่าเธอจะต้องโตมาเป็นคนดีคนเก่งคนหนึ่งและจะมีคนเข้ามารักจากใจจริงแน่นอน
อีเลนพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เด็กน้อยจนเธอรู้สึกดีขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์มีประกายเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลง มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มบางเมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่ทำตัวดั่งฮีโร่
“เดี๋ยวมานะ”
เคียร์นบอกอีเลนก่อนจะเดินออกไป เด็กชายแม้สงสัยแต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เคียร์นเดินมาแอบในมุมหลังตึกหนึ่งซึ่งไร้ผู้คน ฝ่ามือเล็กล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนคุ้นเคย
‘ R r r r r r r r…….’
[สวัสดีครับมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ]
น้ำเสียงทุ้มของชายมีอายุลอดผ่านมาตามสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหยียบเย็นถึงขั้วหัวใจ เอ่ยคำสั่งกับปลายเสียงด้วยความเคร่งขรึม
“ลงคลิปพวกนั้นให้หมดทุกช่องทาง อย่าให้ใครลบมันได้”
[ครับ]
ชายวัยกลางคนเพียงตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะวางสายไป เคียร์นมองภาพวิดีโอที่เด็กหัวโจกฉุดกระชากเด็กหญิงตั้งแต่ต้นจนจบในแชท เขาแสยะยิ้มเย็น ในมือพิมพ์ส่งข้อความ
'ให้เบลอภาพทุกคนให้หมดยกเว้นคนก่อเรื่อง'
ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเดินตรงกลับไปหาอีเลนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘เกมเริ่มแล้ว’ ไม่กี่นาทีต่อมาในโลกอินเทอร์เน็ต แหล่งข่าวจากสำนักต่าง ๆ รีบทำข่าวหัวข้อ ลูกชายกรมตำรวจชื่อดังใช้กำลังทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงกำพร้า ดังว่อนไปทั่วประเทศ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก