เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์
อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี
ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!!
“คิดอะไรอยู่”
ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ
ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม
การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น
“เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ”
อีเลนพูดเตือน เขาคิดว่าอีกฝ่ายยังเด็กคงไม่รู้ว่าผู้ชายสองคนเดินจับมือถือแขนกันมันแปลก แม้เขาจะไม่อะไรกับการเดินจับมือกับอีกฝ่าย แต่คนภายนอกคงอะไรกับพวกเขาแน่ ยิ่งประสบการณ์ที่เคยเจอในโลกเก่าเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีเลยทีเดียว
คนโดนร้องห้ามจับมือเหตุผลเพราะอะไรเจ้าตัวรู้อยู่แล้วแค่ไม่สนใจเท่านั้นเอง นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ฉายแววเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงแลใสซื่อถามกลับอย่างยียวน “ทำไมล่ะ”
“ก็…..นายคงไม่อยากถูกคนอื่นพูดถึงในแง่แปลก ๆ หรือโดนมองแปลก ๆ หรอกใช่ไหม ปกติผู้ชายสองคนเขาไม่จับมือเดินกันหรอกนะ”
“ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
'เฮ้อ'
อีเลนถอนหายใจอย่างจนใจ เขาคิดว่าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักพิษสงของสังคมเสียแลย ถึงเขาจะไม่ค่อยอะไรกับเสียงนินทาและสายตาของคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ แม้จะทำให้อึดอัดใจบ้างเล็กน้อยก็ตาม
แต่ที่สำคัญคือเขาเป็นห่วงเคียร์นที่ไม่รู้ประสีประสามากกว่า แม้เจ้าตัวจะเป็นเด็กมีนิสัยเจ้าเล่ห์ชอบเสแสร้ง แต่ยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็ก มีเรื่องอีกมากมายที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เคียร์นมองคนข้างกาย นัยน์ตาสีแซฟไฟร์หลุบต่ำอย่างรุู้สึกขบขัน คิดว่าอีเลนช่างเป็นคนคิดมากเสียจริง ก่อนจะกดรอยยิ้มตรงมุมปากบางเบาแทบมองไม่เห็น
“งั้น ถ้าอยู่กันแค่สองคนก็เดินจับมือได้ใช่ไหม”
ดวงตาสีแซฟไฟร์คลี่ยิ้มแฝงเลศนัย อีเลนได้ฟังก็นิ่งไปพักหนึ่ง เขาคิดว่าเด็กตรงหน้าคงเป็นคนที่ติดการสกินชิพมากถึงได้พูดจาแบบนี้ ยิ่งช่วงที่ผ่านมาเขาโดนเคียร์นเข้ามาสัมผัสตัวแทบไม่เว้นวันยิ่งทำให้คิดไปทางนี้
“ก็ได้…. ถ้าอยู่กันแค่สองคนนะ”
อีเลนรู้สึกบทสนทนามันชวนแปลกยังไงชอบกล ยังกับคนเป็นแฟนแอบกุ๊กกิ๊กกันไม่ให้พ่อแม่จับได้ยังไงยังงั้น เคียร์นลอบมองใบหูของเพื่อนตัวน้อยที่ขึ้นสีแดงก่ำพลางลอบหัวเราะเล็กน้อยในลำคอไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ลูกพี่!! ลูกพี่มาแล้ว!!”
เหมือนเห็นหูหางกระดิกไปมาบนตัวเด็กแว่น เพิร์ซ วิ่งหน้าตั้งมาหาอีเลนทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าสู่รั้วประตูโรงเรียน
“ว่าไง พ่อกรงทองของผม พร้อมสำหรับการย่ำยีผมรึยัง!”
เชาว์วิ่งมาถึงก็สะบัดลอนผมหางม้าโชว์ไปทีหนึ่ง กลิ่นน้ำหอมกุหลาบที่เจ้าตัวใส่มาฟุ้งกระจายฉุนจนเพื่อนพ้องต้องเบือนหน้าหนี
อีเลนได้ยินเสียงทั้งสองคนทะเลาะกันก็เผลอยิ้มออกมานึกขำกับตัวเอง ไม่รู้ว่าชินแล้วหรือเอือมกันแน่ที่เจอกับเหตุการณ์นี้ ก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “พวกนายเนี่ยไม่ถูกกันแน่นะ ทำไมฉันเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนตลอดเลย”
อีเลนรู้สึกฉงนใจถึงเพิร์ซจะว่าเชาว์แรง ๆ เสีย ๆ หาย ๆ แม้ทั้งสองคนชอบต่อล้อต่อเถียงกันและเชาว์จะเป็นฝ่ายยั่วโมโหเพิร์ซอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายก็ยังเห็นทั้งคู่ตัวติดกันอยู่ดี ที่นั่งก็ยังนั่งข้างกันอีก
เด็กแว่นเมื่อได้ฟังคำพูดลูกพี่ตัวเองพลันทำหน้าแหยง พูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ผมกับเจ้าโรคจิตไม่เต็มเนี่ยนะลูกพี่!! หมอนั่นตามผมมาเองต่างหากผมไม่ได้ทำอะไรเลย และเราสองคนไม่ได้สนิทกัน!!”
คนโดนท้วงลอบถอนหายใจกับความปากไม่ตรงกับใจของเด็กตรงหน้าแถมปากจัดด้วย! ก่อนจะหันหน้ามามองเชาว์ว่าเจ้าตัวรู้สึกยังไงกับคำพูดของเพื่อนคู่กัดแต่คงเดาไม่ยาก
“แฮ่ก ๆ ดี!! รังเกียจผมอีกสิ ทำให้ผมเจ็บช้ำด้วยคำพูดอันเสียดแทงของนายมากยิ่งขึ้น!!”
เป็นไปตามคาด เชาว์เริ่มออกอาการหอบหายใจแรง ส่วนคนหน้าบูดยิ่งทำหน้าขยะแขยงขึ้นกว่าเดิม
อีเลนสายตาว่างเปล่ามองทั้งสองคนอย่างพูดไม่ออก ก่อนหันมองหาคนที่ควรจะยืนอยู่ข้าง ๆ
“กรี๊ดดดด พึ่งมอหนึ่งเองยังหล่อขนาดนี้โตมาจะหล่อขนาดไหนคะน้อง!! สนใจพี่สาวสายเปย์ไหมคะ ถวายทั้งตัว ทั้งเงินในกระเป๋า”
“แก๊รรร อย่าไปขวางทางเดินน้องเขาหลบปุย!!”
ตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงเรียน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่พวกเขาสองคนอย่างไม่วางตา บางคนหน้าแดง บางคนวี้ดว้าย บางคนอิจฉา บรรยากาศสมกับที่ตัวเอกทั้งสองในนิยายทุกเรื่องปรากฏตัวมาก!!
อีเลนแค่เผลอละสายตาจากเคียร์นไปแป๊บเดียว เจ้าตัวก็ถูกรายล้อมด้วยเหล่านักเรียนหญิงต่างชั้นปีอย่างไม่ทันรู้ตัว
“นั่นมันท่านเคียร์นนี่ครับ ให้ผมไปพาตัวออกมาไหมครับลูกพี่”
เพิร์ซพูดน้ำเสียงจริงจังพลางหยิบถุงมือสองคู่ขึ้นมาใส่ไว้กันการสัมผัสตัวกับผู้อื่น อีเลนเห็นท่าทางเตรียมพร้อมของเด็กแว่นเขารีบร้องห้ามในทันที
“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวฉันไปพาตัวออกมาเอ…..”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เชาว์ดันพุ่งตัวออกไปเสียก่อนพร้อมคิดในใจด้วยความหมั่นหน้า ‘ถึงท่านเคียร์นจะหล่อแค่ไหน แต่ก็สู้ความงดงามปานดอกกุหลาบแย้มบานอันสดสวยของผมไม่ได้หรอก!!’
เด็กชายจอมหลงตัวเองกระโดดเข้าไปกลางวงพร้อมโพสต์ท่าพรีเซนเตอร์ท่าทางอย่างที่หมั่นฝึกซ้อมทุกวี่ทุกวันหลังรู้ว่าสอบติดเพื่อมาใช้โชว์ ในโรงเรียนครั้งนี้โดยเฉพาะ
นักเรียนหญิงหลายคนพอเห็นเด็กหน้าสวยโผล่เข้ามาก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันก่อนจะรู้สึกเอือมระอากับท่าทางแปลกประหลาดของเชาว์
“………”
“ฉันชอบเด็กหน้าสวยนะ แต่แปลกก็ไม่เอา”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นกลางวงสนทนา ทั้งกลุ่มต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง เคียร์นอาศัยจังหวะที่ทุกคนให้ความสนใจไปที่เชาว์ รีบปลีกตัวหนีมาหาอีเลนได้สำเร็จ
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านเคียร์!!”
เพิร์ซพูดขึ้นพร้อมก้มหัวทักทาย อีเลนไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนทั้งสองถึงชอบแสดงท่าทางเคารพยำเกรงต่อเคียร์นนักทั้งที่พึ่งเจอกันครั้งแรกและอายุก็เท่ากันด้วย หรือว่าทั้งคู่กลัวบรรยากาศตัวร้ายของเคียร์น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เคียร์นยิ้มกลับไม่มีพิษภัย ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มดูเป็นมิตร แม้จะเป็นมิตรมากแค่ไหนแต่สำหรับเพิร์ซเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าตัว สัญชาตญาณเขามันร้องห้ามไปมีเรื่องกับคนคนนี้โดยเด็ดขาด!!
ด้วยกลิ่นอายหรือบรรยากาศอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้กดดันจนต้องพูดยกย่องหรือทำตัวเกรงอกเกรงใจไปโดยปริยาย รวมถึงเชาว์เองก็มีอาการแบบเดียวกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“รีบไปเข้าห้องเรียนกันเถอะจะสายแล้ว” อีเลนเอ่ยชวนทั้งสองคนให้รีบกลับห้อง เคียร์นยิ้มพยักหน้าอย่างว่าง่ายส่วนเพิร์ซส่งสายตาไปหาคนที่เล่นใหญ่เกินเบอร์อยู่
“หมอนั่น ปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวคงตามมาเองแหละ เรารีบไปกันเถอะ” อีเลนพูดเสริมเมื่อเห็นแววตาของเด็กแว่นมองไปที่เชาว์ เขาคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ปากช่างไม่ตรงกับใจเสียเลย
ช่วงเช้าบรรยากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ลมพัดเย็นสบาย ให้ความรู้สึกสดชื่นก่อนความสงบจะถูกทำลายไปเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ห้อง A ครูอันเลื่อนบานประตูออกพร้อมถอนหายใจยาว
ตลอดระยะเวลาเรียนปรับพื้นฐาน เขาโทรขอร้องผู้อำนวยการโรงเรียนให้เปลี่ยนห้องที่ปรึกษาให้ทั้งอ้อนวอนก็แล้วไปนั่งขอถึงห้องทำงานก็แล้ว คนใหญ่คนโตมีแต่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมาโดยไม่มีคำพูดใดสักคำ นั่นทำให้ครูอันรู้ถึงชะตากรรมตัวเองต่อจากนี้ทันที
เขาเดินคอตกตรงไปยืนหน้าชั้นเรียน ในหัวมัวแต่คิดเรื่องว่าต่อจากนี้คงได้มีแต่เรื่องวายป่วงแน่ ๆ
“เอาละฟังทางนี้นะนักเรียน เนื่องจากวันเปิดเทอมวันแรกเรายังไม่มีหัวหน้าห้องกัน มีใครอยากเสนอชื่อเพื่อนหรืออยากเป็นไหม”
สิ้นสุดเสียงคุณครู นักเรียนในห้องต่างกระซิบกระซาบกันยกใหญ่ มีเด็กนักเรียนหญิงบางส่วนชอบเหล่มองมาทางอีเลนกับเคียร์นเป็นระยะ
“ผมครับ!! ผมครับครู๊วววว ดอกกุหลาบอันแสนงดงามอย่างผมเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น!!”
เชาว์ยกมือขึ้นเสนอตัวเองเต็มที่ ส่วนเพิร์ซซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ริมหน้าต่างทำสีหน้าไม่พอใจรีบยกมือคัดค้าน
“ผมไม่เห็นด้วยครับ ให้คนโรคจิตมาเป็นหัวหน้าห้องเรียนได้พินาศแน่ ผมขอเสนอชื่อลูกพี่อีเลนครับ!”
เพิร์ซพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นผิดกับคนโดนเรียกชื่ออย่างไม่เต็มใจซึ่งนั่งหน้าเหวอไปแล้ว ไม่คิดว่าเด็กแว่นจะเสนอชื่อตนเอง เขารีบหันขวับไปคุยกับคนด้านหลังพลางกระซิบ
“ฉันไม่อยากเป็น”
“งั้นเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับลูกพี่” เด็กแว่นหน้าหงอย อีเลนเห็นแบบนี้ก็ว่าไม่ลง น้ำเสียงปลงใจเอ่ยออกมา
“เฮ้อ ไม่เป็นไร”
ในที่สุดหัวหน้าประจำห้อง A ก็ถูกตัดสินโดยคะแนนโหวตของนักเรียนหญิงครึ่งห้องเทไปทางอีเลน
เมื่อได้หัวหน้าห้องแล้วก็ต้องมีรองหัวหน้า เคียร์นทำการยกมือขึ้นอาสา เนื่องจากไม่มีใครกล้าแย่งตำแหน่งนี้จึงตกเป็นของเด็กตาน้ำเงินไปโดยปริยาย
กลุ่มไลน์ : [จันทร์กลืนดวง]
ที่ไหนผู้หล่อที่นั่นมีกู!: [แก๊รรรรเปิดเรียนวันแรกก็มีโมเม้นท์เลยเว้ย ท่านเคียร์นอาสาเป็นรองหัวหน้าห้องเพราะน้องอีเลนถูกเลือกเป็นหัวหน้า กูสู่ขิต!!!] แนบสติกเกอร์นอนตาย
มัมมี้น้องอีเลน : [จริงดิ อิจฉาคนอยู่ห้องเดียวกันอ่ะ ได้เสพโมเม้นท์ต่อหน้าเลยส่วนฉันต้องรอคนในกลุ่มอัปเดต] ส่งสติกเกอร์กัดผ้าเช็ดหน้า ส่งสติกเกอร์ ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม
เกิดใหม่ชาติหน้าฉันยังเป็นสาววาย : [กรี๊ดดดดด ไม่เสียแรงที่ตั้งใจสอบเข้าโรงเรียนนี้จะเป็นจะตาย ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโมเม้นท์แรกของเทอมค่ะ!!!] ส่งสติกเกอร์กราบไหว้ กราบไหว้
ข้อความเพิ่มเติม (99+)
แชทในมือถือเด็กนักเรียนหญิงไหลเป็นเทน้ำเทท่า ที่จริงพวกเธอตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อวี้ดว้ายกับเพื่อน ๆ สาววายในห้องเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เฉย ๆ ไม่คิดว่าพอมีคนไปส่งต่อลิงค์แชร์ ให้เพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่รวมเหล่าชิปเปอร์จากทั้งโรงเรียนมาอยู่ในกรุ๊ปนี้
เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินเรียบร้อย ครูอันปล่อยให้นั่งเรียนนั่งพักผ่อนตามสบายกันไปก่อนเพราะเป็นการเรียนวันแรกจึงไม่ค่อยอยากเคร่งมาก
“นักเรียน คาบนี้ครูจะปล่อยให้ฟรีสไตล์กันนะ ส่วนหัวหน้าห้องกับรองหัวหน้าตามครูมาที่ห้องพักครู”
เมื่อนักเรียนได้ยินก็ร้องเฮกันลั่นห้อง เชาว์เริ่มทำตัวเด่นนั่งไม่ติดเก้าอี้ตัวเองอีกครั้ง
สายตาเพิร์ซมองคนที่ลุกไปสะดีดสะดิ้งอย่างเอือมระอา ก่อนจะหยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมาฉีดใส่บนโต๊ะทำการเช็ดถูทุกซอกทุกมุมจนสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นจับ
นักเรียนหญิงสองคนแอบถ่ายรูปอีเลนกับเคียร์นลงกลุ่มชิปเปอร์ขณะทั้งสองคนกำลังเดินออกไปทางประตูด้วยกัน
เคียร์นเมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกถ่ายก็ไม่ได้อะไร เขากดรอยยิ้มมุมปาก ก่อนจะอ้อมแขนเข้าไปกอดเอวอีเลนดึงเข้ามาหาตัว ทำเนียนเหมือนดึงป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเดินชนขอบกั้นประตู ซึ่งเป็นจังหวะนาทีทองกับที่เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมแสงแฟลช
‘แชะ*’
กลุ่มไลน์ : [จันทร์กลืนดวง]
ที่ไหนผู้หล่อที่นั่นมีกู!: [กรี๊ดดดดดดด รูปภาพหายากระดับ SSSSS ท่านเคียร์นกอดเอวลูกเราทุกโค๊นนนน]
มัมมี้น้องอีเลน : [ลูกชายของมัมมี้โดนกอดเอว เราจะปกป้องลูกชายโดยการถวายตัวลูกใส่พานทองให้ท่านเคียร์น!!]
ชิปเปอร์ตัวน้อยๆ อยากเผือกเรื่องคุณ : [ปกป้องด้วยการถวายพานให้เลยเนี่ยนะ โอเคฉันเห็นด้วย!!]
แชทเริ่มไหลรัวแรงอีกครั้ง เมื่อกัปตันพายเรือเองแบบที่ชิปเปอร์แค่นั่งเฉย ๆ รอโมเม้นท์มาเสิร์ฟก็พอแล้ว…..
ทั้งสองคนเดินตามหลังครูอันไปยังห้องพักครูซึ่งอยู่มุมสุดขวามือของชั้นสาม เด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มห้อง S เดินออกมาจากห้องที่มุ่งไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเมื่อตนเองได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง
แม้จะเป็นเขาเองที่อาสาเพราะอยากเพิ่มโปรไฟล์ให้ตัวเองดูดีแต่ก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ที่ต้องคอยทำงานเรื่องนู้นนี้ให้คนอื่นไปทั่ว
“เดินเร็ว ๆ หน่อยดิไอ้เด็กทุน”
เมื่อเดินออกมาจากห้อง เด็กจิ้มลิ้มจากตอนแรกเสเเสร้งเป็นเด็กดีช่วยเพื่อนถือกองหนังสือเรียนคนละครึ่ง พอยกเท้าพ้นขอบประตูมาไม่กี่ก้าวกับยกหนังสือที่ตนเองถือไปวางซ้อนทับกับอีกคนทั้งหมด
ทำให้หนังสือเรียนตอนนี้ประมาณสามสิบกว่าเล่มถูกยกด้วยคน คนเดียว ในขณะที่ตัวเองเดินทอดน่องตัวปลิวสบายใจเฉิบ
เมื่อเด็กจิ้มลิ้มเห็นเคียร์นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนตน กำลังเดินตามหลังคุณครูมาทางนี้ มุมปากแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
สายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะแย่งเอาหนังสือทั้งหมดกว่าสามสิบเล่มมาถือเองคนเดียวพลางรีบวิ่งมุ่งตรงไปยังเป้าหมายครูอันเมื่อเห็นเด็กนักเรียนวิ่งมาพร้อมกับยกหนังสือเรียนไว้มากมาย ในใจร้อนรนกลัวเด็กจะหกล้มบาดเจ็บ
ตะโกนบอกให้เด็กน้อยเดินช้า ๆ ระวังจะล้ม แต่เด็กจิ้มลิ้มทำหูทวนลม มุ่งเป้าตั้งหน้าตรงมายังเคียร์นท่าเดียว
พอระยะห่างระหว่างตนกับคนในเป้าหมายเริ่มน้อยลงเจ้าตัวทำเป็นแกล้งสะดุดล้มต่อหน้าต่อตาผู้เป็นคุณครู เด็กทุนตกใจรีบวิ่งตามหลังมาติด ๆ
“โอ๊ย!! เจ็บ”
เด็กจิ้มลิ้มแกล้งล้ม หนังสือเรียนปลิวกระจายทั่วพื้น เคียร์นดึงอีเลนเข้ามาใกล้ตัวพลางยกมือป้องหนังสือที่ตกใส่ให้ ครูอันมีสีหน้าตกใจอ้าปากค้างเขาเลิ่กลั่กรีบเข้าไปดูอาการเด็กชาย
“ทำไมเธอวิ่งมาแบบนี้!! แล้วเพื่อนเธอไปไหนทำไมแบกหนังสือมาคนเดียว!!” เด็กจิ้มลิ้ม ลอบแสยะยิ้มในใจพลางทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ
“ผมขอโทษครับคุณครู ผมอยากลองยกหนังสือเยอะ ๆ ดูสักครั้งไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้”
พูดเสียงอ่อยไปน้ำตาร่วงไป ไม่ว่าใครมาเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้ก็มีแต่ต้องรู้สึกสงสาร
อีเลนยืนดูสถานการณ์เงียบ ๆ ใจจริงเขาอยากเข้าไปช่วงพยุงแต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูอันดูแลท่าจะดีกว่า
แม้ข้างในจะรู้สึกตงิดใจกับท่าทางของเจ้าตัวแปลก ๆ เขารู้สึกเหมือนเห็นร่างเคียร์นซ้อนทับกับอีกฝ่ายเลย
ดวงตาสีแซฟไฟร์มองดูการแสดงของเด็กตรงหน้าพลันลอบแสยะยิ้มลึกเย็นชา คิดว่ายังมีคนชอบเสแสร้งเหมือนตนอีกเหรอ แม้อีกฝ่ายจะแสดงได้ดีแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ยังเหนือชั้นกว่ามากอยู่ดีโดยเฉพาะเรื่อง
‘การเอาคืน’
“โอ๊ย ผมเจ็บข้อเท้าจังเลยครับคุณครู เหมือนจะพลิกเลย”
ครูอันได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี เด็กทุนเหงื่อแตกเขาพยายามจะเข้าไปช่วยพยุงแต่โดนสายตาจิกของเด็กจิ้มลิ้มหยุดไว้เสียก่อน
“มาช่วยพยุงเพื่อนกันเร็วเด็ก ๆ เราต้องรีบพาไปห้องพยาบาลนะ”
ครูอันเลิ่กลั่กไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไงดีเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก เขาแค่คิดจะพานักเรียนสองคนมาสอนงานไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
เด็กจิ้มลิ้มยิ้มเยาะในใจ อาศัยจังหวะครูอันทำตัวไม่ถูกเอ่ยขึ้น
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับคุณครู แค่ให้เพื่อนคนหนึ่งอุ้มไปห้องพยาบาลก็พอแล้วครับ”
พูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารขั้นสุด พลางส่งสายตาอ้อนวอนไปยังเคียร์น
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบห
ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่ หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ “ดีละ!!” คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่
เสียงร้องไห้ของเด็กอ้วนดังไปทั่วสนามเด็กเล่น อีเลนกะพริบตาสองสามที เขามองคนที่นั่งฟันหลุด ใจจริงไม่ได้กะต่อยแรงขนาดนั้นแค่เผลอออกแรงมากเกินไปเพราะเห็นภาพซ้อนทับกับเด็กเกเรที่ชอบแกล้งเหล่าน้อง ๆ ในอดีตของตนจนบาดเจ็บเป็นประจำ อีเลนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการเด็กน้ำมูกน้ำตาไหลที่ดูแทบไม่ได้ มือหนึ่งยื่นไปให้จับหวังช่วยพยุงตัวขึ้น “เป็นไรไหม” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ตนทำเกินกว่าเหตุ แม้ภายในลึก ๆ จะอยากให้เด็กคนนี้จำฝังใจว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครแบบนี้อีก “แงงงงงง แม่จ๋า” เด็กน้อยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด เอาแต่นั่งร้องไห้ โหวกเหวกท่าเดียวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ด้วย “เฮ้ย!! มึงทำเพื่อนกูแล้วอย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะเว้ย พ่อกูเป็นตำรวจ จะสั่งให้จับพวกมึงให้หมดเลย พวกมึงไม่รอดแน่ พ่อแม่มึงต้องถูกจับ บ้านมึงต้องถูกยึด โทษฐานมาหาเรื่องกับกู ไอ้เชี่ย!!" เด็กหัวโจกหน้าดำหน้าแดงควันออกหู โกรธจัดที่มีคนกล้าท้าทายอำนาจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าขัดใจเขาเลยสักครั้ง แค่มีพ่อเป็นตำรวจไม่ว
เรื่องราวในนิยายเล่าถึงช่วงเวลาสมัยเด็กของพระเอกและนางเอกไว้ไม่กี่บท ทั้งคู่ได้เจอกัน เกิดมาจากโรคจิตเวชของอีเลนคนเก่ากำเริบ วันหนึ่งคุณแม่ของเด็กชายออกไปรับของทางไปรษณีย์ข้างนอกโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอกลับมาพัสดุยังไม่ทันวางพลันร่วงหลุดมือ เมื่อเธอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนถือมีดปอกผลไม้ ที่แขนเล็กตรงข้อพับมีรอยกรีดลึกยาว เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาทีละหยดสองหยด ผู้เป็นแม่แข้งขาอ่อนแรง ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที หญิงวัยกลางคนมีอาการตัวสั่นหน้าซีดเผือด ตกตะลึงกับการกระทำของลูกน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทะเลาะปนสะอื้นไห้ดังแซดไปทั่วบ้าน เธอต่อสายถกเถียงกับสามีเรื่องลูกชายของตน กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ กล่าวว่าสามีที่ไม่มีเวลาให้ลูกบ้างก็ดี กล่าวว่าตัวเองที่ดูแลลูกไม่ดีบ้างก็ดี ผู้เป็นสามีเคร่งเครียดถอนหายใจดังลั่นจนปลายสายได้ยินเสียง ‘เฮ้อ’ “งั้นเอางี้ คุณย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงซะ ที่นั่นมีหมอเก่งด้านจิตเวช เดี๋ยวผมส่งเขาไปเป็นหมอประจำตัวอีเลนให้” พูดจบก็วางสายไป คนเป็นแม่สะอื้นไห้โผเข้า
หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!! ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา 'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่' เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก