เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์
อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี
ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!!
“คิดอะไรอยู่”
ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ
ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม
การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น
“เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ”
อีเลนพูดเตือน เขาคิดว่าอีกฝ่ายยังเด็กคงไม่รู้ว่าผู้ชายสองคนเดินจับมือถือแขนกันมันแปลก แม้เขาจะไม่อะไรกับการเดินจับมือกับอีกฝ่าย แต่คนภายนอกคงอะไรกับพวกเขาแน่ ยิ่งประสบการณ์ที่เคยเจอในโลกเก่าเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีเลยทีเดียว
คนโดนร้องห้ามจับมือเหตุผลเพราะอะไรเจ้าตัวรู้อยู่แล้วแค่ไม่สนใจเท่านั้นเอง นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ฉายแววเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงแลใสซื่อถามกลับอย่างยียวน “ทำไมล่ะ”
“ก็…..นายคงไม่อยากถูกคนอื่นพูดถึงในแง่แปลก ๆ หรือโดนมองแปลก ๆ หรอกใช่ไหม ปกติผู้ชายสองคนเขาไม่จับมือเดินกันหรอกนะ”
“ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
'เฮ้อ'
อีเลนถอนหายใจอย่างจนใจ เขาคิดว่าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักพิษสงของสังคมเสียแลย ถึงเขาจะไม่ค่อยอะไรกับเสียงนินทาและสายตาของคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ แม้จะทำให้อึดอัดใจบ้างเล็กน้อยก็ตาม
แต่ที่สำคัญคือเขาเป็นห่วงเคียร์นที่ไม่รู้ประสีประสามากกว่า แม้เจ้าตัวจะเป็นเด็กมีนิสัยเจ้าเล่ห์ชอบเสแสร้ง แต่ยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็ก มีเรื่องอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เคียร์นมองคนข้างกาย นัยน์ตาสีแซฟไฟร์หลุบต่ำอย่างรุู้สึกขบขัน คิดว่าอีเลนช่างเป็นคนคิดมากเสียจริง ก่อนจะกดรอยยิ้มตรงมุมปากบางเบาแทบมองไม่เห็น
“งั้น ถ้าอยู่กันแค่สองคนก็เดินจับมือได้ใช่ไหม”
ดวงตาสีแซฟไฟร์คลี่ยิ้มแฝงเลศนัย อีเลนได้ฟังก็นิ่งไปพักหนึ่ง เขาคิดว่าเด็กตรงหน้าคงเป็นคนที่ติดการสกินชิพมากถึงได้พูดจาแบบนี้ ยิ่งช่วงที่ผ่านมาเขาโดนเคียร์นเข้ามาสัมผัสตัวแทบไม่เว้นวันยิ่งทำให้คิดไปทางนี้
“ก็ได้…. ถ้าอยู่กันแค่สองคนนะ”
อีเลนรู้สึกบทสนทนามันชวนแปลกยังไงชอบกล ยังกับคนเป็นแฟนแอบกุ๊กกิ๊กกันไม่ให้พ่อแม่จับได้ยังไงยังงั้น เคียร์นลอบมองใบหูของเพื่อนตัวน้อยที่ขึ้นสีแดงก่ำพลางลอบหัวเราะเล็กน้อยในลำคอไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ลูกพี่!! ลูกพี่มาแล้ว!!”
เหมือนเห็นหูหางกระดิกไปมาบนตัวเด็กแว่น เพิร์ซ วิ่งหน้าตั้งมาหาอีเลนทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าสู่รั้วประตูโรงเรียน
“ว่าไง พ่อกรงทองของผม พร้อมสำหรับการย่ำยีผมรึยัง!”
เชาว์วิ่งมาถึงก็สะบัดลอนผมหางม้าโชว์ไปทีหนึ่ง กลิ่นน้ำหอมกุหลาบที่เจ้าตัวใส่มาฟุ้งกระจายฉุนจนเพื่อนพ้องต้องเบือนหน้าหนี
อีเลนได้ยินเสียงทั้งสองคนทะเลาะกันก็เผลอยิ้มออกมานึกขำกับตัวเอง ไม่รู้ว่าชินแล้วหรือเอือมกันแน่ที่เจอกับเหตุการณ์นี้ ก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “พวกนายเนี่ยไม่ถูกกันแน่นะ ทำไมฉันเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนตลอดเลย”
อีเลนรู้สึกฉงนใจถึงเพิร์ซจะว่าเชาว์แรง ๆ เสีย ๆ หาย ๆ แม้ทั้งสองคนชอบต่อล้อต่อเถียงกันและเชาว์จะเป็นฝ่ายยั่วโมโหเพิร์ซอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายก็ยังเห็นทั้งคู่ตัวติดกันอยู่ดี ที่นั่งก็ยังนั่งข้างกันอีก
เด็กแว่นเมื่อได้ฟังคำพูดลูกพี่ตัวเองพลันทำหน้าแหยง พูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ผมกับเจ้าโรคจิตไม่เต็มเนี่ยนะลูกพี่!! หมอนั่นตามผมมาเองต่างหากผมไม่ได้ทำอะไรเลย และเราสองคนไม่ได้สนิทกัน!!”
คนโดนท้วงลอบถอนหายใจกับความปากไม่ตรงกับใจของเด็กตรงหน้าแถมปากจัดด้วย! ก่อนจะหันหน้ามามองเชาว์ว่าเจ้าตัวรู้สึกยังไงกับคำพูดของเพื่อนคู่กัดแต่คงเดาไม่ยาก
“แฮ่ก ๆ ดี!! รังเกียจผมอีกสิ ทำให้ผมเจ็บช้ำด้วยคำพูดอันเสียดแทงของนายมากยิ่งขึ้น!!”
เป็นไปตามคาด เชาว์เริ่มออกอาการหอบหายใจแรง ส่วนคนหน้าบูดยิ่งทำหน้าขยะแขยงขึ้นกว่าเดิม
อีเลนสายตาว่างเปล่ามองทั้งสองคนอย่างพูดไม่ออก ก่อนหันมองหาคนที่ควรจะยืนอยู่ข้าง ๆ
“กรี๊ดดดด พึ่งมอหนึ่งเองยังหล่อขนาดนี้โตมาจะหล่อขนาดไหนคะน้อง!! สนใจพี่สาวสายเปย์ไหมคะ ถวายทั้งตัว ทั้งเงินในกระเป๋า”
“แก๊รรร อย่าไปขวางทางเดินน้องเขาหลบปุย!!”
ตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงเรียน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่พวกเขาสองคนอย่างไม่วางตา บางคนหน้าแดง บางคนวี้ดว้าย บางคนอิจฉา บรรยากาศสมกับที่ตัวเอกทั้งสองในนิยายทุกเรื่องปรากฏตัวมาก!!
อีเลนแค่เผลอละสายตาจากเคียร์นไปแป๊บเดียว เจ้าตัวก็ถูกรายล้อมด้วยเหล่านักเรียนหญิงต่างชั้นปีอย่างไม่ทันรู้ตัว
“นั่นมันท่านเคียร์นนี่ครับ ให้ผมไปพาตัวออกมาไหมครับลูกพี่”
เพิร์ซพูดน้ำเสียงจริงจังพลางหยิบถุงมือสองคู่ขึ้นมาใส่ไว้กันการสัมผัสตัวกับผู้อื่น อีเลนเห็นท่าทางเตรียมพร้อมของเด็กแว่นเขารีบร้องห้ามในทันที
“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวฉันไปพาตัวออกมาเอ…..”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เชาว์ดันพุ่งตัวออกไปเสียก่อนพร้อมคิดในใจด้วยความหมั่นหน้า ‘ถึงท่านเคียร์นจะหล่อแค่ไหน แต่ก็สู้ความงดงามปานดอกกุหลาบแย้มบานอันสดสวยของผมไม่ได้หรอก!!’
เด็กชายจอมหลงตัวเองกระโดดเข้าไปกลางวงพร้อมโพสต์ท่าพรีเซนเตอร์ท่าทางอย่างที่หมั่นฝึกซ้อมทุกวี่ทุกวันหลังรู้ว่าสอบติดเพื่อมาใช้โชว์ ในโรงเรียนครั้งนี้โดยเฉพาะ
นักเรียนหญิงหลายคนพอเห็นเด็กหน้าสวยโผล่เข้ามาก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันก่อนจะรู้สึกเอือมระอากับท่าทางแปลกประหลาดของเชาว์
“………”
“ฉันชอบเด็กหน้าสวยนะ แต่แปลกก็ไม่เอา”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นกลางวงสนทนา ทั้งกลุ่มต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง เคียร์นอาศัยจังหวะที่ทุกคนให้ความสนใจไปที่เชาว์ รีบปลีกตัวหนีมาหาอีเลนได้สำเร็จ
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านเคียร์!!”
เพิร์ซพูดขึ้นพร้อมก้มหัวทักทาย อีเลนไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนทั้งสองถึงชอบแสดงท่าทางเคารพยำเกรงต่อเคียร์นนักทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกและอายุก็เท่ากันด้วย หรือว่าทั้งคู่กลัวบรรยากาศตัวร้ายของเคียร์น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เคียร์นยิ้มกลับไม่มีพิษภัย ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มดูเป็นมิตร แม้จะเป็นมิตรมากแค่ไหนแต่สำหรับเพิร์ซเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าตัว สัญชาตญาณเขามันร้องห้ามไปมีเรื่องกับคนคนนี้โดยเด็ดขาด!!
ด้วยกลิ่นอายหรือบรรยากาศอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้กดดันจนต้องพูดยกย่องหรือทำตัวเกรงอกเกรงใจไปโดยปริยาย รวมถึงเชาว์เองก็มีอาการแบบเดียวกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“รีบไปเข้าห้องเรียนกันเถอะจะสายแล้ว” อีเลนเอ่ยชวนทั้งสองคนให้รีบกลับห้อง เคียร์นยิ้มพยักหน้าอย่างว่าง่ายส่วนเพิร์ซส่งสายตาไปหาคนที่เล่นใหญ่เกินเบอร์อยู่
“หมอนั่น ปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวคงตามมาเองแหละ เรารีบไปกันเถอะ” อีเลนพูดเสริมเมื่อเห็นแววตาของเด็กแว่นมองไปที่เชาว์ เขาคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ปากช่างไม่ตรงกับใจเสียเลย
ช่วงเช้าบรรยากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ลมพัดเย็นสบาย ให้ความรู้สึกสดชื่นก่อนความสงบจะถูกทำลายไปเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ห้อง A ครูอันเลื่อนบานประตูออกพร้อมถอนหายใจยาว
ตลอดระยะเวลาเรียนปรับพื้นฐาน เขาโทรขอร้องผู้อำนวยการโรงเรียนให้เปลี่ยนห้องที่ปรึกษาให้ทั้งอ้อนวอนก็แล้วไปนั่งขอถึงห้องทำงานก็แล้ว คนใหญ่คนโตมีแต่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมาโดยไม่มีคำพูดใดสักคำ นั่นทำให้ครูอันรู้ถึงชะตากรรมตัวเองต่อจากนี้ทันที
เขาเดินคอตกตรงไปยืนหน้าชั้นเรียน ในหัวมัวแต่คิดเรื่องว่าต่อจากนี้คงได้มีแต่เรื่องวายป่วงแน่ ๆ
“เอาละฟังทางนี้นะนักเรียน เนื่องจากวันเปิดเทอมวันแรกเรายังไม่มีหัวหน้าห้องกัน มีใครอยากเสนอชื่อเพื่อนหรืออยากเป็นไหม”
สิ้นสุดเสียงคุณครู นักเรียนในห้องต่างกระซิบกระซาบกันยกใหญ่ มีเด็กนักเรียนหญิงบางส่วนชอบเหล่มองมาทางอีเลนกับเคียร์นเป็นระยะ
“ผมครับ!! ผมครับครู๊วววว ดอกกุหลาบอันแสนงดงามอย่างผมเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น!!”
เชาว์ยกมือขึ้นเสนอตัวเองเต็มที่ ส่วนเพิร์ซซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ริมหน้าต่างทำสีหน้าไม่พอใจรีบยกมือคัดค้าน
“ผมไม่เห็นด้วยครับ ให้คนโรคจิตมาเป็นหัวหน้าห้องเรียนได้พินาศแน่ ผมขอเสนอชื่อลูกพี่อีเลนครับ!”
เพิร์ซพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นผิดกับคนโดนเรียกชื่ออย่างไม่เต็มใจซึ่งนั่งหน้าเหวอไปแล้ว ไม่คิดว่าเด็กแว่นจะเสนอชื่อตนเอง เขารีบหันขวับไปคุยกับคนด้านหลังพลางกระซิบ
“ฉันไม่อยากเป็น”
“งั้นเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับลูกพี่” เด็กแว่นหน้าหงอย อีเลนเห็นแบบนี้ก็ว่าไม่ลง น้ำเสียงปลงใจเอ่ยออกมา
“เฮ้อ ไม่เป็นไร”
ในที่สุดหัวหน้าประจำห้อง A ก็ถูกตัดสินโดยคะแนนโหวตของนักเรียนหญิงครึ่งห้องเทไปทางอีเลน
เมื่อได้หัวหน้าห้องแล้วก็ต้องมีรองหัวหน้า เคียร์นทำการยกมือขึ้นอาสา เนื่องจากไม่มีใครกล้าแย่งตำแหน่งนี้จึงตกเป็นของเด็กตาน้ำเงินไปโดยปริยาย
กลุ่มไลน์ : [จันทร์กลืนดวง]
ที่ไหนผู้หล่อที่นั่นมีกู!: [แก๊รรรรเปิดเรียนวันแรกก็มีโมเม้นท์เลยเว้ย ท่านเคียร์นอาสาเป็นรองหัวหน้าห้องเพราะน้องอีเลนถูกเลือกเป็นหัวหน้า กูสู่ขิต!!!] แนบสติกเกอร์นอนตาย
มัมมี้น้องอีเลน : [จริงดิ อิจฉาคนอยู่ห้องเดียวกันอ่ะ ได้เสพโมเม้นท์ต่อหน้าเลยส่วนฉันต้องรอคนในกลุ่มอัปเดต] ส่งสติกเกอร์กัดผ้าเช็ดหน้า ส่งสติกเกอร์ ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม
เกิดใหม่ชาติหน้าฉันยังเป็นสาววาย : [กรี๊ดดดดด ไม่เสียแรงที่ตั้งใจสอบเข้าโรงเรียนนี้จะเป็นจะตาย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโมเม้นท์แรกของเทอมค่ะ!!!] ส่งสติกเกอร์กราบไหว้ กราบไหว้
ข้อความเพิ่มเติม (99+)
แชทในมือถือเด็กนักเรียนหญิงไหลเป็นเทน้ำเทท่า ที่จริงพวกเธอตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อวี้ดว้ายกับเพื่อน ๆ สาววายในห้องเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เฉย ๆ ไม่คิดว่าพอมีคนไปส่งต่อลิงค์แชร์ ให้เพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่รวมเหล่าชิปเปอร์จากทั้งโรงเรียนมาอยู่ในกรุ๊ปนี้
เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินเรียบร้อย ครูอันปล่อยให้นั่งเรียนนั่งพักผ่อนตามสบายกันไปก่อนเพราะเป็นการเรียนวันแรกจึงไม่ค่อยอยากเคร่งมาก
“นักเรียน คาบนี้ครูจะปล่อยให้ฟรีสไตล์กันนะ ส่วนหัวหน้าห้องกับรองหัวหน้าตามครูมาที่ห้องพักครู”
เมื่อนักเรียนได้ยินก็ร้องเฮกันลั่นห้อง เชาว์เริ่มทำตัวเด่นนั่งไม่ติดเก้าอี้ตัวเองอีกครั้ง
สายตาเพิร์ซมองคนที่ลุกไปสะดีดสะดิ้งอย่างเอือมระอา ก่อนจะหยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมาฉีดใส่บนโต๊ะทำการเช็ดถูทุกซอกทุกมุมจนสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นจับ
นักเรียนหญิงสองคนแอบถ่ายรูปอีเลนกับเคียร์นลงกลุ่มชิปเปอร์ขณะทั้งสองคนกำลังเดินออกไปทางประตูด้วยกัน
เคียร์นเมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกถ่ายก็ไม่ได้อะไร เขากดรอยยิ้มมุมปาก ก่อนจะอ้อมแขนเข้าไปกอดเอวอีเลนดึงเข้ามาหาตัว ทำเนียนเหมือนดึงป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเดินชนขอบกั้นประตู ซึ่งเป็นจังหวะนาทีทองกับที่เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมแสงแฟลช
‘แชะ*’
กลุ่มไลน์ : [จันทร์กลืนดวง]
ที่ไหนผู้หล่อที่นั่นมีกู!: [กรี๊ดดดดดดด รูปภาพหายากระดับ SSSSS ท่านเคียร์นกอดเอวลูกเราทุกโค๊นนนน]
มัมมี้น้องอีเลน : [ลูกชายของมัมมี้โดนกอดเอว เราจะปกป้องลูกชายโดยการถวายตัวลูกใส่พานทองให้ท่านเคียร์น!!]
ชิปเปอร์ตัวน้อยๆ อยากเผือกเรื่องคุณ : [ปกป้องด้วยการถวายพานให้เลยเนี่ยนะ โอเคฉันเห็นด้วย!!]
แชทเริ่มไหลรัวแรงอีกครั้ง เมื่อกัปตันพายเรือเองแบบที่ชิปเปอร์แค่นั่งเฉย ๆ รอโมเม้นท์มาเสิร์ฟก็พอแล้ว…..
ทั้งสองคนเดินตามหลังครูอันไปยังห้องพักครูซึ่งอยู่มุมสุดขวามือของชั้นสาม เด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มห้อง S เดินออกมาจากห้องที่มุ่งไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเมื่อตนเองได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง
แม้จะเป็นเขาเองที่อาสาเพราะอยากเพิ่มโปรไฟล์ให้ตัวเองดูดีแต่ก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ที่ต้องคอยทำงานเรื่องนู้นนี้ให้คนอื่นไปทั่ว
“เดินเร็ว ๆ หน่อยดิไอ้เด็กทุน”
เมื่อเดินออกมาจากห้อง เด็กจิ้มลิ้มจากตอนแรกเสเเสร้งเป็นเด็กดีช่วยเพื่อนถือกองหนังสือเรียนคนละครึ่ง พอยกเท้าพ้นขอบประตูมาไม่กี่ก้าวกับยกหนังสือที่ตนเองถือไปวางซ้อนทับกับอีกคนทั้งหมด
ทำให้หนังสือเรียนตอนนี้ประมาณสามสิบกว่าเล่มถูกยกด้วยคน คนเดียว ในขณะที่ตัวเองเดินทอดน่องตัวปลิวสบายใจเฉิบ
เมื่อเด็กจิ้มลิ้มเห็นเคียร์นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนตน กำลังเดินตามหลังคุณครูมาทางนี้ มุมปากแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
สายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะแย่งเอาหนังสือทั้งหมดกว่าสามสิบเล่มมาถือเองคนเดียวพลางรีบวิ่งมุ่งตรงไปยังเป้าหมายครูอันเมื่อเห็นเด็กนักเรียนวิ่งมาพร้อมกับยกหนังสือเรียนไว้มากมาย ในใจร้อนรนกลัวเด็กจะหกล้มบาดเจ็บ
ตะโกนบอกให้เด็กน้อยเดินช้า ๆ ระวังจะล้ม แต่เด็กจิ้มลิ้มทำหูทวนลม มุ่งเป้าตั้งหน้าตรงมายังเคียร์นท่าเดียว
พอระยะห่างระหว่างตนกับคนในเป้าหมายเริ่มน้อยลงเจ้าตัวทำเป็นแกล้งสะดุดล้มต่อหน้าต่อตาผู้เป็นคุณครู เด็กทุนตกใจรีบวิ่งตามหลังมาติด ๆ
“โอ๊ย!! เจ็บ”
เด็กจิ้มลิ้มแกล้งล้ม หนังสือเรียนปลิวกระจายทั่วพื้น เคียร์นดึงอีเลนเข้ามาใกล้ตัวพลางยกมือป้องหนังสือที่ตกใส่ให้ ครูอันมีสีหน้าตกใจอ้าปากค้างเขาเลิ่กลั่กรีบเข้าไปดูอาการเด็กชาย
“ทำไมเธอวิ่งมาแบบนี้!! แล้วเพื่อนเธอไปไหนทำไมแบกหนังสือมาคนเดียว!!” เด็กจิ้มลิ้ม ลอบแสยะยิ้มในใจพลางทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ
“ผมขอโทษครับคุณครู ผมอยากลองยกหนังสือเยอะ ๆ ดูสักครั้งไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้”
พูดเสียงอ่อยไปน้ำตาร่วงไป ไม่ว่าใครมาเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้ก็มีแต่ต้องรู้สึกสงสาร
อีเลนยืนดูสถานการณ์เงียบ ๆ ใจจริงเขาอยากเข้าไปช่วงพยุงแต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูอันดูแลท่าจะดีกว่า
แม้ข้างในจะรู้สึกตงิดใจกับท่าทางของเจ้าตัวแปลก ๆ เขารู้สึกเหมือนเห็นร่างเคียร์นซ้อนทับกับอีกฝ่ายเลย
ดวงตาสีแซฟไฟร์มองดูการแสดงของเด็กตรงหน้าพลันลอบแสยะยิ้มลึกเย็นชา คิดว่ายังมีคนชอบเสแสร้งเหมือนตนอีกเหรอ แม้อีกฝ่ายจะแสดงได้ดีแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ยังเหนือชั้นกว่ามากอยู่ดีโดยเฉพาะเรื่อง
‘การเอาคืน’
“โอ๊ย ผมเจ็บข้อเท้าจังเลยครับคุณครู เหมือนจะพลิกเลย”
ครูอันได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี เด็กทุนเหงื่อแตกเขาพยายามจะเข้าไปช่วยพยุงแต่โดนสายตาจิกของเด็กจิ้มลิ้มหยุดไว้เสียก่อน
“มาช่วยพยุงเพื่อนกันเร็วเด็ก ๆ เราต้องรีบพาไปห้องพยาบาลนะ”
ครูอันเลิ่กลั่กไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไงดีเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก เขาแค่คิดจะพานักเรียนสองคนมาสอนงานไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
เด็กจิ้มลิ้มยิ้มเยาะในใจ อาศัยจังหวะครูอันทำตัวไม่ถูกเอ่ยขึ้น
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับคุณครู แค่ให้เพื่อนคนหนึ่งอุ้มไปห้องพยาบาลก็พอแล้วครับ”
พูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารขั้นสุด พลางส่งสายตาอ้อนวอนไปยังเคียร์น
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม