"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!"
หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว
แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม
ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้!
แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน
อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุงแรงสนองให้หนุ่มกุหลาบจนพอใจ สองคือทำให้สลบในครั้งเดียว
ในเนื้อเรื่องเชาว์เป็นศพแรกที่อีเลนคนเก่าฆ่าตอนช่วงมัธยมปลาย เพราะเขาชอบมาตามตื๊อโนวาทำให้ได้รับความรุงแรงสมใจก่อนตาย
และแน่นอนอีเลนตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว และจะไม่มีใครต้องมาตายด้วยฝีมือเขาในนิยายเรื่องนี้เด็ดขาด!!
“พะ พี่ชายครับผมกลัว”
เด็กน้อยหน้าตาวัยละอ่อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เดินมาหลบอยู่ข้างหลังผู้ที่จะช่วยตนได้ ฝ่ามือน้อยกำสาบเสื้อคนข้างหน้าไว้แน่นราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย
“ไม่ต้องกลัวนะ เราไม่เป็นไรแล้ว”
อีเลนหันไปพูดปลอบเด็กชายซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาหาทางว่าจะเอายังไงกับคนตรงหน้าดี
คราวคิดจะอุ้มเด็กน้อยวิ่งหนีอีกฝ่ายคงวิ่งไล่ตามอย่างบ้าระห่ำแน่ จะให้ฟาดจนทำให้คนโรคจิตพอใจเขาก็ไม่ได้มีงานอดิเรกตบตีใครแบบนั้นพลันจะทำให้รู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ ซะเปล่า
คิดไปคิดมาก็ต้องถอนหายใจเมื่อผลสรุปที่ตนได้คือการน็อคเด็กหน้าสวยในครั้งเดียว
อีเลนบอกให้เด็กตัวเล็กเดินไปหลบหลังต้นไม้แล้วปิดตาไว้เขาไม่อยากให้น้องตัวเท่านี้มาเห็นภาพความรุงแรงตรงหน้าจนจำฝังใจ
“ทำไม!! นายจะมากระทำชำเราผมเหรอ เอาเลย ทำผมเลย ดอกกุหลาบผู้แสนงดงามดอกนี้พร้อมให้นายเด็ดกลีบทิ้งแล้ว”
เด็กชายมองคนพร่ำเพ้อหอบหายใจแรง เชาว์ยกแขนกางออกทั้งสองข้างพลางคุกเข่าลงกับพื้นเป็นเชิงบอกว่าเข้ามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ
เขาถึงกับมองเด็กหน้าสวยดวงตาว่างเปล่า อึ้งจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายได้อีกแล้ว ในหัวเอาแต่คิดว่าทำไมตัวเองชอบมาเจอแต่เรื่องพวกนี้
พอรู้สึกตัวว่าตนอยู่ในร่างตัวเอกและอยู่ในนิยายที่แต่งออกไปแนวไหนหัวรู้สึกเหมือนจะปวด อีเลนอยากรีบจัดการสถานการณ์ตรงหน้าให้จบ เขาอยากกลับบ้านไปนอนฟุบลงบนเตียงแล้วปล่อยวางทุกอย่าง!!
“มาเลย เอาเลยสิ ดอกกุหลาบผู้แสนงดงามบริสุทธิ์ดอกนี้พร้อมแล้ว เอาเลย!!!”
คนโดนท้าหมดคำจะพูด เขารีบเดินตรงไปลากตัวเชาว์ที่หอบจัดให้มานั่งลงตรงต้นไม้แข็งแรงต้นหนึ่ง เด็กชายกุหลาบหัวใจเต้นแรงเลือดลมสูบฉีดทำตัวว่านอนสอนง่ายอยู่นิ่ง ๆ คาดหวังว่าผู้มาใหม่คิดจะทำอะไรกับร่างกายตนต่อไป
รอเพียงไม่นานเชือกเส้นสีขาวเริ่มหมุนวนรอบร่างกายคนที่นั่งตัวติดกับต้นไม้อย่างแน่นหนา
เชาว์รู้สึกได้ถึงเชือกฟางเส้นใหญ่ที่กำลังแล่นผ่าน เวลาจะขยับแขนขาทีก็ลำบากให้ความรู้สึกอึดอัดคล้ายถูกพรากอิสรภาพ คนโดนมัดตัวยิ้มชอบอกชอบใจออกหน้าออกตา
อีเลนเดินวนจนครบรอบ พอรู้สึกว่ามัดแน่นหนาแล้วจึงขมวดปมเชือกเป็นแบบเหงือก เขาเดินมาจูงมือเด็กที่กำลังยกมือปิดตาตัวเองอย่างสั่นกลัวหนีจากไปหน้าตาเฉย
เชาว์เมื่อเห็นว่าคนที่คาดหวังให้รังแกตัวเองกำลังเดินหนีไปพลันดิ้นพล่าน พยายามขยับตัวออกจากสิ่งที่ผูกมัดในใจรู้สึกเสียดายไม่อยากให้อีกฝ่ายทิ้งไปทั้งดื้อ ๆ แบบนี้
“นี่นาย!!! กลับมาก๊อนนน กลับมาทำให้กลีบกุหลาบของผมร่วงโรยก่อน เฮ้!! กลับมานะ!! ร่างกายนี้ต้องการนายมาเติมเต็มได้ยินไหม มาทำผมสิ นายไม่รู้สึกอยากทำอะไรกับใบหน้าอันแสนงดงามนี้หน่อยเหรอ!”
พูดไปขยับตัวออกแรงจนสุดฤทธิ์ เชือกหนาเบียดเสียดไปตามร่างกายทำให้รู้สึกแสบบริเวณที่ผิวสัมผัส เด็กหน้าสวยทั้งรู้สึกพอใจและเสียดายในเวลาเดียวกัน เขาคิดว่าถ้าเจอกันครั้งหน้าต้องทำให้คน ๆ นี้กระทำทารุณตัวเองสักครั้งให้ได้!!
อีเลนเร่งฝีเท้าก้าวออกมาพร้อมกับเด็กน้อย เขารู้สึกโชคดีในโชคร้ายเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเชือกที่ไว้ใช้เล่นกระโดดถูกวางไว้อยู่แถวนั้นพอดี คาดว่าคงมีเด็กนำมันมาซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ใครแย่งเล่น
เขาถือโอกาสใช้มันในการจับเชาว์มัดซะเลย พอตกเย็นพวกเด็ก ๆ ที่มาตามหาเชือกไปกระโดดคงจะเจอเจ้าตัวแล้วช่วยแก้มัดกันให้เอง ถึงตอนนั้นเด็กโรคจิตคงกลับมาสงบสติตามเดิมแล้ว อีเลนคิดว่าเขาคงมีโชคอยู่บ้าง ที่ไม่ถึงขั้นต้องรัดคอหรือตีท้ายทอยใครสักคน
“พี่ชายครับ พี่ชายทำอะไรกับพี่คนนั้นเหรอครับ”
เด็กน้อยมองตาใสแม้ใจจะอยากรู้อยากเห็นแต่พอโดนสั่งให้ปิดตาตนก็ยอมปิดแต่โดยดีเพราะความรู้สึกกลัว
“พี่แค่ช่วยให้เขารู้จักระงับอารมณ์น่ะ”อีเลนพูดอย่างหน่ายใจ ภาวนาขอให้ไม่เจอเด็กคนนั้นอีกตลอดไป
เชาว์เป็นตัวละครเดียวที่เขารู้สึกรับมือด้วยยากมาก เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนเลวร้ายแต่ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่ากระทำคนอื่น จึงทำให้อีเลนรับมือไม่ถูก เขาคิดว่าถ้าต้องเลือกระหว่างเจอเชาว์กับอันธพาลหมู่ ขอเลือกไปต่อยตีดีกว่า
“ว่าแต่เราไปยืนเล่นอะไรตรงนั้นล่ะ” อีเลนคิดว่าสวนสาธารณะนี้มีที่ตั้งกว้าง ไหงไปยืนเล่นอยู่หลังห้องน้ำชายได้
“ผมแอบไปฝึกวิชาดาบ เพื่อจะปกป้องเพื่อนคนหนึ่งครับ!!” เด็กน้อยพูดด้วยสายตามุ่งมั่น
“ปกป้องใครเหรอ คงเป็นคนสำคัญมากสินะ”
เจ้าตัวหน้าแดงยิ้มแฉ่ง ขานตอบน้ำเสียงมั่นคง
“ครับ! สำคัญมาก!! เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผม ผมจะปกป้องเขา!” พอพูดถึงเพื่อนเพียงคนเดียว อีเลนพลันนึกถึงใบหน้าเคียร์นขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นครั้งแรกที่เขาตัวติดกับใครสักคนแล้วใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทุก ๆ วัน
ช่วงนี้อีเลนคิดว่าตัวเองกับเคียร์นสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมหน่อยหนึ่ง ถึงตอนแรกจะคบเป็นเพื่อนแบบหวังผลให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นใจจนไม่อยากฆ่าตน แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นแล้ว……...
อีเลนพาเด็กชายไปส่งหาเพื่อนสาวคนสำคัญเสร็จก็รีบตรงกลับทางเดิมทันที เขารู้สึกอยากเห็นหน้าเด็กเจ้าเล่ห์ ขึ้นมาแปลก ๆ
สองเท้ารีบก้าวมาจนถึงสถานที่เดิมซึ่งตนเคยวิ่งหนีมา สายตาไล่มองหาร่างเจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าม้านั่งสีน้ำตาลตัวยาวซึ่งห่างไม่ไกล ตรงกลางมีเด็กชายหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่และถูกผู้คนล้อมรอบไว้
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้าที่อีเลนทิ้งเคียร์นไปให้นั่งรออยู่คนเดียว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในสวนสาธารณะ เมื่อเห็นเด็กมีเสน่ห์อันลึกลับนั่งตัวตรงสง่างามไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ไม้ไร้ผู้คน
ดวงตาสีแซฟไฟร์ไม่แสดงอารมณ์ใดเอาแต่มองทิวทัศน์ไปรอบ ๆ ภาพของเด็กชายทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับหยุดชะงัก เหม่อมองเด็กชายที่ราวกับหลุดมาจากภาพวาดอย่างเผลอไผล
ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านมาก็อยากเข้าไปคุยทำความรู้จัก แม้ใจจะอยากมากแค่ไหนหากแต่เพราะบรรยากาศแฝงความเย็นชารอบ ๆ ของเด็กคนนี้ ต่างทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ได้เพียงยืนเว้นระยะห่างแอบมองอยู่ที่ไกล ๆในช่วงเวลานั้นเคียร์นนั่งรออีเลนอย่างใจเย็น
พร้อมทั้งจินตนาการว่าอีกฝ่ายตอนหนีเขาไปทำสีหน้าแบบไหน ตอนนี้ทำอะไรอยู่ พอกลับมาจะแสดงอาการยังไง
มุมปากพลันกดลึกปรากฏรอยยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี บรรยากาศรอบตัวที่ราวกับมีกำแพงน้ำแข็งกั้นเริ่มอ่อนลง ทำให้ผู้คนกล้าเข้ามารุมล้อมเด็กชายดั่งฝูงไฮยีน่า
“ท่านนักบุญ จะไปทำจิตอาสาที่ไหนอีกไหมจ๊ะ"
“หนูอยากไปทำจิตอาสากับพี่ชายค่ะ พี่สนใจมาทำกับหนูไหมคะ”
“พี่ชายหล่อจังเลย พี่เป็นคุณเทวดาเหรอครับ”
เคียร์นซึ่งถูกผู้คนมุงก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไร เพียงยิ้มรับและพูดคุยกับทุกคนเหมือนเด็กใสซื่อตัวน้อยคนหนึ่ง คิดเสียว่าเป็นการคุยฆ่าเวลาเล่นเพื่อรอใครบางคนกลับมาเท่านั้น
ปัจจุบัน หลังจากที่เคียร์นพูดคุยไปพอหอมปากหอมคอ ดวงตาสีแซฟไฟร์พลันหันมาสบกับนัยน์ตาสีส้มอมเหลืองซึ่งยืนรออยู่ไม่ไกล
เคียร์นลุกขึ้นยืนขอตัวแยกออกไปหาอีเลนในทันที แม้ทุกคนจะรู้สึกเสียดายอยากรั้งตัวให้อยู่คุยต่ออีกสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้ยื้อไว้
เด็กตาน้ำเงินเดินมาถึงตัวคนยืนรออยู่ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร ดวงตาสีแซฟไฟร์นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อเพื่อนตัวน้อยเป็นฝ่ายยื่นมือมากอบกุมฝ่ามือเขาไว้เอง
เคียร์นที่ถูกสัมผัสแบบไม่ทันตั้งตัวแอบลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ารู้สึกเขินอายจนปล่อยมือเขา
“ทำหน้าแบบนั้น คือคิดถึงฉันเหรอ”
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเริ่มก้าวเดินไปกับคนข้างกาย เขาคิดว่าตั้งแต่ที่อีเลนกลับมาก็ทำให้รู้สึกเหนือคาดมาก
ไม่คิดว่าคนตัวเล็กจะส่งสายตามองมาเหมือนต้องการให้รีบปลีกตัวเดินไปหาไว ๆ แววตาที่มองมาราวกับแฮมสเตอร์น้อยในกรง ที่ทำตัวออดอ้อนอยากให้ลูบหัวมันไม่มีผิด
“ใครคิดถึงนายกันเล่า!” คนถูกจับได้เริ่มหน้าแดงขึ้น
“ไม่ได้คิดถึง แค่นึกถึงต่างห่าง!” อีเลนพูดท้วงกับตัวเองเสียงเบาในลำคอ เขาเผลอบีบมือคนที่จับไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
เคียร์นมองการกระทำของคนขี้อาย ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มบาง ก่อนหางตาจะเห็นเด็กสองคนวิ่งไล่จับกันอยู่ข้างหลังอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือตรงมาทางนี้ เด็กชายนัยน์ตาสีน้ำเงินยังไม่สะกิดบอกให้อีเลนหลบ
เขารอให้พวกเด็กเล็กวิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระชากร่างคนหน้าแดงให้หลบเข้าสู่อ้อมแขน
อ๊ะ!
อีเลนจมอยู่ในอ้อมกอดคนตรงหน้า เคียร์นใช้โอกาสรวบตัวเพื่อนตัวน้อยไว้แนบชิด ดวงตาสีแซฟไฟร์เปล่งประกายชั่วพริบตา มุมปากกดลึกเผยรอยยิ้มมีเลศนัย น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบเบาข้างใบหูขึ้นสีแดงน่ารัก
“ระวังหน่อยสิ”
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
หนังสือที่ถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า อีกแค่สองสามแผ่นก็ถึงตอนจบของเรื่องราวเสียแล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปี นั่งกอดนิยายที่ตนพึ่งอ่านจบด้วยความอิ่มเอมใจ “เยี่ยม!! คราวนี้ละ เราต้องเขียนนิยายดี ๆ เหมือนของไอดอลให้ได้!!!” หลังอ่านจบก็มีแรงมุ่งมั่นลุกขึ้นยืนจากที่นอนเต็มความสูง พุ่งตัวไปยังโต๊ะคอมเจ้าประจำตัวโปรดก่อนจะเปิดโปรแกรมขึ้นมาฝึกแต่งนิยาย นาฬิกาติดผนังส่งเสียงร้องไปตามเข็มหน้าปัดบอกเวลาผ่านไปได้แค่ห้านาที บนหน้าจอปรากฏข้อความเพียงแค่สองสามบรรทัด “เฮ้อ อยากจะร้องไห้” คนชะงักนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเหยียดตัวขึ้น เดินตรงไปหยิบเสื้อคลุมกับกระเป๋าสตางค์แล้วเปิดประตูห้องเช่าสนิมจับออก สองเท้าย้ำไปตามทางเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟสลัวติดๆ ดับ ๆ บนท้องถนนให้บรรยากาศคล้ายหนังสยองขวัญ ลมเย็นพัดโชยเส้นผมพลิ้วไหวเหมือนจะรุงแรงมากกว่าวันปกติ “เส้นทางการเป็นนักเขียนคงยังอีกไกลสินะ” ร่างสูงหม่นหมอง เดินคอตกมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปหยิบไอติมแท่งหนึ่งแล้วนำไปจ่ายเงินห
ชายอายุยี่สิบสองปีในร่างเด็กน้อยวัยสิบสองขวบ นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ในใจอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำจุกอยู่ที่ลำคอ คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นแม่เด็กแสดงอาการเป็นห่วงพลันมองสำรวจร่างน้อยตรงหน้า นัยน์ตาสีเหลืองอำพันสั่นระริกฉายแววแตกตื่นระคนแปลกใจก่อนจะตั้งสติรีบพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน ต่อสายหาคุณหมอประจำตัวลูกชายอย่างรวดเร็ว “คุณหมอคะ อีเลนแสดงอารมณ์ได้แล้วค่ะคุณหมอ!!!” หญิงวัยกลางคนพูดน้ำเสียงดีใจคลอสั่นเครือ ริมฝีปากมีร่องรอยตามอายุเผยรอยยิ้มกว้าง คนถูกเรียกว่าอีเลนสตั๊นมองการกระทำของหญิงไม่คุ้นหน้าพลันสมองนึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมด วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงมากจนผิดปกติ เหมือนทั้งโลกพยายามจงใจจะฆ่าเขา จำได้ว่าตนหลีกหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด นึกว่ารอดแล้วแต่ดันเปิดประตูมาเจอโจรอีก เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นรวดเร็วมากมายเกินไปจนทำให้ขาดสติ ลืมคิดหน้าคิดหลังถอดอีแตะหยิบปาใส่หน้าโจร เตรียมตัวกลั้นใจวิ่งกระโดดอัดขาคู่ ใส่คนสวมไอ้โม่งสีดำตรงหน้า!! ร่างขโมยกระเด็นตัวปลิวทะลุหน้าต่างแตก เขายิ้มดีใจนึกว่าคงเป็นอุปสรรค
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบห
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก